ชีวิตของ โอม-รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ กับการไขว่คว้าโอกาสอันน้อยนิดในฐานะ YOUNGOHM

    "ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน มีฐานะอะไร เกิดที่ไหน คุณมีสิทธิที่จะทำตามความฝันได้ทุกคน"

   นี่คือประโยคที่ โอม-รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ หรือยังโอม (YOUNGOHM) ฝากถึงผู้อ่านไว้ เมื่อครั้งบทสนทนาดำเนินไปสู่หัวข้อที่ว่าด้วยการไล่ตามความฝัน

    การปรากฎตัวพร้อมเสียงหัวเราะของแรปเปอร์หนุ่มและผองเพื่อนดังขึ้น ทำลายความเงียบภายในอาคารเรียนชั้นสองของโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง การกลับมาเยือนโรงเรียนเก่าครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่โอมในวัย 25 ปีจะได้บอกเล่าถึงประสบการณ์และความทรงจำส่วนตัวที่เกิดขึ้นตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา

    จากเด็กนักเรียนผู้มีฝันอยากเป็นแรปเปอร์ โอมก้าวมาเป็นศิลปินฮิปฮอปแนวหน้าของประเทศไทย มีผลงานเพลงฮิตติดหูมากมาย ตั้งแต่เฉยเมย (2017) เพลงที่มาพร้อมวลีฮิตยังไม่ได้นอนเลยจะสิบโมงเช้า, ธารารัตน์ (2019) เพลงรักอารมณ์ดีที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง ตลอดจนอัลบั้มเต็มชุดแรกอย่าง บางกอก เลกาซี่ (BANGKOK LEGACY, 2020) ที่ไม่ได้โชว์มุมมองด้านความรักอย่าง เพียงอย่างเดียว แต่ในอัลบั้มยังอุดมไปด้วยเพลงที่เล่าถึงมุมมองที่เขามีต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็น มาเฟียสเปน, DEVASTATE, บางกอกเลกาซี่ อีกด้วย

    หลังจากห่างหายจากวงการเพลงไปเกือบสองปี โอมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับซาวน์สดใหม่และเรื่องราวชีวิตวัยรุ่นที่มีฉากหลังเป็นโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง โรงเรียนรัฐบาลใจกลางเอกมัย สถานที่ที่เขาและเพื่อนสร้างความทรงจำและค้นหาความฝันร่วมกัน ก่อนที่ความทรงจำเหล่านั้นจะถูกเรียบเรียง เติมแต่งเมโลดี้ และส่งต่อมายังแฟนเพลงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในอัลบั้มเต็มชุดใหม่ที่มีชื่อว่า ธาตุทองซาวน์ (2023) อีกทั้ง เขากำลังจะเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้ขึ้นเวทีใหญ่ในงาน HOLA SHAKA ที่มีศิลปินอินดี้ร็อกระดับโลกอย่าง Sticky Fingers ในวันที่ 29 เมษายนนี้อีกด้วย

    แม้วันนี้เขาจะกลายเป็นศิลปินฮิปฮอปแนวหน้าของประเทศไทยและกลายเป็นไอค่อนที่เด็กรุ่นใหม่เอาเป็นแบบอย่างแล้ว แต่บทสนทนาครั้งนี้ เราจะพาคุณย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เขาต้องรับมือกับความโดดเดี่ยว ความไม่เข้าใจ และสุขภาพที่ไม่ได้ดั่งใจ ในวันที่ขบวนรถไฟแห่งความสำเร็จยังเดินทางมาไม่ถึงชีวิต

จุดเริ่มต้นของอัลบั้ม 'ธาตุทองซาวน์' เกิดขึ้นได้อย่างไร

    หลังจากปล่อยอัลบั้มบางกอก เลกาซี่ (BANGKOK LEGACY, 2020) ผมก็อยากทำเพลงต่อเลย ประจวบเหมาะกับเพื่อนผม เจ SONOFO เพื่อนที่บู๊ทำเพลงด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมเข้ามาทำงานเป็นแอดมินให้พอดี เราก็ได้แรงบันดาลใจว่า ไหนๆ เราได้อยู่กับเพื่อนอีกครั้งแล้ว เรากลับมาแร็ปด้วยกันดีกว่า เราคิดถึงฟีลสมัยก่อน ถ้าแร็ปกับเจ เราก็ต้องแร็ปเกี่ยวกับโรงเรียนเรา สถานที่ที่เราโตมาด้วยกัน

อัลบั้มนี้แตกต่างจากอัลบั้มที่แล้วอย่างไรบ้าง

    บางกอก เลกาซี่ จะฟังง่ายกว่า เพราะเราเน้นเทคนิคการร้องเยอะ ดนตรีจะเป็นแนวแทร็ปโซล (Trap/Soul) พอมาอัลบั้มธาตุทองซาวน์ เราอยากแรปมากขึ้น เรามีธีมอัลบั้มที่ชัดเจนมากขึ้น อย่างที่รู้กันว่าอัลบั้มนี้จะเกี่ยวกับโรงเรียน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราสมัยเด็ก ด้วยความที่เราทำงานอยู่กับเพื่อนทุกวันอยู่แล้ว เราก็ค่อยๆ ขุดเรื่องสมัยเด็กมาทำเป็นเพลง บางทีเมโลดี้ก็มาก่อน บางเรื่องเนื้อเพลงก็มาก่อน ยิ่งพอเจมาทำงานด้วย เขาช่วยเสริมเรื่องราวต่างๆ ได้ดี เพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งแรกหลายๆ เรื่องของเรา ตั้งแต่มอหนึ่งเลย

    เราทำเพลงเหมือนเล่าเรื่องสมัยก่อนให้เพื่อนๆ น้องๆ ฟัง ขณะเดียวกัน ผมก็ใส่แนวคิด ความเชื่อที่ผมมีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวไว้ในเพลงด้วย ถ้าคนไปฟัง เขาก็คงจะเห็นว่าผมมองโลกแบบนี้ คิดแบบนี้ อีกอย่าง เราพยายามใส่ซาวน์ดีไซน์แปลกๆ ไปโชว์ อย่างเพลงธาตุทอง เอกมัย เป็นเพลงแนวยูเคการาจ (UK Garage, UKG) อาจจะใหม่สำหรับคนฟังหลายๆ คน อย่างธาตุทองซาวน์ เราก็เอาซาวน์รถแห่มาใส่แรป มันเป็นซาวน์ที่คนไทยคุ้นชินกันอยู่แล้ว เพื่อนเราเต้นอยู่แล้ว เราอยากให้ทุกคนรู้ว่า ซาวน์แบบนี้ก็สามารถใส่แรปเข้าไปได้นะ หรือแม้แต่เพลงสายน้ำผึ้ง เด็กอินเตอร์ จะเป็นแนวแอโฟรบีตส์ (Afrobeats) เป็นซาวน์จากฝั่งแอฟริกา ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยได้ยินในเมืองไทยเท่าไหร่

พออัลบั้มปล่อยออกมาแล้ว เพื่อนๆ ที่ได้ฟังเพลงนี้แล้วมีฟีดแบ็กยังไงบ้าง

    เขาก็ภูมิใจนะ เราก็ดีใจเหมือนกัน มีเพื่อนที่เราไม่ได้คุยกันนานแล้วโทรมาหาหลายคนเลย อย่าง กี้หายไปนานมาก พอเพลงออกเขาก็โทรมาเลย มันรู้สึกดีนะ เพราะเราไม่ได้คุยกับกี้นานมาก ในอัลบั้มนี้จริงๆ มีเพื่อนหลายคนที่เราไม่ได้สนิทมาก แต่เขาเป็นตัวจี๊ดประจำรุ่น เราก็อยากเขียนถึงเขา อยากย้อนบรรยากาศในห้องเรียนกลับมาอีกครั้ง

เห็นบอกว่าอัลบั้มนี้ได้กลับมาทำงานกับเพื่อนอย่าง เจ SONOFO ด้วย เขาเป็นใครเล่าให้ฟังหน่อย

    เจเป็นเพื่อนตั้งแต่มอต้น เขาเป็นคนฟิลิปปินส์และเก่งภาษาอังกฤษ ผมกับเจสนิทกันเพราะชอบฟังเพลงสากลเหมือนกัน เจเขาชอบฟังเพลงร็อก ผมก็เลยชอบด้วย ตอนนั้นเราฟังวง Suicide Silence, Avenged Sevenfold (A7X) ถ้าวงไทยก็จะฟังกล้วยไทย (KLUAYTHAI) ช่วงนั้นผมเริ่มแต่งเพลงแล้ว เราก็มีทำเพลงเล่นๆ กันบ้าง มีไปซ้อมดนตรีด้วยกันบ้าง เจก็จะตีกลอง ดีดกีตาร์ ส่วนผมก็จะร้อง มันก็สนิทกันมากขึ้น

แล้วมาเริ่มฟังเพลงฮิปฮอปตอนไหน

    จริงๆ ผมก็ชอบฟังฮิปฮอปมาตั้งแต่มอต้นแล้วนะ แต่เพื่อนเขาไปทางร็อกกัน ช่วงนั้นเราเลยไม่ค่อยเปิดตัว เพราะเราไม่รู้ว่าคนจะคิดยังไง เราก็เขียนเพลงในห้องนอนคนเดียว เขียนถึงอะไรใกล้ๆ ตัว ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่เพลงจีบหญิงนะ (หัวเราะ) พอขึ้นมอปลาย เราถึงเริ่มเปิดตัวมากขึ้น อย่างเจเขาเริ่มบีทบอกซ์เป็นแล้ว เวลาเราเดินไปไหนในโรงเรียน เราเหมือนตู้เพลงเคลื่อนที่ พออยากแร็ปก็หันไปบอก 'เห้ยเจ บีทบ็อกดิ๊!' มันก็จะทำซาวน์ให้ผม เราก็แร็ปกันทั้งวัน ช่วงนั้นเริ่มมี Rap Is Now มาด้วย พอผมเห็นก็เริ่มมาฝึกแร็ปด่าเพื่อน ด่ากันเล่นๆ (หัวเราะ)

จากความสนุกวัยเด็ก คุณเริ่มจริงจังกับการแร็ปตั้งแต่เมื่อไหร่

    หลังจากไปแข่ง Rap Is Now ซีซั่นสองครับ จำได้ว่าตกรอบตั้งแต่ออดิชั่นเลย แต่ก่อนเราแรปอยู่คนเดียว เคยคิดว่าเราก็เก่งนะ แรปสดได้ แรปด่าได้ พอไปเจอสังคมตรงนั้นถึงรู้ว่ามีคนเก่งกว่าเราเยอะ แต่ยิ่งแพ้ เรายิ่งอยากสู้ต่อ เราก็เริ่มไปงานแรปเรื่อยๆ ไปดูบ้าง แข่งบ้าง เราอยากเอาตัวเองไปอยู่ในงานแบบนี้บ่อยๆ มันรู้สึกเหมือนเราได้กลับบ้านเลย

คุณได้รับประสบการณ์แบบไหนบ้าง จากการแบทเทิลในฐานะแรปเปอร์

    เรารู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองมากขึ้น เราต้องเข้าใจว่าเราแร็ปด่ากัน แต่มันเป็นแค่เกม เราได้ประสบการณ์ การเข้าสังคม การได้เจอคนใหม่ๆ หลังจากแพ้ Rap Is Now ผมไปฝึกวิชาจากสนามอื่นๆ อีกเยอะมาก เราได้เจอรุ่นพี่ ได้คอนเนกชันจากการไปงานมาพอสมควรเลย

มีรอบไหนที่ยังอยู่ในความทรงจำจนถึงวันนี้ไหม

    รอบสุดท้ายครับ เรารู้สึกไม่สนุกกับการทำสิ่งนี้แล้ว ผมได้เจอกับคนที่ผมเคยเจอไปแล้ว ผมชนะเขาไปแล้วด้วย พอต้องมาเจออีกมันก็เบื่อๆ แล้ว ไม่สนุกเท่าเดิมแล้ว (หัวเราะ) อีกอย่างรายการมันใหญ่ขึ้นมาก จากที่เราเคยล้อมวงแร็ปกันสนุกๆ มันกลายเป็นโต๊ะนั่ง มีคนซื้อบัตรมาดู พอเวทีใหญ่ขึ้น เรากดดันตัวเองมากขึ้น รู้สึกว่ามันไม่ใช่บรรยากาศที่เราคุ้นเคยแล้ว เลยคิดว่าควรพอได้แล้ว ปกติเราทำอะไรด้วยความสนุก พอมันไม่สนุกแล้ว เราก็พอแล้ว! จบ! เลิก! หลังจากนั้นก็เอาเวลาไปลงกับการทำเพลงแทน

ในวันที่ตัดสินใจเป็นศิลปินเต็มตัว คุณต้องรับมือกับอะไรบ้าง

    ด่านแรกคือครอบครัว เขาไม่เข้าใจเพราะเกรดเราตก ไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ตั้งใจเรียน เราก็จะโดนดุโดนว่าบ่อย ทะเลาะกันบ่อย ตอนนั้นเราก็เสียใจนะ คิดว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย ชีวิตหนึ่งเราแค่อยากลองทำอะไรที่เราอยากทำ อย่างครูก็คล้ายกันเห็นเราเกรดตก เขาก็ไม่เข้าใจว่า แรปแล้วได้อะไร เป็นแรปเปอร์จะไปทำอะไรได้ จะไปหากินอะไรได้ แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นห่วง

    ในยุคหนึ่ง การเป็นแรปเปอร์มันยากนะ ขนาดคนมีเงินยังยากที่จะถูกยอมรับเลย แต่ความยากมันไม่ได้แปลว่า เป็นไปไม่ได้ ผมรู้สึกว่า ไอ้โอกาสอันน้อยนิดนั้น มันอาจจะเป็นกูก็ได้

แล้วใครที่คอยเป็นกำลังใจให้กับคุณในเวลานั้นบ้าง

    หลักๆ คือเพื่อนครับ แก๊งผมเขาคอยซัพพอร์ตตลอด มีแข่งก็ไปเชียร์ ทำเพลงก็ไปด้วยกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมติดเพื่อนมาก เพราะเรารู้สึกว่าครอบครัวไม่เข้าใจเราเลย ...จริงๆ ก็มียายด้วยนะ ยายเป็นเสาหลักที่ทำให้ผมได้ทำเพลงต่อไป

คุณยายช่วยซัพพอร์ตคุณยังไงบ้าง

    ตอนแรกผมกะจะออกจากบ้านแล้ว เราอยากออกไปอยู่กับเพื่อน เพราะในบ้านมันมีแต่ความกดดัน ความเครียด แต่ยายเป็นคนที่ห้ามผมไว้ ยายบอกกับผมว่า 'อยากทำอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำเลย จะแรปจะทำอะไรก็ทำเถอะ แต่ขอให้อยู่กับยาย' หลังจากวันนั้น ยายผมก็เป็นหัวหอกเรียกคนทั้งบ้านมาคุยกันว่า สรุปแล้วเรารักลูก รักหลานของเราจริงๆ หรือเปล่า เพราะเขารู้ว่าผมไม่มีความสุข และเขาไม่อยากเห็นเราออกไปข้างนอก เขาเป็นห่วง เขายอมให้เราทำทุกอย่าง ขอแค่เรายังอยู่กับเขา หลังจากนั้นผมก็ลุยเต็มที่ ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงก่อนที่เพลง เฉยเมย จะออก ผมว่าผมรู้จักคำว่าความรักเพราะเขา เขาคือคนที่รักผมแบบไม่มีเงื่อนไขจริงๆ

ถือเป็นที่มาของเพลง HOW I LIKE, Pt.2 ในอัลบั้มล่าสุดด้วยไหม

    ใช่ครับ ปกติเราเราเป็นคนแข็งๆ ไม่ค่อยได้พูดขอบคุณหรือขอโทษเขาเท่าไหร่ เรารู้สึกดีที่เพลงนี้เป็นตัวแทนให้เราได้พูดกับเขา ได้ขอโทษเขา ได้ขอบคุณเขา ในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเดินไปพูดกับเขาต่อหน้า และทุกคนคงจะได้ฟังความรู้สึกของผมที่มีต่อพวกเขาในเพลงนี้

ครอบครัวได้ฟังเพลงนี้หรือยัง?

    เขาได้ฟังแน่นอนครับ ฟังวนทั้งอัลบั้ม (หัวเราะ) เพราะเขาปั่นยอดวิว ยิ่งยายเขาเปิดยูทูปเป็น เขาฟังทุกวันเลย เขาชอบบอกว่า ช่วยหลานมันหน่อย ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงาน ต้องปั่นวิวหาเงินให้หลานหน่อย (หัวเราะ)

นอกจากกำลังใจจากคนใกล้ตัวแล้ว คุณได้รับกำลังใจแบบไหนจากผู้ฟังบ้าง

    แค่คนฟังเพลงของผม ผมก็ดีใจแล้วนะ ยิ่งเวลามีคนบอกว่าเขาฟังเพลงเราแล้วมีแรงสู้ต่อ เราดีใจมากๆ ถึงเพลงเราจะเล่าเรื่องของเรา แต่ผมรู้สึกว่าคนเราก็เจอเรื่องอะไรคล้ายๆ กันนะ เจอคนเกลียด พ่อแม่ไม่เข้าใจ อยากทำตามความฝันแต่ไม่มีใครเข้าใจ เพลงของผมก็เป็นมุมมองของคนที่ผ่านชีวิตแบบนั้นมาเหมือนกัน เขาอาจจะสัมผัสได้ว่า ผมมองเรื่องนี้ยังไง แก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง แล้วมันทำให้เขาได้มุมมองใหม่ๆ กลับไป

ใครคือครูที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตในฐานะแรปเปอร์ของคุณ

    ILLSLICK แน่นอนอย่างที่ทุกคนรู้กัน เขาเป็นต้นแบบในการทำเพลง การต่อสู้กับชีวิต เพราะเขาเป็นคนรากหญ้าที่เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน เราเริ่มชอบงานเขาตั้งแต่เพลงใจร้าย เพลงนี้เปิดโลกเราเลย ทำไมแรปเปอร์ร้องเพลงเพราะขนาดนี้ มันเปลี่ยนแนวคิดที่ผมมีต่อความเป็นฮิปฮอปไปเลย ผมว่าเขามีอิทธิพลกับผมและวงการเพลงฮิปฮอปไทยในเวลานั้นมากๆ

    ส่วนคนที่สอนผมทำเพลงก็จะเป็น พี่ไมค์ MICKSICKFLOW คนนี้ก็จะอยู่ในเพลงเฉยเมยด้วย เมื่อก่อนผมจะไปกินนอนอยู่ที่สตูดิโอเขาเลย เวลาไปอัดเพลงกับเขา ผมจะชอบนั่งดูเขาอัดเพลง แล้วก็ถามเขาเรื่อยๆ ว่าต้องทำยังไง มีบางช่วงที่เขาต้องไปบวช ผมก็รับอัดเพลงแทนเขา เก็บเงินใส่กล่องให้เขาด้วย (หัวเราะ)

ในวันที่ชีวิตประสบความสำเร็จและกลายเป็นศิลปินเต็มตัว ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

    ย้อนไปช่วงเฉยเมยเป็นที่รู้จัก ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก จากเด็กธรรมดากลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน เราต้องจูนกับตัวเองเยอะเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ต้องทำตัวเป็นคนดังหรือทำตัวแบบไหน ต้องแอคหรอ (หัวเราะ)

    พอเริ่มดังก็เริ่มมีคนพาไปทัวร์คอนเสิร์ต เราเริ่มต้องห่างจากเพื่อนของเรามามีชีวิตของตัวเอง เพื่อนเราก็ยังงงๆ กับชีวิตของเขาอยู่ ตอนนั้นเราโทษตัวเองเหมือนกันนะว่า ทำไมเราถึงพาเพื่อนมาด้วยกันไม่ได้ เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้จะคุยกับใคร เพราะรอบตัวมีแต่ผู้ใหญ่ มีแต่ดีเจ คนทำซาวน์ คนหางานให้เรา มันเป็นความรู้สึกที่เรางงกับชีวิตตัวเอง เหมือนคนรับมือไม่ถู​ก

คุณผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร

    จริงๆ ผมมารู้ทีหลังว่าผมเป็นไบโพล่าครับ ตอนแรกที่เราไม่รู้ เราก็พยายามหาทางออก พยายามคุยกับคนเยอะๆ ปรึกษารุ่นพี่ ตอนนั้นเราได้รับกำลังใจดีๆ แนวคิดดีๆ ความรู้สึกเศร้ามันก็ค่อยๆ หายไป แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้หายไปไหน ช่วงที่ผมคิดว่าหาย มันคือช่วงที่กราฟกำลังขึ้นด้านบน ผมก็เลยรู้สึกสนุกกับชีวิตช่วงนั้นมากๆ เฮฮาปาร์ตี้ กินเหล้า หลังจากใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาสองสามปี ผมก็กลับมาดาวน์อีกครั้ง ช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนจะทำอัลบั้ม บางก็อก เลกาซี่

    พอไปหาหมอก็ลองกลับมาทำความเข้าใจกับตัวเองมากขึ้น มันคงจะเกิดจากหลายอย่าง อาจจะเพราะเรื่องเครียดต่างๆ ด้วย ปรับตัวไม่ทันด้วย เรื่องเพื่อนด้วย บางทีเราทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน ทำไมเขาเป็นแบบนั้น ทำไมคนนั้นเป็นแบบนี้ สารในสมองเราเริ่มผิดปกติ อารมณ์เราเริ่มผิดปกติ แล้วเราใช้กัญชาต่อเนื่องอีก มันเลยส่งผลกับตัวเราเยอะ อะไรที่มันเกินลิมิตมันก็ไม่ดีนะ แต่พอเราหาหมอ กินยาก็เริ่มดีขึ้น ตอนนั้นผมดีใจมาก เลยใส่พลังให้อัลบั้มบางกอก เลกาซี่ี จนเสร็จภายในหกเดือนครับ ถ้าไม่มีวันนั้น วันนี้ก็คงไม่มีธาตุทองซาวน์นะ

เห็นว่าเร็วๆ นี้คุณจะมีโชว์ร่วมกับศิลปินในงาน HOLASHAKA ด้วย อยากรู้ว่าแฟนๆ จะได้เห็นโชว์แบบไหนในงานนี้บ้าง

    ด้วยความที่งานนี้เป็นงานเพลงที่ค่อนข้างอินดี้เลย เราอยากเอาเพลงในอัลบั้มที่ไม่ได้ดังมาก แต่มีซาวน์ดีไซน์แปลกๆ ไปโชว์ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า บนโลกมันมีแนวเพลงเยอะมาก เราอย่ายึดติดอยู่กับแนวเดิมๆ มาหาอะไรใหม่ๆ สนุกๆ ทำกันดีกว่า หาซาวน์แปลกๆ ที่คนฟังแล้วว้าวมาทำดีกว่า เราอยากให้คนเห็นว่าภาษาไทย เพลงไทยมันทำได้หลายอย่างนะ เราอยากเห็นวงการเพลงไทยเราสนุกขึ้น หลากหลายขึ้น

มีศิลปินคนไหนที่คุณชื่นชอบเป็นพิเศษในงานครั้งนี้ไหม

    ผมชอบศรีราชา รอกเกอร์นะ เคยได้ไปแจมแร็ปสดกับวงมาบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันจริงจัง

จากวันที่เริ่มแรปด้วยความสนุก มาวันนี้เป้าหมายในการทำงานเพลงของคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม

    ไม่เปลี่ยนครับ เรายังสนุกกับสิ่งที่ทำเหมือนเดิม เราต้องเตือนตัวเองตลอดว่า เราทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร ทำเพราะอะไร ถ้าเราลืม เราก็จะหลงทาง ผมจะเตือนตัวเองตลอดว่า ทำให้เหมือนวันแรก วันที่เราสนุกกับมัน วันที่เราเขียนเพลงจีบหญิงอยู่ในห้องนอน ไม่ต้องมีใครมาชื่นชม ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องมีเงิน แค่ได้เขียนสิ่งที่อยากพูดกับเขา เราก็มีความสุขแล้ว เราต้องห้ามลืมความรู้สึกนี้ ยิ่งเวลานี้เรามีชื่อเสียง มีคนเข้าหา มีคนต้องการอะไรจากเรามากมาย

    เราต้องยึดไว้ให้ดีว่า เราทำเพลงเพื่ออะไร เราทำงานหาเงินมาเพื่อใคร เราก็จะอยู่ในเส้นทางของเราเอง เราจะได้ไม่ไขว้เขว วันนี้ผมยังทำทุกอย่างด้วยความสนุก ทำทุกวันนี้ให้มีความสุข แค่นั้นครับ

นอกจากทำเพลงแล้ว คุณมีอะไรที่อยากทำอีกบ้างไหม

    จริงๆ ผมอยากทำอะไรเยอะมาก อยากมีร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้านกัญชา ผมเป็นพวกมีไอเดียตลอดว่า ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง เราอยากทำแบบไหน แต่ตอนนี้เราขอโฟกัสเพลงเป็นหลักก่อน เราก็ตามเสียงหัวใจไปเรื่อยๆ
อ๋อ ช่วงนี้มีเป้าหมายเล็กๆ กับตัวเองว่าจะฟังเพลงให้ครบทุกแนวบนโลกนี้ ก็เลยหาเวลาไล่ฟังไปเรื่อยๆ ทำเป็นเพลย์ลิสต์ไว้ว่า เราเคยฟังแนวไหนมาแล้วบ้างครับ

สุดท้ายนี้คุณอยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังไล่ตามความฝันอยู่

    อันดับแรกต้องเช็คให้ชัวร์ก่อนว่า ฝันของเรา คือ ฝันจริงๆ หรือ ฝันเล่นๆ เพราะผมรู้สึกว่าบางคนอาจจะคิดว่าอยากทำอันนี้ ก็แค่พูดแต่ไม่เคยลงมือทำ ถ้าเรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไรจริงๆ สู้เพื่อมัน สู้จนถึงที่สุด ผมเชื่อว่า อะไรที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา เราจะสู้เพื่อมัน เราจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา ถ้าเป็นสิ่งที่คุณรัก คุณจะทำมันได้อย่างแน่นอน

    และไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน ฐานะอะไร คุณมีสิทธิที่จะทำตามความฝันได้ อย่างผมก็แค่เด็กธรรมดาทั่วไป ผมทำได้ คุณก็ทำได้เหมือนกัน

Favorite Something
  •   Breaking Bad (2008–2013), Forrest Gump (1994)
  •   Flight Facilities - Crave You, Flight Facilities - Clair de Lune, The Lumineers - Sleep On The Floor, The Lumineers - Cleopatra
  •   Yuval Noah Harari-Sapiens, Yuval Noah Harari-Homo Deus
  •   ILLSLICK

นิษณาต นิลทองคำ

กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว