นับจากการเปิดให้ลงคะแนน BNK48 12th Single Senbutsu General Election หรืองานเลือกตั้งครั้งที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2565 จนถึงการประกาศผลเซ็มบัตสึทั้ง 16 คนในซิงเกิ้ลหลักที่ 12 ของ BNK48 วันที่ 9 เมษายน 2565 เชื่อว่าทั้งแฟนคลับและเหล่าเซ็มบัตสึเองต่างเฝ้ารอที่จะได้ฟังเพลง Believers ซึ่งนับเป็นเพลงออริจินัลที่ 2 ที่ได้ โอคาดะ นานะ และ มุรายามะ ยุยริ รุ่นพี่จากวง AKB48 มาร่วมเขียนเนื้อเพลงและออกแบบท่าเต้นในเพลงนี้ แล้ว รัฐ พิฆาตไพรี หรือ รัฐ Tattoo Colour จะเข้ามาร่วมเรียบเรียงเนื้อเพลงภาษาไทยอีกด้วย
ทันทีที่เพลง Believers ปล่อยออกมาให้ฟังพร้อมกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2565 ผู้ฟังคงสัมผัสได้ถึงความพิเศษที่แท้จริงของเพลงนี้ ซึ่งนอกเหนือจากการถ่ายทอดโดยเซ็มบัตสึที่โหวตโดยแฟนๆ หรือการเดินทางไปถ่ายทำมิวสิกวิดีโอที่ญี่ปุ่นแล้ว บทเพลงยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความฝันของสมาชิกในวงที่มีแฟนคลับอยู่เคียงข้าง
เมื่อถึงเวลานัดหมาย โมบายล์-พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค, น้ำหนึ่ง-มิลิน ดอกเทียน, จีจี้-ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล, ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา, มินมิน-รชยา ทัพพ์คุณานนต์ และ มิโอริ-มิโอริ โอคุโบะ เข้ามาเติมความสดใสให้กับห้องที่เราจะนั่งคุยกันด้วยการทักทายพร้อมรอยยิ้ม ทั้ง 6 คนเป็นตัวแทนจาก 16 เซ็มบัตสึสมาชิกหลักของเพลง Believers ที่จะมาบอกเล่าถึงความเชื่อต่อสิ่งต่างๆ ของพวกเธอให้เราฟัง
ความรู้สึกของแต่ละคนหลังจากได้ฟังเพลง believer ครั้งแรก?
โมบายล์: เพลงนี้ค่อนข้างตรงกับความรู้สึกเราและความรู้สึกของเพื่อนๆ คือ มันเป็นวิถีไอดอลเนอะว่าการทำงานของเราต้องมีความอดทน ต้องมีความเชื่อมั่นว่าเราจะทำตรงนี้ได้ พอฟังครั้งแรกรู้สึกว่ามันทำให้ทัชใจคนที่กำลังรู้สึกอะไรอย่างนั้นและเป็นเพลงที่บอกเล่าชีวิตเราด้วย
มินมิน: ตอนแรกที่มินฟังครั้งแรกรู้สึกว่าน่ารักเพราะเราจะโฟกัสที่ทำนองใช่ไหมคะ รู้สึกว่าทำนองน่ารักติดหู เพลงเข้ากับพวกเรา แต่ว่าพอมาฟังเนื้อร้องจริงๆ ครั้งแรกร้องไห้เลย มันเหมือนกับภาพแฟลชแบ็คขึ้นมา ทุกคำ ทุกเนื้อร้อง คำมันสื่อสารช่วงชีวิตของเราใน BNK48 ออกมาหมดเลย รู้สึกว่ามันตรงกับชีวิตของพวกเราหลายๆ คน น้ำตาก็เลยมา
ประสบการณ์ตอนที่ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไร?
ฟ้อนด์: ตอนที่เราไปถ่ายเอ็มวีที่ญี่ปุ่นเราไปกันประมาณ 8-9 วันค่ะ แล้วก็ไปสองเมืองคือคิตะคิวชูและโตเกียว มีแบ่งเป็นกรุ๊ปที่กรุ๊ปนี้ไปเดินเที่ยวช้อปปิ้งบางกลุ่มไปวัดญี่ปุ่น ถ้าอยากรู้ว่าไปที่ไหนต้องเข้าไปดูในเอ็มวีของเรา หนูเป็นคนชอบไปญี่ปุ่นมาก เพราะว่าครั้งแรกที่ได้ไปญี่ปุ่นก็เพราะว่าได้เข้ามาเป็น BNK48 นี่แหละ หลังจากมีโรคโควิดระบาดก็ไม่ได้ไปญี่ปุ่นนาน ครั้งนี้พอได้ไปก็รู้สึกดี เพราะว่าช่วงกักตัวชอบเปิดรูปตอนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นเก่าๆ เยอะมากๆ คิดถึง พอได้ไปครั้งนี้และได้ไปกับเพื่อนๆ ด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำงาน แต่เราสุดกันมาก เพราะบางกลุ่มถ่ายเสร็จจะไปนอน แต่เราใช้ชีวิตกันอย่างคุ้มค่า ไปหาของกินแถวนั้น เดินเที่ยวเล่นตามซอย สนุกมาก แล้วมีวันนึงเราไปกินประมาณ 4 ร้านในมื้อเดียว
