ผู้ชายคนนี้มีหลายบทบาท และเขาทำได้ยอดเยี่ยมทุกบทบาท
ในโลกธุรกิจ เต้ง-พิชัย จิราธิวัฒน์ คือกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล (Central Group) เครือธุรกิจห้างสรรพสินค้าและแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทยที่สามารถขยับขยายสาขาไปยังประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ และเขายังเป็นผู้นำของ เซ็นทรัล ทำ (Central Tham) โครงการ CSV (Creating Shared Values) ของกลุ่มเซ็นทรัลที่ส่งเสริมให้ผู้คนลงมือทำเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ซึ่งต่อยอดกลายเป็นโปรเจกต์และโปรดักส์ที่น่าสนใจมากมาย ...หนึ่งในนั้นก็คือแบรนด์ Good Goods ที่เป็นแบรนด์สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งผ่านการพัฒนาคุณภาพและออกแบบให้มีความร่วมสมัย กลายเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยสไตล์สากลที่กำลังเป็นที่นิยม
แต่ในโลกอีกใบ คือโลกของศิลปะ พิชัยยังเป็นนักฟังเพลงตัวยง เป็นนักดูหนังตัวยง และเป็นคนรักศิลปะที่ซัพพอร์ตศิลปินอยู่เสมอ เขาทำมาหมดแล้วทั้งให้ทุนสร้างภาพยนตร์ สะสมงานศิลปะจำนวนมาก ให้พื้นที่จัดนิทรรศการศิลปะ และที่จริงจังที่สุดน่าจะเป็นการทำค่ายเพลง สไปร์ซซี่ ดิสก์ (Spicy Disc) ซึ่งเติบโตและยืนหยัดมามากกว่า 20 ปี!
happening คิดว่าการได้คุยกับหนุ่มใหญ่คนนี้สักครั้ง เราน่าจะได้แง่คิด ประสบการณ์ และสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
ต่อไปนี้คือบันทึกบทสนทนาการจากพบปะกันครั้งล่าสุดของเรากับ เต้ง-พิชัย จิราธิวัฒน์
จากห้างสรรพสินค้าสู่ธุรกิจเพื่อสังคม
หากมีใครถามถึงเรื่องการงานต่างๆ ที่ดูเยอะมากๆ ของเขา และสงสัยว่าพิชัยจัดการเวลาได้อย่างไร เขาจะตอบอย่างนี้
"ส่วนตัวผมเป็นคนอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยเป็น ชอบทำอะไรเยอะๆ มาตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตั้งแต่สมัยยังเป็นเซ็นทรัล วังบูรพา เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กเดินบิล เพราะมีแคชเชียร์อยู่เครื่องเดียว ใครขายของได้ก็กดกระดิ่ง เอาเงินเก็บเข้าถุง แล้วผมก็ชอบถ่ายรูป อย่างเวลาเขามีฟิล์มกับกระดาษถ่ายรูปเหลือ หรือหมดอายุ ขายไม่ได้ ผมก็ไปขอเขามาถ่าย ผมอัดรูปเป็นตั้งแต่อายุ 12 ปี" หนุ่มใหญ่เล่าความหลังวัยเด็กที่เติบโตมากับธุรกิจครอบครัวที่ค่อยๆ ช่วยกันสร้างห้างสรรพสินค้าชื่อดังขึ้นมา
"สมัยก่อนห้างเราก็มีทุกอย่างครบหมด แล้วผมก็ชอบอ่านหนังสือ พออ่านแล้วเราก็เกิดไอเดียว่า ทำไมเราไม่ทำตรงนั้น ทำตรงนี้ เช่นตอนเด็กๆ ผมอยากทำเกี่ยวกับเอนเตอร์เทนเมนต์ เพราะชอบดูหนัง ก็สงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมหนังไทยไม่ค่อยมีหนังดีๆ นะ ทำไมหนังดีถึงเป็นหนังอาร์ต ดูยาก มันก็ทำให้ดีและสนุกได้นี่นา แล้วผมก็ชอบฟังเพลงมากๆ สมัยเด็กๆ ที่ห้างเซ็นทรัลก็มีแผ่นเสียงขายด้วย ผมก็สนใจทางนี้นะ แต่พอมานั่งคิดไปคิดมา ผมก็คิดว่า เราทำงานให้พ่อแม่สบายใจก่อนดีกว่า สิ่งที่ตัวเองอยากทำเอาไว้ทีหลังดีกว่า ผมจะเป็นคนคิดแบบนี้"
