2 Days Ago Kids กับจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปในรอบ 22 ปีจาก Time Machine สู่ TODAY'S A GOLD KISS

    'กลับมาได้หรือเปล่า กลับมาหาฉันทีได้ไหมคนดี?'

    แม้วันเวลาจะล่วงเลยมากว่า 22 ปีแล้ว แต่เพลง กลับมา ยังคงเป็นหนึ่งเพลงฮิตที่ถูกนำมาร้องอยู่เสมอ นี่ถือเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีซจากอัลบั้ม Time Machine (2001) ที่วงดนตรีอารมณ์ดีอย่าง 2 Days Ago Kids ฝากไว้ ก่อนที่เหล่าสมาชิกวง (ซึ่งประกอบไปด้วยศิลปินจำนวนมากในเวลานั้น) จะแยกย้ายไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์และไล่ตามความฝันส่วนตัว

    22 ปีผ่านไป จากกลุ่มศิลปินน้องใหม่ที่กำลังไล่ตามความฝัน พวกเขาเติบโตมาเป็นศิลปิน โปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลงมืออาชีพที่ฝากผลงานไว้ในวงการเพลงมากมาย ราวกับพวกเขาหายไปฝึกวรยุทธ์ครั้งใหญ่จนกลายเป็นปรมาจารย์ในวงการเพลงต้นยุค 2000 แม้จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นศิลปินแล้ว แต่ความสนุกในวันวานยังคงส่งเสียงเรียกพวกเขาอยู่ในใจ จนนำไปสู่การรวมตัวทำเพลงอีกครั้ง

    เจอรี่-ศศิศ มิลินทวานิช โปรดิวเซอร์ผู้ควบตำแหน่งสมาชิกวง P.O.P และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการชักชวนเพื่อนๆ มาทำเพลงด้วยกันในวง 2 Days Ago Kids, บอย-ตรัย ภูมิรัตน และ ดุลย์-อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ จากวง Friday, โป้-ปิยะ ศาสตรวาหา ผู้เป็นที่รู้จักในนามโยคีเพลย์บอย และ ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ จากวง Groove Riders จะรับหน้าที่เป็นกัปตันยานลำใหม่ที่จะพาทุกคนท่องไปในอัลบั้มเต็มชุดที่สองที่มีชื่อล้อกับวงว่า TODAY'S A GOLD KISS และคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 22 ปี อย่าง In the Studio with 2 Days Ago Kids ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 2566

    ก่อนจะไปสนุกกับบทเพลงของพวกเขา ในบทสนทนาครั้งนี้ เราจะพาคุณนั่งยานเวลากลับไปสำรวจความทรงจำตลอด 22 ปีที่ผ่านมา จากศิลปินน้องใหม่สู่การเป็นปรมาจารย์ด้านดนตรี จังหวะชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไร และเหตุใดพวกเขาจึงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

    หากพร้อมแล้ว กระโดดเข้าลิ้นชักโต๊ะแล้วนั่งประจำตำแหน่งให้ดี ยานเวลาในเวลานี้พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว

    เสียงหัวเราะนำมาแต่ไกล ก่อนที่กลุ่มเพื่อนห้าคนจะเดินเข้ามาภายในห้องรับรองศิลปินในค่าย Spicydisc โป้ปรากฎตัวในชุดสบายๆ พร้อมกับกีตาร์ในมือ ขณะที่บอย อดุลย์ และเจอรี่กำลังอัพเดทสิ่งที่แต่ละคนสนใจอย่างออกรส โดยมีเสียงหัวเราะจากก้อดังขึ้นเป็นระยะ

    ในแวดวงคนดนตรี พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน โปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลงมืออาชีพที่ฝากผลงานไว้ในวงการเพลงมากมาย แต่ในยามที่อยู่ร่วมกันเช่นนี้ พวกเขาคือเพื่อนที่แบ่งปันช่วงเวลาดีและร้ายมาตลอด 20 กว่าปี

    ก้อเล่าย้อนไปถึงวันที่ทุกคนมีโอกาสได้พบกัน "ส่วนตัวผมรู้จักพี่เจอรี่ก่อน ตอนนั้นพี่เจอรี่ทำงานเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ในค่ายมิวสิกบั๊กส์ พี่บอย พี่อดุลย์ก็กำลังทำอัลบั้มแรกของวง Friday อยู่ ตอนนั้นผมเองก็เริ่มทำงานที่ค่ายเบเกอรี่ มิวสิก (Bakery Music) แล้วก็ได้เจอกับพี่โป้ โยคีเพลย์บอย หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้สนิทกันมากขึ้น เหมือนเราเจอกันวนไปวนมาอยู่ตลอด"

