ปี 2022 ถือเป็นปีหนึ่งที่กิจกรรมและอีเวนต์ด้านศิลปวัฒนธรรมกลับมาจัดขึ้นอย่างคักคัก หลังจากอัดอั้นมานานนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่สร้างข้อจำกัดให้ผู้จัดงานต้องปรับตัวกันอย่างหนักหน่วง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงแล้วเราจึงได้เข้าร่วมงานเทศกาล คอนเสิร์ต นิทรรศการ และอีเวนต์เล็กใหญ่ กันแบบจัดเต็ม เช่น Bangkok Design Week, ตลาดนัดผดุงศิลป์ Art Market, CAT EXPO, COLORISTS Music Festival, Maho Rasop, VERY Festival, Hotel Art Fair, เทศกาลละครกรุงเทพ, Galleries' Nights, Awakening Bangkok, Night at the Museum, Bangkok Art Biennale เป็นต้น
happening เองก็ได้โอกาสเป็นผู้จัดงานแฟร์และนิทรรศการอย่างเต็มตัวในปีนี้เหมือนกัน เริ่มด้วย Bangkok Illustration Fair 2022 งานที่เราจัดร่วมกับ Decembell และ What If เต็มรูปแบบครั้งแรกที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc) ซึ่งมีนิทรรศการจาก Guest Artists 18 ศิลปินทั้งไทยและต่างประเทศ โชว์เคสจาก 150 BKKIF Artists และงานทอล์ก ซึ่งผู้ร่วมงานสามารถรับชม รับฟัง และเลือกสนับสนุนสินค้าจากศิลปินที่ชื่นชอบได้อย่างใกล้ชิด อีกงานหนึ่งคือ happening exhibition ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก (River City Bangkok) เราชวนเพื่อนๆ มาร่วมจัดนิทรรศการที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวทางความคิด มอบประสบการณ์หลากหลายรูปแบบให้กับผู้ชม ตั้งแต่รสชาติ ภาพวาด งานเซรามิก กลิ่น บทกวี ภาพถ่าย เวิร์กช็อป งานทอล์ก และกิจกรรมมากมาย ซึ่งต้องยอมรับว่าเราได้รับพลังงานดีๆ กลับมาจากทั้งศิลปินและผู้เข้าชมงานอย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว

Bangkok Illustration Fair 2022
ในช่วงเวลาปลายปีทีมแฮพฯ จึงทบทวนถึงประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจากงานศิลปะแขนงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2022 แล้วเลือกชิ้นงานที่ชอบที่สุดมาบอกเล่ากัน

หนังสือ มนุษย์ไม่เคยไร้หัวใจ (Humankind: A Hopeful History) ผู้เขียน รุตเกอร์ เบรกแมน (Rutger Bregman) ผู้แปล ไอริสา ชั้นศิริ
เลือกโดย วิภว์ บูรพาเดชะ ตำแหน่ง Editor in Chief
อ่านหนังสือมาไม่น้อย จนช่วงปีหลังๆ ผมจะเจอหนังสือน้อยมากๆ ที่ประทับใจถึงขั้น 'เปลี่ยนมุมมอง' หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่น่าประทับใจในระดับนั้นในช่วงปีนี้ครับ
Humankind เขียนโดยนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรง ที่เคยขึ้นเวที Ted Talks มาแล้ว โดยเขาตั้งสมมติฐานว่า แท้จริงแล้วมนุษยชาติมีแก่นแท้ที่มีน้ำใจ และเอื้ออารีต่อกัน โดยเล่าย้อนประวัติศาสตร์ไปไกลถึง 200,000 ปีไล่มาถึงปัจจุบัน และมีกรณีศึกษาเพียบ หลายๆ ตอนเขายังหักล้างงานวิจัยด้านจิตวิทยาอันโด่งดัง งานวรรณกรรมสุดคลาสสิก และความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับ 'เบื้องลึกของมนุษย์' ได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการเอางานวิจัยหรือข้อมูลที่ใหม่กว่ามาแสดงให้เห็น (หลายข้อมูลเป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นในช่วงราวสิบปีมานี้เอง) หากแค่นี้ยังไม่ดึงดูดพอ ขอบอกว่าผู้เขียนยังมีกรณีศึกษาที่เขาสามารถชี้แจงที่มาที่ไปและปัจจัยที่มาของการกระทำที่ 'ไร้หัวใจ' ของมนุษยชาติอย่าง สงคราม หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มาบอกด้วยว่า ถ้าหากที่แท้เราทุกคนล้วนมีหัวจิตหัวใจแล้ว ทำไมเหตุการณ์เหล่านั้นถึงเกิดขึ้นได้ ...นี่เป็นหนังสือที่ทำให้เรามีความหวังกับมนุษยชาติ และทำให้เราหันมามอง 'พวกเรา' ด้วยสายตาแบบใหม่ ขอบคุณ สนพ. Being สำหรับการทำหนังสือเล่มนี้ให้คนไทยได้อ่านครับ

Hotel Art Fair 2022
เลือกโดย วรรณวนัช บูรพาเดชะ ตำแหน่ง Editor in Chief: Online & Offline Shop
รู้สึกสนุกและเพลินกับการเดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ใน Hotel Art Fair ที่จัดในโรงแรม The Standard Bangkok ช่วงปลายปี 2022 มาก ชอบบรรยากาศที่แกลเลอรีต่างๆ ทั้งไทยและเทศมาเรียงรายอยู่รวมกันในพื้นที่ 2 ชั้นของห้องพักในอาคาร แม้บางแกลเลอรีจะมีผู้เข้าชมงานเยอะจนแน่นห้อง (ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เดินชมไม่สะดวกไปบ้าง) แต่ลึกๆ แล้วก็ชอบความคึกคักแบบนี้มากทีเดียว มันทำให้ชิ้นงานศิลปะดูมีชีวิตชีวา ยิ่งพอจัดวางในสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ชิดชีวิตประจำวันของเราอย่างเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า อ่างล้างมือ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องสนุกขึ้นไปอีก
การได้เห็นความตื่นตัวในแวดวงศิลปะรวมสมัยในไทยเป็นความสุขส่วนตัวที่ซ้อนทับกับความสุขจากการชมชิ้นงานในแต่ละห้อง แกลเลอรีที่ชอบเป็นพิเศษในงานนี้คือ VASU VIRAJSILP & JUTHATHAM CHIRATHIVAT กับ KOBAYASHI GALLERY + GALLERY KUNIMATSU AOYAMA โดยเฉพาะในห้องหลังนี้ติดใจงานวาดดินสอของ อาซึมิ อากิยามะ (Azumi Akiyama) มากๆ เป็นภาพวาดแบบโลว์คีย์ที่เหมือนจริงสุดๆ แต่เหนือกว่าความเหมือนจริงคือเราชอบความอุตสาหะของศิลปิน มันเกินกว่าสิ่งที่ตาเห็นไปอีก

ภาพยนตร์ บูชา (Worship) กำกับโดย อุรุพงศ์ รักษาสัตย์
เลือกโดย ฟ้า-นภัส นกน่วม ตำแหน่ง Creative Communication
2022 ไม่ใช่ปีทองของโรงภาพยนตร์ในชีวิตเราเท่าไร
แต่เมื่อกลางปีที่ผ่านมามีโอกาสก้าวเท้าเข้าไปสำรวจพลังความศรัทธาอันร่อยหรอในตัวเองผ่านภาพยนตร์สารคดี 'บูชา' ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการก้าวข้ามพรมแดนทั้งทางภูมิศาสตร์และจิตวิญญาณของประเทศไทย พร้อมกับสำรวจเส้นแบ่งระหว่างความเลื่อมใสกับความงมงาย กลายเป็นภาพบันทึกทางมานุษยวิทยาในประเทศของเรา
เราไม่ค่อยได้เห็นสารคดีของไทยที่แกนหลักของเรื่องไม่ได้อิงจากตัวบุคคลหรือเรื่องราวมากนัก แต่ด้วยความที่แก่นของสารคดีเรื่องนี้พูดถึงความเชื่อและความสำคัญของสิ่งที่คนส่วนใหญ่เคารพและศรัทธา สิ่งหนึ่งที่เราทึ่งมากๆ คือการมีอยู่ของพหุวัฒนธรรมในประเทศนี้ที่มันสุดโต่งจริงๆ ยอมรับเลยว่า ความต้องการหลักของหนังเองที่พยายามจะสื่อให้คนดูรู้สึกหายไปอย่างสิ้นเชิง ระหว่างที่เรากำลังจดจ่อกับเสียงสวดมนต์ ควันธูป และคราบเลือดบนเหล็กแหลม องก์สุดท้ายมันเจ๋งมากจริงๆ ทั้งในแง่ของการดำเนินเรื่องและโปรดักชั่น พูดตรงนี้เลยว่าเทคนิคภาพและเสียงพาเราไปได้ไกลมาก
เรานั่งนิ่งๆ หลังเครดิตท้ายเรื่องผ่านขึ้นมาบนจอ และรู้ในทันทีว่าเราหาคำตอบให้กับคำถามที่ว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญแค่ไหน จำเป็นต้องมีหรือไม่ หรืออะไรทำนองนี้ไม่ได้เลย รู้อย่างเดียวว่าสิ่งเหล่านี้จะยังอยู่แบบนี้ไปอีกนาน นานอย่างที่เราจินตนาการไม่ออกแน่นอน
และไม่ว่าความเชื่อนั้นจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยแค่ไหน สุดท้ายก็ยังคงทำงานกับความรู้สึกนึกคิดของคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ศรัทธาอยู่ดี
ควรค่าแก่การรับชมค่ะ

นิทรรศการ CREATURES OF TRILOGA โดย กลุ่ม Art of Triloga
เลือกโดย ส้ม-ดุสิตา อิ่มอารมณ์ ตำแหน่ง Head of Editorial & Content
ท่ามกลางงานนิทรรศการศิลปะมากมายในปีนี้ CREATURES OF TRILOGA เป็นนิทรรศการที่สร้างความตื่นตาตื่นใจและติดค้างอยู่ในความรู้สึกมากที่สุด
ตั้งแต่ติดตามกลุ่ม Art of Triloga ที่นำโดย ฮ่องเต้-กนต์ธร เตโชฬาร ร่วมด้วย ซัน-ชาคร ขจรไชยกูล และศิลปินในกลุ่มอีกกว่า 18 คน เราจะเห็นพวกเขาค่อยๆ นำเสนอคาแรกเตอร์ดีไซน์ของ ครุฑ ยักษ์เผ่าต่างๆ และราชสีห์ 4 ตระกูลในรูปแบบภาพวาด ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใน 'ไตรโลกา' จากการนำตำนาน 'ไตรภูมิ' มาสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในพื้นที่ของนิทรรศการ เราจะได้เห็นกายภาพจากจินตนาการเหล่านั้นเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่นำมาทำเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ กระบองท้าวเวสสุวรรณขนาด 2 เมตร แบบจำลองวัตถุโบราณ และฟอสซิลโครงกระดูกครุฑขนาด 3 เมตร นิทรรศการยังนำเสนอลักษณะเฉพาะ ถิ่นที่อยู่อาศัย และข้อมูลพื้นฐานของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ซึ่งร้อยเรียงร่องรอยอารยธรรมที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเป็นเรื่องราว แต่ละองค์ประกอบในนิทรรศการล้วนแสดงให้เห็นถึงพลังของจินตนาการที่ผ่านการขุดค้นข้อมูล คิดวิเคราะห์ ก่อนที่จะสร้างสรรค์ออกมาเป็นโลกใบใหม่แบบทุ่มสุดตัวและไปไกลกว่าที่ใครจะคาดคิดเลยทีเดียว
สำหรับคนที่อยากฟังแนวคิดเบื้องหลังการสร้างจักรวาลไตรโลกา ติดตามฟังทาง happening Talk ทาง
ช่อง Youtube ของ happening ซึ่งเราชวน ฮ่องเต้-กนต์ธร เตโชฬาร และ ซัน-ชาคร ขจรไชยกูล มาคุยแบบสุดพิเศษในงาน happening exhibition ที่ผ่านมา

อัลบั้ม Q.E.D ศิลปิน Mirrr
เลือกโดย นิษณาต นิลทองคำ ตำแหน่ง Editorial Staff
ส่วนตัวมีโอกาสมองเห็นการเติบโตของวง Mirrr มาตลอด ในช่วงเวลาที่พวกเขาก้าวเข้าสู่การเป็นศิลปินเต็มตัว เป็นเวลาเดียวกับที่เราเริ่มทำงานเช่นกัน หลังจากที่โตและนาวปล่อย Ep. Social Anxiety มาก่อนหน้านี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้มเต็มชุดแรกที่ชื่อว่า Q.E.D
10 เพลงในอัลบั้ม Q.E.D เต็มไปด้วยองค์ประกอบและรสชาติหลากหลายที่กลั่นกรองมาจากความชอบของโตและนาว แม้ Q.E.D อาจไม่ใช่อัลบั้มที่ถูกกล่าวขานว่าดีที่สุดแห่งปี แต่ก็ถือเป็นอัลบั้มที่สะท้อนให้เห็นตัวตนของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแนวดนตรีที่ผสมผสานเพลงหลากแนวไว้อย่างลงตัว เนื้อหาที่หยิบจับเรื่องราวความสัมพันธ์มาเปรียบเทียบกับสิ่งใกล้ตัวจากโต ประกอบกับการโซโล่กีตาร์อันมีเอกลักษณ์ของนาว
ยิ่งเรามีโอกาสได้ไปชมการแสดงเปิดตัวอัลบั้ม ต้องบอกตามตรงว่าเราประทับใจทุกองค์ประกอบทั้งการเพอร์ฟอแมนซ์ของโตและนาว ตลอดจนวิชวลต่างๆ ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชม จนหลายคนที่อยู่ในเวลานั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อัลบั้ม Q.E.D คือ Mirrr เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในเวลานี้แล้ว
ขณะเดียวกัน Q.E.D ก็เป็นอัลบั้มที่มีผลต่อจังหวะชีวิตของเรามากที่สุดเช่นกัน
ส่วนตัวเป็นคนชอบฟังเพลงสนุก ก็เลยขอยกเพลง ไม่รู้ดิ (Keep It Low Key) เป็นอันดับหนึ่งในปีนี้ ตั้งแต่วงปล่อยอัลบั้มเต็มออกมา เพลงนี้ก็กลายมาเป็นเพื่อนที่คอยปลุกในตอนเช้า ในวันที่สุข ในวันที่เศร้า ในวันที่ชีวิตหลุดจากการควบคุม การได้ฟังเพลงที่ชอบก็พาให้จังหวะชีวิตและหัวใจค่อยๆ กลับมาสงบทุกครั้ง
อีกอย่างเวลาเห็นวงที่ชอบมากๆ เติบโตขึ้นอีกระดับหนึ่ง มันก็พาให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเองเช่นกัน บนถนนที่ชื่อว่าอนาคตและความฝัน ตัวเราเองก็เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่าวงที่ชอบเลยทีเดียว
ขอบคุณภาพประกอบจาก What The Duck

หนังสือ Wink มั่งคั่งมากกว่าที่ตาเห็น เขียนโดย โรเจอร์ แฮมิลตัน (Roger Hamilton) เรียบเรียงโดย จักรพงษ์ เมษพันธุ์
เลือกโดย พัช-พรรณพรต รัศมีวรทัศน์ ตำแหน่ง Finance and Accounting
เราเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งหนังสือ Wink ไม่เหมือนหนังสือการเงินทั่วๆ ไปที่บอกเคล็ดลับต่างๆ ตามแบบฉบับของผู้เขียน แต่เป็นหนังสือที่แนะนำแนวทางการเงินในรูปแบบการเล่าเรื่อง ผ่านเด็กชายคนนึง ที่ต้องการความมั่นคง แล้วเด็กชายคนนั้นจึงนำเราไปรู้จักกับบุคคลต่างๆ ที่มีการนำเสนอรูปแบบความมั่นคั่งในแบบของแต่ละคน
เล่มนี้เป็นหนังสือที่ทำให้เราได้เจอเส้นทางความมั่นคงที่เป็นแบบตัวเราเอง ทำให้เรามีเป้าหมายด้านการเงินที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เปลี่ยนแปลงชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต่างจากที่คนส่วนใหญ่ทำกัน คือ ทำงานหนัก แบบไม่รู้เป้าหมาย รอคอยโชคชะตา และไม่ดูแลตัวเอง...

ละครเวที LUNA : The Immersive Musical Experience โดย Castscape
เลือกโดย ธารี ไชยวุฒิกรณ์วานิช ตำแหน่ง Art Director
ในตอนแรกที่จองตั๋วไปดู เพราะมีเพื่อนสองสามคนเป็นนักแสดงในละครเวทีครั้งนี้ จึงแค่อยากไปฟังเพลงเพราะๆ เท่านั้น แต่พออ่านรายละเอียดก็พบว่า ผู้ชมจะไม่ได้แค่นั่งดูเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่จะได้เข้าไปใกล้ชิดกับตัวละครในฉาก และเลือกตัวละครที่สนใจ เพื่อติดตามเรื่องของตัวนั้นได้ พอไปถึงหน้างานจึงได้รู้ว่า จะมีทางเข้าสองทางให้เลือกว่าจะเข้าฝั่งเมืองหรือฝั่งป่า เนื้อเรื่องของทั้งสองฝั่งจะดำเนินไปพร้อมๆ กัน ถ้าเลือกเข้าฝั่งไหนก็จะรู้เนื้อเรื่องของฝั่งนั้นแค่ฝั่งเดียว นักแสดงทุกคนไหวพริบดีมาก ถามตอบกับผู้ชมอย่างสนุกสนาม เสียงดี เพลงเพราะ ฉากสวย เลยอดที่จะมาแชร์ และชวนให้ทุกคนได้ไปลองประสบการณ์สนุกๆ ที่เราก็คิดว่าจะจองไปดูรอบที่สองเหมือนกัน
LUNA : The Immersive Musical Experience จะมีการแสดงไปจนถึงวันที่ 28 มกราคม 2566
สามารถซื้อบัตรได้ที่
ticketmelon: LUNA ขอให้ทุกคนสนุกกับละครเรื่องนี้นะ

ละครเวที พินัยกรรมของหญิงวิกลจริต โดย Dreambox
เลือกโดย จิรัญญา ปรียาโชติ ตำแหน่ง Graphic Designer
พินัยกรรมของหญิงวิกลจริต เป็นละครเวทีที่เล่าเรื่องราวผ่านตัวละครแค่คนเดียวคือ ไพลิน ซึ่งในเรื่องจะถูกขังอยู่ในห้องใต้หลังคาของบ้านหลังหนึ่ง ตลอดระยะเวลาการแสดง ไพลินคือตัวละครตัวเดียวที่เราจะได้เห็นสีหน้า และการแสดงอารมณ์ผ่านบทละครที่ถูกปรับให้เป็นเนื้อร้องน่าฟัง ฉากที่ดีไซน์เป็นห้องใต้หลังคาให้ความรู้สึกเหมือนคนดูถูกขังและเป็นเพื่อนในจินตนาการไปพร้อมกันกับเธอ ส่วนหลังฉากที่ใช้เทคนิคซิลลูเอต (silhouette) มาสนับสนุนการดำเนินเรื่องราวภายนอกห้องใต้หลังคาก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ
หลังจากที่เคยชินกับการเอาแต่เปิดเพลงที่ชอบวนซ้ำไปเรื่อยๆ หรือหนังเรื่องโปรดที่นอนดูได้ตลอดในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่ความประทับใจที่มีหรือฉากที่ชอบในละครเวทีเรื่อง พินัยกรรมของหญิงวิกลจริต คงไม่สามารถดูซ้ำได้อีกแล้ว

หนังสือ ความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว เขียนโดย นิ้วกลม
เลือกโดย รัญชนา วิเชียร ตำแหน่ง Web Administrator and Coordinator
แด่ คุณ - ผู้เคยถูกอคติทำร้าย
และคุณ - ผู้เคยทำร้ายคนอื่นด้วยอคติ
เป็นคำอุทิศของหนังสือที่ดึงดูดให้เราอยากพลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านเนื้อหาด้านใน พอเปิดอ่านบทแรกก็ทำให้อยากอ่านต่อจนจบทันทีด้วยประเด็นที่น่าสนใจมากมาย อย่างประเด็นที่ว่า ทำไมเราถึงไม่สามารถเป็นได้ทุกอย่าง, วัยเยาว์ทำให้เขาเป็นอย่างที่เห็น, เราสามารถเข้าใจทุกคนได้จริงหรือ, โลกนี้มีกี่เพศ, หรือแม้กระทั่งประเด็นที่ตั้งคำถามชวนขบคิดว่า 'เราเป็นใครกันแน่'
เรากำลังอยู่ในโลกที่คนส่วนใหญ่ด่วนพิพากษาตัดสิน หลายต่อหลายครั้งที่เราเผลอตัดสินคนอื่น 'ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ' 'ทำไมเขาไม่ทำแบบนี้กันนะ' หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยฉุดดึงความคิดเรา ให้เราสามารถเข้าอกเข้าใจเหตุและผลของสิ่งรอบตัว
สำหรับเราแล้วหนังสือเล่มนี้ได้เปิดมุมมองความคิดให้คนอ่านมีหัวใจที่กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะได้อธิบายเรื่อง 'ความแตกต่าง' ของมนุษย์ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์จริงๆ

วิดีโอสารคดี จักรวาลใจ Metal-Verse โดย Eyedropper Fill
เลือกโดย มาลินี จันทร์เลิศฟ้า ตำแหน่ง Editor of happening shop (Dadfa Branch)
มีโอกาสไปชม Metal-Verse ที่ Yellow Lane Cafe อารีย์ ชวนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานมากไปดูด้วยกัน ชอบที่ที่นั่งเป็นหมอนนุ่มๆ แล้วฉากในโรงก็เป็นเหมือนก้อนเมฆ เหมือนเราได้เข้าไปอยู่อีกโลกนึง หรือฉากผ้านั้นจริงๆแล้วอาจจะเปรียบเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในหัวสมองของคนก็ได้ แบ่งเป็น 3 ตอน ของคน 3 วัย Gen Z , Gen Y และ Baby Boomer แต่ละคนก็จะมีเรื่องราวของตัวเอง ที่ชอบอีกอย่างคือระหว่างตอน จะมีช่วงพักฉายแสงไฟรูปหัวใจ รูปดาว รูปก้อนเมฆและเปิดเพลง เหมือนเป็นช่วงที่ให้เราได้กลับมาอยู่กับตัวเอง แสงไฟช่างน่ารัก ดีใจที่ได้ดูเรื่องนี้ รู้สึกเหมือนมีเพื่อน และได้เข้าใจจิตใจของคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตในแบบที่ต่างกันออกไปมากขึ้น ขอบคุณเล่าเรื่องแบบนี้ออกมานะคะ

Workshop : CHECK ± SHIFT ± CHANGE™ : LEAVE YOUR MARK โดย Practical School of Design (PS±D)
เลือกโดย ปิยนุช สันต์สัมพันธ์กุล ตำแหน่ง Editor of happening shop (BACC)
LEAVE YOUR MARK เป็นเวิร์กช็อปที่เน้นการทดลองให้ออกจากแนวทางทำงานเดิมๆ ของแต่ละคน การสำรวจแนวทางพัฒนาตนเองและหาความเป็นไปได้อื่นๆ ผ่านการทำ Side Project โดยทุกคนจะได้ร่วมกันค้นหาประเด็นที่น่าสนใจเพื่อนำมาต่อยอดและพัฒนาเป็นผลงานส่วนบุคคลเพื่อจัดแสดงในงาน happening Exhibition ที่ River City Bangkok ที่สำคัญผู้ชมงานสามารถเข้ามาสังเกตการณ์ระหว่างการทำเวิร์กช็อปได้ด้วย
ช่วงแรกของการเวิร์กช็อปจะเน้นไปที่การทำความรู้จักกันของผู้เข้าร่วมและผลงานของแต่ละคน รวมไปถึงแนวคิดในการทำงานจากงานแสดงชิ้นที่นำมาเข้าร่วมในรอบแรกนี้ ในสัปดาห์ถัดมาจึงเริ่มเข้าสู่การค้นหาและพาตนเองไปอยู่ในบริบทที่ทำให้แต่ละคนได้เริ่มทดลองสิ่งใหม่ๆ นำเสนอรูปแบบและความเป็นไปได้ในการทำงานจากเดิมไปในหนทางแบบใหม่ ความท้าทายคือ การที่เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย การลองเปลี่ยนมุมมองในการทำงานจากเดิมด้วยมุมมองใหม่ ซึ่งในแต่ละสัปดาห์ก็จะมีการนำงานหรือการทดลองของแต่ละคนมาร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนาน ถึงแม้ว่าในกระบวนการสร้างสรรค์งานอาจจะพบเจอกับอุปสรรคหรือปัญหาบ้าง การได้มาแลกเปลี่ยนกันในแต่ละสัปดาห์นั้น ถือว่าช่วยให้เราได้รับทั้งแง่คิดและพลังใจไปใช้ต่อยอดในการทำงานให้สำเร็จต่อไปได้ และในช่วงท้ายจะมีการนำเสนอผลงานของแต่ละคนในแนวทางใหม่ที่เราได้ร่วมกันค้นหาและทดลองกันมา
เวิร์กช็อปนี้ทำให้เราได้รับมุมมอง แนวทาง และประสบการณ์ใหม่ๆในการสร้างสรรค์งาน การได้ค้นหาตัวเองในแง่มุมที่เปลี่ยนไปเพื่อนำมาพัฒนางานของเราต่อไป ต้องขอบคุณทีม PS±D ที่จัดเวิร์กช็อปนี้ขึ้นและผู้เข้าร่วมทุกคนที่ช่วยกันแนะนำ ส่งต่อความตั้งใจ และพลังงานดีๆ ให้แก่กันตลอดระยะเวลาที่ร่วมเวิร์กช็อปเลย นับเป็นเวิร์กช็อปที่น่าประทับใจและอยากแนะนำสำหรับเหล่านักสร้างสรรค์ที่อยากลองขยับตัวออกจากมุมมองเดิมๆ ไปค้นหาตัวตนและเติมมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเอง

แอนิเมชัน Cyberpunk: Edgerunners ร่วมมือการสร้างโดย CD Projekt Red กับ Studio Trigger
เลือกโดย วชิรญาณ์ ทับวัง ตำแหน่ง Staff of happening shop
ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มาแรงมากจริงๆ ในปี 2022 กับเรื่อง
Cyberpunk: Edgerunners สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจหยิบยกเรื่องนี้มาอย่างแรกเลยคือ ภาพสวยมาก สวยตาแตก ไม่แปลกใจเลยกับผลงานของสตูดิโอสุดปังอย่าง Studio Trigger ที่จริงแล้วแอนิเมชันเรื่องนี้ได้เบสออนมาจากเกม Cyberpunk 2077 ของค่ายเกม CD Projekt Red นั่นเอง เนื้อหาและตัวละครต่างๆ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเกม แม้จะมีตัวละครในเกมที่โผล่มาบ้าง แต่น้อยมากๆ แอนิเมชันเรื่องนี้เป็นเพียงเนื้อหาที่เกิดขึ้นก่อนเนื้อเรื่องในเกม เล่าเรื่องในอีกมุมมองหนึ่งในโลกของ Night City จักรวาลเดียวกันกับ Cyberpunk
แอนิเมชันเรื่องนี้มันครบรสจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่องที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาเน้นๆ เล่าได้ไม่มีติดขัดอะไรมูดแอนด์โทนของงานภาพที่สุดปังแบบไม่มีผิดหวัง คาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครที่มีความโดดเด่น มีการบอกเล่าสาเหตุถึงที่มาที่ไปในการตัดสินใจทำอย่างใดอย่างนึงของตัวละคร แม้แต่ความละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์กับตัวละครที่ตอนแรกดูเหมือนจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานธรรมดาที่หวังผลประโยชน์ร่วมกัน แต่มันกลายเป็นเหมือนจะมีความผูกพัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจมากขึ้น เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในภารกิจด้วยกัน แม้ว่าเราจะไม่เคยเล่นเกม Cyberpunk หรือรู้จักกับเกมนี้มาก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมด อีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกชอบก็คือเพลงประกอบ คือเพลง
'I Really Wanna to Stay at Your House' เป็นอะไรที่ไม่สามารถมูฟออนได้หลังจากดูเรื่องนี้จบ มันสมูทไปหมด ติดอยู่กับเพลงนี้อยู่นานพอสมควร โดยรวมแล้วยกให้เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันที่ชอบที่สุดเลย

ซีรีส์ Wednesday สร้างโดย Alfred Gough และ Miles Millar กำกับโดย Tim Burton (4 ตอน), James Marshall (2 ตอน) และ Grandja Monteiro (2 ตอน)
เลือกโดย สิริการย์ ศิริโชคภัทรวงศ์ ตำแหน่ง Staff of happening shop Dadfa
'ฉันไม่ได้เกลียดวันเกิดมาตั้งแต่แรก วันเกิดแต่ละครั้งย้ำเตือนว่าเราเข้าใกล้ความตายขึ้นอีกปี ทำไมฉันจะไม่ชอบล่ะ?'
ประโยคที่ทัชใจเราที่สุดของซีรีส์ Wednesday ใน Netflix ที่เห็นตัวอย่างตั้งแต่เพิ่งออกมาใหม่ๆ และปักลงลิสต์ไว้เลยว่าฉันต้องดูให้ได้! ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 8 ตอน และแน่นอนเราดูจบภายใน 2 วัน
ในซีรีส์จะเล่าเรื่องราวแตกต่างจากใน The Addams Family เวอร์ชั่นเก่าๆ แต่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นครอบครัวแอดดัมส์อยู่พอสมควรเพราะได้ผู้กำกับสายทำหนังตลกร้ายอย่าง Tim Burton มาเปิดโลกจินตนาการของซีรีส์เรื่องนี้ และสร้างออกมาได้ลงตัวมากๆ ถึงแม้เขาจะมากำกับเพียงแค่ครึ่งเรื่อง ในซีรีส์จะเล่าถึง 'Wednesday Addams' พี่คนโตของบ้านแอดดัมส์ผู้หลงใหลในความตาย คลั่งไคล้ความมืดและชอบเพียงแค่สีดำ ที่กำลังอยู่ในช่วงชีวิตวัยรุ่นไฮสคูล เมื่อเธอย้ายไปอยู่โรงเรียนคนแปลกคนนอกอย่าง Nevermore Acadamy ในเมือง Jericho ที่เต็มไปด้วยความเชื่อทางศาสนาแบบเข้าขั้น Wednesday ก็พบกับเรื่องราวลึกลับ และชวนคนดูตามไปสืบสวนเพื่อไขคดีปริศนาภายในโรงเรียนพร้อมๆ กัน
ปกติเราเป็นสายดูซีรีส์สไตล์นี้อยู่แล้วเลยประทับใจมากตั้งแต่เริ่มดูจนถึงตอนจบ เพราะมันครบรสในเรื่องเดียว ทั้งความเป็นไฮสคูลวัยรุ่น การได้สืบหาความจริงไปกับตัวละคร และเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร เรื่องนี้คัดนักแสดงออกมาได้ตรงคาแรคเตอร์มาก เขาทำให้เราอินไปกับตัวละครที่เขาเล่นได้ดี โดยเฉพาะ 'Thing' มือขวาที่คอยช่วยเหลือน้องวันพุธอยู่ข้างๆ ซึ่งเบื้องหลังของการถ่ายเจ้ามือขวาตัวนี้ทำเอาตะลึงสุดๆ รวมถึงมุมกล้องและโทนสีของเรื่องที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างดี ขอยกให้เรื่องนี้เป็นศิลปะการถ่ายทำซีรีส์ที่สุดยอดที่สุดสำหรับเราเลย