จีจี้: คือไม่ใช่ของคาวแล้วของหวาน แต่เป็นของคาว 3 ร้านแล้วของหวานต่อ 2 ร้านอะไรอย่างนี้ เดินออกปุ๊บเดินเข้าต่อ
ฟ้อนด์: ใช่ มีเวลาแค่ช่วงเย็นอย่างเดียวเลยค่ะ ไม่ใช่ทั้งวันนะ เช่น ตั้งแต่ 6 โมงถึง 4 ทุ่มก็คือตระเวน 4 ร้านอิ่มมาก ใช้ชีวิตได้คุ้มมาก เลยรู้สึกว่าสนุก คนที่นั่นก็น่ารักมากเหมือนกัน เฟรนด์ลี่กับเรามาก
จีจี้: มันจะมีจังหวะที่เรากดบะหมี่ไม่ได้หรืออะไรสักอย่างจำได้ปะ แล้วเขาก็เดินเข้ามาช่วยเรา
ฟ้อนด์: เขาพูดภาษาไทยได้ด้วย น่ารักมากจริงๆ เขาช่วยเราอย่างดี
จีจี้: เขาให้แลกเหรียญ คนที่เขามาช่วยเราข้างหน้าตู้ หนูคิดว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งหรือหุ้นส่วนของร้านหรือเปล่า แต่ไม่ใช่ เขารู้ว่าเรากดตู้ไม่เป็น ด้วยความที่ว่าภาษาญี่ปุ่นหนูว่ามันยากนะ แล้วไม่มีภาษาอังกฤษเลยที่เราจะสามารถแกะได้ มันก็เลยงูๆ ปลาๆ กดผิดกดถูก เขาก็มาช่วยเราตรงนั้นด้วย แล้วพอเข้าไปก็ตกใจอีก เหมือนเจ้าของร้านเขาเคยมาไทย พูดไทยได้ ซึ่งหนูไม่รู้ แล้วหนูกินราเมนคำแรกคือแบบ "เค็ม" หนูก็ถามเพื่อนข้างๆ "มันเค็มปะ" แล้วเหมือนเจ้าของร้านเขาเงี่ยหูฟัง หนูก็งงว่าทำไมเพื่อนหนูไม่มีใครตอบเลย หรือไม่ได้ยิน "เฮ้ยฟ้อนด์ เค็มปะ" คือเขาลวกเส้นอยู่ข้างหน้า
ฟ้อนด์: แรงมาก
จีจี้: เรานั่งอยู่ตรงบาร์
ฟ้อนด์: แล้วเขาทำอยู่ตรงหน้าเราเลย
มิโอริ: หนูกับวี (วีรยา จาง) ก็ "จี้ๆ เขาฟังออก" คือพยายามส่งสายตาที่สุดแล้ว
จีจี้: เขาเกลียดหนูแล้ว เขาเหมือนนิ่งๆ กระตุกๆ นิดนึง แต่เพื่อนไม่มีใครสะกิดเลยอะ
ฟ้อนด์: เรานั่งไกลกัน พี่พยายามส่งสายตาที่สุดแล้ว
จีจี้: แต่ว่าอร่อยๆ มันเหมือนเป็นน้ำซุปแบบเข้มข้น กลมกล่อมและกัน
(ทุกคนหัวเราะ)
มิโอริ: แล้วถ้าไปญี่ปุ่นอีกรอบก็จะไม่เข้าไปร้านนั้น
จีจี้: ลุงบอก ยูไม่ต้องเข้าแล้ว แปะรูปห้ามเข้าไว้ข้างหน้า
แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?
มิโอริ: ส่วนใหญ่ไปกับโมบายล์
โมบายล์: ไปถ่ายกันที่ตลาดทังกะ คิตะคิวชูค่ะ ไปกินโอเด้งกัน โอเด้งที่ญี่ปุ่นคืออร่อยมาก แล้วใหญ่มาก ลูกนึงเท่าซาลาเปา แล้วถ้วยหนูเหมือนมีซาลาเปาอยู่ประมาณ 5 ลูก คุณป้าที่เป็นคนทำใจดีมาก แล้วเขาเป็นคนขายอยู่แถวนั้นแหละ พอเราไปถ่ายมิวสิกวิดีโอกัน พี่ผู้กำกับบอกว่า "เดี๋ยวคุณป้าตักแล้วยื่นให้นะคะ" คุณป้าใจดีมาก ตักให้แล้วเราก็กิน ทำท่าอร่อยโดยที่ไม่ต้องแอคติ้งเลย เพราะว่ามันอร่อยจริงๆ แล้วได้ไปฮาราจูกุที่โตเกียว ฝนตกด้วย แต่ก็ยังได้ภาพที่สวยกลับมา
น้ำหนึ่ง: ที่ได้ไปจะเป็น 2 กรุ๊ป จะเป็นกรุ๊ปเรา 4 คนที่ไปวัดกับเพื่อน มิวสิก เนย แล้วก็ตาหวาน เป็นตลาดเหมือนกันแต่ว่าหนูจำชื่อไม่ได้ เขาบอกว่าเป็นตลาดวัยรุ่นอารมณ์สยามสแควร์ของญี่ปุ่น ของโมบายโอเด้งใหญ่แล้ว แต่มันเผาใหญ่กว่า เป็นหัวมันที่ใหญ่มากๆ พอมันใหญ่มากเรานึกว่ามันจะแห้งหรือไม่อร่อยหรือเปล่า แต่ว่ามันฉ่ำตั้งแต่ข้างนอกยันเนื้อข้างใน แล้วบรรยากาศทุกที่ที่เราไปสวยมากๆ อย่างคิตะคิวชูเป็นเมืองสโลว์ไลฟ์มากๆ ค่ะ แทบจะไม่มีคนเลย บางทีคิดว่าเขากั้นคนไว้ไม่ให้เข้ามาหรือเปล่า แต่จริงๆ คือมีคนใช้ชีวิตอยู่ แต่ว่าเขาใช้ชีวิตกันสงบ ที่โตเกียวก็ไปห้าแยกชิบูย่า มีความลำบากในการถ่ายทำเหมือนกัน ทุกอย่างต้องรีบหมด จริงๆ หลายซีนถ่ายแค่เทคหรือสองเทค ทุกอย่างคือทำงานภายในเวลา แล้วออกมาในเอ็มวีที่ได้รับชมกัน
ตอนที่ประกาศว่าจะมี General Election เราเชื่อไหมว่าเราจะได้เป็นเซ็มบัตสึ?
มิโอริ: ไม่เชื่อเลยค่ะ คือนี่คือเพลงของ General Election ใช่ไหมคะ ประกาศผลด่วน
จีจี้: รอบแรก
มิโอริ: ใช่รอบแรก น่าจะไม่อยู่
จีจี้: ไม่ติด
มิโอริ: ไม่ติดอันดับในเซ็มบัตสึ 16 คน
จีจี้: (ชี้ตัวเอง) เป็นล่าม
(ทุกคนหัวเราะ)
มิโอริ: ก็เลยรู้สึกว่าครั้งนี้ก็ไม่ได้หรือเปล่า แต่จริงๆ เพื่อนๆ เป็นคนที่เชื่อว่ามิโอริจะติดค่ะ ก็รู้สึกว่าทุกคนเชื่อมิโอริเหรอ มิโอริยังไม่เชื่อตัวเองเลย แต่เพื่อนๆ ทุกคนและแฟนคลับก็เชื่อในตัวมิโอริ
มินมิน: หนูใช้คติประจำใจมาตลอดว่าถ้าเชื่อสิ่งไหนหนูจะได้สิ่งนั้น หนูก็จะต้องเชื่อว่าหนูจะต้องติดเซ็มบัตสึค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าทุกอย่างที่ได้มาก็เป็นสิ่งที่แฟนคลับเราตั้งใจมอบให้ ถ้าถามว่า อยากได้เซ็มบัตสึไหมก็อยากได้ค่ะ แต่ ณ จุดนั้นคิดว่าถ้าได้อะไรมาจะยินดีกับมันทุกอย่าง เพราะเป็นสิ่งที่คนที่รักเราตั้งใจมอบให้เราค่ะ
โมบายล์: เอาจริงๆ ถ้าเซ็มบัตสึก็เชื่อว่าเราจะติด เพราะเราเคยแข่งขันมาปีก่อนนู้นก็ได้อยู่ใน 16 คน แต่ตอนแรกๆ ที่เรายังไม่รู้อันดับเลยเราก็คิดว่าจะอยู่อันดับไหนนะ เพราะมันก็มีนอกจากจะ 16 คนแล้ว ยังมีคามิเซเว่น (Kami 7) เซ็นเตอร์ ตำแหน่งหน้าตำแหน่งหลังอีก เราคิดว่าเราจะอยู่ตรงไหนนะ ตื่นเต้น แล้วเหมือนครั้งแรกที่ได้ ได้อันดับที่ 4 ก็เกินความคาดหมายแล้ว เราแบบว่าอยู่ข้างบน ทำให้รู้ว่าเราจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเติบโตไปเรื่อยๆ เหมือนทุกๆ ปี จะมีความเชื่อว่าเราจะขึ้นไปให้ได้นะ เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เหมือนถ้าได้ตำแหน่งดีๆ แฟนๆ ก็จะดีใจด้วย ซึ่งก็เลยคิดว่า เราจะมีความเชื่อว่าเราอยากจะอยู่ข้างบนอะไรอย่างนี้ค่ะ ปีนี้ถามว่าจะได้เซ็นเตอร์ไหมก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไร มันเหมือนการเดินทางใช่ไหมคะ สรุปว่าได้ขึ้นมาก็โอเค ตั้งใจทำให้ดีที่สุด แล้วตอบแทนแฟนคลับที่ให้ตำแหน่งนี้ขึ้นมา
น้ำหนึ่ง: เชื่อว่าเราจะติดในเซ็มบัตสึ เพราะเชื่อในคนที่เขาสนับสนุนเราและเชื่อในตัวเองด้วย เหมือนแฟนคลับจะบอกเราเสมอว่า "น้ำหนึ่งไม่ต้องกังวลนะ พวกเขาจะเต็มที่กับหนูเสมอ" เลยรู้สึกว่าเชื่อในตัวเขา แต่ว่าในงาน General Election บางทีมันก็อาจจะไม่แน่นอน พอมาปีนี้เหมือนแฟนคลับทุกคนก็อยากให้ได้คามิเซเว่น เพราะที่ลงมาทั้ง 3 ปีอยู่ในเซ็มบัตสึแต่ยังไม่เคยได้คามิเซเว่นเลย ตอนที่ฟังผลคิดว่าเราจะได้ไปอยู่ตรงจุดไหน มันเป็นความรู้สึกที่พาผ่านตำแหน่งที่เราเคยอยู่มา 2 ปี มันก็ยิ่งทึ่งในความเชื่อของแฟนคลับ ที่เขาส่งเรามาจนถึงที่ 4 ในปีนี้ ขอบคุณพวกเขามากๆ ที่ยังเชื่อหนูมาตลอด 6 ปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้แล้วก็ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ กันมาเสมอ
จีจี้: พอหนูรู้ว่าจะมี General Election รอบ 3 หนูขนลุก แบบว่า มาแล้ว มาอีกแล้ว เพราะว่ารอบแรกหนูไม่ติด แล้วหนูเคยคิดว่ายังไงก็ไม่ติด เป็นงานที่เราไปนั่งจอยๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้วกับตรงนั้น พอผ่าน General Election รอบแรก เราเหมือนเดินทางไปเรื่อยๆ รอบ 2 เราติดเพลงรอง เลยรู้สึกว่าเราพัฒนาตัวเองมาอีกขั้นนึงแล้ว แฟนคลับก็เติบโตตามเรามาด้วย หนูรู้สึกว่าหนูพัฒนาตัวเองอีกหลายๆ ด้านให้เหมาะสมเพื่อถ้าเราจะลงรอบหน้าแล้ว เราจะได้บอกแฟนคลับว่าอยากติดเซ็มบัตสึ ถ้าหนูไม่ได้เหมาะสมกับตรงนั้นจริงๆ ก็คงไม่มั่นใจ ตอนผลด่วนมารู้ว่าติดเข้าไปหนูรู้สึกว่าพอใจแล้ว พอประกาศมาได้ที่ 12 ก็ดีใจ เป็นสิ่งที่แฟนคลับมอบให้ หนูรู้สึกว่าภูมิใจในแฟนคลับของตัวเองด้วย และคิดว่าในภายภาคหน้าก็อยากให้เติบโตไปพร้อมกันเป็นบ้านของเราที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
ฟ้อนด์: คำตอบของหนูคล้ายพี่มินมากเลย เพราะหนูเป็นคนที่มีความเชื่อ ถ้าเราเชื่อว่าเราสามารถทำสิ่งนี้ได้ หรือสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น มันจะเป็นจริงๆ มันเหมือนเป็นกฎแรงดึงดูดหรืออะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นงาน General Election ครั้งนี้หนูก็เชื่อเหมือนกันว่าหนูต้องติดเซ็มบัตสึ แต่ว่าไม่รู้ว่าจะไปติดที่ตำแหน่งไหน จริงๆ มันก็มีความกดดันเหมือนกัน เพราะว่าเรามีความพัฒนาขึ้นมาแต่ละปี แล้วปีนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว หนูก็เขียนลงไปในใบเลย คามิเซเว่นปีนี้ต้องมา แต่รู้สึกว่าเราจะไม่เชื่อจนไม่เผื่อใจ เราจะได้ไม่เสียใจ เพราะเราได้เห็นคนที่เขารักและทำให้เราขนาดนี้เราก็ดีใจแล้ว ไม่ว่าเขาจะส่งเรามาได้ถึงลำดับไหน เราจะไม่เสียใจเลย เขาได้ทำเต็มที่เพื่อเราแล้ว เพราะฉะนั้นหนูภูมิใจกับทุกๆ ลำดับเลย ปีนี้หนูได้เลขตัวเดียวเป็นครั้งแรก แค่นี้หนูก็ภูมิใจมากๆ แล้ว
นอกเหนือจากบทบาทสมาชิก BNK48 แต่ละคนเชื่ออะไรในตัวเองบ้าง?
มินมิน: หนูเป็นคนที่ตั้งแต่เด็กรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่สุดสักทาง โอเค ทำอะไรได้หมด แต่ร้องเพลงก็ไม่ได้เก่งหรือว่าเต้นก็ไม่ได้ที่สุด พอทำได้ แล้วเป็นปัญหากับชีวิตเหมือนกันที่รู้สึกว่ามันไม่สุดสักทางเลย เคยปรึกษาทุกคนเหมือนกัน เขาก็ถามว่า "รู้สึกว่าจุดไหนคือจุดที่ทำให้แฟนคลับชอบในตัวเรา ทำให้ทุกคนเข้ามา" ส่วนใหญ่เขาจะบอกว่า หนูคือความสบายใจของเขา หนูเลยรู้สึกว่าหนูมีความจริงใจที่ให้กับทุกคน แล้วก็ความหวังดี ดังนั้นหนูเชื่อในความจริงใจของเราว่า ถ้าเราจริงใจทุกคนจะสัมผัสได้
น้ำหนึ่ง: หนูเชื่อในคำว่า "ขอให้ข้าได้สู้" คือหนูเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่เด็กๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองอยู่ แต่รู้สึกว่าถ้าเราอยากจะทำหรืออยากจะเป็นอะไร ขอให้ได้ลงมือทำไปก่อน ผลมันก็จะออกมาเป็นสองทางคือ ได้ หรือ ไม่ได้ แต่ถ้าเรากลัวไปแล้ว แล้วเรารู้สึกว่า ฉันกลัว ฉันคงไม่เหมาะสม หรือ ฉันทำไม่ได้ โดยไม่ได้ลงไปลองกับมัน คำตอบคือ คุณจะไม่ได้สิ่งนั้นแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรสำหรับหนูคือขอให้ได้ลองทำก่อน อยากลองทำในทุกๆ ด้านเลย ในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นหนูก็อยากจะลองทำไม่ว่าจะในเรื่องของวิชาชีพใดๆ แล้วผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรก็เชื่อมั่นในตัวเองว่า ขอให้ข้าได้สู้ แล้วทำมันอย่างเต็มที่ที่สุด ผลมันต้องได้อะไรกลับมาบ้าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อยค่ะ
มิโอริ: ของมิโอริคล้ายๆ พี่น้ำหนึ่ง มิโอริเชื่อว่าโอกาสได้รับทุกคนแน่ๆ ถ้าเราไม่หยุดพยายาม สู้ต่อไปเรื่อยๆ นะคะ มิโอริเป็นคนนึงที่ตอนแรกติดเซ็มบัตสึ แต่หลังจากซิงเกิลที่ 3 ก็หลุดทุกซิงเกิลเลยจนถึงซิงเกิล 11 แต่ว่าระหว่างนั้นบางทีหนูรู้สึกอยากหยุดพยายามจริงๆ แต่อาจจะเพราะด้วยเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่าไม่รู้ หนูเป็นคนที่ตั้งใจไปเรียนเต้น ซ้อมเต้น เรียนร้องเพลงทุกๆ ครั้ง ทำให้เพื่อนๆ ทุกคนเชื่อว่า มิโอริเป็นคนตั้งใจมากๆ แล้วพอมิโอริตั้งใจไปเรียน คุณครูหรือผู้ใหญ่ก็มองว่าคนนี้เป็นคนตั้งใจอยู่นะ หนูก็เลยได้รับโอกาสอีกครั้งในซิงเกิลที่ 11 และยิ่งซิงเกิลที่ 12 หนูก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง หนูรู้สึกว่าที่ได้รับโอกาสนี้เพราะหนูไม่หยุดพยายาม ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ อยากให้ทุกคนเชื่อว่า ถ้าไม่หยุดพยายามจะได้รับแน่ๆ ค่ะ
โมบายล์: ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีความมั่นใจหรือเปล่า แต่คิดว่าลึกๆ จะเป็นคนขี้กลัวด้วย หนูจะมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า หนูสามารถทำได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งอะไรขนาดนั้นนะ แต่ต้องฝึกฝนทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะเริ่มทำอะไรก็ตาม ก็เลยคิดว่าเราทำได้แน่นอน ขอแค่มีเวลาให้เราได้ฝึกฝน
จีจี้: คือหนูเชื่อว่าการเป็นตัวของตัวเองดีที่สุดสำหรับหนู แล้วหนูเชื่อว่าตั้งแต่วันที่หนูก้าวเข้ามาอยู่ในวงนี้หนูเหมือนเดิมตลอดมา แฟนคลับก็บอกว่าชอบที่หนูเป็นของหนู หนูคิดว่าได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นในการเป็นตัวเอง แฟนคลับส่วนใหญ่ที่มาเป็นแฟนคลับหนูบอกว่า จริงๆ เขาจะชอบนิสัยหนูก่อน เพราะเป็นคนที่เห็นแวบแรกแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่พอรู้จักแล้วเป็นคนมีเสน่ห์ ตลก เป็นธรรมชาติโดยที่เราไม่รู้ตัว หนูก็เลยรู้สึกว่ามันคือเสน่ห์ของเราว่า เสน่ห์นี้จะทำให้คนรอบข้างรักและอยากอยู่กับเรา
ฟ้อนด์: คือก่อนเข้าวงหนูรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร แต่ตอนนี้หนูจำตัวตนนั้นไม่ได้แล้ว หนูหาตัวตนของตัวเองไม่เจอ เหมือนคิดเยอะจนเขวไปหมด ในขณะเดียวกันพอฟังจีจี้ก็รู้สึกว่า การเป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว
นอกจากตัวเองแล้ว มีความเชื่อต่อสมาชิกในวงด้วยกันอย่างไรบ้าง?
โมบายล์: ทุกคนต่างพยายามทำตามหน้าที่ของตัวเอง ทุกคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ว่าพอดูรวมๆ แล้ว ทุกคนพาวงไปด้วยกัน ทั้งๆ ที่เราแค่ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักแค่นั้นเลย เราไม่ได้คิดว่าวงเราจะต้องดังขึ้น แต่ทุกคนต่างพัฒนาไปในทางของตัวเอง แล้วอยู่ดีๆ มันก็ทำให้วงเราแกร่งขึ้น ทำให้วงเราขับเคลื่อนไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จ เวลาเราเหนื่อยเราก็มานั่งคุยกันว่าเราเหนื่อยกันจังเลยนะ แต่ว่าเวลาทำงานก็จริงจัง อยู่ดีๆ ก็กลับมาตั้งใจทำงาน ก็เลยเชื่อมั่นว่าทุกคนรักในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว
น้ำหนึ่ง: เวลาเห็นเอเนอร์จีเพื่อนเวลาทำงานแบบนั้นแล้ว ตอนที่เราต้องออกไปทำงานคนเดียว เรารู้สึกว่าที่นี่คือเซฟโซนของเรามากๆ หันไปแล้วเจอเพื่อนที่ส่งพลังให้กันบนเวที หรือว่าในห้องซ้อมเราเหนื่อย เราท้อ หันไปก็เจอเพื่อนที่ผ่านปัญหามาด้วยกัน หันไปปรึกษาเขา มันเป็นเอเนอร์จีที่ดีมากที่ตั้งแต่วันนั้นเราพากันมาจนถึงวันนี้ เราเชื่อในตัวเอง เราเชื่อในทุกคน เราเชื่อในพลังของมวลหมู่ก้อนๆ นี้ที่อยู่แล้วมีความสุข เหมือนโอเค เธอทำเต็มที่ ฉันทำเต็มที่ แล้วทุกอย่างมันก็จะเต็มที่เอง
จีจี้: เวลามองเพื่อนแต่ละคนหนูรู้สึกว่าเขาเก่ง แล้วเวลาที่เห็นเขาเปล่งประกายในแบบที่เขาชอบแล้วหนูภูมิใจ แต่ละคนเหมือนอเวนเจอร์ที่เก่งคนละด้าน คนที่เป็นสายร้องเขาร้องเพลงแล้วหนูก็จะร้องไห้ ทำไมเก่งอะไรขนาดนี้ อย่าง INDY CAMP (โปรเจกต์พิเศษจาก 6 สมาชิกของ BNK48 และ CGM48) หนูรู้สึกเหมือนเป็นแม่ที่เห็นเขาประสบความสำเร็จ
โมบายล์: ดูเขาเติบโต
จีจี้: ใช่ แล้วหนูรู้สึกว่าเราไปได้อีกไกลและหลากหลายด้าน คิดว่าเป็นฮีลลิ่งอย่างที่พี่น้ำหนึ่งบอกด้วย บางทีมันเหนื่อยมาก แบบทำงานทั้งวัน เราอยู่บนรถตู้เราก็จะคุยกันว่า "เหนื่อยว่ะ" เป็นที่ๆ เราพูดกันตรงๆ ได้ "เอาวะ งานสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวไปกินข้าวกัน" คือจริงๆ เรามีพวกเขาที่ผลักดันกันจนไปด้วยกันตลอด
ความเหมือนและความต่างที่แต่ละคนมีช่วยส่งเสริมอะไรให้กันบ้าง?
มิโอริ: เหมือนที่จีจี้บอกเมื่อกี้เนอะ
จีจี้: แต่ละคนมีคนละเอเนอร์จี เราล้นใช่ไหมแล้วจะมีอีกคนที่...
น้ำหนึ่ง: คอยดึง
จีจี้: คอยดึงว่า "เอ้ย! สูงเกิน"
(ทุกคนหัวเราะ)
น้ำหนึ่ง: คอยตบให้เข้าที่
จีจี้: หนูว่ามันเกื้อกูล แล้วมันทำให้ทุกอย่างเข้าที่
น้ำหนึ่ง: สมมติบางคนเผ็ด บางคนเปรี้ยว บางคนหวาน
ทุกคน: อุมามิ! (หัวเราะ)
น้ำหนึ่ง: ส่วนตัวหนู หนูเป็นคนแก่ ไม่ใช่แก่แบบนั้น เป็นคนเอเนอร์จีที่เหมือนแบตเตอรี่อ่อน แต่พอมาอยู่กับน้องๆ หรือเพื่อนๆ มันช่วยพุชเอเนอร์จีตัวเองเพิ่มมากขึ้น อย่างหนูสนิทกับโมบายใช่ไหมคะ หนูจะเป็นคนชอบอยู่บ้าน เขาจะเป็นคนที่พาหนูออกไปหาประสบการณ์ไปนู่นไปนี่ไหม ประมาณนั้น
จีจี้: ด้านชีวิตส่วนตัวต้องบอกว่า เพื่อนในวงก็เหมือนเพื่อนในชีวิตจริง พอเราทำงานเสร็จเราจะชวนกันไปกินข้าวเพื่อฮีลลิ่งกันและกัน ต่างคนต่างนิสัยแต่ว่าพออยู่ด้วยกันแล้วช่วยกัน
น้ำหนึ่ง: ความแตกต่างก็เป็นเสน่ห์ของวงเหมือนกันนะคะ เหมือนเวลาคนนอกมองเข้ามาเรามีกันตั้ง 60-70 คน คุณจะชอบแบบไหนคะ
จีจี้: แต่ถ้ารู้จักจริงๆ จะรู้ว่าแต่ละคนมีดีเทลที่ไม่เหมือนกัน แต่อาจจะชุดเหมือนกันนะ เข้าใจได้
(ทุกคนหัวเราะ)
น้ำหนึ่ง: แต่ยังมีความต่างออกไปที่มีความเป็นตัวของตัวเองมาก ความวาไรตี้ของวงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
พื้นที่ส่วนตัวในการทำงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร?
น้ำหนึ่ง: ทุกคนจะมีความเอ็กโทรเวิร์ตอินโทรเวิร์ตที่ไม่เหมือนกันนะคะ สมมติน้องคนนี้เฟดตัวออกไปนั่งอยู่ที่มุมห้อง เราจะรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธใครหรือเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาโอเคกับการที่เขาได้อยู่คนเดียวเป็นการชาร์ตแบตของเขา หรือบางคนแยกไปนั่งเล่นเกมกันสองคน บางคนก็ไปนั่งอ่านหนังสือ เหมือนเราจะเข้าใจธรรมชาติของกันและกัน บางทีเวลาไปออกกองกัน...
จีจี้: หนูไม่เคยเจอพี่น้ำหนึ่งเลย เขาจะไปนั่งคุยกับพี่ช่างแต่งหน้า
น้ำหนึ่ง: ผ้าถุงนี้ทำอย่างไรนะคะคุณพี่
จีจี้: อย่างที่บอกว่าเขานิสัยผู้ใหญ่
น้ำหนึ่ง: แบบน้องเล่น Werewolf (บอร์ดเกมฉบับภาษาไทยเรียกว่า เกมล่าปริศนามนุษย์หมาป่า) UNO กัน หนูมานั่งคุยกับพี่ช่างแต่งหน้า "ผ้าถุงนี้ทำอย่างไรนะคะคุณพี่"
จีจี้: แต่ทุกคนน่าจะชิน สมมติมีรถตู้คันหนึ่ง เราจะรู้แล้วว่าใครนั่งตรงไหน อย่างหนูเวลาอยู่กับเพื่อนเอเนอร์จีล้นใช่ปะ แต่จริงๆ หนูจะชอบนั่งแถวริมซ้ายด้านหลังสุดคนเดียว แล้วหนูเมารถด้วยนะ ส่วนใหญ่เขาจะนั่งคุยกันข้างหน้า
ฟ้อนด์: ถามว่าอยากได้พื้นที่ส่วนตัวไหม ก็อยาก แต่พอเป็นการทำงานหนูไม่ได้รู้สึกว่าหนูต้องการขนาดนั้น หนูชอบการอยู่คนเดียวบางเวลา แต่ก็เป็นคนชอบแสงสีเหมือนกัน ถ้าตอนไลฟ์หรือเวลาให้สัมภาษณ์ก็เป็นจุดหนึ่งที่รู้สึกว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นคนสาธารณะ เราจะไม่ต้องคิดเยอะตอนพูดเท่ากับสิ่งที่เราเป็นอยู่ตรงนี้
จีจี้: เวลาไลฟ์มันเป็นตัวเองแหละ แต่เป็นตัวเองแบบไม่สุด เพราะว่าเวลาเราสื่อสารไปแล้ว แฟนคลับเขาอาจจะตีความอีกแบบหนึ่ง เราเป็นตัวของตัวเองแบบที่ต้องเกลาน่ะ
มินมิน: ที่ส่วนตัวของมินคือที่บ้าน เป็นคนชอบอยู่บ้านกับครอบครัว แค่นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วมีแม่ มีน้อง มีแมวก็สบายใจแล้ว เหมือนทำงานเหนื่อยมาแค่ไหน กลับมาบ้านเจอแมวแล้วได้เล่นกับน้องก็คือแบบ ฮีลลิ่งเราได้เต็มสูบแล้ว
จีจี้: จุดที่เด่นคือแมว
โมบายล์: ที่พูดถึงแม่ก็เพราะว่าแม่นั่งอยู่
(ทุกคนหัวเราะ)
มินมิน: แมวนั่งมองหน้าแล้วรู้สึกว่า นี่คือพลังของฉัน ทำงานหาเงินมาเลี้ยงลูก แล้วครอบครัวที่บ้านก็ฮีลลิ่งได้
มาถึงความเชื่อที่แต่ละคนมีต่อวงการเพลงไทยกันบ้าง?
น้ำหนึ่ง: รู้สึกว่ามันกำลังไปได้ดี ปีสองปีนี้เป็นการเดินทางที่รวดเร็วมากๆ เหมือนเป็นก้าวกระโดดของวงการเพลงไทย ที่เห็นว่ามีคู่แข่งเยอะขึ้นก็เหมือนเป็นตัวบ่งชี้ว่าวงการเพลงกำลังพัฒนา
โมบายล์: เราอาจจะเห็นเกิร์ลกรุ๊ปบอยแบนต่างประเทศเยอะแล้ว เราก็มาคิดว่าของไทยจะเป็นอย่างไร ช่วงนี้มันก็เริ่มพัฒนาไปได้ไกลแล้ว
น้ำหนึ่ง: แล้วทุกวงทำผลงานกันออกมาได้ดี มันเป็นผลงานที่มีคุณภาพมากๆ เรารู้สึกว่าทุกคนมาร่วมขับเคลื่อนวงการเพลงไปด้วยกัน
จีจี้: พอเห็นทุกคนเติบโตแล้ว เรากลับรู้สึกว่าอยากติดตามเขาและอยากสนับสนุนวงการเพลงไทยให้พัฒนาขึ้นไปอีก
น้ำหนึ่ง: มันก็มีอีกแพสชั่นหนึ่ง สมมติว่าเราเห็นวงนี้ดี วงนั้นดี...
ฟ้อนด์: เราอยากทำบ้าง
น้ำหนึ่ง: อยากทำให้ดียิ่งขึ้น
โมบายล์: เป็นความอยากของเราเนอะ
ฟ้อนด์: จริงๆ เพลงไทยก็มีเอกลักษณ์ของมัน น่าจะไปได้ไกล
แต่ละคนมีความเชื่อในความพยายามหรือเชื่อในพรสวรรค์ คิดว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้?
น้ำหนึ่ง: น่าจะเป็นความพยายามในการจะหาอะไรมาใส่ในตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งนี้เรายังทำไม่ได้ อยากจะทำได้จังเลย สุดท้ายก็คือความพยายาม ตอนที่หนูเข้าวงมา หนูก็เป็นคนที่ร้องเต้นจริงๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่เคยเรียนร้องเรียนเต้นเลยจนมาอยู่วงนี้ สุดท้ายมันมาอยู่ในจุดๆ นี้ได้เพราะการฝึกฝนที่พวกเราฝึกฝนกันมา
มิโอริ: รู้สึกว่าการอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่กับตัวเองทำให้พัฒนาได้ บางทีได้เรียนรู้จากเพื่อนๆ คนอื่น มิโอริเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนเต้น ต้องอาศัยมองเพื่อนๆ คนที่เต้นเก่งอย่าง ปัญ (ปัญสิกรณ์ ติยะกร) เจนนิษฐ์ (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ) แล้วมิโอริพยายามก๊อปปี้เขาให้ตัวเองเก่งขึ้น รู้สึกว่าพออยู่กับเพื่อนๆ แล้วตัวเองเก่งขึ้น
ฟ้อนด์: หลักๆ สำหรับหนูคือความพยายาม ใครที่มีพรสวรรค์ด้วยก็ถือว่าเป็นกำไร แต่ถ้าใครมีพรสวรรค์แล้วไม่พยายามก็ไม่สุดนะคะ คิดว่ามันน่าจะสำคัญทั้งสองอย่าง
จีจี้: หนูก็เหมือนฟ้อนด์ คือมันต้องมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง บางคนอาจจะคิดว่าเรามีอันนี้แล้วโดดเด่นแล้ว แต่จริงๆ คือถ้าอีกคนพยายามมากกว่าก็อาจจะก้าวข้ามเราไปได้ เลยคิดว่าเราควรจะโฟกัสทั้งสองอย่างไปด้วยกัน
โมบายล์: หนูไม่ค่อยชอบเรียนอะไรพร้อมกับคนอื่น อย่างสมมติเราไปเรียนทำเค้กกัน เวลาเราเห็นเพื่อนนำไปก่อนเราแล้ว เราไม่รู้จะทำอย่างไร ทำไม่ทันแล้ว ตั้งแต่เด็กๆ เวลาฝึกฝนอะไรจะทำอะไรด้วยตัวเอง เหมือนเรียนกีตาร์เวลาอยู่ในห้องยังทำไม่ได้หรอก แต่ว่ากลับมาฝึกเองที่บ้าน ค่อยเป็นค่อยไป เรารู้ตัวเองว่าเราจะทำอย่างไรถึงจะพัฒนาได้ เลยชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเองทุกอย่างเลย
แต่ละคนเชื่อว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร?
โมบายล์: หนูเป็นคนที่ตื่นเต้นกับอนาคตตัวเองเสมอ ชอบหาสิ่งใหม่ๆ ทำ ทั้งที่ตัวเองได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่จะเน้นความชอบของตัวเองไว้ก่อน อยากเล่นสเก็ตบอร์ดก็ซื้อมาเล่นเลย หนูเลยมองตัวเองในอนาคตว่า เราจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ สิ่งที่ชอบ และจะไปได้ไกลในหน้าที่ของตัวเอง
ฟ้อนด์: หนูจะต้องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขค่ะ สุขทั้งภายในและภายนอก รู้สึกว่าความสุขน่าจะสำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว จริงๆ อยากจะประสบความสำเร็จด้วย แต่ถ้าคิดถึงหน้าที่หรืออาชีพการงาน มันยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากลองทำ อนาคตฉันจะต้องได้ลองทำทุกอย่าง แล้วต้องค้นพบความสุขหรือสิ่งที่เราทำสิ่งแล้วจะมีความสุขไปตลอดชีวิต
น้ำหนึ่ง: คิดว่าในอนาคตอยากจะเป็นน้ำหนึ่งที่เก่งรอบด้านมากขึ้น ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างแล้วสามารถทำออกมาได้อย่างดี ได้ทำในสิ่งที่ชอบด้วย จะเป็นน้ำหนึ่งที่พร้อมสำหรับโอกาสในทุกๆ ด้านค่ะ
มินมิน: จริงๆ คล้ายฟ้อนด์เหมือนกัน แค่อยากใช้ชีวิตแบบทำในสิ่งที่ชอบแล้วมีความสุข แล้วก็เชื่อในกฎของแรงดึงดูดว่า เราเป็นคนอย่างไรเราจะเจอคนแบบนั้น เหมือนที่ได้เจอเพื่อนๆ
ฟ้อนด์: เอ๊ย! เลี้ยงแพะหรือเปล่า
มินมิน: ใช่! มีความฝันว่าอยากไปอยู่ต่างจังหวัด อยากมีฟาร์ม อยากทำคาเฟ่หรือร้านอาหารแล้วก็เลี้ยงแพะ นั่นคือความฝันที่ไม่รู้ว่าจะไปถึงไหม แต่ว่าอยากทำ
ฟ้อนด์: เดี๋ยวไปอุดหนุน
จีจี้: ให้อาหารแพะ ถ้วยละยี่สิบ
น้ำหนึ่ง: ป้อนนมแพะด้วย
มินมิน: ชอบชีวิตสงบสุข
จีจี้: ของหนูถ้านึกตอนนี้ ในอนาคตคิดว่าอยากเป็นคนที่ใช้ชีวิตคุ้ม ไม่มานั่งเสียดายว่า ทำไมเราถึงไม่ทำสิ่งนี้ในวันที่เรามีพละกำลัง ตอนนี้ฉันมีเอเนอร์จีที่อยากทำอะไรก็จะทำเลย ที่บ้านหนูมีผู้สูงหลายคนแล้วก็มีเด็กด้วย แล้วพอหนูชวนม้าไปไหนม้าจะบอกว่าไปไม่ไหวแล้ว เฮ้ย! ไม่ได้แล้ว หนูจะต้องทำทุกอย่างให้ครบก่อนที่หนูจะถึงวัยนั้น อนาคตเราก็คงมีกิจการของตัวเองและมีกำลังด้านการเงินที่เราจะใช้ชีวิตให้คุ้มได้ หนูอยากทำความฝันตรงนั้นให้เป็นจริง แล้วสูงสุดคือหนูอยากให้ครอบครัวและทุกคนที่หนูรักอยู่กับหนูนานๆ แบบไม่ลำบาก หนูเป็นคนรักครอบครัวและอยากมีครอบครัวเป็นของตัวเอง อยากมีลูกแล้วก็เลี้ยงเขาได้อย่างดีที่สุด นั่นคือความฝันของหนู
น้ำหนึ่ง: หนูอยากรวยค่ะ
มินมิน: ความฝันของทุกคนเลย
มิโอริ: ของหนูคล้ายๆ กับจีจี้นะคะ นึกถึงเมื่อก่อนแล้วดีใจที่ตอนนี้ได้เป็น BNK48 ด้วย ตอนที่เข้า BNK48 มิโอริลังเลว่าจะเลือกอย่างไรดี จะเข้าวงหรือจะกลับที่ญี่ปุ่น เพราะว่าเป็นช่วงที่กำลังตัดสินใจว่าจะกลับไปเข้ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นดีกว่าไหม แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้นึกถึงชีวิตใน BNK48 ก็รู้สึกว่าดีใจที่ได้อยู่ในวง ดีใจที่รู้จักกับเพื่อนๆ เลยอยากให้อนาคต พอคิด...
จีจี้: ย้อนหลัง
มิโอริ: ย้อนหลัง...
จีจี้: กลับมา
มิโอริ: กลับมา...
(ทุกคนหัวเราะ)
มิโอริ: ใช่ (หัวเราะ) ก็รู้สึกว่าอยากให้มีความสุขกับชีวิตของตัวเองค่ะ
จากซ้ายไปขวา มินมิน-รชยา ทัพพ์คุณานนต์, มิโอริ-มิโอริ โอคุโบะ, น้ำหนึ่ง-มิลิน ดอกเทียน, โมบายล์-พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค, ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา และ จีจี้-ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล
บรรยากาศของการสัมภาษณ์จบลงอย่างสนุกสนาน พวกเธอยิ้มและหัวเราะให้กันและกันเหมือนที่เป็นมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน
แม้จุดเริ่มต้นของการพูดคุยกับทั้ง 6 คน จะมาจากเพลง Believers แต่เราพบว่า เรื่องราว ความคิด ความฝัน และความเชื่อของพวกเธอที่มีอยู่นั้น ไม่ต่างกับสิ่งที่วัยรุ่นในยุคสมัยนี้กำลังเผชิญร่วมกันเลย