พอพิชัยเรียนจบโรงเรียนอัสสัมชัญและเตรียมอุดมศึกษา เขาก็ไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ UC Berkeley ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนในการฟังเพลงของเขา เพราะพิชัยได้พบกับร้านแผ่นเสียงจำนวนมหาศาลที่นั่น เขาได้เปิดโลกทางดนตรีออกไปอีกกว้างไกล ได้ลองเป็นดีเจ ได้ลองจัดปาร์ตี้มิวสิกวิดีโอ และพอเรียนจบ เขายังขนเอาแผ่นเสียงนับพันที่ซื้อจากที่โน่นกลับมาทางเรืออีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็เริ่มต้นชีวิตนักธุรกิจอย่างจริงจัง
ตอนกลับมาไทยช่วงซัมเมอร์ที ผมก็สร้างแบรนด์ไป 5-6 แบรนด์ มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ แบรนด์เสื้อผ้า เฮาส์แบรนด์ พอ 3-4 เดือนทำเสร็จ ก็กลับไปเรียนต่อ แล้วก็ทำคอนเสปต์ใหม่ หลังจากนั้นก็มีทีมเอาไปทำต่อ แต่พอเรียนจบกลับมาเริ่มงานจริงๆ ผมเริ่มมาทำงานกว้างขึ้น เพราะเซ็นทรัลเริ่มรวบรวมแบรนด์ต่างๆ เข้ามา สมัยก่อนเซ็นทรัลพัฒนามีแบรนด์เต็มเลย เพราะทำศูนย์การค้า หาผู้เช่ายาก งั้นก็เอา G2000 เอา The Body Shop เข้ามา พอทำโรงแรมก็เอาแบรนด์กระจก เครื่องสุขภัณฑ์ เข้ามา ซึ่งจริงๆ เซ็นทรัลพัฒนาไม่ใช่ธุรกิจที่มาทำแบรนด์ พอผมกลับมา เขาก็ออกกฎให้หยุด มีการปรับธุรกิจหลัก (core business) แล้วเอาทุกอย่างมารวมไว้ที่เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป (CMG) จำได้ว่าในมือผมมีประมาณ 700 แบรนด์" พิชัยหัวเราะ "อย่างแรกเลยก็ต้องมาคัด เพราะบางแบรนด์ใช้ไม่ได้ เวลาเราทำแบรนด์เล็กกับแบรนด์ใหญ่ มันเสียเวลาเท่ากัน เราก็เริ่มคัดออก แต่ขนาดคัดออกแล้วก็ยังเหลือเป็น 100 แบรนด์" เขาเล่าแล้วหัวเราะเบาๆ ถึงการทำงานบริหารแบรนด์จำนวนมากที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
"เราทำตั้งแต่แบรนด์ Calvin Klein จน Samsonite หรือ Dyson อย่างตอนเอา Dyson เข้ามา ที่บ้านก็ไม่เข้าใจว่า เครื่องเป่าผมราคาเป็นหมื่นจะขายได้ยังไง แต่เรามองว่ามันเป็นเทรนด์ของอนาคต แต่พอผมขยับขึ้นมาในบอร์ดใหญ่ ผมก็เริ่มมองว่า กลุ่มเราทำอะไรให้กับสังคมบ้าง จริงๆ เราทำตลอดนะ แต่มันไม่ชัด เหมือนเราทำแบรนด์เป็นพันแบรนด์ เราก็มีโปรเจกต์เพื่อสังคมเกือบ 4,000 โปรเจกต์ แต่คนก็พูดว่า ไม่เห็นเซ็นทรัลทำอะไรให้สังคมเลย อย่างไทวัสดุอาจจะมี 10 โปรเจกต์ เซ็นทรัลอาจจะมี 30 โปรเจกต์ โรบินสันก็มี งั้นเราเอามาจัดรวมกันดีไหม แล้วมาดูว่า อะไรที่เราควรทำ อะไรที่เราไม่ควรทำ มันมีสิ่งที่ทำได้เยอะแยะ แต่เราเลือกทำสิ่งที่จับต้องได้และให้เห็นผลสำเร็จ" เขาเล่าถึงการเริ่มต้นทำงานเพื่อสังคมอย่างจริงจัง ควบคู่กับการทำธุรกิจ
"อย่างแรกที่เราสนใจคือ เรื่องการศึกษา ถ้าคนไทยทุกคนมีการศึกษา ในอนาคตก็ไม่น่าจะมีคนจน อันนี้เป็นแผนระยะยาว ส่วนแผนระยะสั้น คนเราต้องมีกินมีอยู่ ก็เลยเป็นที่มาของ เซ็นทรัล ทำ ที่เราเริ่มทำเลย แต่ระหว่างทำไป เราเจอปัญหาเรื่องขยะเยอะมาก เราก็เร่ิมทำเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทำมาประมาณ 7 ปีแล้ว เราก็เลยได้รางวัลค่อนข้างเยอะจากสิ่งนี้ เพราะเราทำมาก่อนคนอื่นค่อนข้างนาน ประเด็นสุดท้าย คือเรื่องการพัฒนาคน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ เซ็นทรัล ทำ ให้ความสนใจ มันดูเหมือนเยอะ แต่จริงๆ เราโฟกัสแค่นี้เอง" พิชัยบอกเล่าสบายๆ ถึงประสบการณ์ด้านงานเพื่อสังคมที่เขาให้เวลาด้านนี้มากขึ้นๆ ในช่วงปีหลังๆ
เขาบอกว่า หลายๆ ครั้งเขาใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ไปกับการลงพื้นที่ พบกับชาวบ้านและชุมชน เพื่อไปดูว่ามีอะไรที่ เซ็นทรัล ทำ สามารถช่วยเหลือได้บ้าง
"จริงๆ ส่วนตัวเป็นคนชอบออกไปข้างนอก ไม่ได้ชอบอยู่ในเมืองนะ พอเราได้เริ่มทำ ก็พบว่าบุคลิกของคนแต่ละพื้นที่นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกัน เช่น คนจังหวัดนี้ชอบใช้แรงงาน อีกจังหวัดไม่ชอบ บางจังหวัดชอบงานฝีมือ ซึ่งเราจะบังคับให้เขาทำสิ่งที่ไม่ชอบไม่ได้นะ เราเลยต้องไปอยู่กับเขาสัก 2-3 สัปดาห์ แล้วค่อยๆ คิดว่าจะให้เขาทำอะไร ซึ่งอันนี้ เราอาจจะมีความชำนาญเรื่องที่จะดึงอะไรออกมา เช่น คนนี้ทอผ้าลายแบบนี้ ถ้าเราจับไปทำสิ่งนี้น่าจะโอเค หรือบางทีงานฝีมือไม่ได้ เขาชอบปลูกผักมากกว่า บางคนชอบปลูกผัก ไม่ชอบต้นไม้ใหญ่ มันเป็นบุคลิกของเขา แต่กุศโลบายของเราคือ อยากให้เขาปลูกต้นไม้ใหญ่ เพราะจะได้ช่วยปลูกป่า ซึ่งพวกผลไม้ที่ใช้เวลาปลูกเป็นปี จริงๆ ดูแลง่ายกว่าผักบางชนิดนะ และได้เงินเยอะกว่าในระยะยาว แต่บางคนอยากได้เงินเร็วๆ ในระยะสั้นๆ เราก็ให้ความรู้เขา ทุกอย่างมันเป็นขั้นตอน"
แต่แน่นอนว่า เซ็นทรัล ทำ ก็ยังไม่ลืมเรื่องแรกที่ได้เริ่มต้นไว้ นั่นก็คือเรื่องการศึกษา
"อย่างแค่เรื่องโรงเรียน เรามีโรงเรียนประถม มัธยม อาชีวะ แล้วยังทำเรื่องการให้ความรู้กับครูอีก เราทำงานทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน หลังจากนั้น เราก็ดูเรื่องความเป็นอยู่ของโรงเรียน จริงๆ ความสำคัญของการศึกษา คือการสร้างความสนุกให้เด็กอยากมาเรียน แล้วค่อยสร้างพื้นที่ให้น่าอยู่ ถ้าเด็กมีพื้นที่เล่นกีฬา เล่นดนตรี ทำกิจกรรม ชีวิตเขาก็จะไม่เป๋ไปที่ยาเสพติด เวลาเราลงพื้นที่ เราก็ได้เรียนรู้นะ มีผู้ใหญ่เคยพูดกับพี่ว่า ทุกเรื่องที่เราทำคือเรื่องเดียวกัน เราอย่าไปแยกมัน มันก็เป็นที่มาว่า ทำไมผมดูเหมือนทำอะไรเยอะมาก" พิชัยย้อนไปตอบประเด็นเรื่องการงานที่คนมักจะบอกว่าเขาทำงานเยอะ
เขายังเล่าถึงงานในช่วงหลังๆ ว่าเป็นการโค้ชชิ่งเยอะขึ้นอีกด้วย
"สมัยก่อนเราไม่อยากยุ่งกับหน่วยงานไหนเลย มันอุ้ยอ้าย มีพิธีรีตรองเยอะ เวลาลงไปจะมีพิธี มีวงดนตรีมาเล่นต้อนรับ เราไม่ชอบเลย" พิชัยหัวเราะเบาๆ "เพราะเราไม่มีเวลา เราลงไปเราอยากทำงานเลย แต่ตอนนี้ก็เริ่มทำกับหน่วยงานหลายๆ แห่งนะ บางจังหวัดถ้าผู้ว่าฯ กับเราเห็นตรงกัน มันก็ดำเนินการไว เพราะเขาเห็นหน้างาน สามารถโทรอัพเดทกันได้ตลอด เราก็เลยทำด้วยกัน ตามสโลแกน เซ็นทรัล ทำ คือเราทำด้วยกัน เพราะเราทำคนเดียวไม่ได้ เพราะมันเป็นโจทย์ที่ใหญ่ อย่างเช้าๆ ชาวบ้านก็จะไลน์มา เราก็แก้ปัญหาไป อย่างตอนนี้เชียงใหม่อากาศแย่มาก ทั้งควันไฟป่า ผู้ว่าฯ ไลน์มาว่าจะทำฝนเทียม จะทำกองโจรดับไฟ เราก็โอเค ทำได้เลย เพราะเขาเอาจริง"
ตัวอย่างของการเป็นที่ปรึกษาหรือโค้ชชิ่งก็เช่นการที่เขาให้คำแนะนำชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนไปแล้ว
"อย่างมีคุณป้าที่ทำขนมบ้าบิ่นที่อุดรธานี คุณป้าเขาขายได้ 500-700 บาท ผมก็แนะนำเขาว่า 'ไม่ใส่สารกัดบูดหรือสารพิษได้ไหม' ทางหมู่บ้านเขาก็เริ่มไปทำตาม ผมก็บอกว่า 'เวลาเราทำอะไร เราต้องทำให้ไม่เหมือนคนอื่น' ลองคิดว่า เราเอาไปทำอย่างอื่นได้ไหม แล้วพอดีมีอีกคนขายผลไม้ เราก็ไปคุยกับเขา ไม่ใช่อะไรนะ เรากลัวผลไม้เสียถ้าขายไม่หมด ก็คุยว่า ถ้าเอาผลไม้ประจำฤดูไปใส่ในบ้าบิ่นได้ไหม เขาก็ใส่มา ทุกวันนี้ขายได้เดือนละ 700,000 บาท ตอนนี้มี 4 สาขาแล้ว อย่างนี้เราถือว่าสำเร็จ และมีคนสำเร็จแบบนี้อีกเยอะที่เราแนะนำ" พิชัยเล่าอย่างภูมิใจ
และการเริ่มต้นของแบรนด์ Good Goods ก็เป็นเรื่องราวที่ไม่เล่าถึงไม่ได้ เพราะถือเป็นความสำเร็จอันงดงามของ เซ็นทรัล ทำ ที่เหล่า 'คนเมือง' และ 'ชาวต่างชาติ' ได้เห็นเป็นรูปธรรมจริงๆ
"เราเริ่มจากการทำกาแฟก่อน เพราะเวลาเราลงพื้นที่ในเชียงใหม่มีกาแฟกว่า 400-500 ยี่ห้อ เราไม่รู้จะช่วยเขาโปรโมตได้ยังไง เพราะทุกคนก็ทำอร่อย เลยคิดว่า ถ้าเราทำเป็นแบรนด์เดียว แล้วรับซื้อของเขามาให้หมดน่าจะง่ายกว่าไหม เราก็มานั่งคิดว่า ถ้าทำเป็นแบรนด์เดียว เราต้องให้คนซื้อเพราะอยากได้ของ ไม่ใช่เพราะสงสาร เพราะเราไม่อยากเป็นมูลนิธิ งั้นก็ตั้งแบรนด์ Good Goods ขึ้นมา คนเห็นของแล้วอยากซื้อ พอซื้อแล้วถึงรู้ว่า รายได้นี้จะเข้าชุมชน แต่ไม่ใช่ซื้อเพราะอยากทำบุญ เราใช้วิธีแบบนี้"
"ประเด็นต่อมาคือผมทำแบรนด์ดิ้งอยู่แล้ว เวลาลงพื้นที่เห็นน้องๆ ที่ทอผ้าอย่างดี แต่เวลาทำเป็นเสื้อแล้วดีไซน์ไม่สวย งั้นถ้าคุณทอผ้าสวย คุณทออย่างเดียว เหมือนใครปลูกกาแฟดีก็ปลูก ไม่ต้องไปคั่วให้เสีย แล้วเดี๋ยวเราจับมาผูกกันเอง อย่างเมื่อก่อนผมทำโรงงานตัดเสื้อ มีทั้งตัดเสื้อ เย็บกางเกง ช่างทำไม่ได้หรอก มันปวดหัว งั้นเราแยกโรงงานกันไปเลยดีกว่า แต่หลายคนชอบทำครบลูป ฉันมีแผนกของฉัน ฉันต้องมีตากล้องของฉันด้วย มันไม่ใช่สิ ถ้าคุณถนัดอะไร คุณก็ทำแค่สิ่งนั้นก็ได้"
"หรืออย่างตอนนี้เราก็ทำเรื่องโกโก้อยู่ อยากให้ใหญ่พอจะรันวงการช็อกโกแลตได้ เพราะโกโก้คั่วยากมาก แต่คนก็ชอบเอาไปคั่วเอง เสร็จแล้วก็ไม่มีใครซื้อ หรืออย่างมีดาราบางคนบอกอยากลงพื้นที่ อยากเรียนรู้เอาไปทำบ้าง คือคุณลงสิบครั้งก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่ถ้าเป็นดาราแล้วช่วยโปรโมตมันจะไปได้ไกลมาก เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณเก่งที่สุด คุณอย่าไปทอผ้าเลย เราแค่ทำสิ่งที่ตัวเองเก่งที่สุด ดังนั้นเราก็เลยพยายามดูคาแรกเตอร์ของคนต่างๆ แล้วจับจังหวัดนั้นนี้มาผูกกัน จนพอทำ Good Goods เราก็คิดว่าจะทำให้เด่นทุกตัวไม่ได้ เราก็เน้นแค่ 3 โปรดักก่อน พอสามตัวนี้ติด เราค่อยดันอีก 3 ตัวต่อไป ถ้าเราดันครบ 20 ตัวเมื่อไหร่ มันแปลว่าเราสำเร็จ ซึ่งมันสำเร็จแล้วจริงๆ ต่อจากนี้ เราก็มองว่า เราโปรโมตชาวบ้านแล้ว เราก็อยากโปรโมทดีไซเนอร์ไทยบ้าง เราก็ขยับมาทำกับ Painkiller Atelier, Pomme Chan รวมถึงพวกนักวาดด้วย ตอนนี้เราลิสต์ยาวไปถึง 3 ปีข้างหน้าเลย"
และนี่เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของประสบการณ์การทำธุรกิจของเขาเท่านั้น อีกเรื่องที่เราสนใจคือการทำงานในวงการบันเทิงของผู้ชายคนนี้ ที่กล่าวได้เช่นกันว่า ไม่ธรรมดาเลย
ค่ายเพลงที่ยืนหยัดมากว่า 20 ปี
ระหว่างทำงานอันมากมายไปด้วยนั้น พิชัยยังคงสนใจศิลปะ หนังสือ ภาพยนตร์ และดนตรีอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องเพลงนั้น นอกจากจะฟังเพลงอย่างลงลึกและกว้างขวางแล้ว เขายังทำความรู้จักกับนักดนตรีชื่อดังหลายคน และถึงขนาดเคยไปร้องประสานให้กับอัลบั้มของนักร้องหลายคนมาแล้ว จนในที่สุด ความชอบด้านดนตรี ผสมกับความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ และจังหวะเวลาที่เหมาะสม ก็ทำให้เกิดค่ายเพลง สไปร์ซซี่ ดิสก์ ขึ้นมา
"ตอนนั้นวงการเพลงไทยมีเหลือแค่สองค่ายใหญ่ เป็นตอนที่ทาง เบเกอรี่ มิวสิก ของพี่บอย โกสิยพงษ์ ก็เลิกทำไป เขาก็บอกเราว่าช่วยทำต่อให้หน่อย" พิชัยเล่าสบายๆ "เราก็ได้พี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) มาช่วย แต่ตอนนั้นโลกมันเปลี่ยนไป มันมีทั้งอินดี้ที่เฉพาะกลุ่ม (niche) และเพลงแมส จริงๆ เราทำเพลงแมสดีๆ ก็ได้นี่ ก็เลยมาโฟกัสทั้งสองอย่าง แล้วคนก็ค่อยมาเห็นสิ่งที่เราทำจากฝั่งแมสมากขึ้น เราแค่อยากทำเพลงที่มีคุณภาพให้กับวงการ และเราอยากให้อิสระกับคนทำงานเพลง แล้วเราคอยแนะนำเขาให้เดินไปถูกทาง คล้ายๆ เวลาเราทำงานกับดีไซเนอร์ ทำงานกับโรงเรียน อย่างตอนนี้เราก็เริ่มมีโครงการเวิร์กช็อปทำเพลงร่วมกับมหาวิทยาลัยเกือบ 20 แห่ง เราก็คุยกับพี่ก้อว่า เราต้องเริ่มกันแล้วนะ" พิชัยเล่าแล้วยิ้มบางๆ
สไปร์ซซี่ ดิสก์ เติบโตอย่างมั่นคง มีศิลปินมาร่วมสังกัดตั้งแต่รุ่นที่ทำงานมาตั้งแต่ เบเกอรี่ มิวสิก อย่าง ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ, บอย-ตรัย ภูมิรัตน, 2 Days Ago Kids หรือรุ่นไล่ๆ กันอย่าง Mild, Sqweeze Animal, ว่าน ธนกฤต, La-Ong-Fong รวมไปถึงศิลปินใหม่ๆ อย่าง Zom Marie, The Pakinson, No One Else, Nap A Lean, Rooftop และ The Rube เป็นต้น และในช่วงหลังเขายังเปิดค่ายเพลงอีกค่ายชื่อว่า Butter อีกด้วย
"ศิลปินค่าย สไปร์ซซี่ ดิสก์ จะเป็นตัวจริง เขียนเอง ทำเอง ส่วนค่าย Butter จะเป็นเพลงป็อป เพราะมันมีคนเข้ามาสมัครในค่ายเยอะมาก บางคนเก่งมาก แต่ถ้าไปอยู่ สไปร์ซซี่ ดิสก์ แล้วจะงงไหม งั้นเราก็แยกออกมาดีกว่า"
"ศิลปินค่าย สไปร์ซซี่ ดิสก์ ที่ยังแอคทีฟอยู่มีประมาณ 10 รายไม่เกินนี้ อย่างพี่ก้อ พี่บอย ตรัย ถือเป็นศิลปิน แต่ก็ไม่ได้แอคทีฟ อย่างที่แอคทีฟจะเป็น No One Else, The Pakinson, ว่าน ธนกฤต, Sherry อะไรประมาณนี้ แน่นอนว่า กลุ่มนี้เราต้องตั้งเป้าว่าหนึ่งปีจะมีเพลงออกกี่เพลง ส่วนตัวผมไม่ได้อยากมีศิลปินเยอะนะ เพราะเห็นบางค่ายมี 200 คน ผมว่าถ้าคุณรวบไว้เยอะๆ แล้วดันแค่ไม่กี่คน ก็เหมือนเอาเปรียบศิลปินนะ"
พิชัยบอกว่า ทำเพลงมา 20 ปี วงการเพลงเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่จริงๆ ก็คือแทบทุกวงการก็เปลี่ยนไปเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี
เราถามถึงเรื่องวิธีการทำเพลงในค่ายเพลงแห่งนี้
"เราให้ศิลปินทำมาก่อน เสร็จแล้วเราค่อยคอมเมนต์ เครื่องดนตรี เสียงต่างๆ มันสำคัญหมดนะ เพลงเพราะก่อน แล้วจะเรียบเรียงดนตรีแบบไหนค่อยว่ากัน เราค่อยมาจูนกัน เราไม่อยากเป็นค่ายที่บังคับเขา สมมติว่า ผมเป็นนายทุนแล้วไปบอกให้ศิลปินรื้อทิ้ง ปวดหัวตายเลย เราก็ต้องให้อิสระเขาประมาณหนึ่ง แต่เวลาคอมเมนต์ก็ดูแทบจะทุกอย่างนะ เพลงเพราะไม่เพราะ เครื่องดนตรีโอเคไหม เรื่องเนื้อเพลงอาจจะน้อยสุด ส่วนตัวผมชอบฟังว่าเพลงเพราะไหมก่อน แล้วเนื้อค่อยมาทีหลัง เรื่องเนื้อหาให้ก้อและบอยดูแลไป อาจจะเพราะเราฟังเพลงฝรั่ง ผมว่าคนไทยชอบฟังเพลงช้า เซนสิทีฟกับเนื้อเพลง ส่วนเด็กฝรั่งจะชอบเพลงเร็ว ถ้าสังเกตจะเห็นว่า เพลงฮิตบ้านเขาเป็นเพลงเร็วหมดเลย เพราะฝรั่งชอบปาร์ตี้ มันก็ต้องมองคนละมุมกัน แต่ที่สุดแล้วเราแค่คอมเมนต์ ไม่ได้บังคับนะ ถ้าเขาเชื่อก็แก้ ถ้าไม่เชื่อก็ปล่อย"
ทำเพลงจนมีศิลปินดังและเพลงดังไม่น้อย ค่าย สไปร์ซซี่ ดิสก์ จึงเป็นอีกค่ายที่มีศิลปินใหม่ๆ เข้ามาเสนอเพลงอยู่เสมอ รวมทั้งเป็นค่ายที่มองหาวงใหม่ๆ เสมอด้วย
"บางวงผมเห็นครั้งแรกแล้วมั่นใจมากๆ อย่าง The Parkinson ก็คือ คุยวันนี้เซ็นสัญญาวันนี้เลย หรืออย่างบางวงถ้าผมไม่ถนัด เราก็จะมีทีมแล้วโหวตกัน เรามาคอมเมนต์กัน ถ้าไม่มั่นใจ เราก็ไม่เอา หรือบางวงน้องๆ บอกว่าชอบ เราก็ฟังน้องนะ ผมชอบฟังคน ทุกครั้งเวลาทำงานกับใคร เราก็ฟังเขา ถ้าเราไม่รู้ความคิดเขา เราจะไปทำงานได้ยังไง แล้วทำไปเขาไม่ชอบ มันก็ไม่ดี มันต้องวินวินทั้งสองฝ่าย
เราถามพิชัยว่า ส่วนตัวแล้วเขาชอบวงดนตรีแบบไหน?
"เขาบอกว่าวงที่ผมชอบส่วนมาก จะไม่มีใครฟัง" หนุ่มใหญ่ตอบแล้วหัวเราะ "คือผมฟังเพลงวาไรตี้มาก เลยชอบความครีเอทีฟ ความแปลกใหม่ อย่าง Sqweez Animal ผมก็เซ็นเลยโดยไม่รู้ว่าคนอื่นชอบไหม ทั้งที่จริงๆ มันก็ฟังยากนะ อย่าง The Parkinson นี่ชอบมาก มันแนวเพลงเราเลย เราทำสะใจตัวเอง ใครไม่ชอบช่างมัน" เขาหัวเราะอีก "แต่มันก็ประสบความสำเร็จนะ"
อีกประเด็นที่น่านใจก็คือ จากประสบการณ์ทำค่ายเพลง 20 ปีแล้ว หากถามเคล็ดลับของการทำวงดนตรีให้ประสบความสำเร็จ พิชัยยังคิดว่าตัวเพลงสำคัญที่สุด แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวเท่านั้น
"เพลงต้องดี คอนเทนต์ต้องดีก่อน แต่เดี๋ยวนี้ต้องเล่นโซเชียลมีเดียด้วย บางวงยังไม่มีเพลงออก แต่ทำโซเชียลมีเดียเยอะๆ เพลงก็ยังติดกระแสอยู่ เดี๋ยวนี้พฤติกรรมของคนมันเปลี่ยน เขาไม่ได้เสพเฉพาะเพลง เขาอยากรู้ไลฟ์สไตล์ อยากรู้ความคิด อยากรู้ว่าแต่งตัวยังไง เด็กสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนนะ เมื่อก่อนเราฟังเพลง เพราะเพลงมันเพราะ อะไรที่เขาทำ เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้อิมเมจก็สำคัญ แล้วเวลาทำค่ายเพลงเราก็ต้องดูเรื่องนี้ทั้งหมด ก็เหนื่อยเนอะ" เขาหันไปถามน้องๆ ทีมงานที่นั่งฟังอยู่ไม่ไกล "คือบังคับศิลปินให้แต่งตัวนี่ยากนะ สมมติใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ขึ้นเวที มันก็ไม่เด่นไง แต่ใครที่แต่งเต็ม อย่างดูวงเกาหลี ยังไม่ทันร้องเลย ออร่าออกแล้ว มันต้องไปด้วยกันหมด ถ้าดูอย่างวง Slot Machine เขาไปด้วยกันครบ ทั้งลุค ทั้งเพลง หรืออย่าง บุรินทร์ (บุญวิสุทธิ์) เขาแคร์เรื่องนี้มาก แบ็คอัพคนไหนไม่ยอมใส่ เขาก็ต้องให้ออก ซึ่งผมเข้าใจเขานะ คนจ้างแพงๆ เขาก็อยากได้โชว์ที่ดี ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ขึ้นมาเล่น มันเหมือนไม่เคารพเขา เพราะมันเป็นโชว์ อย่างศิลปินต่างประเทศก็เป็นโชว์หมด บรูโน มาร์ส (Bruno Mars) อย่างนี้ โชว์เขาเต็มที่เลยนะ"
นี่เป็นวิธีคิดแบบมองวงการเพลงมากกว่าแค่เรื่องเพลง แต่ต้องเชื่อมโยงไปยังเรื่องแบรนดิ้งและภาพพจน์ต่างๆ อีกด้วย
นักร้องปริศนาที่ชื่อว่า Unkle T.
อีกบทบาทหนึ่งของพิชัยที่คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่เหล่าศิลปิน โดยเฉพาะคนใน สไปร์ซซี่ ดิสก์ รู้กันดีก็คือ เขายังเป็นศิลปินนักร้องในนาม Unkle T. ด้วย
เมื่อถามถึงเรื่องนี้ พิชัยก็หัวเราะขำก่อนจะพูดออกตัว
"คือนักดนตรีเขาชอบทำให้ผมครับ ช่วงแรกๆ ก็คือพี่ป้อม (อัสนี โชติกุล) แล้วก็โต้ง (มณเฑียร แก้วกำเนิด หรือ Save Da Last Piece) แล้วก็ก้อ อัลบั้มของ The BoyKor เขาก็ให้ผมร้องด้วยหนึ่งเพลง แล้วผมก็มาร้องให้ Funky Wah Wah (บี-สราวุธ ชินนภาแสน) ที่ร้องไปร้องมาเกือบ 4 เพลง จนจะเต็มอัลบั้มอยู่แล้ว" เขายิ้มสนุก "แล้วก็มี Better Weather กับ Spider Monkey ที่รอจะทำด้วยกันอยู่ แต่เราก็ติดไว้ก่อน เพราะร้องเพลงต้องมีอารมณ์ เรายุ่งมาทั้งวัน จะให้มาร้องเพลงต่อมันก็ยังไงๆ อยู่"
ถึงจะเป็นแนวฟีเจอริ่งเสียมาก (โดยในช่วงแรกจะใช้ชื่อจริงคือ พิชัย จิราธิวัฒน์ และช่วงหลังจึงเป็นชื่อ Unkle T.) แต่ความจริงในนามศิลปินเดี่ยวเอง Unkle T. ก็มีซิงเกิลออกมาแล้ว คือเพลง Red Metallic Lipstick และ วันนี้ ที่ไพเราะดีงามทั้งคู่
VIDEO
VIDEO
VIDEO
"ไม่ชอบเลย" เขาตอบกลั้วเสียงหัวเราะเมื่อเราถามว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักร้องเองบ้าง "แต่พวกน้องๆ มันชอบ จะให้ผมถ่ายเอ็มวี ถ่ายอะไร เราก็เก้ๆ กังๆ ไปหมด เลยต้องใช้วิธีเล่าสตอรี่ล่อหลอก เราจะได้ไม่ต้องเล่นเอง" เขายิ้มกว้าง "แต่พอได้มาร้องเพลง เราก็เหมือนได้อยู่ในโลกของเรา หายเครียด สนุกดี แล้วพอปล่อยเพลง มันก็มีแฟนเพลงตามฟังนะ มีคนคอยมาถามว่า เมื่อไหร่จะออกอีก เมื่อก่อนผมออกปีละเพลง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันนานไปไหม ปีนี้ยังไม่ได้ร้องเลย เพราะส่วนมากจะปล่อยเพลงก่อนปีใหม่ เพราะเพลงเรามันเหงาๆ แต่แฮปปี้ เหมาะกับหน้าหนาว แต่เดี๋ยวคงจะได้ปล่อยถี่กว่านี้แล้ว"
นอกจากปล่อยเพลงเรื่อยๆ แล้ว ในนาม Unkle T. ยังมีรายการในยูทูบเป็นของตัวเองในชื่อ Unkle T. Cabin อีกด้วย
"ในต่างประเทศจะมีรายการที่คนมาโปรโมตหนังหรือเพลง เราเห็นในไทยยังไม่ค่อยมี คอนเสปต์คือ คนไหนออกเพลงใหม่ก็มาโปรโมทที่บ้านเรา ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่สนิทกัน อย่าง สิงโต นำโชค เพิ่งปล่อยเพลง บุรีรัมย์ ก็มาออก เหมือนทุกค่ายก็น่ารัก ส่งศิลปินมาเรื่อยๆ คิวยาวเลยตอนนี้ มีแต่ค่ายเรานี่ล่ะขี้เกียจ" เจ้าของค่ายพูดแล้วหัวเราะ
"พอได้มาทำรายการก็ดีนะ ได้เจอพี่ๆ น้องๆ เมื่อก่อนสิงโตอยู่อาร์เอส เวลาเขาเข้ากรุงเทพฯ เขาก็มานอนบ้านพี่ พอมีรายการก็เหมือนบังคับให้ได้มาเจอกัน ในรายการมันแป๊ปเดียวนะ แต่หลังรายการนี่ยาว ตีสองตีสามจะอยู่ไม่ไหวเอา เหมือนเรามาอัพเดทกัน สนุกดี เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมได้พบกับน้องๆ ในแวดวงอยู่เรื่อยๆ"
ทุกวันนี้ เต้ง-พิชัย จิราธิวัฒน์ ยังคงทำงานธุรกิจด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ ทำงานเพื่อสังคมอย่างเต็มใจ และยังคงฟังเพลง (เขายังฟังทั้งแผ่นเสียงและฟังสตรีมมิ่งหลายแพลตฟอร์มด้วย) เขาทำค่ายเพลง ทำรายการของตัวเอง รวมไปถึงยังให้ความสนใจเรื่องศิลปะ เรื่องการชมและการทำภาพยนตร์ และที่สำคัญที่สุดคือเขายังมีแผนการและความฝันสนุกๆ ในทุกๆ บทบาทที่กำลังทำอยู่
ได้พูดคุยกับพิชัยแล้วก็นึกทึ่งในพลังสร้างสรรค์ และที่สำคัญ พลังนั้นยังส่งต่อมาที่เราอีกด้วย