    "จนปี 2001 ในช่วงที่ผมกับบอยล้มลุกคลุกคลานอยู่ เจอรี่ก็ชวนผมกับบอยมาทำโปรเจกต์สุดท้ายของค่ายอันเดอร์โทน" อดุลย์เสริม

    "ตอนนั้นเป็นค่ายอินดี้ดาวรุ่งที่กำลังจะเจ๊ง" บอยพูดขึ้น ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นทั่วห้อง

    "เรื่องเริ่มสนุกแล้วนะ" อดุลย์รับมุกเพื่อนร่วมวง

    2 Days Ago Kids จึงเกิดขึ้นภายใต้ค่ายอันเดอร์โทน เรคคอร์ดส (Undertone Records) ค่ายเพลงที่เกิดจากการรวมตัวของเพื่อนศิลปินที่มีแนวทางในการทำเพลงใกล้เคียงกัน ซึ่งอัลบั้มแรกอย่าง Time Machine นั้น นอกเหนือจากทั้ง 5 คนแล้ว ยังมีเพื่อนศิลปินมาร่วมแจมอยู่หลายราย ไม่ว่าจะเป็น โต้ง-มณเฑียร แก้วกำเนิด มือกีตาร์วง P.O.P, โตน-จักรธร ขจรไชยกูล นักร้องนำวงโซฟา, นรเทพ มาแสง จากวง Pause และคนอื่นๆ อีกมากมาย

    "ตอนแรกเราไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นวงจริงจัง แค่อยากทำเพลงเพื่อจะโปรโมทวงโซฟาที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่า พอมาทำเพลงด้วยกันแล้วเรามีความชอบคล้ายๆ กัน สนใจเรื่องเดียวกัน ก็เลยเรื่อยมาจนกลายเป็น 2 Days Ago Kids" เจอรี่รับหน้าที่เล่าปิดท้ายถึงจุดเริ่มต้นของวง

    การ์ตูนวัยเด็ก หนังจีนกำลังภายใน แนวเพลงที่แต่ละคนสนใจ ตลอดจนเรื่องราวรอบตัวที่เกิดขึ้นในเวลานั้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาสร้างสรรค์งานเพลง จนเกิดเป็น Time Machine อัลบั้มเต็มชุดแรกที่เปรียบเสมือนบันทึกตัว ประสบการณ์ และความสนใจของพวกเขาในเวลานั้น

    "มีเด็กยุค 90s คนไหนโตมากับการไม่ชอบเรื่องการย้อนเวลาบ้างล่ะ" บอยเอ่ยขึ้น เมื่อนึกถึงชื่ออัลบั้ม

    "เราไม่ได้ตั้งธงว่า อัลบั้มชุดนี้จะต้องเป็นแบบไหน แต่ละเพลงมันเกิดจากการที่เรามาเล่นดนตรีด้วยกัน ทำเพลงด้วยกัน ทุกเพลงที่ทำ มันคือความชอบของเรา ความรู้สึกของเรา เหมือนจังหวะชีวิตของเราตอนนั้นที่พอทุกคนมาอยู่ด้วยกัน ทำเพลงด้วยกัน แล้วมันไปด้วยกันได้" ก้อเสริม

เจอรี่-ศศิศ มิลินทวานิช
    การมาเยือนของ 2 Days Ago Kids ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้แก่ผู้ฟังและวงการเพลงในระดับที่น่าประทับใจ จากนักดนตรีที่มีฝันพวกเขาขยับไปสู่การโชว์และการเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในปีเดียวกันว่า The Last Show on Their Playground (2001)

    "ตอนเราทำเพลง เราไม่เคยคิดเรื่องการทัวร์เลย พอเพลงกลับมาเริ่มดัง ถึงค่อยมีโชว์ตามมา จำได้เลยว่าต้องไปซ้อมกันที่บ้านก้อ เป็นการพายุสมองกัน" เจอรี่พูดยังไม่ทันจบ เสียงหัวเราะของสมาชิกวงก็ดังขึ้น คุณอาจจะคุ้นกับคำว่า Brain Strom แต่ในบทสนทนาครั้งนี้ วงคุยกันว่าจะใช้ภาษาไทยให้มากที่สุด และนั่นเป็นที่มาของเสียงหัวเราะที่คุณได้เห็นเมื่อสักครู่นี้ "ปีนั้นกว่าจะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่มันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก"

    "จริงๆ งานนั้นต้องเป็น Fat Live ครั้งที่ 1 นะ แต่พวกเราขอว่า นี่มันคงจะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของพวกเรา ก่อนที่จะแยกย้ายไปทำวงของตัวเอง งั้นเราขอให้มันเป็นคอนเสิร์ตของเราได้ไหม ก็เลยทำให้ Fat Live ครั้งที่ 1 ต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งปี" บอยเล่าไปหัวเราะไป โดยมีเพื่อนร่วมวงพยักหน้าเห็นด้วย

    "มันไม่ใช่งานผับด้วยนะ มันเป็นอีเวนต์กลางวันตามที่ต่างๆ" อดุลย์ว่าต่อ

    "แต่ก่อนงานคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มจะชอบจัดตามสนามเด็กเล่น โรงเรียนอนุบาล เป็นคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม เพราะรายได้จากการขายเทปมันยังมีอยู่ การไปโชว์แล้วได้เงินเลยยังไม่เกิดขึ้น มันเพิ่งเริ่มต้นในช่วงนั้น" เจอรี่เสริม

ดุลย์-อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์

    The Last Show on Their Playground อาจเป็นโชว์ส่งท้ายและอำลาแฟนเพลงในเวลานั้น แต่สำหรับสมาชิกวงทุกคน นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ต่อยอดให้งานเพลงส่วนตัวของพวกเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พวกเขายังคงพบเจอกันในฐานะเพื่อนนักดนตรี บางครั้งก็กระโดดไปทำเพลงให้กัน เล่นแบ็คอัพให้กัน เรียกได้ว่าระหว่างการเติบโตนั้น พวกเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงล้อมเดียวกันเสมอ

    "เรากลับมาโชว์ด้วยกันช่วงที่งานตามผับเริ่มบูม ประมาณปี 2009-2010 โดยที่ไม่มีเพลงใหม่อะไร เราก็ตกใจนะ สิบปีจากวันที่เพลงปล่อยมันนานมากเลย ก็กลัวว่าคนจะจำได้ จะร้องได้หรือเปล่า แต่พอวันนี้มันผ่านมา 20 ปีแล้ว นานเข้าไปอีก ช่วงหลังๆ มานี้ก็มีเล่นพวกงานเฟสติวัลบ้าง" เจอรี่เล่าถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของวง

    "เหมือนเราได้โชว์เรื่อยๆ เนอะ ปีละครั้งสองครั้ง แล้วทุกครั้งเราก็จะคุยกันว่า เออ ขึ้นไปเล่นเพลงเดิมๆ ไม่เบื่อบ้างหรอ อายเขา ทำเพลงใหม่บ้างเถอะ" บอยว่าต่อ

ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ
    แม้เหล่าสมาชิกจะตกลงกันว่าจะกลับมาทำเพลงร่วมกัน แต่ด้วยหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัวในฐานะคุณพ่อมือใหม่ ทำให้พวกเขาต้องพับไอเดียนี้ไว้เกือบ 5 ปี และในที่สุดหลังจากที่ใช้เวลาทำอัลบั้มนานกว่า 2 ปี TODAY'S A GOLD KISS อัลบั้มเต็มชุดที่สองก็เกิดขึ้น

    หากใครที่ได้ลองฟังอัลบั้มนี้แล้ว คุณคงจะสัมผัสถึงรายละเอียดในดนตรีและมิติความคิดของเหล่าสมาชิกที่เติบโตไปกว่าเดิม หนังสือที่ยังอ่านไม่จบ คือเพลงแรกในอัลบั้มนี้ที่พวกเขาทำร่วมกัน แต่เพลง พี่ชาย คือเพลงแรกที่ถูกปล่อยออกมาให้แฟนเพลงได้ฟัง กับประเด็นเรื่องความต่างวัย ที่แม้ว่าจะต่างกันแค่ไหน เราก็สามารถที่จะหันหน้ามาคุยกันได้ โดยมี เฌอปราง อารีย์กุล มารับบทเป็นน้องสาวในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ด้วย

    "เรารู้สึกว่าการขึ้นเพลงด้วยกันกลายเป็นธรรมเนียมของวงนี้ แล้วพี่ชายก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ทำวิธีนี้เหมือนกัน อดุลย์ก็เริ่มเป็นคอร์ดริฟฟ์ (Riff) เจอรี่ก็เติมเปียโน ก้อก็ทำกลอง โป้ก็ทำไปเรื่อยๆ ร้องไปเรื่อยๆ แล้วเราก็อัดไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง" บอยเล่าถึงการทำงานในอัลบั้มนี้

    "ช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ละคนต่างก็ไปทำงานของตัวเอง ไปเจอประสบการณ์อะไรที่แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ ผมว่าถ้าฟังจากผลงานในอัลบั้มนี้ก็จะรู้ว่า แนวเพลงเราเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ มันเหมือนแต่ละคนก็มีความชอบของตัวเอง แล้วเราเอามารวมกัน" ก้อเล่าต่อ

บอย-ตรัย ภูมิรัตน
    โป้เสริมต่อว่าการทำงานในอัลบั้มชุดนี้ ยังพาให้พวกเขามองเห็นความสำคัญของเวลามากขึ้น "ชุดก่อนเราพูดถึงการถวิลหาอดีต แต่อัลบั้มนี้ เราอยากสื่อสารว่า ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ถ้ามัวแต่นึกถึงอดีตเราก็จะเศร้า มัวแต่กังวลกับอนาคตก็ไม่ได้อะไร เวลาที่เราอยู่ด้วยกันในตอนนี้มาใช้มันให้เต็มที่เถอะ"

    "เรายังคงทำงานเหมือนอัลบั้มแรก เราเล่าสิ่งที่เป็นตัวเราในเวลานั้น อัลบั้มนี้ก็เป็นตัวแทนความคิดของเราในตอนที่โตแล้ว ด้วยความที่ทุกคนเป็นนักแต่งเพลง เวลาทำงานก็จะเหนื่อยขึ้นหน่อย เพราะทุกคนมีไอเดีย มีความชอบของตัวเอง แต่ก็ถือเป็นความเหนื่อยที่อิ่มเอมนะ" บอยเสริม

    "ถ้าได้ก็คุ้ม ถ้าไม่ได้ก็ทุบ" เจอรี่แทรกขึ้นและเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้ง

    อย่างที่บอยกล่าวไว้ตอนต้นว่า 'มีเด็กยุค 90s คนไหนไม่ชอบการย้อนเวลาบ้าง' ยานเวลา แทร็คสุดท้ายของอัลบั้มชุดที่สองนี้ จึงเป็นตัวแทนที่พาให้นึกถึงวันวาน วันที่เคยล้มลุกคลุกคลานและสนุกสนานกับการทำเพลงร่วมกับเพื่อนศิลปินหลายๆ คน

    "ยานเวลา เป็นเพลงที่เล่าถึงสิ่งที่เราเคยพูดเมื่ออัลบั้มที่แล้ว จากวันที่เราเคยชอบกลับเข้าเก๊ะ คิดถึงอดีต คิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว แต่เมื่อเดินทางมากว่า 20 ปีแล้ว เราตัดสินใจทำลายวรยุทธ์ทั้งหมด เราอยากอยู่ตรงนี้ ไม่อยากย้อนไปไหนแล้ว แต่ก็มีบ้างที่ยังแอบไปอยู่นะ ตอนลูกกับเมียหลับไปแล้ว" โป้พูดไปหัวเราะไป

โป้-ปิยะ ศาสตรวาหา

    จากศิลปินที่อยากมีเพลงดังเพื่อการันตีความสำเร็จ วันนี้เป้าหมายในการทำงานของพวกเขาเปลี่ยนไป พวกเขาหวังว่าตัวเองจะยังคงสนุกกับการทำงานเพลงต่อไป และมีความสุขกับการได้เรียนรู้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง

    "เมื่อก่อนเราทำเพลงแบบไม่ได้คิดอะไร ได้โอกาสอะไรมาก็ทำไป แต่พออายุมากขึ้น เราเคยลองพยายามจะไปทำอย่างอื่น เพราะเชื่อว่า ถ้าคนเรารักดนตรีจริง เราต้องมีตัวเทียบสิ เราก็ลองไปทำสถาปนิกดู ปรากฎว่าความภูมิใจในตัวเองมันดิ่งลงไปเลย แน่นอนว่าตอนนี้มันเป็นยุคของหลานๆ แล้ว แต่เราก็รู้สึกว่าอยากจะทำอีก การกลับมาครั้งนี้ของผมมันมีความหมายมากๆ เราอยากทำให้มันเต็มที่ อยากทำอะไร อยากเรียนอะไรก็เต็มที่กับมัน ผมต้องพาลูกไปเรียนเปียโน ผมก็แอบไปเรียนรู้หลักการณ์ไว้ด้วย เพื่อที่จะสื่อสารกับนักดนตรีด้วยกัน เพราะเมื่อก่อนเราไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย เรากลับมาทำด้วยความเต็มที่มากกว่าเดิม และก็เข้าใจว่าโอกาสมันมีค่ามากจริงๆ" โป้เป็นคนแรกที่เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง หลังจากกลับมาทำงานเพลงอีกครั้ง

    "มันเป็นความรู้สึกที่ว่า เราหยุดคิดถึงสิ่งนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าเอาไปโยงกับดนตรีได้ เราจะมีความสุข มันเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่ไปกับชีวิต" อดุลย์เล่าต่อ

    "คนชอบพูดว่าอายุมากแล้วยังทำดนตรีอยู่อีกหรอวะ จริงๆ แล้วผมว่า มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฎิเสธมันเลย และเราจะเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่จะไปต่อ จะทำเพลงต่อไป" โป้เสริม

    "เมื่อก่อนรู้ว่าเรารัก แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไมเรารัก เมื่อเราสูญเสียไปแล้ว เราถึงรู้ว่ามันมีค่ากับเราขนาดไหน" บอยปิดท้าย

    ขณะเดียวกัน ในฐานะรุ่นพี่ในวงการเพลง พวกเขาต่างก็ติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงอยู่เสมอ ล่าสุด พวกเขายังเป็นแฟนเพลงของวงรุ่นน้องอย่าง Tilly Birds, Paper Planes ตลอดจนศิลปินจากประเทศเกาหลีใต้อย่าง NewJeans อีกด้วย

    "ส่วนตัวรู้สึกว่าเพลงในยุคนี้เพราะขึ้น เขามีแนวเพลง มีภาษาเป็นของเขาเอง แต่บางครั้งก็รู้สึกเสียดาย เวลาไปเทศกาลดนตรีที่มีหลายๆ วงมาแสดงด้วยกัน เราจะเห็นความนิยมของศิลปิน กลุ่มที่อยู่อันดับแรกๆ ก็จะมีแฟนเพลงตามไปดู แต่วงหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก บางครั้งก็ไม่มีใครดูเลย มันต่างจากเมื่อก่อนที่เราได้เห็นกลุ่มคนที่สนใจเพลงที่หลากหลายมากกว่านี้" บอยเล่าถึงมุมมองของเขาที่มีต่อวงการเพลงในปัจจุบัน

    "การมาของเราเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สำหรับรุ่นพี่ของเรา เราก็คือการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเหมือนกัน เราว่ามันเป็นสัจธรรม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเสมออยู่แล้ว เรามองว่ายิ่งมีคนทำเพลงมากขึ้น แปลว่าคนฟังสนใจดนตรี ประเทศของเรามันกำลังไปในทางที่ดี เพราะคนทำเพลงไม่ได้สูญพันธ์ไป" โป้เสริม

    "ใช่ นึกถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เคยมีคนบอกว่าวงการเพลงจะสูญพันธุ์" เจอรี่พูดต่อ

    "มีคนบอกว่า MP3 มาแล้ว วงการเพลงจะตาย มันไม่จริง มันมีทางไปของมัน ถ้าเราเป็นคนเดียวที่ยังมีคนดูตลอดเวลา แล้วไม่มีคนรุ่นใหม่มาแทนที่เลย ในมุมของโครงสร้าง มันกำลังแย่ การที่มีศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกับคนฟังพากันไปมันก็เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องอยู่แล้ว แต่เราขอใจนิดหนึ่ง แบ่งมาฟังเรากันบ้างก็ดีนะ เพราะเราเองก็หยุดทำเพลงไม่ได้เหมือนกัน" อดุลย์ปิดท้าย

    แม้วันเวลากว่า 20 ปีจะทำให้พวกเขาจอดยานเวลาลำนี้แล้ว แต่ความรักในเสียงดนตรีของพวกเขายังไม่หายไปไหน และหนังสือที่ยังไม่จบเล่มนี้ จะมีอะไรให้เหล่าผู้ฟังค้นพบต่อไป เราขอให้คุณไปพิสูจน์ในบทเพลงของพวกเขาด้วยตัวเอง

นิษณาต นิลทองคำ

กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว