เส้นตรงในชีวิตของ เนเน่ พรนับพัน จากนักล่าฝันบ้าน AF สู่การเป็นศิลปินไทยที่ดังไกลถึงประเทศจีน

    "งานในวงการบันเทิง คือทางเลือกเดียวในชีวิตของเน่ ถ้าเน่ยอมแพ้ตอนนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่มีความหมาย"

    เส้นทางชีวิตของ เนเน่-พรนับพัน พรเพ็ญพิพัฒน์ เปรียบเสมือนทางตรงที่ไม่มีจุดให้เลี้ยวกลับ เธอแจ้งเกิดจากการเป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุดในรายการ Academy Fantasia 10 (AF10) ด้วยวัยเพียง 15 ปี ช่วงตอนหนึ่ง เธอถูกจดจำในฐานะสมาชิกวง Milkshake กลุ่มศิลปินหญิงที่นำเสนอเพลงป็อปผสมกลิ่นอายความเป็นไทย อย่างเพลง แห่ และ โจ๊ะ เมื่อปี 2015 ก่อนเหล่าสมาชิกจะหมดสัญญาและแยกย้ายกันไป

    ระหว่างทาง เรายังมีโอกาสเห็นเธอในบทบาทหลากหลาย ทั้งนักร้อง นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ โดยเฉพาะความน่ารักของ พี่แอร์ จากซีรีส์เรื่อง เพราะเราคู่กัน งานแสดงชิ้นสุดท้ายในไทย ก่อนที่เธอจะเข้าร่วมแข่งขันรายการ CHUANG (อ่านว่า ช่วง) หรือ Produce Camp 2020 รายการที่ทำให้เสียงของเธอกลายเป็นที่จดจำของแฟนเพลงชาวจีนและไทย จนได้รับแรงสนับสนุนให้เดบิวซ์เป็นเกิร์ลกรุ๊ป บงบงเกิลส์ 303 ที่ฮอตที่สุดในประเทศจีนในเวลานั้น

    แม้วันนี้บทบาทการเป็นวงจะสิ้นสุดลง แต่เธอยังคงทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวทั้งในประเทศจีนและไทยอย่างต่อเนื่องในฐานะ เจิ้งหน่ายซิน (Zheng Naixin) และมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเพลง All About That Day เพลงแรกที่เธอเขียนเนื้อร้องและทำนองเอง ภายใต้การดูแลของค่าย Sony Music ที่คอยซัพพอร์ตการทำงานในประเทศจีนของเธอ

    ล่าสุด เนเน่กลับมาประเทศไทยและมีโอกาสได้ทำเพลงร่วมกับค่าย High Cloud Entertainment จนมีเพลงใหม่อย่าง ละเมอ เพลงป็อปที่มีกลิ่นอายความเป็นลูกกรุง ประกอบกับเสียงนุ่มๆ ที่บอกเล่าความเหงาและความสวยงามของการจากลา ก่อนที่เธอจะพา กอล์ฟ-ณัฐวุฒิ ศรีหมอก หรือ F.HERO และ วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร มาส่งมอบความสุขให้กับแฟนๆ ในเพลง VACAY เพลงป็อปผสมฮิปฮอปที่มีจังหวะให้โยกสบายๆ เพลงที่กอล์ฟแต่งไว้รอให้เนเน่มาร่วมเป็นเจ้าของ

    จากเด็กสาวที่หลงใหลงานในวงการบันเทิง เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์และผ่านช่วงเวลาทั้งดีและร้าย ในฐานะนักร้องและนักแสดง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอจะหยุดเดินหน้าแล้วหันหลังยอมแพ้ให้กับชีวิต

    และนี่คือเรื่องราวบนถนนที่มุ่งหน้าเป็นเส้นตรงอันยาวไกลของศิลปินสาวที่ตอนนี้โด่งดังทั้งในประเทศไทยและจีน

ชีวิตช่วงนี้ของเนเน่เป็นยังไงบ้าง

    เน่อยู่ไทยสลับกับจีน ไปๆ กลับๆ เหมือนจีนอยู่ปากซอยเลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้ในไทย เน่มีปล่อยเพลงและรับงานแสดงไว้ด้วยค่ะ น่าจะได้เปิดกล้องช่วงปลายปีนี้ ส่วนเพลงในคลังของเน่ก็เยอะมากๆ เดี๋ยวคงมีโอกาสทยอยปล่อยออกมาค่ะ ส่วนที่จีนก็กำลังเตรียมทำอัลบั้มอยู่เหมือนกันค่ะ

มาร่วมงานกับทาง High Cloud Entertainment ได้ยังไง

    จริงๆ พี่กอล์ฟ เคยติดต่อทางบริษัทตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้ ด้วยความที่ตอนนั้นเราทำงานของวงอยู่ เลยยังไม่ได้จังหวะร่วมงานกัน จนหลังจากนั้นก็ได้มาร่วมงานกัน

    เพลงแรกที่ปล่อยออกมาคือเพลงละเมอค่ะ เพลงนี้เน่แต่งตอนอยู่จีน เราอยากเล่าถึงความเหงาในชีวิตออกมา เน่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้เหงา เคยคิดภาพว่าตัวเองจะเหงาไปจนแก่เลยรึเปล่า เราเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาตลอด แม้ในอนาคต เราอาจจะมีแฟน มีลูก แต่สุดท้ายเราก็ต้องแยกจากกัน แต่ความสวยงามในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันจะอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ

    ตอนที่แต่งเพลงนี้ ภาพในหัวของเน่คือคุณยายนั่งอยู่ในบ้าน จิบชาทุกวัน ทำกิจวัตรเดิมๆ ทุกวัน แล้วในใจของเขาก็มีภาพความทรงจำของคนรักในวัยหนุ่มสาว แล้วก็เปิดเพลงนี้ฟัง ผ่านเครื่องเล่นไวนิล จำได้ว่าเราใช้เวลาแต่งท่อนฮุคแค่สิบห้านาที ตรงโต๊ะในบ้านประมาณตีสองตีสาม อากาศกำลังหนาวเลย เรานั่งเล่นกีตาร์ไปเรื่อยๆ จนได้ทำนองมาก่อน แล้วก็จดไว้ในโน๊ต แล้วก็เอาทำนองนี้มาทำต่อ แล้วเราก็เอามาเสนอพี่กอล์ฟ จนได้เพลงละเมอมาค่ะ

    ตัวเพลงเราทำเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ที่จีน เป็นการทำงานส่งกันไปมาระหว่างไทยและจีน เริ่มจากเราโทรคุยกับทางทีมไทยว่าอยากได้กลิ่นอายของลูกกรุง ด้วยความที่เราไม่ได้เกิดในยุคนั้น เราก็จะไม่ได้เชี่ยวชาญมากเลยหาซาวน์ที่อยากได้อยู่นานมาก ซึ่งเน่ก็เป็นคนบอกกับโปรดิวเซอร์เองว่า เราอยากได้เสียงแบบไหน จริงๆ เพลงนี้อัดสองรอบ เพราะเน่ไปอัดเสียงในห้องอัดที่ไมค์ไม่โดนใจเท่าไหร่ แล้วเสียงมันยังไม่ได้ เราเลยไปอัดอีกรอบหนึ่ง

    ส่วนมิวสิกวิดีโอ ด้วยความที่เน่อยากปล่อยเพลงนี้ก่อนงานคอนเสิร์ต เราเลยไม่ได้ทำเป็นวิดีโอที่เล่าเรื่องราวจริงๆ ด้วยเวลากระชั้นชิด เลยใช้การถ่ายทอดความรู้สึกในเพลงผ่านตัวของเน่แทนค่ะ
เอาจริงๆ เน่ชอบเพลงเศร้านะ ความเศร้ามันเจ็บลึกมากกว่าความสุข มันอยู่กับเรานาน เพราะมันสวยงาม มันถึงเศร้า เน่ก็เลยทำแต่เพลงเศร้า (หัวเราะ) ดีที่มีเพลง VACAY มาดึงมู้ดขึ้นมาหน่อย ดีนะคะ คนจะได้เห็นเราหลายๆ แนว

กระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง

    คุณแม่หรือคุณป้าที่รู้จักก็บอกว่าชอบนะคะ ด้วยความที่เพลงมีความเฉพาะกลุ่มมากๆ ฐานแฟนเพลงของเน่ก็เลยไม่ได้เป็นคนในกระแสมากนัก แต่เน่รู้สึกว่าเพลงนี้ประสบความสำเร็จในทางหนึ่ง คือ มีคนมาคอมเมนต์ว่าฟังแล้วนึกถึงหมาแมวที่ตายไปแล้ว หรือคุณพ่อคุณแม่ที่เสีย เขานึกถึงความสวยงามที่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนเพลงนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราอยากบอกออกไปจริงๆ

แล้วการทำงานในซิงเกิลที่สอง อย่าง VACAY ล่ะ แตกต่างจากเดิมมากไหม

    การทำงานเพลง VACAY ต่างกับละเมออย่างสิ้นเชิง เพลงนี้พี่กอล์ฟทำมาเพื่อรอเน่ เขามองว่าช่วงเวลาที่เรากลับไทยมาเป็นเวลาที่เราได้พักผ่อน พอเน่กลับมาอัดเพลงจนเสร็จ ก็คุยกับพี่กอล์ฟว่าเพลงนี้เราน่าจะมีชายหนุ่มมาช่วยเติมสีสันให้ เลยบอกว่า 'พี่กอล์ฟคะ ไปจีบน้องวินให้หน่อยได้ไหม' (หัวเราะ) เราไม่ค่อยได้เห็นวินร้องเพลงเท่าไหร่ แล้วจริงๆ เขาร้องเพลงเพราะนะ เน่ว่าวินน่าจะทำให้เพลงนี้น่าสนใจค่ะ

    อย่างวันถ่ายเอ็มวี ทุกคนก็สนุกสนานค่ะ เน่ก็จะเล่นกับทุกคน เพราะเรามีความเป็นกันเองสูง เราก็จะแบบ 'เห้ย พี่กินข้าวไหม' 'เล่นนี่ไหม' 'เล่นนั่นไหม' แต่พอวินมาถึง เขาเหมือนลอยมาเลย คนในกองถ่ายก็เกร็งกันหมดว่าจะดูแลเขายังไงดี แต่วินน่ารักมาก เขาเต็มที่กับงานสุดๆ ส่วนพี่กอล์ฟก็ตามสไตล์ค่ะ รับหน้าที่เป็นคุณพ่อของกองถ่าย (หัวเราะ)

ย้อนกลับมาคุยเรื่องของเนเน่กันบ้าง ชีวิตในวัยเด็กของคุณเป็นแบบไหน

    เน่เป็นเด็กที่รู้ตัวเองตั้งแต่แรกว่า อยากทำอะไรในชีวิต เราชอบทำกิจกรรมและร้องเพลงมากๆ ทุกครั้งเวลาคุณแม่มารับกลับบ้าน เขาจะเปิดเพลงให้ฟังในรถ ความสัมพันธ์กับดนตรีมันเริ่มจากตรงนั้น เน่ร้องเพลงภาษาอังกฤษได้ ชื่อเพลง Out of Reach (Gabrielle, 2001) เราฟังจนร้องได้ทั้งที่ไม่รู้เนื้อเพลง พอเริ่มรู้ตัวว่าชอบร้องเพลง เราก็เริ่มลงประกวดในโรงเรียน

    เน่พบว่าตัวเองชอบความรู้สึกตอนได้อยู่บนเวทีมากๆ เรารู้ตัวเลยว่าเราอยากเป็นดารา จะเป็นนักแสดงหรือนักร้องก็ได้ ขอแค่เราได้อยู่หน้ากล้อง เรามีมายเซ็ตนี้อยู่ในหัวตลอด เน่เริ่มทำโปรไฟล์โมเดลลิ่งของตัวเองตั้งแต่ปอสี่ปอห้า ส่งอีเมลให้เอเจนซี เคยไปแคสต์งานหลายที่มากๆ ไปทุกที่ที่มีโอกาสจะดังได้ แต่เราไม่เคยได้งานเลย โดนหลอกบ้างก็มี กว่าจะได้งานก็ตอนเริ่มโตแล้ว

    ด้วยยุคนั้น คนมองว่าหน้าไทป์ฝรั่งจะขึ้นกล้องกว่า เราก็เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย แล้ความสามารถของตัวเองก็อาจจะไม่ได้เก่งขนาดนั้น หลังจากนั้น เราก็เริ่มเรียนเต้น เรียนร้องเพลง จนถูกดึงไปเป็นแดนเซอร์ให้กับรายการเดอะสตาร์ เพลงเพลง บอกตรงๆ รักจังเลย ของพี่เชอรีน ไปดูกันได้นะคะ เนเน่อยู่ในนั้นค่ะ (หัวเราะ)

    จนอายุสิบห้าปี เราก็ไปสมัครเอเอฟ แล้วก็เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ตอนนั้น

ชีวิตในบ้านเอเอฟเกิดอะไรขึ้นบ้าง

    เน่ว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ เพราะเราเป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่กับตัวเอง ไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นก่อน เวลาพี่ๆ เขานั่งคุยกันในบ้าน เราก็จะหาอะไรทำไปเรื่อย ซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น อาจจะด้วยอายุที่ต่างกัน เราเพิ่งสิบห้า พี่ๆ เขาอายุยี่สิบกว่ากันแล้ว เขาก็จะมีเรื่องคุยในแบบของเขา หลังจบรายการแล้ว เน่ก็กลับมาเรียนต่อและเป็นฟรีแลนซ์รับงานเองด้วย

    ช่วงนั้นคุณแม่เลิกกับคุณพ่อนานแล้ว เน่ก็ต้องหาเงินดูแลตัวเอง อายุประมาณสิบหกก็ออกมาทำงานแล้ว เรียนๆ หยุดๆ บ้าง ไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่ พอนึกดีๆ เราออกมาหางานเพื่อส่งตัวเองเรียน แต่เรากลับไม่มีเวลาเรียน มันเป็นกงกรรมกงเกวียนมากๆ จนเรารู้สึกว่า งั้นก็ออกมาทำงานเลยแล้วกัน

แล้วมาเป็นหนึ่งใน Milkshake ได้ยังไง

    ทางค่ายเจอเราจากอินสตาแกรม แล้วติดต่อมาว่าเขาจะทำมิล์คเชค เราก็เซ็นต์สัญญาเป็นศิลปินกับทางแกรมมีอยู่ช่วงหนึ่ง จริงๆ มันเป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะทีมพี่ๆ ที่ทำงานด้วยกัน เขามาจากทีมกามิกาเซ่เก่า เรารู้สึกว่าทำงานกับทีมนี้ต้องดีแน่ๆ แต่ด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง มันเลยไม่ได้ไปต่อ เพื่อนๆ ก็กลับไปเรียนต่อ ตัวเราก็กลับมาทำงานฟรีแลนซ์เหมือนเดิม

เนเน่เคยมีวันที่ผ่านไปได้ยากไหม

    วันที่รู้สึกท้อ คือ วันที่ไม่มีงานเลย แต่ก่อนเรารับงานรีวิวอยู่เรื่อยๆ แล้วมีเดือนหนึ่งเราไม่มีงานเลย เราไม่มีเงิน เปิดในกระเป๋าสตางค์ตัวเอง เหลือเงินแค่ 20 บาท ในหัวคือ 'ฉันจะทำยังไงดี'

    บางคนอาจจะรู้สึกว่า งานในวงการบันเทิงเป็นอาชีพรอง เพราะเขามีที่บ้านซัพพอร์ต ถ้าไม่เป็นดาราก็ไปเป็นอย่างอื่นได้ แต่เน่ไม่มี อาชีพนี้คือทางเลือกเดียวในชีวิต ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่ตรงนั้น ที่ผ่านมาก็ไม่มีความหมาย เราต้องเอาจนได้ ไม่ดังก็ต้องดัง มันต้องมีซักทางหนึ่ง ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ จริงๆ ถ้าเน่มีแผนบี เราอาจจะเลิกทำงานนี้ไปนานแล้วก็ได้ แต่ไม่ได้ เราต้องไปต่อ

    โชคดีที่เราไปแคสต์งานบ่อยจนรู้จักผู้กำกับเยอะ ทำให้เรามีคอนเนกชันเยอะ เวลาเขาหาตัวประกอบ เขาก็จะชวนมาเล่น คนก็จะได้เห็นเราในบทตัวรองอยู่บ่อยๆ อย่างเรื่องแรกที่แสดงให้ทาง GMM TV คือ คุณแม่วัยใส จริงๆ เน่ไม่ใช่เด็ก GMM TV ด้วย แต่เราวนอยู่ในซีรีส์ของเขาตลอดเวลา เพื่อนก็อยู่ในค่ายนี้ (หัวเราะ)

    อย่างบทพี่ฝน ในซีรีส์ เพราะเราคู่กัน พี่แชมป์ที่เป็นผู้กำกับเรื่อง คุณแม่วัยใส เขามาทำเรื่องนี้ต่อ แล้วก็ชวนเรามาเล่น จริงๆ ตัวละครฝน มีคนเล่นแล้ว แต่อยู่ๆ นักแสดงก็ไม่สามารถเล่นได้ แล้วพี่แชมป์ก็ทักมาว่า 'ฝนว่าง เล่นไหม' เราก็รู้สึกว่าเป็นโชคดีของเรา จำได้ว่าถ่ายอยู่ไม่กี่ซีน เราก็ได้โอกาสไปจีนต่อ

เนเน่เข้าร่วมการแข่งขัน Chuang 2020 ได้ยังไง

    มีคนรู้จักแนะนำให้รู้จักกับบอสจากประเทศจีนค่ะ แล้วเขาชวนเรามาแข่งในรายการนี้ แต่รายการกำลังจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือน เน่บอกเขาว่า เน่ยังพูดภาษาจีนไม่ได้เลย เราขอเวลาเรียนก่อนหนึ่งปีได้ไหม เพราะมันเป็นรายการเรียลลิตี้ที่ต้องใช้ความเป็นตัวเองออกมาสูง เรากลัวว่าจะสื่อสารความคิดของเราไม่ได้ เราเคยผ่านรายการแบบนี้มาก่อน ถ้าเราไม่แสดงความเป็นตัวเอง เราจะไม่มีซีนไม่มีกล้อง

    แต่เขาไม่แนะนำให้รออีกหนึ่งปี เพราะอายุจะเยอะมากขึ้น เราควรไปตั้งแต่ยังเด็ก เพราะรายการนี้มีแต่สาวๆ ตอนแรกเขาบอกว่าเราว่ามีเวลาเตรียมตัวหนึ่งเดือน แต่พอมีโควิดก็กลายเป็นว่า เราต้องรีบไปภายในสองสัปดาห์ เน่ก็ใช้เวลาสั้นๆ นั้น เรียนภาษาจีนจากในแอพพลิเคชั่นโทรศัพท์ แต่มันช่วยไม่ได้เท่าไหร่เลยค่ะ
พอไปถึงก็โดนจับกักตัวอยู่ในห้องค่ะ เรียนภาษาจีนไป แล้วก็จะมีส่งอัพเดทให้รายการรู้ว่า เด็กฝึกแต่ละคนทำอะไรบ้าง เขาจะมีให้แพลงก์ ให้ร้องเพลง เขาจะดูพัฒนาการของเด็กทุกคนไปเรื่อยๆ ดูว่าใครน่าสนใจ ใครมีแวว เขาจะได้เจาะเด็กคนนั้น

ตอนนั้นคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

    กดดันค่ะ ก่อนหน้านี้เวลาเราไปแข่งในรายการ มันจะมีความตื่นเต้นว่าเราจะร้องได้ไหม จะร้องเพี้ยนไหม แต่ในโมเมนต์นั้น มันไม่มีความตื่นเวทีแล้ว เหลือแค่ตื่นเต้นว่าเราจะพูดจีนได้ไหม อย่างตอนร้องเพลง Best Part เน่ไม่ตื่นเต้นเลยนะ เรานิ่งมาก เพราะเรายกความตื่นเต้นไปที่การพูดหมดแล้ว

เล่าถึงประสบการณ์ภายในรายการให้ฟังหน่อย

    เน่จำได้ว่า เน่ไปแอบร้องไห้คนเดียวในห้องน้ำบ่อยมาก เราไม่รู้ว่าเส้นทางที่เลือกมันถูกแล้วรึเปล่า การทุ่มเทขนาดนี้จะได้รับผลตอบรับที่ดีไหม เน่ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่มาก วันก่อนจะบินยังร้องไห้กับแม่อยู่เลยว่า เราจะพูดยังไง จะทำยังไงดี โชคดีที่เน่มีเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษได้และคอยอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย เวลาเราจะต้องพูดสุนทรพจน์ยาวๆ เราจะได้เพื่อนคนนี้คอยแปลให้ตลอด แต่เน่ก็ต้องทำงานหนักคูณสอง เน่ต้องท่องภาษาจีนเป็นพารากราฟในเวลาสั้นๆ

    เอาจริงๆ ในค่ายเน่แทบไม่ได้เลยนอนเลย ไม่ได้นอนแบบไม่ได้นอนจริงๆ นอกจากถ่ายรายการ เรายังมีถ่ายโฆษณา ถ่ายสัมภาษณ์ ถ่ายคอนเทนต์อื่นๆ เสร็จแล้วก็ต้องมาซ้อมต่อ มันทั้งเหนื่อยและกดดัน เน่เคยกลับมาถึงประตูบ้านพักเดียว ยังไม่ทันได้นอนเลย ต้องไปถ่ายรายการต่อแล้ว เน่จำได้ว่า เน่ทรุดตัวร้องไห้ตรงนั้นเลย 'ปล่อยให้ฉันไปนอน ปล่อยให้ฉันไปนอน' จริงๆ ทุกสเตจมีเวลาในการซ้อมรวมกันไม่เกินแปดชั่วโมงเท่านั้น เวลาที่เหลือก็เอาไปทำคอนเทนต์ของรายการหมด

    จำได้เลย เมนเทอร์เคยพูดว่าในรายการเป็นแค่ค่ายฝึก พอออกไปทำงานจริงจะเหนื่อยกว่านี้อีก เน่บอกเลยว่าไม่จริง ตั้งแต่ทำงานมาจนอายุยี่สิบหกปีก็ยังพูดได้ว่า ในค่ายนั้นเหนื่อยที่สุดแล้ว

สเตจไหนยากที่สุดสำหรับเนเน่

    สเตจที่สามไหมนะ เป็นเพลงที่เราต้องเต้นคู่กับดาราจีนคนหนึ่ง (ติงอวี่ซี) ใครย้อนกลับไปดูจะสังเกตว่าเน่ผอมมาก เพราะเราไม่มีเวลากินข้าว แล้วก็ไม่ค่อยได้นอน มันเป็นความเหนื่อยล้าสะสมลากยาวมาเรื่อยๆ มันมีความจำเนื้อไม่ได้ เต้นผิด พูดสุนทรพจน์ผิด เพราะสมองเราไม่ไหวแล้ว เราไม่มีเวลาเตรียมสุนทรพจน์มากด้วย เรามีเวลาแค่หนึ่งคืนในการท่อง ไม่อย่างนั้น คนจะไม่รู้ว่าเราอยากสื่อสารอะไร

แล้วเป้าหมายของเนเน่ในรายการ คืออะไร

    เน่ตั้งเป้าหมายว่า เราจะต้องได้ที่หนึ่ง การตั้งเป้าหมายสูงมันดีนะคะ มันทำให้ทุกการกระทำของเราต้องมั่นใจ ถ้าเราคิดว่าที่สองก็ได้ ที่สามก็ได้ เราอาจจะทำมันไม่ดีเท่านี้ พอเน่พูดแต่แรกว่าเราต้องได้ที่หนึ่ง ทุกโชว์ของเน่ เน่จะพยายามให้อย่างเต็มที่ จริงๆ พอผ่านรายการเอเอฟมาแล้ว มันทำให้เน่รู้ว่ารายการต้องการอะไร เรารู้ว่าเดี๋ยวเขาจะทำแบบนี้และทำเพราะอะไร แต่เราไม่ได้เฟคนะ เรายังเป็นตัวเอง แต่เราเป็นตัวเองที่มองเกมออกมากขึ้น

คัลเจอร์การทำงานของศิลปินในประเทศจีนแตกต่างจากในไทยไหม

    คล้ายกันค่ะ เราต้องมีความนอบน้อม ต้องตรงเวลา เน่ว่าแถบเอเชียน่าจะคล้ายกันหมดนะคะ จริงๆ ประเทศจีนค่อนข้างซีเรียสเรื่องวงการบันเทิงนะ เพราะเขามองว่า วงการบันเทิง มีอิทธิพลต่อเด็ก มีอิทธิพลต่อคนหลายคน การทำอะไรไม่เหมาะสมหรือคำหยาบไม่ควรมีอยู่ในรายการหรือสื่อ เขาจึงค่อนข้างควบคุมวงการบันเทิงมากๆ

เล่าถึงบทบาทการเป็นนักแสดงของเนเน่ให้ฟังหน่อย

    ความกดดันยังเป็นเรื่องภาษาอยู่ดี ก่อนเปิดกล้องหนึ่งเดือน หลังจากเน่ทำงานเสร็จแล้วกลับมาบ้าน เน่จะใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงในการท่องบท เน่กลัวว่าถ้าเราไปทำงานแล้วลืมบท เขาจะไม่พูดว่าเราลืมบท แต่เขาจะพูดว่าเราเป็นคนต่างชาติ เราเกลียดการที่คนผิดหวังในตัวเรา เน่จึงพยายามทำให้มันเฟอร์เฟ็กทุกอย่าง ตอนถ่ายทำก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เราก็ผ่านไปได้ด้วยดี

    ส่วนตัว เน่ไม่สามารถแสดงอะไรที่ไม่จริงออกมาได้ จิตใจจะต่อต้าน ไม่ได้หมายความว่า เราเล่นไซไฟไม่ได้นะ แต่ถ้าเราไม่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราจะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกงานที่ทำ เวลาเน่แสดงอะไร เราต้องคิดแบบนั้นจริงๆ อย่างเน่เล่นซีรีส์ก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องที่ต้องล้างแค้น ชีวิตจริงเราคงไม่ได้ล้างแค้นใครหรอก แต่เราก็อยากถ่ายทอดความเป็นตัวเองว่า ถ้าเนเน่ล้างแค้นคนขึ้นมาจะเป็นยังไง ซึ่งมันก็สนุกดีนะ

มีอุปสรรคอะไรระหว่างการทำงานไหม

    บางครั้งหน้าตาเรามีผลต่อภาพลักษณ์เหมือนกัน มันทำให้คนด้อยค่าการทำงานของเราลง อย่างตอนอยู่ในวง เน่ถูกวางโพสิชันเป็นลุคน่ารัก แล้วทุกคนก็จะคิดว่าคนน่ารักทำอะไรไม่ค่อยได้หรอก เน่ต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดว่า เราทำอย่างอื่นได้นะ เราเป็นอะไรได้อีกเยอะมาก เพราะฉะนั้น อย่ามองว่าฉันหน้าตาน่ารัก เพราะฉันก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองน่ารัก เน่ว่าเน่แค่ดูเหมือนกลมๆ เฉยๆ นิสัยเราออกจะห้าวๆ ด้วยซ้ำ บางทีก็รับมือยากนะ ทุกคนคาดหวังว่าเราจะน่ารักตลอดเวลา พอเราเป็นพวกห้าวๆ เขาจะรู้สึกว่าผิดจากภาพลักษณ์ที่เขาวางไว้ แต่ถ้าคนที่ตามเน่มานานๆ เขาก็จะเริ่มเข้าใจว่า เราเป็นแบบนี้ นี่เป็นตัวเราจริงๆ

บทบาทการเป็นนักร้อง นักแสดง ดารา และไอดอล แตกต่างกันไหม

    แตกต่างกันมากค่ะ แต่ละอย่างก็มีความกดดันต่างกันด้วย คำจำกัดความของคำว่า ไอดอล คือเราต้องสวยตลอดเวลา เราต้องดูแลภาพลักษณ์ตลอดเวลา เพราะเขามีมาตรฐานที่วางเอาไว้ การเป็นศิลปินนักร้อง เราต้องเป็นตัวเอง ถ่ายทอดตัวเองผ่านผลงานแต่ละชิ้น ส่วนดาราก็เป็นคนที่เป็นดารา นักแสดงก็เป็นนักแสดง

    ส่วนเน่แค่เป็นคนที่ชื่นชอบในอาชีพเหล่านี้ก็เลยเข้ามาทำ เน่ไม่เคยจำกัดความว่าตัวเองเป็นไอดอล เพราะฉันใส่กางเกงช้าง เสื้อยืด ไม่แต่งหน้าออกจากบ้าน ฉันไม่ใช่คนที่จะเป็นไอดอลได้ แต่ถามว่า เราอยากเป็นไอดอลของคนอื่นไหม เราอยากเป็นนะ ด้วยความคิด ด้วยทัศนคติ ด้วยผลงานเพลง มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก แล้วเน่ก็ไม่ใช่ดารา เน่ขอนับว่าตัวเองเป็นเนเน่ค่ะ

อายุมีผลต่อการทำงานในวงการบันเทิงไหม

    เน่ว่าอายุไม่ค่อยมีผลต่อการทำงานในวงการบันเทิงนะ แต่มีผลต่อความรู้สึกของเราแน่ๆ (หัวเราะ) ยิ่งเราอายุเยอะ ประสบการณ์ของเราก็เยอะตามไปด้วย อาจจะเพราะเป้าหมายที่คนเซตภาพไว้ว่า สามสิบต้องมีบ้าน ต้องมีรถ ทำให้เรารู้สึกว่าต้องรีบโต

    เน่เคยอ่านหนังสือชื่อว่า เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด มีตอนหนึ่งเขียนว่า ทุกคนจะมีเวลาเบ่งบานของตัวเอง การที่วันนี้เพื่อนประสบความสำเร็จแต่เรายังไม่สำเร็จ นั่นไม่ใช่ความผิดของเรา มันก็แค่ดวงเขาจะประสบความสำเร็จตอนนี้ แต่ดวงของเราอาจจะประสบความสำเร็จในอีกสิบปีข้างหน้าก็ได้ วันนี้เรายังไม่ดัง แต่อีกห้าปีหรือสิบปี เดี๋ยวเราก็ดัง ใครจะไปรู้ เราอาจจะดังตอนอายุสี่สิบปีก็ได้ ฉันอาจจะรวยพันล้านตอนห้าสิบก็ได้ มันเป็นหนังชีวิตค่ะ ชีวิตใครชีวิตมัน

แล้วตอนนี้หนังชีวิตของเนเน่ เดินทางมาถึงจุดพีคหรือยัง

    ยังนะ เน่ว่าไปได้อีกไกลเลย ตอนนี้มันเพิ่งเริ่มต้น หลังจากที่เราเก็บประสบการณ์มาเรื่อยๆ ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เราไม่มั่นใจเลยว่า ตัวเองมาทางนี้แล้วจะดีไหม บางคนเล่นหนังหนึ่งเรื่องก็ดังเปรี้ยงปร้างไปแล้ว แต่เน่ต๊อกแต๊กมาเรื่อยๆ เราทำมาหลายอย่างมาก เราไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับสิ่งนี้ไหม มันเป็นคำถามที่เราถามตัวเองตลอดเลย ฉันอาจจะไปเป็นนักกีฬาว่ายน้ำก็ได้ แต่ฉันแค่ยังไม่ค้นพบมัน เพราะฉันมัวแต่ตะปี้ตะบันกับทางนี้ จนสองสามปีที่ผ่านมา เน่รู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว สิ่งที่ทำมาตลอดเริ่มเข้าที่เข้าทาง โอเค มันเริ่มต้นขึ้นแล้ว เราจะเดินสายนี้อย่างแน่วแน่ โดยไม่มีคำถามเดิมๆ อีกต่อไป เพราะเรามั่นใจแล้ว

คุณวาดภาพจุดสูงสุดในชีวิตของคุณไว้อย่างไร

    เน่เป็นคนอยู่กับปัจจุบันมากๆ อะไรจะเกิดก็เกิด เราแค่ต้องรับมือกับมันต่อไป ถ้าเป็นไปได้เน่อยากมีเพลงหรือผลงานที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ไม่ถึงกับเปลี่ยนโลกในพริบตา แต่ถ้ามันค่อยๆ เปลี่ยนโลก หรือเราสามารถทำเพลงที่ฮีลใจคนได้ เพลงที่ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ ถ้าเพลงของเราช่วยต่อกำลังใจของเขาได้ สิ่งนี้เป็นปณิธานในชีวิตของเน่ค่ะ

ใครอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในชีวิตของคุณ

    คุณแม่ค่ะ แม่ไม่เคยบอกว่าความฝันของเน่เป็นเรื่องเหลวไหลเลย เน่ว่ามันสำคัญนะ ถ้าเรามีคนผลักดันในทางที่เราอยากไป เราบอกแม่ว่าอยากไปแคสต์งาน เราก็ได้ไป มีงานหนึ่งที่แคสติ้งเคยพูดกับเราว่า น้องอยากมากแคสต์จริงๆ ใช่ไหม เราลงมาแล้วจะร้องไห้ พอเจอแม่ถามว่า เป็นยังไงบ้าง ดีไหม เราเคยโกหกว่าก็โอเคนะ ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ แต่เขาก็ซัพพอร์ตทุกงาน มันทำให้เราไม่เคยยอมแพ้

วันว่างๆ เนเน่ชอบทำอะไร

    เน่ชอบอยู่บ้าน แล้วหาแรงบันดาลใจ เพื่อเก็บมาสร้างสรรค์ผลงานในแบบของตัวเอง เน่ว่าศิลปินเป็นงานที่ยากนะ เพราะเราต้องจุดประกายสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ฉันจะเขียนเพลงอะไรออกมาดีนะ เน่ชอบนั่งคิดกับตัวเองไปเรื่อยๆ การใช้เวลากับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญนะคะ เน่เป็นคนที่คุยกับตัวเองบ่อยมาก มันทำให้เรามั่นใจว่า เราอยากทำอะไรต่อไป หลายคนคุยกับเพื่อน รู้ว่าเพื่อนต้องการอะไร แต่ไม่เคยคุยกับตัวเองเลยว่า จริงๆ เราต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ เน่เลยอยากให้ทุกคนหาเวลาคุยกับตัวเองเยอะๆ นะคะ

มีอะไรที่อยากทำในอนาคตอีกไหม

    หลังจากเราทำปณิธานที่เคยบอกไปแล้วเสร็จ เราก็คงจะออกจากวงการแล้วไปทำงานเบื้องหลังแทน เพราะจริงๆ เราอยากทำงานเบื้องหลัง ไม่ก็ทำแบรนด์หรืออาหารแบบไทย-จีน จริงๆ ที่จีนมีอาหารอร่อยเยอะมากที่ในไทยยังไม่มี แล้วเน่รู้สึกว่าอยากเอามาที่ไทย อยากแชร์ให้คนไทยได้ลองบ้าง

    แต่หมอดูเคยบอกว่า เน่จะดังตอนอายุ 27 ปี งั้นอายุ 30 ปีก็น่าจะรวยแน่ๆ เน่นั่งนับทุกวันเลย ตั้งแต่อายุ 23 ปี ถ้าปีหน้าดัง หมอดูน่าจะแม่นจริง (หัวเราะ)

    เนเน่ในวัย 26 ปีบอกกับเราเช่นนั้น แม้วันนี้เธอยังคงตั้งตารอคอยความสำเร็จในอนาคต แต่ผลงานเพลงและการแสดงที่เธอทุ่มเทไว้ก็กำลังผลิดอกออกผลและเบ่งบานไม่น้อยเลยทีเดียว

Favorite Something
  •   Black Swan (2010)
  •   Nene, Win Metawin, F.Hero - VACAY, Keane - Somewhere Only We Know, Maroon 5 - Sunday Morning
  •   Suzy Hopskins - What to Do When I'm Gone: A Mother's Wisdom to Her Daughter
  •   Taylor Swift

นิษณาต นิลทองคำ

กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว