ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2560 ถึงต้นเดือนมกราคม 2561 ที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสใช้ชีวิตข้ามปีที่เมืองลอนดอนประเทศอังกฤษ และเพราะการมาอังกฤษไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฉัน ทั้งเรื่องการจัดสรรเวลา และการจัดสรรค่าใช้จ่าย ดังนั้น การมาครั้งนี้ฉันจึงพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด
ลอนดอนเป็นเมืองที่ติดอันดับเรื่องการมีพิพิธภัณฑ์คุณภาพเป็นจำนวนมาก ฉันจึงไม่พลาดที่จะตระเวนชมพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรียกได้ว่าเวลาส่วนใหญ่ในลอนดอนคือการใช้ชีวิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์ รวมแล้วการมาครั้งนี้ฉันได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีรวม 11 แห่ง ได้ดูนิทรรศการทั้งหมด 55 งาน โดยแต่ละพิพิธภัณฑ์และแต่ละนิทรรศการก็สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและหลากหลายให้กับเรา
คำแนะนำสั้นๆ สำหรับคนที่อยากไปชมงานศิลปะที่ลอนดอนก็คือ เพื่อการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เราต้องทำการบ้านว่าแต่ละพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ไหน และมีพิพิธภัณฑ์ไหนอยู่ใกล้เคียงกันบ้าง เมื่อวางแผนการเดินทางเสร็จก็มาวางแผนการชมนิทรรศการ โดยเราสามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละนิทรรศการได้จากเว็บไซต์ของแต่ละพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ที่นี่มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่อาคารก็สูงใหญ่และกว้างขวางถึงขนาดที่ต้องใช้ directory และต้องใช้แผนที่ประกอบการเข้าชม สำหรับผู้มาเยือนแบบฉันที่ต้องการเข้าชมให้ได้ครบทุกห้องนิทรรศการ (สิ่งพิมพ์ที่เป็นแผนที่จะถูกจัดวางไว้พร้อมกล่องสำหรับบริจาค อยู่บริเวณทางเข้าพิพิธภัณฑ์ในราคาชุดละ 1 ปอนด์ ประมาณ 45 บาท) ส่วนพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กคือเมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้วจะเห็นได้ทันทีเลยว่ามีห้องนิทรรศการอะไรบ้าง
พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่นี่จะมีทั้งห้องนิทรรศการชั่วคราวและห้องนิทรรศการถาวร ห้องนิทรรศการถาวรจะมีความเฉพาะทางของตัวเองและสอดคล้องไปกับชื่อของพิพิธภัณฑ์ เช่น Science Museum / Design Museum / Fashion and Textile Museum / National Portrait Gallery / The National Gallery / The British Museum เป็นต้น แต่ส่วนนิทรรศการชั่วคราวอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ โดยจะมีทั้งห้องที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและห้องที่สามารถเข้าชมได้ฟรี สำหรับนิทรรศการที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เราสามารถซื้อบัตรได้จากทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ และจะมีราคาพิเศษกรณีซื้อบัตรเข้าชมหลายนิทรรศการ (ซึ่งค่าใช้จ่ายที่อังกฤษส่วนใหญ่ของฉัน หมดไปกับค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์นี่ล่ะ)
ในวันแรกๆ ฉันพยายามเลือกเข้าชมห้องนิทรรศการชั่วคราวก่อน เพราะมีความเข้าใจ (ไปเอง) ว่านิทรรศการเหล่านั้นไม่ได้จะมีโอกาสหาดูได้ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะที่เรามาพอดี ส่วนนิทรรศการถาวรจะดูเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นเดี๋ยวค่อยตามมาเก็บตกวันหลังๆ แต่สรุปแล้วฉันน่าจะคิดผิด เพราะเราไม่ได้มาอังกฤษบ่อยๆ นี่นา ดังนั้นไม่ว่านิทรรศการอะไรก็ถือเป็นสิ่งใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับเราทั้งนั้น แถมการดูไม่ครบในแต่ละพิพิธภัณฑ์ยังทำให้เราต้องเสียเวลามาอีกรอบเพื่อเก็บรายละเอียดอีกครั้ง เมื่อมีสติคิดได้แล้ว ในวันต่อๆ มาฉันก็พยายามเก็บให้ครบทุกห้องในทุกๆ พิพิธภัณฑ์ที่ไปเยือน ถึงแม้จะมีหลายนิทรรศการที่ไม่ตรงกับความชอบและความสนใจ แต่ฉันก็ยอมซื้อตั๋วเข้าไปดูให้ได้ เพราะถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตา เปิดประสบการณ์ โดยระหว่างที่ชมงาน เราสามารถเรียนรู้อะไรอย่างอื่นได้มากมายที่นอกเหนือไปจากหัวเรื่องเหล่านั้น ทั้งวิธีคิด วิธีการจัดการ วิธีการนำเสนอ ซึ่งมีรูปแบบและลักษณะการนำเสนอที่สอดคล้องไปกับความสนใจและบุคลิกของผู้เข้าชมแต่ละนิทรรศการ
เพื่อจะให้เล่าประสบการณ์ครั้งนี้ได้ง่ายขึ้น ฉันขอเลือก 5 นิทรรศการที่ประทับใจที่สุดจาก 55 นิทรรศการมาแนะนำและแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ (จริงๆ มีหลายนิทรรศการที่ชอบมาก แต่เขาห้ามถ่ายรูป จึงไม่สามารถนำภาพมาแบ่งปันประสบการณ์ได้) บางงานยังจัดแสดงอยู่ และบางงานก็จบนิทรรศการไปแล้ว
2 นิทรรศการแรกเป็นนิทรรศการชั่วคราวและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม เป็นงานที่จัดแสดงที่ V & A (Victoria and Albert Museum)
นิทรรศการเเรกของห้องเสื้อสเกลใหญ่ระดับโลกที่มาพร้อมประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นิทรรศการนี้โดดเด่นมากเรื่องการให้ความสำคัญกับกระบวนการ และนิทรรศการนี้ไม่ได้มีดีแค่การโชว์เสื้อผ้าสวยๆ กว่า 100 ชุด แต่ยังลงลึกในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย แถมยังถูกยกให้เป็นสุดยอดของนิทรรศการแฟชั่นแห่งปีที่บรรดาดีไซเนอร์ทั่วโลกต่างตั้งตารอคอย
นิทรรศการนี้แบ่งพื้นที่แสดงงานออกเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะนำเสนอความเป็น Balenciaga ในทุกๆ มิติ โดยมีการจัดสรรพื้นที่ออกเป็นส่วนจัดแสดงและให้ข้อมูล กับส่วนของกิจกรรมที่ให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมกับนิทรรศการ ส่วนที่เป็นการให้ข้อมูล จะมีการเล่าตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของดีไซเนอร์ คริสโตบัล บาเลนซิเอก้า และอิทธิพลของเขาต่อวงการแฟชั่น บทบาทต่อสังคม วิถีชีวิต การแต่งตัวของคนแต่ละยุคสมัย แต่ละวัฒนธรรม มีการนำเสนอหลักฐานของกระบวนการคิด กระบวนการทำ ที่มาที่ไป และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้น โดยจัดแสดงชิ้นงานจริงร่วมกับชิ้นงานสเก็ตช์ มีตัวอย่างเนื้อผ้า สิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้อง มีภาพถ่ายที่เคยถูกใช้ประชาสัมพันธ์บนสื่อต่างๆ ผลงานบางชิ้นถูกนำเสนอผ่านภาพเอ็กซเรย์ที่แสดงถึงแพตเทิร์น การตัดเย็บ และโครงสร้างภายในที่ซ่อนอยู่ ซึ่งรูปแบบและวิธีการนำเสนอนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการเล่ารายละเอียดของชุดที่มีความประณีตได้อย่างแปลกใหม่และน่าสนใจมาก ในขณะส่วนที่ 2 จะเป็นส่วนของกิจกรรมที่ให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการพับกระดาษตามแพตเทิร์นที่กำหนดให้ หรือการมีชุดให้ทดลองใส่จริง
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือมีการจัดสรรพื้นที่ให้นิทรรศการบริเวณห้องด้านบนนำเสนอเสื้อผ้าของนักออกแบบเสื้อผ้าชื่อดังคนอื่นๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบาเลนซิเอก้า ประกอบกับวิดีโอสัมภาษณ์ และตลอดพื้นที่แสดงงานจะมีชุดคำและประโยคอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับบาเลนซิเอก้าจากหลายๆ คน
นักออกแบบชื่อดัง อูแบร์ เดอ จีวองชี เจ้าของแบรนด์ Givenchy ถึงขนาดกล่าวว่า "I don't think even the Bible has taught me as much as Balenciaga."
เสียงคืออีก 1 มิติทางการรับรู้ นิทรรศการเกี่ยวกับอุปรากรโอเปรางานนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ประสาทสัมผัสทางการมองเห็น แต่ยังโดดเด่นในเรื่องประสาทสัมผัสการฟังแบบเฉพาะบุคคลอีกด้วย
บริเวณด้านหน้าของนิทรรศการนี้จะมีทีมงานยืนแจกหูฟังคุณภาพสูงให้ใช้ โดยเมื่อเข้าชมแต่ละพื้นที่ของนิทรรศการ นอกเหนือจากจะมีการจำลองเวที ฉากการแสดง เครื่องแต่งกาย และเครื่องดนตรีที่เคยปรากฏอยู่ในแต่ละเมือง แต่ละยุคแต่ละสมัยแล้ว จะมีเสียงเพลงโอเปราประกอบอยู่ด้วย มิติของเสียงในงานนี้สร้างสรรค์ออกมาได้ดีมากๆ ทั้งเสียงจากนักร้องและเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่บรรเลงร่วมกัน ถึงขนาดที่ว่าฉันถอดหูฟังเข้าๆ ออกๆ ในช่วงห้องแสดงแรกเพื่อเช็กเสียงว่ามาจากหูฟังหรือมาจากพื้นที่แสดงงานกันแน่ วิธีการนำเสนอเสียงผ่านหูฟังนี้ทำให้พื้นที่ของห้องจัดแสดงและปริมาณของผู้เข้าร่วมชมนิทรรศการไม่ได้ลดคุณภาพการรับรู้ทางการได้ยิน เมื่อลองหลับตา เราจะยิ่งได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงละครระดับคุณภาพ
ถึงแม้เรื่องราวที่นิทรรศการนี้เล่าจะเป็นเรื่องราวทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมที่มีความจริงจังและตึงเครียดมาก แต่วิธีการเล่าก็สนุกและน่าสนใจ ทำให้ไม่เกิดความเครียดในการชมงานเลย
เสียงที่ตามเราไปในแต่ละห้องแต่ละพื้นที่ผ่านช่วงเวลาและยุคสมัย เสียงที่ผู้เข้าชมแต่ละคนได้ยิน ทำงานสอดคล้องไปกับสิ่งที่แต่ละคนกำลังดูอยู่ เพราะมีเทคโนโลยีจับเซนเซอร์ตำแหน่ง โดยจะมีป้ายคำบรรยายทำหน้าที่ให้ข้อมูลและให้ความหมายของเนื้อหาและเนื้อเรื่องของเสียงที่ได้ยิน เมื่อฉันชมนิทรรศการนี้จบจนถึงห้องสุดท้าย ฉันรู้สึกได้เลยว่าไม่ใช่แค่โอเปราที่ได้รับการพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่วิธีการนำเสนอโอเปราก็ยังพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ: ค่าเข้าชมนิทรรศการ BALENCIAGA Shaping Fashion อยู่ที่ราคา 10 ปอนด์ (ประมาณ 450 บาท) และค่าเข้าชมนิทรรศการ OPERA Passion, Power and Politics อยู่ที่ราคา 15 ปอนด์ (ประมาณ 675 บาท)
นี่คือนิทรรศการปฏิสัมพันธ์ (interactive) ที่โดดเด่นมากเรื่องการมีส่วนร่วมและใช้เวลาร่วมกันระหว่างคนกับชิ้นงาน และระหว่างคนที่มาด้วยกัน โดยจัดแสดงถาวรอยู่ที่ Science Museum นิทรรศการนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม ซึ่งสามารถซื้อบัตรเข้าชมแบบรายวันหรือรายปีก็ได้ นิทรรศการนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะผู้ชมมีได้ทุกเพศทุกวัย และเท่าที่สังเกตเห็นคือผู้ที่เข้าชมส่วนใหญ่ก็มากันเป็นครอบครัวหรือมากันเป็นกลุ่มเพื่อน
นิทรรศการนี้เปรียบเหมือนกับสนามเด็กเล่นทางวิทยาศาสตร์ แนวความคิดหลักของนิทรรศการ คือทุกคนจะได้เรียนรู้ผ่านการมีประสบการณ์ร่วม ทั้งด้วยการมาชมและการมาทดลองคิดทดลองทำด้วยตัวเองเหมือนกับเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ โดยเรียนรู้หลักวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีผ่านชิ้นงานกว่า 50 ชิ้น แต่ละชิ้นมีรูปแบบ มีวิธีนำเสนอ และมีวิธีการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างชิ้นงานกับผู้เล่นที่แตกต่างกัน แต่ว่าทุกชิ้นดูน่าสนุก น่าสนใจ กระตุ้นจินตนาการ และความอยากรู้อยากเห็น ไม่ว่าจะด้วยการตั้งประโยคคำถามให้คนมาลองหาคำตอบ การใช้สี การใช้แสง การใช้วัสดุอุปกรณ์ และการให้ข้อมูลประกอบงานก็มีความน่าสนใจมาก เพราะนอกเหนือจากจะมีข้อความบรรยายถึงแนวความคิดและวิธีการใช้งานแล้ว ยังมีภาพประกอบที่ช่วยอธิบายให้ง่ายกับการทำความเข้าใจมากขึ้น เป็นภาพวิธีการเล่นแต่ละชิ้น และเป็นภาพประกอบที่บอกว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้เหล่านี้ถูกใช้อย่างไรในชีวิตประจำวัน
หลังจากฉันได้สำรวจและทดลองเล่นหลายๆ ชิ้นแล้วจึงเข้าใจว่า ทำไมนิทรรศการนี้ถึงควรสมัครรายปี เพราะขนาดฉันเองยังอยากเล่นทุกชิ้น แต่ด้วยหลายปัจจัยที่ทำให้เราไม่สามารถเล่นทุกชิ้นได้ ทั้งจากคิวเล่นแต่ละชิ้นที่ยาวมากๆ และมีหลายชิ้นที่กำหนดวัยในการเล่น วิธีแก้ปัญหาสำหรับชิ้นที่ฉันไม่ได้เล่นเองก็คือ ยืนดูคนอื่นเล่น (คือยืนดูคนเล่นชิ้นอื่นระหว่างที่ตัวเองกำลังต่อแถวเล่นอีกชิ้นที่ใกล้กัน เพื่อเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า) ส่วนชิ้นที่กำหนดวัยในการเล่น ฉันเสียดายมากเพราะหลายชิ้นเหล่านั้นน่าสนุกและน่าเล่นมากกก
หมายเหตุ: Science Museum อยู่ใกล้ๆ กับ V & A (Victoria and Albert Museum) ดังนั้นหากวางแผนดีๆ ก็จะสามารถชม 2 พิพิธภัณฑ์ในวันเดียวกันได้เลย ส่วนค่าเข้าชมนิทรรศการ WONDERLAB The Statoil Gallery แบบรายวันอยู่ที่ราคา 9 ปอนด์ (ประมาณ 405 บาท)
งานนี้จัดแสดงที่ Tate Britain จากที่หาข้อมูลมาคือ พิพิธภัณฑ์นี้จะเป็นพื้นที่รวบรวมผลงานทางศิลปะสไตล์อังกฤษที่ใหญ่ที่สุด ตอนแรกฉันตั้งใจจะไปสำรวจแบบเร็วๆ แล้วจะรีบเดินทางต่อไปอีกพิพิธภัณฑ์ แต่แล้วนิทรรศการนี้นิทรรศการเดียว กลับทำให้ฉันใช้เวลาอยู่ในนั้นนานหลายชั่วโมง
ราเชล ไวต์รีด คือหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยและเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลเทอร์เนอร์ ในปี ค.ศ. 1993 (Turner Prize จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1984 และเป็นรางวัลที่มอบให้กับศิลปินชาวบริติชที่อายุต่ำกว่า 50 ปีที่มีนิทรรศการและผลงานที่โดดเด่นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรางวัลที่มีชื่อเสียงและได้รับการจดจำมากที่สุดในด้าน Visual Arts ในทวีปยุโรป) ผลงานที่จัดแสดงในนิทรรศการนี้คือผลงานย้อนหลังไป 25 ปีของเธอ รวมถึงผลงานชิ้นใหม่ๆ ด้วย รูปร่างหน้าตาของประติมากรรมแต่ละชิ้นที่เห็นในนิทรรศการนี้ส่วนใหญ่คือวัตถุในชีวิตประจำวัน มีทั้งชั้นหนังสือ บานประตู ฟูกที่นอน โต๊ะ เก้าอี้ แกนกระดาษทิชชู่ หรือแม้กระทั่งถุงน้ำร้อน เป็นต้น และมีบางชิ้นที่เป็นการนำเสนอถึงงานสถาปัตยกรรมเช่น พื้น บันได ห้อง และอาคาร เป็นต้น ถึงแม้รูปร่างรูปทรงจะเป็นสิ่งที่ชินตา แต่รูปแบบ วิธีการ และวัสดุที่ศิลปินนำมาใช้ถือเป็นสิ่งที่แปลกตาและแปลกใหม่สำหรับฉันมาก เพราะศิลปินใช้ทั้งเรซิน ปูนปลาสเตอร์ ยาง คอนกรีต โลหะ กระจก ผ้า ขี้ผึ้ง และอื่นๆ เพื่อหล่อวัตถุเหล่านั้น และเกือบทุกชิ้นนำเสนอผ่านขนาดจริงของสิ่งของต้นทาง ซึ่งผลงานที่จัดแสดงอยู่ทั้งหมดทำให้เราได้เห็นว่าขนาดของงานและวัสดุที่ใช้ในงานแต่ละชิ้นไม่ได้จำกัดคุณภาพของงาน แต่สิ่งที่เป็นคำถามในใจฉันเมื่อดูนิทรรศการนี้เสร็จคือ ศิลปินเขามีกระบวนการผลิตอย่างไร บล็อกแม่แบบที่ใช้ในการหล่อจะใช้วัสดุอะไร มีรูปแบบอย่างไร และขนาดใหญ่แค่ไหนกรณีที่ชิ้นงานมีขนาดที่ใหญ่มากๆ แถมวัสดุที่ใช้ยังมีความหนักมากๆ ด้วย
และนิทรรศการนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันแปลกใจ คือบรรยากาศในห้องจัดแสดงเหมือนห้องนิทรรศการหลายๆ งานที่ฉันเข้าชม แต่ไม่สามารถถ่ายรูปได้ ทั้งรูปแบบและวิธีการติดตั้งงาน ความกดดัน และเกร็งในขณะที่ชมงาน เพราะมีทีมงานคอยคุมอยู่ในแต่ละมุมของพื้นที่ และการมีระบบเซนเซอร์ซึ่งจะส่งเสียงออกมาเมื่อมีใครเข้าใกล้เกินตำแหน่งที่กำหนด แต่กลับกลายเป็นว่านิทรรศการนี้อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ และนี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานมาก
หมายเหตุ: ค่าเข้าชมนิทรรศการ Rachel Whiteread ราคาอยู่ที่ 15 ปอนด์ (ประมาณ 675 บาท) และจาก Tate Britain สามารถเดินทางต่อไปยัง Tate Modern ได้ด้วยการล่องเรือจากท่าเรือที่อยู่ใกล้ๆ พิพิธภัณฑ์
นิทรรศการสุดท้ายที่จะเล่าถึงเป็นนิทรรศการจัดแสดงถาวรและเข้าชมได้ฟรีที่ The Design Museum ชื่อนิทรรศการคือ Designer Maker User นิทรรศการนี้ทำให้ฉันประทับใจมาก ไม่ใช่แค่กับตัวชิ้นงานที่นำมาจัดแสดง หรือกับรูปแบบ วิธีการ และเนื้อหาที่นำเสนอ แต่คือบรรยากาศและประเด็นที่ถูกพูดคุยระหว่างการชมนิทรรศการของกลุ่มผู้ชม นิทรรศการนี้ฉันมา 2 รอบเพราะรอบแรกดูได้ไม่ครบ พิพิธภัณฑ์ก็ปิดเสียก่อน เลยทำให้ต้องกลับมาเก็บรายละเอียดอีกครั้ง แต่การมา 2 ครั้งเป็นตัวพิสูจน์สิ่งที่ฉันประทับใจเป็นอย่างดี เพราะทั้ง 2 ครั้งที่ฉันเข้าชม ฉันจะได้ยินกลุ่มคน ทั้งต่างเพศ ต่างวัย สนทนา ตั้งประเด็น ตั้งคำถาม และถกเถียงกันอย่างน่าสนใจมากๆ (เนื่องจากพวกเขาพูดกันเสียงดังในบริเวณที่ฉันยืนอ่านข้อความบรรยายประกอบงานแต่ละชิ้นอยู่ จึงได้ยินค่อนข้างชัดเจน) ว่าพวกเขาพูดคุยกันถึงงานออกแบบแต่ละชิ้น แต่ละยุค แต่ละสมัย แถมเขายังคุยต่อยอดกันไปอีกว่า หากเป็นชิ้นนั้นชิ้นโน้น (ที่ไม่ได้มีอยู่ในนิทรรศการ) แต่ละคนคิดว่าอย่างไรกันบ้าง
แอบได้ยินแล้วก็ชื่นชมในใจกับสิ่งที่คนที่นั่นเขาคิด แสดงออก และเสวนาต่อยอดกัน ซึ่งบรรยากาศแบบนี้เราไม่ได้หากันง่ายๆ นักในวงสนทนาในบ้านเรา
ประเด็นหลักๆ ของนิทรรศการทั้งหมดจะเป็นการพูดถึงประวัติศาสตร์ของงานออกแบบร่วมสมัย แบ่งออกเป็น 3 หัวเรื่องคือ นักออกแบบ ผู้ผลิต และผู้ใช้ โดยบริเวณทางเข้าของนิทรรศการมีข้อความเกริ่นตั้งคำถามถึงวิธีการเดินทางมาที่นี่ของผู้ชมแต่ละคน ถามถึงการเลือกเสื้อผ้าที่มาจากการเช็กสภาพอากาศในตอนเช้า และมีการสรุปว่าสิ่งเหล่านั้น บริการเหล่านั้น และระบบเหล่านั้น คือสิ่งที่ผ่านกระบวนการออกแบบ
ตลอดพื้นที่แสดงงานมีการจัดวางชิ้นงานควบคู่กับการให้ข้อมูลและให้ความรู้ ซึ่งแต่ละชิ้นงานที่นำมาจัดแสดงล้วนมีความสำคัญและส่งผลต่อวงการออกแบบ สิ่งที่ฉันสนใจที่นอกเหนือไปจากการได้รับข้อมูลและความรู้เหล่านั้นคือการตั้งคำถามและลองหาคำตอบร่วมไปพร้อมกับนิทรรศการ เช่น ในพื้นที่นิทรรศการมีคำถามที่ว่า 'งานออกแบบที่ดีคืออะไร' และบริเวณห้องสุดท้ายของนิทรรศการเป็นพื้นที่ที่เปิดให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมในการตอบคำถามและทำกิจกรรม ซึ่งบริเวณนี้ก็มีความน่ารักและน่าสนใจมาก เพราะไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มวัยรุ่นที่ให้ความสนใจ แต่มีทั้งครอบครัวพ่อแม่ลูกที่มานั่งตอบคำถามและมีส่วนร่วมอย่างจริงจังกับพื้นที่นี้
ประสบการณ์ในการชมพิพิธภัณฑ์ที่ลอนดอนครั้งนี้ ทำให้ฉันพบว่าไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการถาวร นิทรรศการชั่วคราว นิทรรศการขนาดใหญ่ หรือนิทรรศการขนาดเล็ก ทุกงานล้วนมีคุณภาพมากๆ เมื่อไปชมแล้วรู้สึกได้ว่าทุกนิทรรศการผ่านกระบวนการออกแบบ วางแผน แก้ปัญหา และจัดการมาได้อย่างดีเยี่ยม ทุกที่ไม่ใช่แค่เพียงให้ความสำคัญกับความสวยงามหรือจัดแสดงให้ผลงานแต่ละชิ้นมีความน่าสนใจเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับคนพิการ แถมห้องนิทรรศการหลักยังให้ความสำคัญกับคนตาบอดด้วย โดยในนิทรรศการหลายๆ งานก็มีการเพิ่มกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ชมและตัวนิทรรศการด้วย
ทุกนิทรรศการมีองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดเป็นนิทรรศการที่ดีและมีคุณภาพ ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหาของนิทรรศการ ขนาดของนิทรรศการ การออกแบบและการจัดการกับสถานที่ การแบ่งพื้นที่ (โดยนิทรรศการชั่วคราวจะมีข้อจำกัดและต้องใช้การออกแบบ วางแผน และแก้ปัญหากับพื้นที่มากกว่านิทรรศการถาวร) การกำหนดเส้นทางการเดินชมนิทรรศการจากห้องแรกไปจนถึงห้องสุดท้าย (ทำได้ด้วยวิธีการติดตั้งชิ้นงานและการแบ่งพื้นที่แสดงงาน) การมีวิธีดูแลรักษาและปกป้องชิ้นงาน ไล่ตั้งแต่เรื่องอุณหภูมิและอากาศหมุนเวียนภายในห้องเพื่อดูแลรักษาชิ้นงาน การมีป้ายเตือน การมีกระจกกั้น การมีระบบเซนเซอร์ซึ่งจะส่งเสียงออกมาเมื่อมีใครเข้าใกล้ชิ้นงานเกินตำแหน่งที่กำหนด มีทีมงานคอยคุมอยู่ในแต่ละพื้นที่นิทรรศการ มีพื้นที่นั่งพัก (ข้อนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่เปิดจนปิดอย่างฉัน) ระยะเวลาการจัดแสดง สิ่งที่นำมาจัดแสดง วิธีการจัดแสดงที่จะทำให้ชิ้นงานมีความน่าสนใจทั้งจากการเลือกสี วัสดุ รูปแบบของโต๊ะสำหรับจัดวางชิ้นงาน ฐานวางงาน ฉากหรือผนังสำหรับติดตั้งชิ้นงาน วิธีติดตั้งชิ้นงาน คำบรรยายประกอบแต่ละชิ้นงาน (ทุกนิทรรศการจะมีการให้ข้อมูลและรายละเอียดของนิทรรศการที่ละเอียดครบถ้วน ตั้งแต่แนวความคิดหลัก ไปจนถึงเครดิตของทีมงานทุกคน บางนิทรรศการยังมีเอกสารประกอบการชมนิทรรศการแจกให้ด้วย) ทุกที่ยังมีการจัดการเรื่องแสงสีอย่างจริงจัง (ทั้งแสงของบรรยากาศและแสงที่สาดส่องไปที่ชิ้นงาน) ไปจนถึงเรื่องสื่อหรือช่องทางในการประชาสัมพันธ์นิทรรศการที่ทำให้เราหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดอาจไม่สามารถทำให้นิทรรศการนั้นเป็นงานที่มีคุณภาพได้เลย หากขาดผู้ชมงานที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน
11792 VIEWS |
กนกนุช ศิลปวิศวกุล (เบล) Design Director ผู้ร่วมก่อตั้ง Practical Design Studio เป็นอาจารย์และวิทยากรพิเศษบรรยายให้กับมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