ลองร่างภาพศิลปินที่ทำงานศิลปะสักคนหนึ่งในหัวของคุณ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มรายละเอียดที่ศิลปินควรมีเข้าไป เสื้อผ้าหน้าผม อุปกรณ์ที่ใช้ แผ่นผ้าใบที่เป็นวัสดุรองรับงานศิลป์ที่กำลังจะบังเกิดในไม่ช้านี้
เอาใหม่ เราลองลบภาพเขาหรือเธอคนนั้นทิ้ง แทนที่ด้วยภาพผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่ในลุคสุดเฉี่ยว จากพู่กันกลายเป็นแปรงปัดหน้า จานสีเป็นพาเลทอายแชโดว์ ส่วนผืนผ้าใบก็กลายเป็นใบหน้าของใครสักคน
ใช่แล้ว…เรากำลังพูดถึง 'เมกอัพ อาร์ติสต์ (Make-up Artist)' อาชีพหนึ่งที่กำลังมาแรงมากในหมู่สาวๆ แม้หลายคนจะชินกับภาพจำวิดีโอฮาวทูแต่งหน้าทั่วไปที่เห็นได้ตามยูทูบหรือเพจเฟซบุ๊ก ทว่าความจริงแล้ว สายงานนี้ยังมีการแต่งหน้าเจ๋งๆ และการประกวดแต่งหน้าสุดอลังการ ที่เรียกว่าขนทุกศาสตร์ทุกศิลป์มารวมกันเลยก็ว่าได้
จิ๊บ-เจนจิรา พันธุ์วิเชียร หรือที่หลายคนรู้จักเธอในชื่อ 'Jibbie Rubie' เจ้าของเพจ Jibbierubie: Make-up Artist ที่มียอดไลก์เกือบ 40,000 คน นอกจากจะเป็น เมกอัพ อาร์ติสต์ แล้ว เธอยังสร้างคอนเทนต์และลุคให้แก่แบรนด์เครื่องสำอางเจ้าดังมากมาย ทั้งยังรับหน้าที่คุมแบ็กสเตจให้หลายแฟชั่นโชว์ รวมถึงอยู่เบื้องหลังความสวยงามของศิลปินดาราในงานใหญ่ๆ อีกไม่น้อย สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอก้าวมาถึงตรงนี้ได้นอกจากความชอบส่วนตัว ก็คือ 'ศิลปะ' นั่นเอง
ก่อนจะมาเป็นศิลปินแต่งหน้า จิ๊บเคยเป็นนักเรียนศิลปะในคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาศิลปะศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาก่อน ช่วงเวลา 5 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย นิสิตสาวคนนี้ก็คลุกคลีอยู่กับส่วนแฟชั่นโชว์ ในงาน Gift ที่เป็นอีเวนต์ประจำคณะทุกปี ซึ่งในช่วงชั้นปีที่ 2 นี่เองที่ทำให้เธอกลับมาแต่งหน้าให้คนอื่นอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากงานแต่งหน้าไปประมาณเกือบ 2 ปี
"ตอนทำแฟชั่นโชว์ เราจะมีภาพเมกอัพอยู่ในหัว แล้วบอกใครเขาก็ไม่เข้าใจ ก็เลยต้องแต่งให้นางแบบเอง แล้วหลังจากนั้นก็แต่งมาเรื่อยๆ พอคนเห็นงาน ก็มีเรียกให้ไปทำนู่นทำนี่ อาศัยวิธีบอกต่อๆ กันไป เพราะตอนนั้นเรายังไม่ได้ทำบล็อกทำเพจ" เจ้าตัวเริ่มต้นเล่าด้วยท่าทีสบายๆ
แม้ว่าครอบครัวเธอจะไม่ได้มีใครเป็นศิลปิน ทว่าพ่อของจิ๊บก็ชอบวาดรูปมากๆ บวกกับความสนใจในวัยเด็กที่เธอชอบเล่นแต่งหน้าแต่งตาทำชุดให้ตุ๊กตาบาร์บี้ จนพัฒนามาเป็นการตัดชุดใส่เอง และไปไกลจนถึงขั้นทำชุดใส่ในงานกีฬาสีโรงเรียนตอนมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งนั่นก็ถือเป็นการเข้าสู่โลกเครื่องสำอางของเธอด้วย
"เราเริ่มแต่งหน้าตอน ม.2 เพราะว่าตอนเดินพาเหรดกีฬาสี เห็นเพื่อนคนอื่นโดนช่างแต่งหน้าแต่ง แล้วทุกคนดูแก่มาก ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเพื่อนไม่ได้แก่ขนาดนั้น แต่แต่งออกมาแล้วทำไมไม่สวย เราก็หนีช่างแต่งหน้ามาตลอด ไม่ยอมให้ใครมาจับหน้า ก็แต่งหน้าเองเลย ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน หลังจากนั้นก็เล่นเครื่องสำอางมาเรื่อยๆ เดินพาเหรดอีกปีนึง เพื่อนบอกอยากแต่งแบบเราบ้าง เพื่อนทุกคนก็เทช่างแล้วมาแต่งกับเรา" จิ๊บหัวเราะร่วน
ด้วยความชอบในศาสตร์ศิลปะนี่เองที่ทำให้เด็กสาวเลือกสอบเข้าคณะนี้ แม้ว่าตอนแรกเธอจะยังไม่แน่ใจมากนักว่าวิชาที่สอนจะตอบโจทย์ความชอบไหม แต่เมื่อจิ๊บได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศการเรียนจริงๆ ก็พบว่าคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศึกษา ให้อะไรแก่เธอเยอะมากจนหญิงสาวได้ความรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะด้านแฟชั่น การออกแบบลงสี รวมไปถึงโปรดักชันด้วย
ระหว่างเรียน จิ๊บรับงานควบคู่ไปด้วย แม้ว่าจะเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่เธอก็ยอมรับว่าคุ้มค่าและสนุก ซึ่งหลังจากเรียนจบ เมกอัพอาร์ติสต์คนนี้ก็ได้ไปเป็นครูสอนศิลปะแก่เด็กนักเรียนโครงการพิเศษ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่เกือบ 2 ปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกมาเป็นเมกอัพอาร์ติสต์เต็มตัว ทั้งที่จริงแล้วเธอจะยังชอบสอนอยู่ก็ตาม
"เราชอบสอน มีความสุขตอนสอน แต่ตอนนี้ใจเรายังอยู่กับที่อื่น ไม่ได้อยู่กับการเป็นครู ถ้าเป็นครูนอกจากเราจะสอนไม่เต็มที่แล้ว เด็กก็จะได้รับไม่เต็มที่ ก็เลยพักไปทำอะไรที่อยากทำก่อน ถ้าในอนาคตทุกอย่างมันลงตัว เราก็อยากไปเป็นครูอีกทีตอนเราพร้อม" อดีตคุณครูสอนศิลปะยิ้มกว้าง
ก่อนจะเปิดเพจ Jibbierubie : Make-up Artist จิ๊บและแฟนช่วยกันทำคลิปวิดีโอสอนแต่งหน้าออกมาไม่น้อย บวกกับทำโปรดักชันให้หลายแบรนด์ดัง จึงทำให้หลายคนคุ้นหน้าและอยากติดตามเธอ ตอนนี้หญิงสาวทำเพจมาได้ 2 ปีแล้ว และช่องทางนี้ก็แทบจะกลายเป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก นอกจากนี้การได้ทำงานใหญ่ๆ หลายงานก็ทำให้จิ๊บเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม
หากไปเลื่อนดูเพจของเธอ จะพบคลิปสอนแต่งหน้าในลุคต่างๆ มากมาย ทั้งลุคใสๆ ลุคปาร์ตี้ หรือลุคไปทำงาน แต่มีคลิปอยู่จำนวนหนึ่งที่เราดูแล้วก็อึ้งค้างไปกับความสามารถของเธอ นั่นคือ คลิปตอนเธอประกวด 'NYX Face Awards Thailand 2017' นั่นเอง
ในการประกวดนี้ จิ๊บบอกว่าเป็นงานที่ชอบมากที่สุด เพราะได้ปล่อยของและทำสิ่งที่เป็นตัวเอง เนื่องจากทาง NYX จะมีโจทย์ให้ผู้เข้าแข่งขันมาตีความเอง ซึ่งทั้ง 4 ชาเลนจ์ที่จิ๊บร่วมแข่งนั้นสร้างความประหลาดใจแก่เราไม่น้อย และแน่นอนว่าด้วยความสามารถอันเหลือล้นของเธอ หญิงสาวก็สามารถสามารถคว้ารางวัลพิเศษเทียบเท่ากับผู้ชนะเลิศ และเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของ NYX Face Awards Thailand ที่เข้าร่วมงาน NYX Face Awards ที่กรุงลอสแอนเจลิส
เมื่อเราถามว่าสิ่งที่เธอทำอยู่นี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะมาใช่ไหม นักเรียนเก่าครุฯ อาร์ตก็พยักหน้ารับทันที
"มาจากการเรียนศิลปะ และความชอบของเราเองด้วย เพราะคนเรียนศิลปะ เขาก็ไม่ได้แต่งหน้าหรือทำอะไรแบบนี้ แล้วแต่คนมากกว่าว่าจะไปออกทางไหน บางคนก็มีความเป็นอาร์ติสต์สูงมากแต่ชอบทำเสื้อผ้า เสื้อเขาก็จะดูมีความเป็นศิลปะมาก อย่างบางคนชอบทำประติมากรรมกับงานศิลปะ แต่เขาไปสื่อออกทางจิวเวลรี่ จิวเวลรี่ก็จะดูเป็นประติมากรรม อย่างเราก็มาออกทางเมกอัพ" เธออธิบาย
"ตั้งแต่ตอนเรียนศิลปะแล้ว ส่วนใหญ่เราชอบทำงานพอร์เทรต (Portrait) งานของเราก็จะมีคนอยู่ในนั้น เพราะเราชอบวาดคน พอถึงจุดที่ต้องวาดตาวาดคิ้ว เป็นมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนแต่งหน้า ดีเทลต้องอยู่ครบ ไม่ว่าจะคิ้ว ตา อย่างปากเราไล่สีนานมากกว่าจะเสร็จ แทบจะไม่เคยลงอะไรอันเดียวแล้วจบ เวลาแต่งหน้าใครแล้วเรารู้สึกเหมือนทำงานสีน้ำมัน"
และด้วยความที่ตัวเธอเองชื่นชอบงานแนวแฟนตาซีเป็นพิเศษ ผลงานส่วนใหญ่ที่เธอมีอิสระทำตามใจจึงได้รับอิทธิพลมาจากความชอบนี้มากทีเดียว เห็นได้จากการผสมผสานกันของประวัติศาสตร์กับศิลปะแนวเซอร์เรียลิสม์ (Surrealism) ผลงานแต่งหน้าของเธอจึงมีกลิ่นอายของสัตว์ในเทพนิยายหรือตำนานไม่น้อยเลย
"ตอนเด็กเราชอบดูดิสนีย์ ชอบเมอร์เมด ชอบนางเงือก เหมือนกับว่าจริงๆ แล้ว วัฒนธรรมแต่ละประเทศมันเหมือนกันเลยนะ เมอร์เมดเขากับนางเงือกบ้านเรา ฮาร์ปีของอียิปต์กับกินรีบ้านเรา คือเราอินเรื่องพวกนี้มาก แล้วก็รู้สึกว่ามันมีผลกับการทำงานศิลปะ เพราะเกือบทุกงาน เราจะต้องมีอะไรมาผสมมายำรวมกันตลอด แล้วเราก็ชอบงานของซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) ด้วย" จิ๊บขยายความอย่างกระตือรือร้น
ปกติถ้าทำงานศิลปะ ผืนผ้าใบหรือแผ่นกระดาษคงเหมือนๆ กันที่เป็นพื้นที่โล่งขาว ทว่าการแต่งหน้าไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากหน้าแต่ละคนมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน นั่นจึงกลายเป็นความสนุกที่นักแต่งหน้าอย่างจิ๊บจะได้เจอโจทย์ใหม่ทุกวัน หลายครั้งที่เธอได้รับบรีฟหน้างานกับคำจำกัดความสุดนามธรรมอย่าง 'ลุคสตรองๆ' หรือ 'ดูน้อยๆ แต่เก๋' ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ทำออกมาได้ดีเสมอ
ส่วนคำถามที่จิ๊บมักเจอบ่อยๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องทริกที่เธอใช้ในการเลือกเครื่องสำอาง และเฉดสีต่างๆ ซึ่งเธอก็ได้ให้คำตอบ (ที่ดูจะเป็นเชิงศิลปะ) ว่าตัวเธอเน้นใช้เซนส์จากประสบการณ์ที่ทำมาเป็นหลัก และพยายามทำให้เต็มที่ หากผิดพลาดไปก็แก้ไขเท่านั้นเอง
นี่คืออีกผลผลิตหนึ่งของวงการศิลปะที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของปื้นสีจากปลายพู่กันบนผืนผ้าใบเท่านั้น ศิลปะอาจจะไปอยู่ในจิวเวลรี่ สิ่งก่อสร้าง หรือแม้แต่ปลายแปรงปัดแก้มอย่างที่จิ๊บทำอยู่ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะสร้างเฉดสีให้ตัวเองได้อย่างไร
เพราะแท้จริงแล้วแต่ละชีวิตก็เปรียบเป็นผืนผ้าใบให้เราละเลงสีได้ไม่ต่างกัน
4208 VIEWS |
นักเขียนและกองบรรณาธิการที่พบเจอตัวได้ตามหอศิลป์และร้านหนังสือ ชอบกินแซลมอนและชาบู อยากแก่ไปเป็นคุณป้าใจดีและมีฝูงแมวห้อมล้อม