หลายคนอาจรู้จัก เนย-ปรรณสรณ์ จารุศิริพจน์ ในฐานะ 'Butterclub' นักวาดสาวที่กำลังเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ขณะนี้ เธอมีผลงานคุ้นตามากมาย เริ่มจากสติกเกอร์ไลน์ (Line Sticker) ที่มีคาแรกเตอร์น่ารักและคำพูดโดนใจ ต่อยอดมาสู่แบรนด์อุปกรณ์เครื่องเขียน Butterclub ที่มีชิ้นงานหลากหลายออกมาให้แฟนๆ ได้เก็บสะสม ทั้งปฏิทิน โปสการ์ด มาสกิ้งเทป สติกเกอร์ ฯลฯ ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ชนิดที่ว่าเปิดตัวสินค้าใหม่ทีไร แฟนๆ ก็เข้าไปสั่งซื้อจนหมดสต็อกในเวลาไม่นาน ล่าสุด ผลงานของเธอยังได้เป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการ NOWADAYS ซึ่งจัดแสดงที่ bacc อีกด้วย
เรานัดพบกันที่บ้านของเธอ เนยออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม วันนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวสีสดใส สะพายกระเป๋าเป้สีม่วงอ่อนที่มีพวงกุญแจน่ารักและตุ๊กตาห้อยอยู่ เมื่อเข้าไปด้านใน เราก็พบกับมุมทำงานเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยงานศิลปะที่เธอสร้างสรรค์และเก็บสะสม ตั้งแต่บนโซฟาจนถึงริมผนัง บ่งบอกถึงตัวตนและความชอบของเธออย่างชัดเจน
"เราไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มสนใจงานศิลปะตั้งแต่ตอนไหน จำได้ว่าเพื่อนของพ่อแม่ชอบชมว่า เราวาดรูปได้ดีนะ พอเรารู้ว่าตัวเองวาดรูปได้ดีก็เลยวาดมาตลอดตั้งแต่ประถม ตอนแรกเราไม่คิดว่าจะทำงานศิลปะเป็นอาชีพได้ เรารู้แค่เราชอบวาดรูป พึ่งจะมาจริงจังตอนเข้ามัธยมปลาย พอคุยกับพ่อแม่เขาก็สนับสนุน เลยเริ่มไปลงคอร์สเรียนเพื่อติวเข้ามหาวิทยาลัยจริงจัง" เธอยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดต่อ "ตอนนั้นคิดแค่ว่า 'ถ้าเราได้วาดรูปไปตลอดชีวิต มันคงดีนะ'"
เธอเข้าศึกษาต่อที่คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาประยุกตศิลปศึกษา เอกศิลปะสิ่งทอ (textile) นี่เป็นช่วงเวลาที่เธอได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่เพียงแค่การวาดภาพเท่านั้น เธอยังค้นพบความชอบใหม่ๆ อย่างการออกแบบลายผ้าและการใช้สีอีกด้วย จากเด็กสาวที่ชอบวาดรูป ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จนกลายมาเป็นนักวาดและเจ้าของแบรนด์ Butterclub ที่มียอดผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 46,000 คน ในระยะเวลาเพียงปีนิดๆ หลังจากเรียนจบ
หญิงสาวเล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า "เราเพิ่งมารู้สึกตัวว่า ตอนเรียนเราไม่ค่อยได้วาดรูปเล่นเท่าไร พอเรียนจบมีเวลาวาดรูปเยอะขึ้น เลยลองทำสติกเกอร์ไลน์ดู เรามองมันเป็นพื้นที่ให้เราได้ฝึกมือ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีคนมาชอบ ตอนที่ทำเราจะเข้าไปดูในโซเชียลว่าคนเขาชอบทำอะไร ใช้คำพูดแบบไหน หรือบางทีเราจะชอบจินตนาการในหัวว่าถ้าเอาของชิ้นนี้มาวาดให้มีชีวิตจะเป็นยังไง แล้วค่อยวาดอกมา จริงๆ ก็แอบเซอร์ไพรส์เหมือนกันที่มีคนสนใจเยอะขนาดนี้"
ถ้าใครยังจำสติกเกอร์ไลน์เซต have a cutie day :-) ที่มีประโยคน่ารักๆ อย่าง 'หมูกรอบไม่เคยทำร้ายใคร' ได้ นั่นคือผลงานแจ้งเกิดที่ทำให้เธอกลายมาเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้
นอกจากสินค้าประเภทอุปกรณ์เครื่องเขียนแล้ว ในอนาคต เนยยังวางแผนที่จะทำสินค้าอื่นๆ อย่างเสื้อผ้า กระเป๋า ไปจนถึงของแต่งบ้านอีกด้วย
"เราอยากเห็นแบรนด์เติบโตขึ้นอีกหน่อย ถ้าเราทำแค่เครื่องเขียน วันหนึ่งเกิดหมดไฟขึ้นมา เราอาจจะเบื่อได้ เลยอยากทำอย่างอื่นให้มากขึ้น เคยคิดว่าอยากจะทำหนังสือของตัวเอง เพราะอยากวาดปกหนังสือ คิดไม่ออกเหมือนกันว่าตัวเองจะไปวาดปกหนังสือให้ใคร งั้นวาดให้ตัวเองแล้วกัน หรือถ้ามีโอกาสได้ทำคาเฟ่ที่ใช้งานของตัวเองมาตกแต่งก็น่าจะดี แต่มันก็เป็นเรื่องในอนาคตนะ ตอนนี้ขอทดไว้ในใจก่อน" เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อเธอพูดจบ
ไม่แน่ว่า ในอนาคตเราอาจได้เห็นนักเขียนและร้านคาเฟ่น่ารักๆ ที่ใช้ชื่อว่า Butterclub อีกก็เป็นได้
เมื่อแบรนด์เติบโตขึ้น เป็นธรรมดาที่ความคาดหวังของแฟนๆ จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบอกกับเราว่า "เราเข้าใจนะ พอแบรนด์มันโตขึ้น ความคาดหวังของคนก็มากขึ้น เวลามีคนมาทำอะไรใหม่ๆ เราอยากทำตามที่เขาบอกให้ได้เยอะๆ แต่ก็อยากทำตามใจตัวเองเหมือนกัน คนจะรู้สึกว่างานเซตต่อไปต้องน่ารักแน่เลย แต่ตัวเราไม่รู้ว่างานต่อไปที่เราทำ มันจะน่ารักไหม บางทีก็เครียดนะ แต่พอกลับมาคิดว่า เราทำตอนนี้ให้ดีที่สุดก็โอเคแล้ว ค่อยๆ เติบโตดีกว่า"
แม้จะรู้สึกกดดันกับความคาดหวัง แต่เธอก็ดีใจทุกครั้งเมื่อได้เห็นว่างานของเธอช่วยเติมเต็มความสุขให้กับคนอื่นได้มากแค่ไหน "เคยมีคนส่งข้อความมาบอกเราว่า เขาทำงานมาเหนื่อยมาก แต่พอเห็นรูปที่เราวาดแล้วเขารู้สึกดีขึ้นมาเลย เออ มันก็เจ๋งดีนะ เขาคงรู้สึกคล้ายๆ เวลาเราฟังเพลงหรืออ่านนิยายที่ชอบ ส่วนตัวเรามองว่า ในยุคนี้ใครก็สามารถเป็นศิลปินได้ ถ้าเราทำงานเพลง งานเขียน หรืออะไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องมีคนยอมรับเป็นร้อยเป็นพัน แค่มันส่งผลอะไรก็ได้กับคนหนึ่งคน เขาก็ถือว่าเป็นศิลปินได้แล้วนะ จริงๆ ศิลปะมีผลต่อการใช้ชีวิตเยอะมาก มันคอยช่วยปลอบประโลมเราในโลกความจริงได้เหมือนกัน"
ขณะเดียวกัน เธอยังใช้งานศิลปะของเธอเป็นกระบอกเสียงในการนำเสนอเรื่องราวในสังคมต่างๆ รวมถึงบอกเล่าความรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย
"เรามีสิทธิที่จะพูด สิ่งที่เรานำเสนอมันคืองานศิลปะ มันไม่มีผิดหรือถูก" เธอบอกกับเราแบบนั้น
"ตอนเราอยู่มัธยมยังไม่ค่อยมีใครวาดรูป เพราะทุกคนเรียนสายวิทย์ - คณิต เราวาดรูปอยู่คนเดียว เลยรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี แต่พอเราไปอยู่ในคณะที่ทุกคนวาดรูป กลายเป็นว่าเราเหลือตัวนิดเดียว แล้วเรากดดันตัวเองด้วย รู้ตัวอีกทีมันก็ระเบิดตอนที่ทำธีสิส (Thesis) เป็นงานประติมากรรมผ้าที่เราเอาความเลอะเทอะในวัยเด็กมาออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ดูน่ารักและสนุกขึ้น แต่ละชิ้นมันมีขนาดใหญ่และต้องทำหลายชิ้น ตอนนั้นเราบ้าบิ่นด้วย เราเป็นพวกทำอะไรก็อยากทำให้สุด พอทำงานใหญ่เกินตัว แล้วมันออกมาไม่ได้อย่างที่คิด มันเลยทำให้เราเครียดมากๆ และดาวน์ไปเลย"
แม้งานธีสิสของเธอจะสำเร็จลุล่วงไปได้ดี แต่ความเครียดและความเหนื่อยล้าในเวลานั้น เปรียบเสมือนบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจที่เธอต้องใช้เวลารักษาตัวอยู่พักใหญ่
"พอเรียนจบ เราหยุดทุกอย่างในชีวิต แล้วมานั่งคุยกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ช่วงแรกก็เคว้งนะ นอกจากจะต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เรายังต้องคิดถึงอนาคตด้วย ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเราถูกป้อนตลอดว่าเราต้องทำอะไร พอออกมาคิดเอง ทำเองทุกอย่าง มันคิดไม่ออก มันยิ่งเครียด" เธอเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า "กลับมานั่งคิดดู ธีสิสมันส่งผลมาถึงเราตอนนี้เหมือนกัน ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่เราก็ไม่ยอมกลับไปทำงานผ้าอีกเลย ทั้งๆ ที่เราเองก็ชอบมันนะ"
"พอเราได้พักตัวเองจากงานที่เครียด ไม่ต้องถูกคนอื่นคาดหวัง ได้เป็นเราในแบบที่เราอยากเป็น มันก็สบายใจขึ้น พอถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราไม่เศร้า เราก็กลับมาวาดรูปต่อ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่บ้าง แต่พอเราเริ่มเครียด เราจะวางงานไว้ตรงนั้นก่อน แล้วก็ออกไปทำอย่างอื่น ไปอ่านนิยาย ฟังเพลง มันก็ช่วยร่นระยะเวลาความเครียดของเราให้สั้นลง หรือเวลาไถทวิตไปเห็นงานคนอื่น 'เห้ย เขาเก่งจัง เราอยากเก่งแบบนั้นบ้าง' เราก็จะมีแรงกลับไปทำงาน"
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนให้เธอใจดีกับตัวเองมากขึ้นและรักตัวเองมากกว่าเดิม
"เรารู้สึกว่าการเป็นคนแบบที่ตัวเองชอบ ยากกว่าการเป็นคนเก่งอีก ช่วงที่เรามีเวลาคุยกับตัวเอง เราถึงรู้ว่าอะไรที่เราทำได้ดี และเราชอบตัวเองที่เป็นแบบไหน หลังๆ เราพยายามไม่ตีกรอบว่างานต่อไปจะต้องดี อยากทำอะไรก็ทำ ช่วงหนึ่งเรากลับมาวาดภาพสีไม้อีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าตัวเองก็ชอบทำสิ่งนี้เหมือนกัน มันสนุกดีนะ เวลาเราบังเอิญเจอสิ่งที่ชอบ.."
"..มันทำให้เรารู้สึกชอบตัวเองมากกว่าเดิม"
4166 VIEWS |
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา