2023 ถือเป็นปีที่มีการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะมากมาย จนเรียกได้ว่าเลือกอ่าน เลือกฟัง เลือกชมกันแทบไม่ทัน เราเห็นพื้นที่ศิลปะและพื้นที่สร้างสรค์ใหม่ๆ เกิดขึ้น พร้อมกับผลงานอันหลากหลายที่สะท้อนถึงความเติบโตของศิลปินแขนงต่างๆ อย่างมีสีสัน ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น ...รู้ตัวอีกทีก็จะสิ้นปีแล้ว
ส่วนการทำงานของ happening เอง เรามีโอกาสได้จัดงานที่รวบรวมงานอาร์ตในชีวิตประจำวันไว้ให้ทุกคนใกล้ชิดได้ทุกต้นเดือนที่โซน MUNx2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ เริ่มตั้งแต่มีนาคมจนถึงธันวาคม 2566 รวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง เราจึงตั้งชื่องานนี้ว่า happening 10 Fest ภายในงานมีการคัดสรรร้านมาออกบูท เชิญชวนคนมีฝีมือมาจัดเวิร์กช็อป จัดมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังให้ชมกันแบบฟรีๆ แถมยังออก happening Zine เล่มพิเศษทุกเดือน! ทำให้เราได้ร่วมงานกับแบรนด์สร้างสรรค์ของไทยและได้รับพลังจากศิลปินมากมาย
อีกหนึ่งงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเราคือ นิทรรศการ PIRA OGAWA : MY LIFE WORKS ที่เราจัดร่วมกับ BKKIF และ dexembell ด้วยการเข้าไปทำความรู้จักกับผลงานที่สร้างสรรค์มาตลอดชีวิตของศิลปิน พีระ โองาวา วัย 78 ปีที่ทำให้เราได้เห็นสไตล์การทำงานตั้งแต่อดีตจนถึงการทดลองสิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นนิทรรศการหนึ่งที่ส่งต่อพลังให้ผู้ชมไม่หยุดยั้ง งานนี้ยังจัดให้ชมกันถึงวันที่ 7 มกราคม 2567 ที่ MMAD BOX ชั้น 2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ถ้าใครอยู่กรุงเทพฯ ช่วงหยุดยาวปีใหม่ เราขอแนะนำ!
สำหรับงานส่งท้ายที่ทีมทุ่มเทมาตลอดหลายเดือน คือ Bangkok Illustration Fair 2023 ที่จัดร่วมกับ dexembell และ WHAT IF เมื่อวันที่ 7-10 ธันวาคม 2566 เนื่องจากปีนี้มีศิลปินส่งผลงานสมัครเข้ามาถึง 767 คน การคัดศิลปินจึงเข้มข้นและสร้างความหนักใจให้กับกรรมการทุกคนมาก สุดท้าย BKKIF Artist ทั้ง 150 คนก็แสดงให้เห็นแล้วว่างานในปีนี้มีความหลากหลายและมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อน ทาง GUEST Artist ก็เต็มที่กับการจัดแสดงงานร่วมกัน มีการนำเสนอผลงานรูปแบบใหม่ๆ ทำให้ผู้จัดรู้สึกเป็นเกียรติมาก สุดท้ายเราอยากขอบคุณผู้ชมงานที่มาเติมเต็มงานนี้ให้สมบูรณ์ด้วยการสนับสนุนและให้กำลังใจศิลปินทุกคน
ผลงานศิลปะทุกแขนงที่เกิดขึ้นในปี 2023 ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และประทับอยู่ในใจ ซึ่งหากให้พูดถึงทุกงานคงได้คุยกันยาวนานข้ามปี ดังนั้นทีมแฮพเพนนิ่งจึงมีธรรมเนียมที่เราจะเลือกงานหนึ่งที่ประทับใจในรอบปี เพื่อทบทวนสิ่งดีๆ ที่เราซึมซับไว้มาบอกเล่ากัน
จะมีงานไหนที่ทีมแฮพฯ ชื่นชอบ และอยากบันทึกไว้ก่อนที่ผ่านพ้นปี 2023 ไปบ้าง มาดูกันเลย!
นิทรรศการ Unsinn im Sinn! โดย วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์
เลือกโดย วิภว์ บูรพาเดชะ ตำแหน่ง Editor in Chief
นิทรรศการเซรามิกแบบโซโลของ พี่ติ้ว-วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ มีผลงานมากถึง 72 ชิ้น มีทั้งชิ้นเล็กจิ๋วและใหญ่ขนาดเท่าเสาบ้าน มีเทคนิคหลากหลาย ประเด็นก็หลายหลาก ดูสนุกและชวนคิด ใช้เวลาพินิจงานต่างๆ ในนิทรรศการนี้ได้นานเป็นชั่วโมงๆ โดยสรุปแล้วคือมันเป็นงานที่ศิลปินทบทวนและสำรวจสิ่งที่เคยทำมาตลอดชีวิตได้อย่างน่าตื่นใจ และยังแสดงพลังไฟสร้างสรรค์ที่จะก้าวต่อไปอย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย อยากชวนให้ไปชมกันครับ นิทรรศการมีถึงวันที่ 14 มกราคม 2567 นี้ หวังว่าตอนที่คุณได้อ่านข้อความนี้ ยังพอมีเวลาให้ไปชมกันนะ
นิทรรศการ James Nachtwey: Memoria
เลือกโดย วรรณวนัช บูรพาเดชะ ตำแหน่ง Photographer และ Business Development
นิทรรศการ 'เจมส์ นาคท์เวย์: ห้วงความทรงจำ' ซึ่งจัดไปที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) เป็นหนึ่งกิจกรรมใน RPST Master Series ซึ่งสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ดำเนินงานนำภาพถ่ายของช่างภาพระดับโลกมาจัดแสดงให้คนไทยและคนในเอเชียแปซิฟิกได้ชม โดยส่วนตัวรู้สึกประทับใจนิทรรศการชิ้นนี้ ทั้งในแง่ความงามและเนื้อหาสาระที่สื่อสารต่อผู้ชม รวมทั้งรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเหลือเกินที่งานนิทรรศการภาพถ่ายจากช่างภาพสงครามระดับโลกในสเกลนี้ ได้มาเปิดให้คนไทยเข้าชมฟรีแบบไม่ต้องซื้อบัตรหรือยืนรอต่อแถวนานๆ อย่างในต่างประเทศ นิทรรศการนี้ได้คว้ารางวัล Photo Museum Exhibition of the Year ในงาน Lucie Awards 2023 หนึ่งในรางวัลที่ใหญ่ที่สุดของแวดวงภาพถ่ายมาครอง ด้วยความน่าสนใจของนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต สงคราม โรคระบาด และความโหดร้าย โดยเฉพาะสงครามในประเทศยูเครน ผ่านภาพถ่ายจำนวน 126 ภาพ จากประสบการณ์การทำงาน 42 ปีของ เจมส์ นาคท์เวย์ มีผู้เข้าชมนิทรรศการชิ้นนี้ราว 81,000 คนในระยะเวลาสองเดือน ถือเป็นการสร้างความตระหนักรู้ในแง่มนุษยธรรมให้แก่ผู้คน ผ่านงานศิลปะที่ถูกเรียกว่า 'ภาพถ่าย' อย่างแท้จริง
นิทรรศการ She's Too Much - juli baker and summer
เลือกโดย ดุสิตา อิ่มอารมณ์ ตำแหน่ง Head of Editorial & Content
ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ป่าน-ชนารดี ฉัตรกุล ณ อยุธยา หรือศิลปินที่ใช้ชื่อว่า juli baker and summer นำเสนอนิทรรศการเดี่ยว She's Too Much ที่ตั้งคำถามกับคำว่า 'เธอเยอะเกินไป' ให้เรานำกลับไปคิดทบทวนตัวเองได้มากทีเดียว ผลงานชุดนี้เธอเลือกใช้ตัวละคร She มาบอกเล่าช่วงเวลาตลอด 28 วันในหนึ่งรอบประจำเดือน ซึ่งคล้ายกับบันทึกการสำรวจร่างกาย ตัวตน และอารมณ์ความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยมีปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองเป็นส่วนประกอบที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตอยู่ทุกวี่วัน ออกมาเป็นภาพที่สีสันฉูดฉาด แต่แฝงไปด้วยประเด็นลึกซึ้งได้อย่างงดงาม
นอกจากภาพวาดที่พาหัวใจของเราเคลื่อนไหวไปกับอารมณ์ที่เธอถ่ายทอดออกมา ถ้อยคำที่งดงามราวบทกวีก็กระตุ้นให้ความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ ที่เคยถูกกดทับกลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง เรียกได้ว่าเป็นนิทรรศการที่มอบอิสระทางความคิดให้กับผู้ชม เพราะหลายสิ่งที่เราไม่แสดงออกมานั้นอาจจะ 'น้อยเกินไป' และการรู้สึกรู้สากับความเป็นมนุษย์ที่ตระหนักว่าอะไรคือความเป็นจริง ...ก็ไม่มากเกินไปสักนิด
ซีรีส์ Last Twilight ภาพนายไม่เคยลืม
แนะนำโดย นิษณาต นิลทองคำ กองบรรณาธิการ
เรากำลังใช้สายตาตัดสินใครบางคนไปก่อนที่จะรู้จักตัวตนและความต้องการของเขาหรือเปล่า
นี่เป็นคำถามเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจ หลังจากได้ชมซีรีส์ Last Twilight ภาพนายไม่เคยลืมไปร่วม 5 ตอน อาจเพราะส่วนตัวชื่นชอบในงานกำกับของ ออฟ-นพณัช ชัยวิมล จากเรื่อง พระจันทร์มันไก่ (2566) และชื่นชมในการแสดงของนักแสดงหลัก อย่าง ซี-ทวินันท์ อนุกูลประเสริฐ และ จิมมี่-จิตรพล โพธิวิหค จาก Vice Versa รักสลับโลก (2565) อยู่แล้ว และยิ่งเมื่อได้ฟังเพลงประกอบซีรีส์ที่ปรากฏในทีเซอร์ (แต่งโดย แอ้ม-อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) เราก็ถูกตกให้ตั้งตารอชมในทันที
ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึงสายตาของมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ ขณะที่หมอก (แสดงโดย จิมมี่) ต้องเผชิญกับสายตาที่ไม่เป็นมิตรต่อตัวเขา ในฐานะคนเคยติดคุกมาก่อน อดีตนักแบดดาวรุ่ง อย่าง เดย์ (แสดงโดย ซี) ก็กำลังเผชิญกับความรู้สึกที่ถูกจับจ้องด้วยความสงสาร ท่ามกลางชีวิตที่ต้องเผชิญกับความกลัว เมื่อซีรีส์ฉายภาพวันเวลาอันแสนเรียบง่ายเฉกเช่นคนทั่วไปของทั้งคู่ การดำเนินเรื่องในแต่ละตอนก็ค่อยๆ ทำให้สายตาของผู้ชมอย่างเราที่มีต่อผู้พิการหรือคนที่มีประวัติติดตัวเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนต้องย้อนกลับมาส่องกระจกเพื่อย้อนมองภาพชีวิตของตัวเองอีกครั้งว่า เราเคยตัดสินใครไปก่อนที่จะได้รู้จักเขาหรือเปล่า
ส่วนตัวมองซีรีส์เรื่องนี้เป็นเหมือนภาพฝันที่เป็นจริง เพราะอุดมไปด้วยหลายสิ่งที่เราสนใจ ตั้งแต่พล็อต เพลงประกอบ หนังสือที่ชอบ นักแสดงและคนทำงานเบื้องหลังที่น่าชื่นชม การใช้สัญญะและซาวน์ประกอบในแต่ละจังหวะก็ทำออกมาได้อย่างกลมกล่อม โดยเฉพาะการหยิบเรื่องราวในหนังสือเจ้าชายน้อยมาประกอบการดำเนินเรื่องนั้นถูกจริตเราสุดๆ จึงอดไม่ได้ที่จะหยิบยกมาแนะนำให้ทุกคนลองรับชมกัน
เราว่าช่วงหลังมานี้ ซีรีส์วายในไทยมีพล็อตที่น่าสนใจและหลากหลายมากขึ้น ส่วนตัวมีโอกาสได้ดูอยู่บ้างตามวาระโอกาส แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องสมติและทำมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่เราก็ยังหวังลึกๆ ว่าความนิยมของซีรีส์เหล่านี้อาจทำให้ภาครัฐมองเห็นความต้องการ และเข้ามาพัฒนาเพิ่มสวัสดิการพื้นฐานที่เอื้ออำนวยให้แก่ชีวิตของผู้คนทุกเพศทุกวัย ตลอดจนคนพิการที่อาจต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุขได้ เช่นเดียวกับตัวละครในซีรีส์เหล่านี้
ซีรีส์ Analog Squad ทีมรักนักหลอก
แนะนำโดย นภัส นกน่วม ตำแหน่ง Creative Communication และ Photographer
เพราะนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงชีวิตของเราที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งแล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่พล็อตที่ดีที่สุด ไม่ได้ตราตรึงที่สุด แต่สำหรับขวบปีที่อินเรื่องราวของความสัมพันธ์และความพลัดพรากเหลือเกิน ระหว่างการจดจ่อกับสิ่งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบได้สร้างมวลความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกขึ้นมาเสมอ และถึงหลายๆ อย่างในเรื่องจะคลีเช่ไปบ้างเพราะความเป็นจริงคงไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเหมือนกับตัวละคร แต่บางเหตุผล บางการตัดสินใจก็ทำให้เราได้กลับมาทบทวนชีวิตตัวเองเหมือนกัน
ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ อย่างน้อยซีรีส์เรื่องนี้ก็คราฟต์งานภาพสวยๆ ให้คุณควรค่าแก่การรับชมนะ
ภาพยนตร์เรื่อง Barbie
แนะนำโดย มาลินี จันทร์เลิศฟ้า บรรณาธิการร้าน happening shop สาขาโครงการดาดฟ้า
เติมเต็มวัยเด็กสุดๆ เชื่อมโยงกับตัวเราในปัจจุบันและความเป็นเด็กภายในตัวเรา (inner child) ด้วย ประทับใจในบท ภาพ รายละเอียดต่างๆในเรื่อง ที่พูดกับคนดู ที่ไม่ว่าจะเป็นใคร วัยไหนก็อินได้ ชอบสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในหนัง (easter egg) หลายๆ จุดด้วย ตามอ่านสนุกมาก
ก่อนจะไปดูก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แค่รู้สึกว่าอยากดู เพราะตอนเด็กเคยเล่นบาร์บี้ เคยมียุคชอบสีชมพูมากๆ แล้วช่วงปีนี้ได้กลับมาโอบรับความชอบหลายๆ อย่างที่พยายามปล่อยทิ้งไป พอมาดูบาร์บี้ มันเติมเต็มใจเด็กสีชมพูคนนั้นมากๆ ยิ่งได้ดูกับคนที่ซื้อบาร์บี้ให้เราด้วย เป็นหนึ่งในการดูหนังในโรงที่เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ เลย ขอบคุณที่ไปดูด้วยกัน :-)
ซีรีส์ BEEF คนหัวร้อน
เลือกโดย กรกนก สุเทศ ตำแหน่ง Graphic Designer
ซีรีส์นี้ไม่ใช่ซีรีส์เกี่ยวกับอาหารแต่อย่างใด แต่มีความหมายแสลงที่หมายถึงการทะเลาะ หรือการแค้นฝังหุ่น พล็อตของเรื่องเกิดจากแดนนี่ที่ขับรถอยู่ดีๆ ก็ถูกรถของเอมี่บีบแตรและแจกนิ้วกลางใส่ เรื่องมันคงจบลงง่ายๆ ถ้าก่อนหน้านี้ทั้งคู่ไม่ได้มีปัญหาชีวิตที่เก็บกดมาก่อนหน้า การบีบแตรแค่ครั้งเดียวเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็รู้สึกดีที่ได้ทำร้ายกันและกันด้วยวาจาหรือการกระทำ มันจึงเป็นการแก้แค้นกันไปมาที่ไม่มีวันจบสักที
เหตุผลที่ชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะความสนุกของเรื่องนี้คือความโหด มัน ฮาในการแก้แค้นไปมา เมื่อดูไปหลายๆ ตอน เราเห็นว่าตัวละครมีมิติน่าสนใจ เนื้อหาแฝงไปด้วยเรื่องชวนคิดอีกมาก เช่น ความคาดหวังที่ตัวละครแบกรับ ความซื่อสัตย์ของคู่ชีวิต เงื่อนไขของความรัก โรคซึมเศร้า ฯลฯ
ประกอบกับบทพูด หรือดนตรีที่ใส่มาในแต่ละฉาก สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมตามตัวละครได้ไม่ยาก มีการไต่ระดับขึ้นลงของอารมณ์ในแต่ละตอนจากความหัวร้อนนำไปสู่การเยียวยาใจได้ไม่รู้สึกขัด อีกหนึ่งอย่างที่ชอบคืองานศิลปะที่สอดแทรกไว้ มีความนามธรรม (abstract) และเข้ากับชื่อตอนของแต่ละตอนได้ดี
ซีรีส์นี้ทำให้เราได้บทเรียนในชีวิตอีกหนึ่งอย่างคือ การยอมรับตัวตน เราไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกและตัวตนเอาไว้ เพราะเมื่อเก็บมันไว้นานๆ ก็จะกลายเป็นความอึดอัดและหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ท้ายที่สุดเราก็อาจจะระเบิดอารมณ์และออกมาทำอะไรแบบตัวละครในซีรีส์ก็ได้
สุดท้ายนี้เราขอยก BEEF ให้เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่แนะนำ แล้วเรื่องราวนี้จะจบลงที่ตรงไหน เราอยากให้ทุกคนไปลองรับชม
ละครโทรทัศน์เรื่อง มาตาลดา
เลือกโดย รัญชนา วิเชียร ตำแหน่ง Web Administrator & Coordinator
เมื่อพูดถึงละครไทย หลายคนอาจมีภาพจำว่ามีแต่แนวชิงรักหักสวาท ผลิตซ้ำแต่บทที่ไม่สร้างสรรค์ต่อสังคม ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปประกอบกับทางเลือกในการเสพสื่อที่มีหลากหลายมากขึ้นทำให้ความนิยมในการชมละครไทยลดน้อยลง เราเองเป็นหนึ่งคนที่เคยคิดแบบนั้นจนได้มารู้จักกับ 'มาตาลดา'
'มาตาลดา' เป็นละครแนวโรแมนติกคอมเมดี้ (romantic comedy) ที่เน้นประเด็นหลักไปที่เรื่องความรักและการเลี้ยงดูในครอบครัว นำแสดงโดย เต้ย- จรินทร์พร รับบทเป็น 'มาตา' สาวน้อยที่ถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาอย่างดีโดย 'พ่อเกรซ' รับบทโดย ชาย-ชาตโยดม พ่อที่มีเพศวิถีเป็น LGBTQ+
ความประทับใจในละครเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นบทละครที่ถูกเขียนขึ้นด้วยคตินิยมสมัยใหม่ ทั้งเรื่องเพศ ครอบครัว ความคิด-ความเชื่อ สิ่งปรุงแต่งต่างๆ ทางสังคม รวมถึงการให้ความสำคัญในเรื่องของจิตใจและการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ผู้เขียนบทและทีมงานได้หยิบยกเอาประเด็นเหล่านี้มานำเสนอผ่านตัวละครได้อย่างแนบเนียน เป็นเหตุเป็นผล และคนดูอย่างเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกยัดเยียด
เรารู้สึกว่าสื่อไทยเองก็เป็นตัวการสำคัญในการกำหนดทิศทางความคิดของคนในสังคม สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังละครเรื่องนี้ถูกฉายคือมันได้สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้ชมมากจริงๆ และอาจเป็นแนวทางให้ละครไทยเรื่องอื่นๆ พัฒนาตามขึ้นมาด้วย เราเชื่อว่าหากมีละครน้ำดีแบบนี้ผลิตออกมาและได้รับการสนับสนุน วงการละครไทยจะไปได้ไกลอย่างแน่นอน
happening ZINE: Wildflower ดอกไม้ที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง
เลือกโดย ปิยนุช สันต์สัมพันธ์กุล ตำแหน่ง Editor of happening shop (BACC)
หนังสือที่เล่าเรื่องราวการเดินทางของแดนดิไลออนที่ท่องไปตามกระแสลม พัดพาไปให้พบเจอกับเพื่อนใหม่เป็นเหล่าดอกไม้ ที่แบ่งปันเรื่องราวของตนเองตลอดการเดินทางไปในที่ต่างๆ ของแดนดิไลออน ถ่ายทอดผ่านภาพวาดดอกไม้ลายเส้นอันอ่อนหวานและมีสีสันสดใส อ่านแล้วทำให้เราขบคิดถึงความหมายในการดำเนินชีวิตของเรา
ไม่ว่าสายลมจะพัดพาเราไปในที่แห่งใด พบเจอกับสิ่งไหน อุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา เพียงแค่เราโอบรับสิ่งเหล่านั้นไว้ เรียนรู้ที่จะเติบโต และเชื่อมั่นว่าเรานั้นมีคุณค่าในตัวเองเฉกเช่นเดียวกับเจ้าแดนดิไลออนดอกนี้
นิทรรศการ TAKE YOUR TIME : A Solo Exhibition by SUNTUR
เลือกโดย อัยลดา ประโยชน์มี ตำแหน่ง Staff of happening shop (BACC)
Take Your Time "สร้างชีวิตต้องใช้เวลา" ประโยคนี้เกิดขึ้นในหัวเมื่อได้มาชมนิทรรศการนี้
นิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของชีวิตตลอด 33 ปีที่ผ่านมาของคุณ SUNTUR ด้วยงานที่เป็นเอกลักษณ์ น้อยแต่ทรงพลัง (Minimal But Powerful) ภาพที่เหมือนมองจากที่ไกลๆ แต่พอมองใกล้ๆ ก็ยิ่งชัดเจน นิทรรศการนี้ไม่เพียงแต่บอกเล่าเรื่องราว แต่ยังสะท้อนให้เราทบทวนสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเราเองเช่นกัน
ไม่ว่าเวลาชีวิตของเราจะยาวนานหรือแสนสั้นเพียงใด แต่ในเวลานั้นจะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น จะสุขหรือทุกข์ เวลาก็ยังคงเดินไป โดยมีตัวเราที่เติบโตไปพร้อมกับเวลา
อย่างภาพที่ทำให้ตัวเราหยุดนิ่ง และเวลาหยุดเดินชั่วขณะ มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่บรรยายทุกความรู้สึกที่มีต่อภาพนี้ เราเองก็เคยมีเจ้าหมาเพื่อนรักอยู่ตัวหนึ่ง ที่เป็นส่วนหนึ่งของความสุขในชีวิตตลอดระยะเวลา 11 ปี เราไม่เคยเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย ไม่เคยคิดว่าถ้าหากตายไปจะมีอะไรรออยู่ แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ ก็ทำให้เราคิดว่าหากจะมีอะไรรอเราอยู่ ก็คงจะเป็นเจ้าหมาตัวนี้ที่กำลังสั่นหางและตื่นเต้นที่จะได้เจอเราอยู่แน่ๆ :)
คอนเสิร์ต Colorists Music Festival 2023
เลือกโดย จิรัญญา ปรียาโชติ ตำแหน่ง Graphic Designer
งาน Festival ที่พาศิลปิน 10 วง มาสร้างความสนุกให้ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน ไม่ว่าจะเป็น Tattoo Colour, Safeplanet, HYBS, Dept, Mirrr, Yew, Landokmai, Blackbeans, Purpeech และ AYLA'S นอกจากที่ได้ฟังเพลงสนุกๆ แล้ว ก็ยังได้เห็นงานออกแบบที่นักวาดภาพประกอบหลายๆ คน
นำเสนอเรื่องราวของเพลงแต่ละเพลงผ่านสไตล์งานของตัวเอง เช่น Poon Chan1nt, Ployjaploen และ Canplu Yeem อีกทั้งองค์ประกอบต่างๆ ภายในงาน Festival ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเวทีและไฟ ก็ช่วยให้บรรยากาศภายในงานน่าประทับใจเป็นพิเศษมากยิ่งขึ้น
หนังสือ ภาพวาดปริศนากับการตามหาฆาตกร เขียนโดย อุเก็ตสึ
เลือกโดย สิริการย์ ศิริโชคภัทรวงศ์ ตำแหน่ง Staff of happening shop (Dadfa Lasalle)
จากภาพวาดธรรมดาที่คาดไม่ถึงแต่กลับมีความลับซ่อนอยู่ ใครจะไปคิดว่าความวิปลาสในใจคนจะนำไปสู่จุดจบแบบนี้..
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้สำหรับเราคือการที่นักเขียนได้แบ่งแต่ละตอนออกมาเป็น 4 เรื่องราวจากภาพวาดที่ดูธรรมดาเหมือนกับภาพวาดทั่วไปๆ และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลยสักนิดเดียว การเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากกระทู้ไดอารี่ชีวิตของชายคนหนึ่งและภาพวาดช่วงตั้งครรภ์ของภรรยาของเขา ซึ่งชวนให้เราคิดวิเคราะห์และพยายามคาดเดาไปต่างนานา แต่แล้วเรื่องราวทั้งหมดและภาพวาดธรรมดาที่ดูจะไม่มีอะไรเหล่านั้นกลับมาบรรจบในจุดเดียวกัน แล้วยังกลายเป็นปริศนาที่นำไปสู่การตามหาฆาตกรตัวจริงที่บอกเลยว่าพีคมาก! ทั้งลุ้นและชวนให้คิดตามไปกับการกระทำของทุกตัวละครในเรื่องนี้
ถ้าใครเป็นแฟนหนังสือนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะชอบหนังสือเล่มนี้ไหม หรือใครกำลังตัดสินใจอยากจะหาหยิบมาอ่าน เราอยากแนะนำคลิปของช่องนี้ที่เล่าเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจดูทางช่อง สัมภเวศิลป์ ได้นะ งาน Vintage Bike Thailand 2023
เลือกโดย พัช-พรรณพรต รัศมีวรทัศน์ ตำแหน่ง Finance and Accounting
เป็นคนชอบของเก่าของวินเทจอยู่แล้ว พอปีนี้มีโอกาสไปเที่ยวงาน Vintage Bike Thailand 2023 ก็ชอบ เพราะในงานมีการนำรถและสินค้าต่างๆ มาวางขาย มีเวทีดนตรี 3 เวที ที่การแสดงบนแต่ละเวทีมีแนวทางที่แตกต่างกัน มีทั้งรำวง ดนตรีสากล และแนวอื่นๆ อีกเหตุผลที่ชอบไปงานดนตรีนี้เพราะมีโอกาสได้เจอเพื่อน คนรู้จัก และได้มีโอกาสพบผู้คนใหม่ๆ ได้พูดคุยแลกเปลียนสิ่งที่สนใจ เนื่องจากส่วนใหญ่ที่มางานก็จะเป็นคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน