คำว่า ออร์แกนิก (Organic) เป็นคำที่ทุกคนคงเคยได้ยินหรือคุ้นหูกันมาหลายปี แต่คำว่าซูเปอร์ออร์แกนิก (Super Organic) อาจไม่คุ้นหูสำหรับใครหลายคน
ใช่ค่ะ! นี่ก็คือครั้งแรกที่ฉันได้ยินเหมือนกัน
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสร่วมงานที่ประเทศญี่ปุ่นกับโครงการที่ชื่อ Asian Round Table ที่รวบรวมนักสร้างสรรค์จากหลายประเทศในเอเชียมาร่วมกันออกแบบผลงานบนโต๊ะอาหาร งานครั้งนั้นทำให้ฉันได้พบกับคุณทาคาโนริ ทายาม่า หนึ่งในผู้ริเริ่มโครงการ และไม่กี่เดือนต่อมา เราก็มีโอกาสได้พบกันอีกครั้งที่เมืองไทย ครั้งนี้ทากะซังแนะนำตัวอย่างเป็นทางการและเล่าถึงอีกโครงการที่เขากำลังทำ ที่ชื่องานว่า Super Organic Camp (SO Camp) โดยขอปรึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะมาจัดกิจกรรมนี้ที่เมืองไทย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสไปร่วมค่ายนี้ที่เมืองนิเซโกะ ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะหนึ่งในวิทยากร ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่ดีและน่าสนใจมากๆ จึงอยากนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ได้ทราบกัน
ตอนที่ได้ยินชื่อโครงการ Super Organic Camp ครั้งแรก ก็สงสัยว่าออร์แกนิกของญี่ปุ่นต่างจากออร์แกนิกของไทยอย่างไร แล้วทำไมต้องใช้คำว่า Super Organic ทำไมต้องสร้าง Super Organic Camp และสิ่งที่ทางญี่ปุ่นทำจะสามารถมาปรับใช้กับความเป็นออร์แกนิกที่เมืองไทยได้หรือไม่ อย่างไร คำถามทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ฉันพยายามหาคำตอบตั้งแต่ก่อนไปจนกระทั่งกลับมา
จากข้อมูลที่ได้จากทางผู้จัดและจากการพูดคุย Super Organic คือ บริษัทที่ก่อตั้งในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 โดยผู้ก่อตั้งคือ ริกะ โออิชิ ซึ่งเป็นผู้ที่ริเริ่มและเคลื่อนไหวโครงการออร์แกนิกหลายโครงการในประเทศญี่ปุ่น และผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนก็คือ ทากะซัง นั่นเอง โครงการนี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดที่จะปฏิวัติและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับความเป็นออร์แกนิกในประเทศญี่ปุ่น
แล้วออร์แกนิกของญี่ปุ่นต่างจากออร์แกนิกของไทยอย่างไร? ทำไมต้องปฏิวัติและสร้างมาตรฐานใหม่?
จากการหาข้อมูลบวกกับการพูดคุยกับริกะซัง ทำให้ฉันได้ข้อสรุปว่า ออร์แกนิกเป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว เพราะเป็นกฎและข้อบังคับสำหรับผลผลิตภายในประเทศทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่ว่ากลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการทุกคนจะมีจิตใจและมีจริยธรรมต่อผู้บริโภคจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงนำมาสู่การก่อตั้ง Super Organic องค์กรที่ใช้นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจด้านอาหาร ความสวยความงาม กิจกรรมด้านสุขภาพ การขนส่ง และสื่อต่างๆ เป็นต้น และที่สำคัญองค์กรนี้ตระหนักถึงการรักษาสภาพแวดล้อมของโลก โดยมีหลักการดำเนินงานที่น่าสนใจ 5 ประการคือ
1. จินตนาการใหม่ (Re : imagine)
2. ทำตามสัญชาตญาณ (Follow your instinct)
3. ยิ้มให้กว้าง (Spread Smiles)
4. ชื่นชมความแตกต่าง (Enjoy difference)
5. จงเป็นผู้ให้ (Be a giver)
ทีนี้มาถึงงาน Super Organic Camp บ้างล่ะ ตกลงว่ามันคืออะไรกันแน่?
Super Organic Camp (SO Camp) คือกิจกรรมที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมได้ตระหนักว่า ออร์แกนิกกับจริยธรรมถือเป็นสองสิ่งที่ควรอยู่คู่กัน เป้าหมายของ SO Camp ก็คือการรวบรวมผู้คนที่คิดแบบเดียวกันมาทำความรู้จักกันซึ่งสามารถนำไปสู่การสร้างสังคม แผ่ขยาย และต่อยอดทางธุรกิจ โดยครั้งที่ฉันไปร่วมนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อเรื่อง 'ธุรกิจ' (ส่วนครั้งแรกที่จัดไปแล้วมีหัวข้อเรื่อง 'ความสวยความงาม') โดยกลุ่มคนที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้งครั้งที่ 1 และ 2 เกือบทั้งหมดเป็นคนญี่ปุ่น ผู้ที่เข้าร่วมแต่ละคนมาจากการแนะนำและเชิญชวนจากเหล่าทีมงาน กิจกรรมที่เกิดขึ้นตลอด 2 คืน 3 วันในค่ายคือการพักผ่อน เปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของตัวเอง กล้าที่จะคิด กล้าที่จะแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยไม่ต้องกังวลที่จะแบ่งปันจินตนาการของตัวเอง โดยทีมงานได้วางแผนในการจัดครั้งต่อไปภายใต้หัวข้อเรื่องต่างๆ ที่เหมาะสมกับฤดูกาล และเท่าที่ฉันพูดคุยกับผู้จัด ทำให้รู้มาว่าเขากำลังมีแผนจะจัดภายใต้หัวข้อเรื่อง 'อาหาร' กับเรื่อง 'ความรัก' และที่น่าตื่นเต้นคือเขามีแผนจะมาจัดกิจกรรมนี้ที่เมืองไทยเร็วๆ นี้ด้วย
ค่ายครั้งที่ 1 และ 2 นี้จัดขึ้นที่เมืองนิเซโกะ บนเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เมืองนี้ปกติแล้วผู้คนทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติจะนิยมมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวเพราะเป็นแหล่งสกีรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และมีจุดเด่นอยู่ที่ภูเขาโยเท ซึ่งมีฉายาว่า 'ฟูจิแห่งฮอกไกโด' เนื่องจากมีรูปทรงกรวยที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับภูเขาไฟฟูจิ แต่มีความสูงน้อยกว่า จึงมีชื่อเล่นว่า 'ฟูจิน้อย' และภูเขาโยเทยังเป็นภูเขาที่สามารถมองเห็นจากทุกมุมของเมืองนี้ด้วย
ผู้เข้าร่วมค่ายครั้งนี้รวมทีมงานและวิทยากรแล้วมีทั้งหมด 51 คน กลุ่มคนที่ได้รับการแนะนำและเชิญชวนให้เข้าร่วมมีประมาณ 40 คน ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มนักลงทุน กลุ่มคนสำคัญทางธุรกิจ กลุ่มคนที่มุ่งมั่นและมีความสนใจในการทำงานด้านออร์แกนิกและจริยธรรม รวมไปถึงกลุ่มคนที่มีอิทธิพลและเป็นต้นแบบด้านการใช้ชีวิตที่รักสุขภาพและอยู่ในวงการออร์แกนิก โดยผู้เข้าร่วมค่ายนี้ทุกคนล้วนเป็นคนญี่ปุ่น เว้นแต่วิทยากร 3 คนที่เป็นคนต่างชาติ นอกจากฉันที่เป็นคนไทยแล้ว อีกสองคนมาจากเอกวาดอร์และอังกฤษ แต่ก็เป็นคนที่เรียนและทำงานอยู่ที่โตเกียวอยู่แล้ว
เมื่อมาถึงงาน ฉันพบว่าอุปสรรคใหญ่ที่ต้องเผชิญในค่ายนี้คือเรื่องภาษา! เพราะเอกสาร การบรรยาย และการดำเนินรายการเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ทำให้ฉันต้องคอยถามทีมงานให้ช่วยสรุปแต่ละกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษให้ฟัง แต่อุปสรรคด้านภาษาไม่ได้ทำให้ฉันละความพยายามที่จะเข้าถึงและทำความเข้าใจในแต่ละกิจกรรมที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะไปในฐานะวิทยากร แต่ฉันก็เข้าร่วมทุกกิจกรรมที่จัด เพราะเห็นว่าเป็นประสบการณ์พิเศษที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ (ความจริงแล้วแต่ละกิจกรรมที่เกิดขึ้น ผู้เข้าร่วมค่ายสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมไหน)
SO Camp จัดขึ้นทั้งหมด 2 คืน 3 วัน โดยผู้เข้าร่วมแต่ละคนต้องเสียค่าใช้จ่าย 108,000 เยน (ตกเป็นเงินไทยประมาณ 32,400 บาท) สำหรับค่าที่พัก 2 คืน อาหารเช้า 2 มื้อ อาหารกลางวัน 2 มื้อ อาหารเย็น 2 มื้อ ค่ากิจกรรม และค่ารถบัสรับส่งจากสนามบิน ซึ่งฉันขอสรุปกิจกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้ฟังโดยย่อดังนี้ค่ะ
วันที่ 1
ทางค่ายจะส่งรถบัสมารับที่สนามบินไปที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าและเปลี่ยนชุด คืนแรกมีกิจกรรมการทานบาร์บีคิวกลางแจ้งร่วมกัน โดยธีมการแต่งตัวของทุกคนคือสีฟ้า ตอนแรกฉันก็แอบสงสัยอยู่นิดหน่อยว่า ทำไมต้องสีฟ้าด้วยนะ จนกระทั่งไปถึงสถานที่จัดกิจกรรมก็พบว่า ที่แต่งตัวสีฟ้าน่าจะเป็นเพราะกิจกรรมนี้ทางโครงการจัดร่วมกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชื่อ Coleman Indigo Label ซึ่งเป็นแบรนด์ขายสินค้าสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีผลิตภัณฑ์บางส่วนที่เกิดจากการใช้สีย้อมคราม โดยเต็นท์และชุดเก้าอี้ที่ใช้ในกิจกรรมนี้ก็มาจากแบรนด์นี้ แถมยังมีเต็นท์พิเศษที่เปิดสอนทำพวงกุญแจที่เกิดจากด้ายย้อมครามด้วย (หากสนใจเรียนต้องจ่ายเงินเพิ่ม) ส่วนกิจกรรมหลักที่เป็นการทานบาร์บีคิวนั้น วัตถุดิบทั้งหมดมาจากในเมืองนิเซโกะ แน่นอนว่าวัตถุดิบทั้งอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดก็เป็นออร์แกนิก โดยมีเต็นท์แยกสำหรับขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกต่างหาก (แน่นอนว่าจ่ายเงินเพิ่มเช่นกัน) อาหารที่เตรียมไว้ให้ส่วนใหญ่จะเป็นผัก และมีเนื้อย่างให้ส่วนหนึ่ง (ซึ่งหมดเร็วมาก) แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทั้งผักสด ผักย่าง และซุปข้าวโพดนั้นหวาน สดชื่น และอร่อยมากจนลืมทานเนื้อย่างไปเลย
เมื่อเสร็จจากกิจกรรมนี้ก็จะมีรถบัสมารอรับกลับไปส่งยังที่พัก โดยรถบัสออกเป็น 2 รอบ คือรอบสำหรับผู้ที่สนใจดื่มแอลกอฮอล์จะกลับดึกกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ผู้อ่านบางท่านอาจอยากรู้ว่าฉันอยู่ในกลุ่มไหน คำตอบคือเป็นอย่างละครึ่งค่ะ เพราะแม้ว่าจะอ่อนเพลียจากการเดินทาง แต่ฉันก็ไม่อยากพลาดที่จะลองไวน์ออร์แกนิก ดังนั้นจึงซื้อไวน์แล้วนำมาดื่มบนรถระหว่างทางกลับที่พัก ทำให้ฉันได้ทั้งลองดื่มและได้รีบพักผ่อนเพื่อพร้อมสำหรับกิจกรรมยามเช้าในวันถัดมา
วันที่ 2
เริ่มต้นยามเช้าด้วยการโยคะร่วมกันบริเวณดาดฟ้าของที่พัก กิจกรรมนี้ภาษาเป็นอุปสรรคสุดๆ เพราะการทำโยคะคือการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเกือบตลอดเวลาของกิจกรรมเราต้องหลับตา ดังนั้นเมื่อวิทยากรพูดภาษาญี่ปุ่นแล้วฉันไม่เข้าใจ ทำให้ต้องแอบลืมตาอยู่เป็นจังหวะๆ เพื่อดูว่าเขากำลังทำท่าอะไรกันอยู่ เป็นผลให้จิตใจไม่สงบเท่าที่ควร
เสร็จจากกิจกรรมนี้ทางโครงการจัดเตรียมอาหารมังสวิรัติให้ทานก่อนแยกย้ายอาบน้ำแต่งตัว เพื่อนำไปสู่การไปเยี่ยมชมสถานที่สองแห่ง สถานที่แรกคือไร่ผักออร์แกนิกชื่อ LaLaLa Farm เจ้าของเป็นสถาปนิกที่ผันตัวมาทำไร่ เขาให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เพราะเชื่อว่าทุกชีวิตบนโลกเชื่อมต่อและหมุนเวียนกัน แล้วมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ โดยประเภทของพืชผลที่เขาปลูกจะขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่เหมาะสม
สถานที่อีกแห่งที่เราไปเยือนก็คือคลังสินค้าเก็บข้าวที่สร้างนวัตกรรมการเปลี่ยนหิมะที่ตกลงบริเวณรอบๆ โกดังในฤดูหนาวมาเป็นความเย็นในการเก็บรักษาข้าวในฤดูกาลอื่นๆ เมื่อหิมะละลายหมดโกดังก็จะมาพอดีกับฤดูหนาวอีกครั้ง ถือเป็นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างครบวงจร
ช่วงบ่ายเป็นการบรรยายและเวิร์กช็อปจากวิทยากรทั้งหมด 6 คน
คนแรกคือช่างภาพประจำเมืองนิเซโกะผู้ซึ่งหลงใหลและชอบในการเล่นสกีจนมีนิตยสารเกี่ยวกับสกีเป็นของตัวเอง รายต่อมาก็เป็นการบรรยายจากผู้ก่อตั้งโครงการภายใต้หัวข้อว่า 'What is Super Organic?' ซึ่งความรู้ที่ฉันได้จากบรรยายนี้บวกกับการไปเยี่ยมชมไร่ออร์แกนิก ทำให้ได้รู้เพิ่มเติมว่าเสน่ห์ของผลิตผลออร์แกนิกอยู่ที่ความไม่เท่ากันและความไม่เหมือนกันของแต่ละผลแต่ละลูก เจ้าของ LaLaLa Farm แนะนำว่าควรเลือกทานผลิตผลที่มีขนาดเล็กและไม่เท่ากันดีกว่าทานผลิตผลที่เท่ากันหรือมีขนาดใหญ่ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าผลิตผลเหล่านั้นจะใส่สารเร่งโตหรือผ่านกรรมวิธีที่ไม่ออร์แกนิก และผลิตผลที่ออร์แกนิกจริงๆ จะเก็บได้ไม่นาน ส่วนวิทยากรคนที่ 3 และ 4 เดินทางมาจากโตเกียวคนหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น อีกคนเป็นชาวเอกวาดอร์ และวิทยากรคนที่ 5 คือตัวฉันเอง เราทั้ง 3 คนบรรยายภายใต้หัวข้อเรื่อง 'Re : imagine'
การบรรยายของฉันเกี่ยวกับ Rewind to the next นิทรรศการเดี่ยวของ Practical ที่จัดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วที่กรุงเทพฯ โอซาก้า และเชียงใหม่ ซึ่งฉันมองว่ามีหลักการทำงานที่สอดคล้องกับ SO Camp ทั้ง 5 ประการคือ จินตนาการใหม่ (Re : imagine) ทำตามสัญชาตญาณ (Follow your instinct) ยิ้มให้กว้าง (Spread Smiles) ชื่นชมความแตกต่าง (Enjoy difference) และจงเป็นผู้ให้ (Be a giver)
และวิทยากรคนสุดท้ายคือชาวอังกฤษที่เดินทางจากโตเกียวมาทำเวิร์กช็อปที่ชื่อว่า Making of Super Organic Future กิจกรรมนี้ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดจะถูกแบ่งทำงานกันเป็นกลุ่ม โดยกลุ่มของฉันเลือกที่จะทำและนำเสนอความคิดเรื่อง Super Organic Academy เพราะเรามองว่าออร์แกนิกเป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ควรมีการเตรียมชุดความรู้ และเป็นการรวมตัวกันของผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมและเฉพาะทางมาร่วมกันสร้างหลักสูตร เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต
มื้อค่ำเป็นการทานอาหารค่ำในแนวความคิดที่ว่า Bento Nippon Long Table ภายใต้ธีมการแต่งชุดสีขาว ในกิจกรรมมื้อค่ำนี้เป็นการทานข้าวกล่องออร์แกนิกและอาหารออร์แกนิกอื่นๆ ที่จัดเตรียมไว้บนโต๊ะยาวสีขาว มีการกล่าวเปิดงานโดยผู้ว่าประจำเมืองนิเซโกะ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการนี้ และภายในงานมีการวางขายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจาก LaLaLa Farm ซึ่งฉันเองก็ไม่พลาดที่จะซื้อมะเขือเทศซึ่งเป็นของโปรดเก็บไว้ทานในวันถัดๆ ไป
วันที่ 3
ต้อนรับแสงแดดเช้าด้วยการวิ่งเข้าป่าและขึ้นเขาโยเท ก่อนเริ่มวิ่ง ทีมงานให้แยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มเส้นทางง่ายและเส้นทางยาก ฉันเลือกเส้นทางง่ายเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่วิ่งเข้าป่า แถมยังวิ่งขึ้นเขาอีก เส้นทางง่ายมีความยาว 5 กิโลเมตร มีความชันและระยะทางก็จะน้อยกว่าเส้นทางยาก ประสบการณ์ในการวิ่งครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ว่า การวิ่งเป็นแถวต่อเนื่องกันหลายๆ คน สร้างความกดดัน (เพราะเหนื่อยแต่ก็พักไม่ได้) แต่ก็เป็นพลังให้วิ่งต่อไป (เพราะลึกๆ ก็รู้ว่าทุกคนก็น่าจะเหนื่อย ดังนั้นเราต้องสู้ต่อไป!) การวิ่งขึ้นเขาและลงเขาทำให้เรายิ่งเหนื่อยและยิ่งต้องระวังตัวเพราะความชันอาจทำให้เราลื่นหรือตกเขาได้ (มีคนหนึ่งลื่นแต่โชคดีที่ไม่ตกเขา) ส่วนการวิ่งเข้าป่าทำให้รู้ว่าการวิ่งแบบสับขา ยกขา และเบี่ยงไปมาเหมือนนักฟุตบอลเป็นอย่างไร เพราะพื้นที่วิ่งไม่ใช่ลานโล่งกว้างและพื้นเรียบเหมือนพื้นถนนในสวนสาธารณะ แต่เป็นดินและต้นไม้ที่โตขึ้นตามธรรมชาติที่เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าต้นไหนจะอยู่ตรงไหนและต้นไหนจะขวางทางหรือไม่ ซึ่งโดยรวมถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกและน่าตื่นเต้น (เพราะต้องระวังตลอดเวลาไม่ให้ตัวเองล้ม!)
กิจกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์รองเท้าวิ่ง ที่เตรียมผลิตภัณฑ์มาให้เราใช้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละคนไม่ต้องประสบปัญหารองเท้าที่เตรียมมาไม่เหมาะสม แถมยังตัดปัญหาเรื่องการกังวลว่ารองเท้าจะเลอะดินได้อีกด้วย พอกลับจากการวิ่งเราก็ทานอาหารกล่องออร์แกนิกที่ทางโครงการวางเตรียมไว้ให้ในห้องพักเรียบร้อยแล้ว
เราทานอาหารเที่ยงมื้อสุดท้ายก่อนแยกย้ายจากกันที่ภัตตาคารคามิมูระ ที่อาหารทั้งหมดทำจากวัตถุดิบออร์แกนิกในเมืองนิเซโกะ โดยระหว่างที่ทานอาหารชุดสุดหรูในร้านก็มีการบรรยายจากวิทยากรพิเศษคือคุณคาซึมิ มิโนกูชิ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Starbucks Japan ผู้เป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการนี้
"ทุกคนต้องเคารพกันและเชื่อในความต่างของกันและกัน การดำเนินการใดๆ จะยั่งยืนได้จะต้องมาจากการที่องค์กรและทุกคนที่ทำงานร่วมกันนั้นให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้า คน 2 กลุ่มนี้ควรจะต้องมีความสุข กิจการนั้นจึงจะดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน" นี่เป็นประเด็นหนึ่งที่คุณคาซึมิกล่าวในวันนั้น
และหลังจากวิทยากรบรรยายเสร็จก็เป็นช่วงเวลาที่ให้ผู้เข้าร่วมค่ายนี้ทุกคนได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ก่อนแยกย้ายกันกลับไปสู่ชีวิตและการงานของแต่ละคน
เมื่อฉันกลับมานั่งถอดบทเรียนถึงการไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้ประทับใจและมองว่าเป็นรายละเอียดที่น่าสนใจของโครงการก็คือ ฉันรู้สึกว่าทีมงานพยายามให้ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่เชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็น 'กลุ่มคน' ที่ทางโครงการสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างคนที่เข้าร่วมโครงการ ด้วยการเลือกรีสอร์ตที่แต่ละ 1 ห้องใหญ่จะประกอบด้วย 3 ห้องนอน ห้องนอนละ 2 คน และใช้ห้องครัวและห้องรับแขกร่วมกัน ทำให้ระหว่างรอยต่อของกิจกรรม คน 6 คนที่พักอยู่ห้องใหญ่เดียวกันก็จะสามารถพูดคุยกัน ทำความรู้จักกันแบบกลุ่มย่อยได้ด้วย และเท่าที่ฉันได้พูดคุยกับหลายคนที่มาร่วมค่ายนี้ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในแต่ละบทสนทนาและการกระทำของพวกเขา ถึงแม้เป็นการกระทำเล็กๆ แต่ก็ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมทั้งนั้น ส่วนในด้าน 'สถานที่' นั้นดีมาก เพราะทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในค่าย จัดภายใต้พื้นที่ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาโยเท ไม่ว่าจะเป็นวิวจากที่พัก วิวจากกิจกรรมทานบาร์บีคิวในคืนแรก โยคะในเช้าวันที่สอง การบรรยาย เวิร์กช็อป รวมไปถึงการวิ่งเข้าป่าโดยขึ้นเขาโยเทในเช้าวันที่สาม ทำให้ผู้เข้าร่วมทุกคนรู้สึกถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และเราทุกคนอยู่ร่วมกันที่นิเซโกะ และสุดท้าย หากมองในเรื่อง 'ผลิตภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์' จะพบว่าวัตถุดิบ กระบวนการ และกรรมวิธีที่นำมาสู่ผลิตภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในค่ายนี้ทั้งหมดล้วนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ฉันมองว่าทีมงานควรปรับปรุงหากจะมาจัดที่ไทยก็คือน่าจะมีการเกริ่นถึงที่มาที่ไปของแต่ละกิจกรรม ตลอดจนการอธิบายถึงความสำคัญของแต่ละกิจกรรมให้มากขึ้น รวมถึงต้องมีทีมงานคนไทยและมีล่ามภาษาไทยไว้คอยช่วยเหลือด้วย หากปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะทำให้โครงการนี้สุดยอดมากๆ
ฉันได้เรียนรู้จากค่ายนี้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว คำว่า 'ออร์แกนิก' คงไม่ใช่แค่ผลผลิตและการกระทำ แต่ต้องมีความคิดและจิตใจที่ออร์แกนิกด้วย เพราะออร์แกนิกไม่ใช่แค่เพียงใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ต้องใส่ใจและคำนึงถึงผู้คนทั้งหมดด้วย ดังนั้นการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก จะเกิดได้ด้วยการร่วมมือกันและทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน
หรือเรียกง่ายๆ ว่า 'ของทุกคน'
3001 VIEWS |
กนกนุช ศิลปวิศวกุล (เบล) Design Director ผู้ร่วมก่อตั้ง Practical Design Studio เป็นอาจารย์และวิทยากรพิเศษบรรยายให้กับมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