วันนัดสัมภาษณ์ 5 สาวสมาชิกวง VYRA เป็นวันที่เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าตั้งแต่เช้า พายุฤดูร้อนต้อนรับอย่างอ่อนโยนด้วยละอองฝนโปรยปรายบางเบา จนกระทั่งได้เข้ามานั่งอยู่ในห้องเดียวกับ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ, ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร, ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา, นิว-ชัญญาภัค นุ่มประสพ และ นิกี้-วรินท์รัตน์ ยลประสงค์ หมู่เมฆที่เห็นอยู่ภายนอกหน้าต่างบานใหญ่ค่อยๆ กระจายตัวไป แล้วท้องฟ้าพลันสดใสขึ้นมาทันที
สมาชิก VYRA เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา: ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร, นิว-ชัญญาภัค นุ่มประสพ, ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา, เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ และ นิกี้-วรินท์รัตน์ ยลประสงค์
อีกบทบาทของทั้ง 5 ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี คือการเป็นสมาชิกไอดอลวง BNK48 รุ่นที่ 1 และ 2 ซึ่งพวกเธอผ่านการออดิชั่นภายในเพื่อมารวมตัวกันเป็นเกิร์ลกรุ๊ปใหม่ ภายใต้โปรเจกต์จากการร่วมมือกันระหว่าง ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค (ประเทศไทย) (Universal Music (Thailand)) กับ อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ (Independent Artist Management (iAM)) ที่ต้องการสร้างวงศิลปินป๊อปไทย แล้วผลักดันให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งแรกเริ่มยังมี เนย-กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล เป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย
หลังจากเริ่มฟอร์มวงได้ไม่นานเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แผนที่เตรียมไว้แต่เดิมว่าจะให้สมาชิกทุกคนเดินทางไปเก็บตัวที่ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงต้องปรับเปลี่ยนเป็นการเก็บตัวฝึกซ้อมในประเทศ ทุกคนฝึกซ้อมและเรียนรู้ทั้งด้านการร้องและการเต้นเพิ่มเติมอยู่ในบ้านเดียวกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน นอกจากจะเป็นการเพิ่มศักยภาพของการเป็นศิลปินของพวกเธอแล้ว ยังช่วยให้ทุกคนทำความรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นกลุ่มก้อนยิ่งขึ้น ซึ่งระหว่างช่วงเวลานั้นมีการบันทึกภาพการใช้ชีวิตและการฝึกซ้อมของพวกเธอมาเผยแพร่ให้รับชมกันในรายการ ไลราลิตี้โชว์ (LYRALITY SHOW) จำนวนทั้งสิ้น 12 ตอน ก่อนที่จะเปิดตัววงในนาม LYRA ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ด้วย
เพลง LYRA ตามมาด้วย
ซิงเกิล Vanilla โดยมี เจ-มณฑล จิรา และ ริชาร์ด เครเกอร์ (Richard Craker) เข้ามาโปรดิวซ์และทำดนตรีทั้ง 2 เพลงนี้ให้กับวง ก่อนที่เนยจะยุติบทบาทในฐานะสมาชิกวง LYRA เพื่อกลับไปทำหน้าที่สมาชิกวง BNK48 อย่างเต็มที่ จึงมีการเปลี่ยนชื่อวงเป็น VYRA ที่ใช้ตัวอักษร V ซึ่งเป็นตัวเลขโรมันมาใช้แทนความหมายของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ 5 คนในปัจจุบัน
การเดินทางบทใหม่สู่การเป็น VYRA ของทั้ง 5 เริ่มต้นด้วยเพลง ต๊ะต่อนยอน...Hurry Up! ซึ่งนอกจากครั้งนี้จะได้เห็นคาแรกเตอร์สนุกๆ ของพวกเธอแล้ว ยังเป็นการร่วมงานกับ กอล์ฟ-ณัฐวุฒิ ศรีหมอก (F.HERO) และ นีโน่-เกริก ชาญกว้าง (NINO) โปรดิวเซอร์สายฮิปฮอปที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆ ในการทำงานให้กับพวกเธอ โดยเพลงนี้มี ซันนี่-เกวลิน บุญศรัทธา (Sunnee) ศิลปินไทยที่เคยเข้าร่วมแข่งขันรายการ Producer 101 ที่แจ้งเกิดและมีชื่อเสียงโด่งดังที่ประเทศจีนมาร่วมฟีเจอริงด้วย
VIDEO
"เราได้ฟังกันในห้องนี้" ทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมกันถึงตอนได้ฟังเพลง ต๊ะต่อนยอน...Hurry Up! ครั้งแรก
เจนนิษฐ์ให้ความเห็นว่ามีความทีป๊อป (T-POP) ชัดเจนมาก "รู้สึกว่ามีความเป็นไทยที่กำลังพอดี ไม่ยัดเยียด แต่ก็ไม่ได้น้อยเกินไป คนที่ได้ฟังน่าจะทักว่ามีเครื่องดนตรีไทยด้วย" ส่วนปัญบอกว่า แม้จะรู้ชื่อเพลงมาก่อน แต่รู้สึกแปลกใหม่ เพราะแนวเพลงออกมาไม่เหมือนกับที่เคยคิดไว้เลย
บรรยากาศแบบนี้เป็นตัวอย่างเสี้ยวหนึ่งของการทำงานในฐานะศิลปินวง VYRA ที่ทั้ง เจนนิษฐ์, ปัญ, ฟ้อนด์, นิว และ นิกี้ รู้สึกว่ามีความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะพวกเธอมีส่วนร่วมกับการทำงานทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตั้งชื่อวง การออกความคิดเห็นเรื่องเนื้อหาเพลง การทำงานกับทีมเบื้องหลังใหม่ๆ รวมถึงโอกาสที่ได้แต่งท่อนแร็ปด้วยตัวเองอีกด้วย
เมื่อมีโอกาสพบกับสมาชิก 5 คนพร้อมหน้า เราจึงอยากทำความรู้จักกับแต่ละคน และฟังว่าการรวมตัวกันเป็นยูนิต VYRA ครั้งนี้ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อะไรให้กับพวกเธอบ้าง
แต่ละคนชอบฟังเพลงแนวไหนบ้าง?
ฟ้อนด์: ชอบฟังเพลงสากลที่เป็นเพลงป๊อปยุค 90 ค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะคุณพ่อชอบฟังด้วยรึเปล่า รู้สึกชอบฟังเพลงสบายๆ อย่าง How Do I Live (LeAnn Rimes) ประมาณนี้ค่ะ
นิว: แนวเพลงที่ชอบเป็นอาร์แอนด์บี แล้วก็ชอบฟังเพลงที่มีท่อนแร็ปผสมด้วย
ปัญ: หนูฟังได้เกือบทุกแนวเลย แล้วพอศิลปินที่หนูชอบอย่าง Avril Lavigne อะไรอย่างนี้ ก็เลยชอบฟังร็อกไปโดยปริยาย แต่ว่าแนวเพลงที่ฟังบ่อยที่สุดจริงๆ หนูชอบอินดี้ป๊อปแล้วก็โฟล์กที่มีการเล่าเรื่อง ส่วนเพลงร็อก แร็ป อินดี้ ป๊อป อาร์แอนด์บี ฟังหมดเลย
เจนนิษฐ์: ฟังทุกแนวเหมือนกัน แต่หลักๆ จะเป็นเพลงร็อกกับบัลลาด
นิกี้: คิดหนักเลย เพราะแล้วแต่ช่วงว่าชอบฟังแบบไหน อย่างช่วงนี้หนูจะฟังฮิปฮอปเยอะหน่อย ก่อนหน้านี้จะฟังเพลงยุค 50 ประมาณ Put Your Head on My Shoulder ประมาณนั้น แล้วจะมีเป็นเร็กเก้ แดนซ์ฮอลล์ บ้าง อินดี้ป๊อปก็ชอบ อีกอย่างคือพวกป๊อปพังค์ อย่างพวก Youngblood หรือว่า Simple Plan อะไรประมาณนี้
พื้นฐานการฟังเพลงต่างกัน แล้วเวลารวมตัวกันหาจุดลงตัวได้อย่างไร?
เจนนิษฐ์: เพลงที่ชอบฟังกับเพลงที่ชอบร้องมันไม่เหมือนกัน
ทุกคน: ใช่ๆ
เจนนิษฐ์: เพลงที่เราชอบฟังไม่ได้แปลว่าเราจะร้องได้
ทุกคน: (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์: ถ้าเป็นทางที่ร้องได้น่าจะใกล้ๆ กัน
ในฐานะที่ VYRA เป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่นำเสนอความเป็นทีป๊อป อยากรู้ว่าแต่ละคนรู้จักเพลงทีป๊อปยุคไหน มีศิลปินอะไรบ้างที่ชอบ?
เจนนิษฐ์: ยุค 90 เลยค่ะ กามิกาเซ่
นิกี้: พี่หวาย
เจนนิษฐ์: ตอนประถมก็โฟร์-มดค่ะ
ฟ้อนด์: หนูโฟร์-มดด้วยค่ะ
นิว: ตอนนั้นฟังพาราด็อกซ์
ปัญ: หนูรู้สึกว่าเพลงยุคนั้น เด็กยุคนี้ทุกคนก็รู้จัก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เกิดทันยุคนั้น หรือเพลงเก่าๆ ที่เราก็รู้จักอยู่เพราะยังได้ยินอยู่ตลอด สมมุติเพลง O.K. นะคะ หรือ ผ้าเช็ดหน้า คนชอบถามว่า "เกิดทันเหรอ?" แต่จริงๆ มันได้ยินมาตลอดเวลาเลย
ได้ดูมิวสิกวิดีโอด้วยไหม?
นิกี้: ดูบ่อยมาก
ฟ้อนด์: คิดถึง
นิกกี้: ล่าสุดเพิ่งดูบาซูไป หนูมีความรู้สึกว่ายุค 90 มันมีความดิบอะไรบางอย่างอยู่ ซีจีคุณภาพไม่ได้มาเต็มอะไรขนาดนั้น
เจนนิษฐ์: เนื้อก็จะมีความเข้าใจง่าย ตรงไปตรงมากกว่า เนื้อเพลงมันดูจริงใจ
ปัญ: ด้านเอ็มวีหนูจะนึกถึงเพลงจิ๊กโก๋อกหัก มันจะมีสตอรี่เหมือนหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่มีตั้งแต่ต้นจนจบ มีความมืดๆ ฝนตก จะมีความดิบๆ เหมือนที่นิกี้บอก ซึ่งหนูรู้สึกว่าหนูชอบนะ สนุกดี ดูแล้วคล้อยตามได้ง่าย หนูชอบเพลง 18 ฝน แล้วก็เมคอัพของศิลปินยุคกามิกาเซ่จะมีความจัดจ้านในย่านนี้ ที่หนูคิดว่าพี่ๆ หลายๆ คนถ้าย้อนกลับไปดูเขาจะมีความแบบ "ฉันทำอะไรลงไป?" แต่สำหรับหนูรู้สึกว่ามันเท่มากเลย
ฟ้อนด์: หนูรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ตรงบีท ทำนอง หรือเมโลดี้อะไรบางอย่าง ที่พอเราฟังแล้วเราจะรู้ว่า อันนี้ต้องเป็นเพลงเก่าแน่ๆ ถ้าเป็นเพลงเก่าเปิดขึ้นมา เราจะแยกออกว่าเพลงนี้คือเพลงยุคไหน หนูเลยรู้สึกว่ามันคือเสน่ห์ของเพลงซึ่งหนูก็ชอบด้วย
ปัญ: ยุคพี่เบิร์ด
ฟ้อนด์: พี่เบิร์ด พี่บี้
นิว: หรือพี่ไอซ์
นิกี้: ตัวบีทก็เกี่ยว
ปัญ: อินโทรตอนต้น
ฟ้อนด์: ใช่อินโทรตอนต้นมันจะติดหู
ปัญ: ตึด ตื่อ ดือ ดึด ตืด ดื่อ ดึด (พริกขี้หนู) เป็นเพลงพี่เบิร์ด
ฟ้อนด์: หรือ ตึด ตื้อ ดือ ดึด (คนใจง่าย) ของพี่ไอซ์
เจนนิษฐ์: โครงสร้างเพลงมันจะเป็นยุคๆ ไป
ปัญ: สมัยก่อนเขาใช้เครื่องดนตรีจริงอัดเสียง แต่ว่าในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่มันจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า จะเป็นเสียงจากคอมพิวเตอร์ ซินธิไซเซอร์ หรืออะไรต่างๆ มันก็จะมีเสน่ห์ในแบบของมันที่แตกต่างกันออกไป ฟังแล้วรู้ว่ามาจากยุคช่วงนี้
VYRA นำเสนอความเป็นทีป๊อปแบบไหน?
เจนนิษฐ์: ความวาไรตี้ค่ะ ด้วยตัวเพลงมันก็มีเอกลักษณ์ของมัน จะมีคนบอกว่าฟังแล้วนึกถึงเรา มีความเป็นตัวตนของเราที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรเหมือนกัน
ปัญญ์: อาจจะเป็นเพราะว่าเราปล่อยออกมาแค่ 3 เพลง มันเลยยังไม่ได้มีภาพชัดมากว่าเป็นอะไรยังไง เพราะด้วยความที่เราไม่ได้ฟิกซ์แนวตายตัวว่าเราจะเป็นอย่างนี้ เราจะนำเสนอสิ่งนี้ แต่เราอยากจะทำทุกอย่างที่เราอยากทำ และมอบทุกอย่างที่เรามีให้กับผู้ฟังค่ะ มันเลยไม่ได้ชัดเจนว่าเราจะไปสุดในด้านนี้ คือพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดี นำเสนอมุมมองต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ยังมีความเป็น VYRA อยู่
ฟ้อนด์: คือเรากำลังพยายามหาแนวของเราค่ะ แนวของเราแสดงว่ามันยังไม่มีอยู่ในวงการ มันเลยไม่สามารถจำกัดคำนิยามได้ว่า เรียกว่าอะไร
ปัญญ์: หลักๆ น่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นสากล
มีภาพฝันไหมว่า อยากเห็นวงการเพลงไทยเป็นอย่างไร?
เจนนิษฐ์: อยากให้มันดังเท่าวงการเพลงอื่น
นิกี้: หนูมีความรู้สึกว่าอยากให้วงการทีป๊อปที่เคยบูมตอนช่วงยุค 80-90 กลับมาบูมอีกครั้งในยุคนี้ มันหายไปประมาณสิบกว่าปีได้
นิว: ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มกลับมาแล้วค่ะ นอกจากเราก็ยังมีวงอื่นที่เริ่มกลับขึ้นมาเรื่อยๆ จริงๆ เป็นข้อดีนะ เพราะหนูรู้สึกว่าอยากจะรันวงการทีป๊อปให้มันบูมเท่ากับที่อื่นด้วยค่ะ
ปัญ: มันจะมีช่วงเจป๊อป (J-Pop) เคป๊อป (K-Pop) ฟีเวอร์ เราก็อยากจะเป็นทีป๊อปฟีเวอร์ของคนในประเทศอื่นเหมือนกัน ให้เขามาสนุกกับเพลงไทยบ้างอะไรอย่างนี้ แต่จริงๆ ลึกๆ แล้วอาจจะไม่ได้หมายถึงทีป๊อปอย่างเดียว หนูรู้สึกว่าเพลงไทยทุกแนวสามารถไปต่างประเทศได้เหมือนกัน แล้วแต่รสนิยมที่คนชอบ ส่วนตัวหนูก็ชอบเพลงลูกทุ่งที่เป็นเพลงลูกทุ่งช้าๆ ถ้าคนต่างประเทศฟังก็อาจจะชอบได้เหมือนกัน ถ้ามีคนผลักดันให้มันออกไปสู่ภายนอกได้
ทั้ง 5 คนมีบทบาทการเป็นศิลปินไอดอลทั้งของวง BNK48 และ VYRA พร้อมกัน พอมาเป็น VYRA แล้วมีการทำงานอะไรที่แตกต่างจากเดิมบ้าง?
เจนนิษฐ์: มันฝึกคนละแบบ ตอนเป็น BNK48 เราต้องจำท่าจำเพลงของแต่ละอีเว้นต์ เปลี่ยนที่ เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนเนื้อร้องอะไร ของ VYRA ไม่ต้องเปลี่ยน แต่ว่าต้องซ้อมเพลงให้หนัก ต้องแข็งแรงกว่าเดิม เพราะว่าร้องเดี่ยว ไม่ได้ช่วยกันร้องพร้อมกันหลายๆ คน พอต้องเต้นหนักมากแล้วก็ร้องเพลงไปด้วย จะหนักในด้านร่างกายมากกว่า
ปัญ: ด้วยความที่คนน้อย อาจจะต้องมีเอเนอร์จีที่มากขึ้นเพื่อที่จะเอาเวทีให้อยู่ เอาคนดูให้อยู่ ถ้าอย่าง BNK48 แค่ยืนบนเวที 16 คน ก็สะเทือนแล้วพี่ เพราะคนเยอะ
นิกี้: แค่ยืนเฉยๆ ดูยิ่งใหญ่แล้ว
ปัญ: แต่อันนี้ด้วยความที่มีอยู่ 5 คน เราต้องทำตัวเองให้ใหญ่ขึ้น แบบว่ามีเอเนอร์จีส่งไปถึงคนดูให้มากขึ้น มันก็เลยอาจจะเหนื่อยตรงนั้น
คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนสามารถมารวมกันเป็น VYRA ได้?
เจนนิษฐ์: ต้องย้อนกลับไปบ้าน LYRA เนอะ
นิกี้: กำลังคิดเหมือนกันเลย
นิว: ตอนเราอยู่บ้าน LYRA จะพูดคุยกันซะส่วนใหญ่ แล้วได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น คือหนูรู้สึกว่าเราอยู่กับ BNK48 มาก่อน แต่อาจจะไม่ได้คุยกันมาก เพราะแต่ละคนไปออกงานแยกกันก็ไม่ค่อยได้เจอกัน
ทุกคน: ไม่เจอกันเลย
นิว: แต่พอมาอยู่บ้าน LYRA เจอกัน คุยกันเล่นกัน
นิกี้: ทุกๆ เย็นจะตั้งตี้โต๊ะอาหาร แล้วก็เล่นเกมกัน เลยรู้สึกเหมือนได้ความสนิทสนมมากขึ้นด้วย
เจนนิษฐ์: เราไปอยู่แคมป์มาเดือนนึงค่ะ
นิว: หนูว่ามันอยู่ที่การพูดคุยมากกว่า
ฟ้อนด์: หนูว่ามันอยู่ที่เวลาด้วยมั้งคะ คือสุดท้ายแล้วยังไงเราก็ต้องมาทำงานด้วยกัน เราต้องอยู่ด้วยกัน เวลาเราอยู่ด้วยกันมันคงไม่ได้นั่งเงียบตลอดเวลา มันค่อยๆ คุยกันไปเรื่อยๆ
เจนนิษฐ์: ไม่ว่านิสัยเหมือนกันหรือต่างกันทุกคนก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่ดี
ปัญ: อาจจะเพราะเราเจอสิ่งเดียวกัน อย่างในบ้าน LYRA เราเข้าคลาสเต้นพร้อมกัน เราเจอทุกอย่างเหมือนกัน เวลาเรามานั่งคุยกันมันมีหัวข้อ (topic) เดียวกันให้เราแชร์มุมมองของแต่ละคน มันทำให้เรารู้จักแต่ละคนมากขึ้น และแต่ละคนรู้จักเรามากขึ้นด้วย หรือเรื่องการถามกัน ปรึกษากัน แนะนำกัน มันก็ถูกแชร์กัน เพราะว่าเราเจอสิ่งที่เหมือนกัน
การเป็น VYRA ให้ประสบการณ์อะไรที่แตกต่างจาก BNK48?
ฟ้อนด์: หลายอย่างมากค่ะ
เจนนิษฐ์: ตอนอยู่ในแคมป์มีตารางที่ชัดเจน ทีมงานจัดเป็นกิจวัตรทุกวันให้เลยว่า ตอนนี้เรียนเต้น ออกกำลังกายกี่โมง ปกติของ BNK48 ว่างตอนไหนต้องหาเวลานัดกันเพื่อซ้อมเป็นงานๆ แต่ VYRA จัดตารางชีวิตให้ต้องมีวินัยมากขึ้น
ฟ้อนด์: หนูรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องการทำเพลงมากที่สุดค่ะ ถ้าใน VYRA มันตื่นเต้น
เจนนิษฐ์: ลุ้นๆ
ฟ้อนด์: ซิงเกิลต่อไปจะเป็นยังไง แล้วเราได้ออกความคิดเห็นด้วย เราต้องมานั่งลุ้นหลายๆ กระบวนการมากกว่ามันจะออกมาเป็นเพลงๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเพลง เอ็มวี เสื้อผ้า หน้าผม
นิกี้: มีความตื่นเต้น ลุ้นนู่นลุ้นนี่ตลอด
เจนนิษฐ์: ลุ้นว่ามันจะออกมาเป็นยังไง
ปัญ: รูปแบบการทำงานก็ไม่เหมือนกันด้วย BNK48 ก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน เพราะด้วยความที่เป็นวง 48 ใช่ไหมคะ มันจะมีระบบที่มันถูกวางมาให้ทำงานได้ง่ายขึ้น แต่ VYRA เหมือนการลองผิดลองถูกว่าแบบนี้จะดีไหม แต่ทุกอันที่เราลองก็อยากลองด้วยความมั่นใจ และประสบการณ์ที่ได้ต่างจาก BNK48 คือการร่วมงานกับคนที่แตกต่างกันออกไปมากขึ้น ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากพี่ๆ หลากหลายทีมมากยิ่งขึ้น
เจนนิษฐ์: แนวเพลงไม่ได้ตายตัวขนาดนั้น เราอยากลองทำอะไรใหม่ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังคงมีความไทยในแต่ละเพลงที่ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความเป็นทีป๊อป ให้เป็นเพลงไทยที่ชาวต่างชาติสามารถฟังได้ด้วย
ปัญ: ยูนิตนี้เป็นอีกหนึ่งยูนิตที่พิสูจน์ให้คนหลายๆ คนเห็นว่า เด็ก BNK48 มีความสามารถนะ รวมถึงเด็กไทยด้วย พอจับมือกับทางยูนิเวอร์ซัลเขาเป็นค่ายเพลงระดับนานาชาติ ที่สามารถทำเพลงผสมผสานทั้งความเป็นไทยและความเป็นสากลออกไปสู่สากลได้ เพื่อให้คนเห็นว่าคนไทยก็มีความสามารถเหมือนกัน
รู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้ร่วมงานกับทีมงานอื่นที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน?
ปัญ: พี่เจใช่ไหม
เจนนิษฐ์: คนมีแพสชั่น
นิกี้: เวลาพี่เจพูด ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ตามพี่แกดูมีประกายความหวังในตา เหมือนมีแพสชั่น เขาพูดปกติแหละ แต่สิ่งที่เขาพูดมันดูมีอะไรบางอย่างที่ทำให้น่าสนใจมากขึ้น
เจนนิษฐ์: ทุกศิลปินที่เราไปทำงานด้วยกันจะให้แรงบันดาลใจเรา อย่างตอนทำงานกับพี่เจก็จะรู้สึกว่าเพลงพี่เขาเท่ เรารู้สึกว่ามีแพสชั่นด้านดนตรีตามขึ้นมา หรือไปทำงานกับทีมฮิปฮอปบ้างอย่างฟักกลิ้งฮีโร่ ก็รู้สึกอยากแร็ป
นิกี้: มีแพสชั่นด้านการแร็ป
เจนนิษฐ์: เปลี่ยนไปตามเขา เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำอะไรใหม่ๆ เหมือนกัน
พอมาเป็นวง VYRA แล้ว อยากแสดงอะไรให้คนได้เห็นบ้าง?
ปัญ: หนูอยากแสดงความเป็นทีม เพราะว่าตอนนี้เรามีกัน 5 คนเป็นวงแล้ว อย่าง BNK48 เวลาทำงานจะมีการเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ แต่อันนี้ถาวรเลย หนูอยากโชว์ความเป็นทีมเวิร์ก มีความเป็นแก๊งอย่างนี้ค่ะ และสำหรับตัวหนูเอง หนูอยากโชว์ความมั่นใจ เพราะว่าจริงๆ หนูเป็นคนมั่นใจ แต่ก็เหมือนจะไม่มั่นใจ เลยอยากจะขึ้นเวทีไปแล้วไม่ต้องคิดอะไรเลย ใส่ไป เอ็นจอยกับเพลง อันนี้คือสิ่งที่หนูอยากแสดงออกไปว่าเราเอ็นจอยกับสิ่งเหล่านี้
ฟ้อนด์: หนูอยากแสดงให้เห็นเชื่อมั่นว่าเราสามารถไปได้ไกลค่ะ ให้คนเห็นเราแล้ว ว้าว! มันเจ๋ง! รู้สึกเชื่อมั่นในตัวพวกเราทั้งหมดว่าเราสามารถพาวงการทีป๊อปไปได้อย่างที่ทุกคนตั้งใจจริงๆ
เจนนิษฐ์: หนูอยากให้เห็นตัวตนใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำมา มีทั้งแนวเพลง ท่าเต้น สไตล์และลุคใหม่ๆ ทุกอย่างมันใหม่หมดเลยอยากให้คนเห็นว่าเราไม่ได้มีแค่ด้านที่เป็น BNK48 นะ
การทำงานทั้ง 2 บทบาท ทำให้ต้องปรับตัวบ้างไหม?
เจนนิษฐ์: ไม่นะคะ เพราะจริงๆ ก็คือเราคนเดิม
นิกี้: ไม่ได้ติดขัดอะไรด้วย เพราะเวลางานพี่เออาร์ (artist relation) ก็ช่วยจัดตารางงานให้พวกเราอยู่แล้ว
เจนนิษฐ์: รู้สึกว่าข้างในไม่ได้เปลี่ยน มันเปลี่ยนแค่ข้างนอกค่ะ เปลี่ยนแค่การแต่งตัว เปลี่ยนเพลงที่ร้อง ท่าที่เต้น แต่ว่าข้างในมันก็คือเราอยู่ดี
ปัญ: ถ้าย้อนไปตอนรุ่นสองจะเข้ามาออดิชั่นใช่ไหมคะ จะมีคนเข้าคอมเม้นต์เข้ามาถามในไลฟ์ว่า "จะไปสมัครรุ่นสอง ขอคำแนะนำหน่อย" เราจะพูดเสมอว่า ให้เป็นตัวของตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วไอดอลมันคือการสัมผัสเข้าถึงได้ คือการเป็นตัวของตัวเองในรูปแบบไหนก็ได้ แต่มอบความสุขให้กับคนดู อันนี้ก็เหมือนกัน คือเป็นตัวของตัวเองและอยากนำเสนอความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองจากวงสองวงมันคือคนเดียวกัน เป็นตัวเองทั้งคู่ เพียงแต่ว่าแนวเพลงที่ไม่เหมือนกัน หรือว่าทัศนคติของเนื้อร้องที่ไม่เหมือนกัน มันเลยทำให้การนำเสนอไม่เหมือนกัน
บทบาทของแต่ละคนในวงเป็นอย่างไร?
เจนนิษฐ์: บทบาทหนูคือเป็นคนสร้างความมั่นใจให้วง ฉีดยา
ฟ้อนด์: ใช่ๆ พี่เจนนิษฐ์ชอบฉีดยาค่ะ แต่หนูคิดว่ามันดีนะ
นิกี้: เหมือนเติมวัคซีนให้ตัวเอง
ปัญ: แบบชอบส่งรูปกลุ่มมาแล้วบอกว่า "รูปนี้สวยกันทุกคนเลยนะเนี่ย"
นิกี้: ฉีดยา
ฟ้อนด์: แต่งหน้าเสร็จก็บอกว่า "สวยจัง"
นิกี้: หรือชมตัวเองอะไรอย่างนี้
เจนนิษฐ์: เวลาดูวงอื่นแล้วเสียกำลังใจ หนูก็จะบอกว่า "เอ้ย! แต่เราก็เต้นเก่งนะ"
ฟ้อนด์: พี่เจนนิษฐ์จะเป็นคนแบบนี้ อย่างภายนอกหนูดูมีความมั่นใจ แต่ลึกๆ หนูมีความไม่มั่นใจอยู่เยอะมาก แล้วหนูจะชอบเผลอพูดออกมา พี่เจนนิษฐ์ก็บอกว่า "เฮ้ย! เราต้องมั่นใจสิ"
นิกี้: เราสวยนะ
ฟ้อนด์: เออ แต่ว่าหนูรู้สึกโอเคนะ เออว่ะ เราก็ควรจะคิดอย่างนี้ เพราะถ้าเราคิดอย่างนี้มันก็จะเป็นอย่างนั้นไปด้วย
ปัญ: คิดสิ่งใดได้สิ่งนั้น
เจนนิษฐ์: เขาเรียกว่าเซลฟ์ทอล์ก (self-talk)
นิกี้: คิดว่าสวย เราก็สวย
ปัญ: ส่วนหนูไปเรื่อยอะพี่ หนูเป็นคนมีหลายโหมดมาก แล้วแต่ว่าตอนนั้นเป็นโหมดไหม โหมดเล่นก็เล่น ทำงานก็ทำงาน หนูเลยไม่รู้ว่าหนูเป็นสิ่งใด หนูเป็นหนึ่งในสมาชิก VYRA ละกัน
เจนนิษฐ์: เป็นตัวแสบไง ชอบพูดอะไรที่ออนแอร์ไม่ได้
ปัญ: แต่ตอนนี้ออนแอร์ได้นะ (หัวเราะ) ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปคนนึง ตามกาลเทศะค่ะ เวลาที่เราอยู่กับเพื่อนก็ปล่อยจอยเป็นตัวของตัวเองให้สุดเลย แต่บางทีมันจะมีกล้อง ยิ่งในบ้าน LYRA จะต้องแบบ "พี่ ฉับนะ"
เจนนิษฐ์: เขาเรียกว่าสร้างบรรยากาศ
ปัญ: เพราะว่าเราไม่ได้มีภาพลักษณ์แค่ของ VYRA แต่มันยังมีของ BNK48 ที่ยังต้องรักษาภาพลักษณ์ในอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าเป็นภาพรวมของทุกคนด้วย แล้วก็ชอบสร้างความสนุก ชอบเห็นคนหัวเราะอะไรอย่างนี้
นิกี้: ตัวสร้างบรรยากาศ (ชี้ที่ปัญ) สร้างความมั่นใจ (ชี้เจนนิษฐ์)
ปัญ: สร้างปัญหาไหม (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์: ส่วนฟ้อนด์กับนิวเป็นแฮปปี้ไวรัส
นิว: หนูเหรอคะ
เจนนิษฐ์: สองคนนี้จะต่างกันนะ ฟ้อนด์เป็นแฮปปี้ไวรัสแบบดอกไม้ ส่วนนิวจะเป็นกระดาษสี
ปัญ: ฟ้อนด์เป็นคนหัวเราะง่าย
ฟ้อนด์: หนูอาจจะติดเอง อยู่ดีๆ ก็หัวเราะ ซึ่งบางทีหนูก็ไม่ชอบที่ทำไมหนูต้องหัวเราะตลอดเวลา แต่ว่ามันเป็นไปแล้วก็เลยช่างมันเถอะ
นิกี้: แต่ด้วยเนื้อเสียงที่มันดูสว่างด้วย
ฟ้อนด์: คือทุกคนจะคิดว่าวงเราแต่ละคนมีตำแหน่ง แต่จริงๆ มันไม่ได้มีตำแหน่ง
ทุกคน: ใช่ๆ ไม่มี
ปัญ: อาจจะด้วยเคป๊อปมันฟีเวอร์ในไทยใช่ไหมคะ เราจะคิดว่ามีเมนแดนซ์ เมนแร็ป เมนนั่น เมนนี่ ตอนที่ปล่อยสมาชิกออกไปคนก็เดากันเลยว่า คนนี้ต้องเป็นตำแหน่งนี้ ตำแหน่งนี้ พวกหนูก็นั่งดูแล้วบอก "ฮึ! เราไม่มี"
ทุกคน: (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์: สมมติเขาเห็นเพลงแรกแล้ววางว่าคนนี้เป็นเมนแดนซ์ พอมาซิงเกิล 3 อ้าวแร็ปเฉยเลย เขาก็คงจะรู้แล้วแหละว่าเราน่าจะเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ
นิกี้: ครั้งหน้าอาจจะ ฟ้อนด์เดอะแร็ป
ฟ้อนด์: เอ้ย! (หัวเราะ)
ปัญ: หรือคนคิดว่าต้องมีคนเป็นหัวหน้าวงแน่เลย แต่ว่าเราคุยกันตั้งแต่บ้าน LYRA แล้วว่า ไม่อยากให้มีใครเป็นหัวหน้าวง อยากให้ทุกคนเท่ากัน ช่วยกันออกความคิดเห็น เพราะว่าเป็นวงของเราเหมือนกันหมดเลย
เจนนิษฐ์: แล้วเวลาการทำงาน เราได้รับสารทุกอย่างพร้อมๆ กันด้วย ไม่ได้แบบเกาหลีที่จะต้องมีออเดอร์
ปัญ: ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเอง
เจนนิษฐ์: อย่างนี้อาจจะมีปัญหานิดหน่อยตรงที่ว่าพวกเราอะไรก็ได้ ไม่มีใครเลือก
นิว: ส่วนหนูรู้สึกว่าตัวเองมีหลายโหมดเหมือนกัน บางครั้งก็ทางการ
เจนนิษฐ์: ขายของ ฝ่ายขาย
นิว: บางครั้งอยู่ดีๆ ก็อยากพูดทางการขึ้นมา หรือเพราะว่าดูยูทูบบ่อยอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
ปัญ: เป็นบล็อกเกอร์ ยูทูบเบอร์
นิว: หรือว่าตอนเด็กๆ เล่นกล้องบ่อยรึเปล่า
เจนนิษฐ์: นิวจะโดนเราบังคับให้เป็นฝ่ายขายของวง ให้นิวพูดปิดโดยการโปรโมท
ปัญ: เพราะว่านิวพูดน้อย เวลาไปทุกที่ยังไงนิวต้องได้พูดสักครั้งนึง
นิกี้: เลยเป็นฝ่ายขาย
เจนนิษฐ์: แต่ในที่สุดแล้ว นิวเป็นคนคิดบวก จะเป็นคนคิดอะไรก็บวกหมดเลย คือมองโลกในแง่ดีจริงๆ เลยทำให้นิวเป็นคนเอ็นจอยกับสิ่งที่ทำ
นิกี้: ส่วนหนู คนภายนอกคิดว่าหนูเป็นคนมีความมั่นใจ ถามว่ามั่นใจไหม มันก็มั่นแหละ (ทุกคนหัวเราะ) แต่ว่ามันมีความลังเลนิดๆ หน่อยๆ แต่สุดท้ายเราก็รู้อยู่ดีว่าเราต้องการอะไรแบบนี้ค่ะ
ปัญ: พี่ว่าด้วยอายุด้วยแหละมันเลยลังเลอยู่
นิกี้: ใช่ยังลังเลนิดหน่อย แต่ก็ยังรู้อยู่ดีว่าจะต้องไปทางไหน ไม่รู้ว่าเราจะเป็นคนยังไงเหมือนกัน
เจนนิษฐ์: บทบาทน้องเล็กที่จัดจ้าน
ปัญ: เล็กแต่แซบ
นิกี้: หนูดูเป็นคนเงียบๆ ด้วยเลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นอะไรดี
เจนนิษฐ์: พี่ว่านิกี้เป็นบทนักคิด เวลาคนพูดอะไรก็จะคิด
นิกี้: จริง จะคิดอยู่ในใจไม่ค่อยพูดออกมาเท่าไร
แล้วแต่ละคนมีเป้าหมายของตัวเองอย่างไร?
เจนนิษฐ์: อยากรวย
ปัญ: อยากรวยนี่น่าจะทุกคน
ฟ้อนด์: หนูก่อนละกัน หนูเพิ่งพูดกับแม่เมื่อเช้านี้ว่า "ชีวิตนี้เราต้องไปเที่ยว 7 ประเทศนี้ให้ได้นะม้า" คือหนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนชอบเที่ยวมาก แล้วตั้งเป้าหมายว่าอนาคตเราอยากจะไปเที่ยวกับครอบครัว คืออยากไปเที่ยวญี่ปุ่น อันนี้หนูเคยไปแล้วแต่อยากไปเที่ยวกับครอบครัวอีกครั้ง แล้วก็อเมริกา เพราะเหมือนตอนแรกพวกเราจะได้ไป แต่ไม่ได้ไป เลยยังติดค้างอยู่ แล้วก็สวิตเซอร์แลนด์ค่ะ เพราะแม่อยากไป แล้วมีคนไปแล้วบอกว่าดี อยากไปไอซ์แลนด์ ไปดูแสงเหนือ แล้วอยากไปอิตาลี เพราะหนูเป็นคริสต์ อยากลองไปเข้าโบสถ์ที่อิตาลีดูสักครั้งหนึ่ง อ่อ! มีเกาหลีด้วย เพราะเคยนัดเพื่อนไว้ แต่ว่าติดโควิดก็เลยค้างคาเหมือนกัน ตอนนี้ค้างคาสองประเทศ คืออเมริกากับเกาหลี แล้วหนูรู้สึกว่าไม่ได้อยากไปกับเพื่อน ไปคนเดียว หรือไปกับแฟน แต่ว่าอยากไปกับครอบครัวเท่านั้นด้วย เพราะตัวเองเป็นคนรักครอบครัว เวลาไปเที่ยวกับครอบครัวมีความสุขที่สุดแล้ว นี่เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่อยากเข้าวงการตั้งแต่เด็ก เพราะว่าพ่อกับแม่มีหนูช้า แล้วหนูชอบนั่งนับอายุตั้งแต่เด็กๆ ว่า เฉลี่ยแล้วคนเราจะมีอายุถึงเท่าไร กว่าเราจะจบ กว่าเราจะอย่างนู้นอย่างนี้ พ่อกับแม่อายุคงเยอะมากๆ แล้ว ถึงเวลานั้นเขาจะสามารถไปเที่ยวกับเราได้ไหม เลยอยากรีบหาเงินแล้วอยากให้เขามีความสุขในช่วงชีวิตนี้
ปัญ: เด็กดี ขนลุกเลย
นิกี้: ไม่รู้จะตอบอะไรเลย
นิว: สำหรับหนูรู้สึกว่า หนูอยากจะไปเที่ยวและทำความสุขให้กับตัวเอง คือมันมีเยอะมากเลย หนูเคยจดไว้ในกระดาษ ลิสต์มาว่าอยากทำอะไรบ้าง แต่หลักๆ น่าจะอยากจะใช้ชีวิตที่เราไม่เคยได้ใช้เวลาที่เราทำงาน อย่างเช่น
นิกี้: ไปเที่ยว
นิว: หลักๆ น่าจะไปเที่ยว เพราะว่าครอบครัวหนูเที่ยวบ่อย ช่วงที่ยังไม่มีโควิดจะไปกางเต็นท์ ขึ้นเขา ปีนเขา
นิกี้: สายแอดเวนเจอร์
นิว: ใช่ค่ะ รู้สึกว่าถ้ามีโอกาสได้ทำอีกครั้งกับครอบครัวน่าจะเป็นอะไรที่มีความสุขมากๆ หนูคิดว่านอกจากตัวหนูที่จะมีความสุขแล้ว อยากให้คนรอบข้างมีความสุขด้วย โดยเฉพาะคนในครอบครัวค่ะ อยากให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี และอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยค่ะ
เจนนิษฐ์: ที่หนูตอบว่าอยากรวยมาตลอด เพราะว่าทุกความสุขของหนูต้องใช้เงิน
นิว: มันก็จริง
เจนนิษฐ์: ไม่ว่าอยากเรียน อยากเที่ยวต่างประเทศ อย่างช่วงนี้กิจกรรมที่อยากลองคือ เรียนยิงธนู ยิงปืน ดำน้ำ แล้วก็อยากเรียนเสริมด้านแฟชั่น ก็ใช้เงินเยอะ หน้ากระจกหนูจะเขียนบัคเก็ตลิสต์ (bucket list) ไว้ แล้วตอนนี้หนูมองไม่เห็นหน้าตัวเองแล้วค่ะ เพราะว่าเยอะไปหมดเลย เป็นคนชอบทำอะไรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ชอบลองทำอะไรใหม่ๆ เลยอยากรวยก่อนเลยอันดับแรก จะไปเที่ยวต่างประเทศก็ต้องมีตังค์ก่อน แล้วก็อยากดังในระดับโลก (global) ค่ะ
ฟ้อนด์: ด้วยคนได้ไหม
ปัญ: ด้วยวง
นิกี้: จริงๆ หนูคล้ายพาร์ทแรกของพี่นิว ด้วยความที่เข้าวงการเร็ว คือหนูเข้ามาตั้งแต่ 13 แล้วช่วงเวลาเรียนหรือตอนอยู่กับเพื่อนจะหายๆ ไป หรือพอจะไปเที่ยวก็จะมีงานมาตลอดเลย คิดว่าถ้าเราโตไปแล้วมีเวลาว่างก็อยากไปเที่ยวกับครอบครัวให้มากขึ้นด้วย แต่ว่าก็ต้องใช้เงิน จริงๆ พวกเรื่องไปเที่ยวหรือซื้อนู่นซื้อนี่หนูไม่ค่อยอะไรขนาดนั้น แต่หนูมีความฝันอย่างหนึ่งกับเพื่อนว่าอยากสร้างบ้านอยู่ด้วยกัน อันนี้ตั้งเป้าไว้ด้วยกัน
ปัญ: อันนี้ทุกคนมีแน่เลย
นิกี้: แต่อันนี้จริงจัง ต้องมี
ปัญ: เราต้องคบกันนะ โตขึ้นมาเอาลูกเข้าโรงเรียนเดียวกัน
ฟ้อนด์: เคยจินตนาการกับเพื่อนด้วยว่าต้องสร้างบ้านเป็นรูปเห็ดนะ แล้วบ้านฉันเป็นสตรอว์เบอรี่ (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์: ตอนป.6 เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ตอนนี้คืออะไร ติดต่อกันไม่ได้
นิกี้: แต่ก่อนจะสร้างบ้านอยู่กับเพื่อนหนูตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีบ้านให้แม่ก่อน มีบ้านให้ตัวเองก่อน แล้วค่อยมีบ้านกับเพื่อนต่อ
ปัญ: ของหนูเป้าหมายคือ มีความสุขทุกวัน รู้สึกว่าเบสิกที่สุดแล้ว เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ได้ทำหรือไม่ได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ ก็อยากมีความสุขกับทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น หนูอาจจะเป็นคนที่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานสูงมากขนาดนั้น แต่ว่ามีเป้าหมายของตัวเองที่อยากจะไปถึงเหมือนกัน หนูอาจจะเป็นคนเดินช้าหน่อย หนูจะค่อยๆ ไป เป็นคนคิดตลอดเวลาว่าอยากจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น แต่ความสามารถเราตอนนี้มันยังไม่ถึงเลเวลที่จะทำสิ่งที่เราคิดให้มันเกิดขึ้นจริงได้ ดังนั้นเป้าหมายคืออยากพัฒนาสกิลต่างๆ โดยเฉพาะการทำเพลง หนูชอบด้านนี้อยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราสามารถถ่ายทอดออกมาได้ในแบบของเราที่สุด อยากทำตรงนี้ให้ออกมาดีๆ แล้วก็มีความสุขกับทุกๆ อย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องเพื่อน เรื่องสัตว์เลี้ยง วงการบันเทิง เพราะอนาคตหนูก็ไม่รู้ว่าหนูจะไปทำอาชีพอะไร อาจจะอยู่วงการต่อก็ได้ หรือไม่อยู่ก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วหนูก็อยากมีความสุขกับสถานะของตัวเองที่เราเป็น
ทุกคนถือว่าเริ่มต้นทำงานเร็วกว่าคนอื่นในรุ่นเดียวกัน คิดว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง?
นิกี้: เป็นใบเบิกทาง
ฟ้อนด์: หนูรู้สึกว่าเราได้เรียนรู้อะไรเยอะกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมากๆ เราได้เจอสิ่งที่อีกประมาณ 10-20 ปีคนอื่นถึงจะได้เจอ แต่ตอนนี้เราเจอก่อนเพื่อนเร็วมากๆ อาจจะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันอะไรบ้างอย่างให้เราแข็งแกร่งขึ้น หนูรู้สึกว่าอันนี้คือข้อดี แต่มันก็มีข้อเสีย
เจนนิษฐ์: สภาพแวดล้อมบังคับให้เราต้องโตในบางมุม โหมดจริงจังอย่างนี้ อย่างการเดินสายหรือหรือตอบคำถามสัมภาษณ์ จริงๆ อายุเท่านี้ก็ไม่ต้องมานั่งคิดคำพูดอะไรขนาดนี้ แต่อันนี้เป็นงาน ข้อดีคือได้ทำสิ่งที่ชอบเร็ว เพื่อนคนอื่นกว่าจะหาตัวตนเจอ กว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย เรียนจบแล้วทำงานตรงสายไหม ...ไม่รู้ ไปทำงานก็ไม่ใช่ว่าที่แรกปุ๊บจะชอบเลย เราได้เปรียบ ชอบปุ๊บก็ได้ทำด้วย เร็วมาก ได้โอกาสเยอะ
นิว: หนูรู้สึกว่ามีวินัยให้กับตัวเอง ในเรื่องของการจัดตารางชีวิตของตัวเอง ถ้าช่วงนี้คือหนูกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ไหนจะต้องทำงานอีก เลยต้องจัดให้ดีเลยค่ะ ข้อเสียมันก็มีแต่หนูรู้สึกว่าอยากมองให้มันเป็นข้อดีมากกว่า มันเร็วด้วยที่เราเข้ามาในนี้แล้วได้เจอประสบการณ์มากกว่าคนอื่นหรือเพื่อนรุ่นเดียวกัน อย่างเพื่อนหนูก็ยังมาถามว่า "เป็นยังไง เหนื่อยไหม" หรือมีอะไรที่เขาถามมาแล้วหนูจะสามารถตอบเขาได้
นิกี้: มีความรู้สึกว่าคำตอบน่าจะคล้ายกันหมด คือความมีวินัย หรือเวลาเจอปัญหาจะสามารถแก้ได้
ปัญ: ของหนูรู้สึกว่ามันเป็นอีกหนึ่งสังคมที่ใหญ่มากๆ ที่เราเข้ามาตรงนี้ เรามีสังคมหนึ่งแล้วใช่ไหมคะ เวลาเราออกไปทำงานอื่นๆ มันก็มีสังคมเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้เรามีประสบการณ์จากคนหลายๆ คนมากยิ่งขึ้น ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รู้ความคิดเห็นต่อสิ่งๆ หนึ่งผ่านมุมมองของหลายๆ คน ทำให้เรามีความคิดความอ่านที่โตขึ้น แล้วทำให้เราเรียนรู้คนในหลายๆ รูปแบบมากยิ่งขึ้น หนูว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เราเรียนรู้คนได้เยอะในช่วงอายุนี้ แล้วก็ได้รู้จักความชอบของตัวเองเร็ว เพราะว่าถ้าเราชอบด้านวงการบันเทิง ด้านเพลง แต่ว่าตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเพลงแนวไหนหรือว่าอะไรแบบไหนที่เราชอบ พอได้มาลองทำจริงๆ เราจะสามารถตอบได้ว่า เราชอบนะ ไม่ชอบนะ โชคดีมากๆ ที่ BNK48 เป็นหนึ่งในงานที่ทำให้เราได้รับโอกาสต่างๆ ง่ายขึ้นมาก เมื่อเทียบกับคนอื่นทั่วไป ต้องขอบคุณมากๆ
นิกี้: เหมือนได้รู้จักตัวเองไปด้วยในตัว
นับตั้งแต่ตอนที่ได้เข้ามาทำงานในฐานะศิลปินจนถึงวันนี้ คิดว่าค้นพบหรือรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นไหม?
นิว: ก่อนเข้าวงการหนูอยากเป็นศิลปินอยู่แล้วค่ะ เลยอยากจะหาที่หนึ่งที่จะเป็นโอกาสให้เราสามารถต่อยอดกับการทำงานตรงนี้ได้ ซึ่งหนูรู้สึกว่าก็ดีนะคะ พอเข้ามาแล้วมันเหมือนได้เข้าใกล้สิ่งที่เราอยากเป็นขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุด สิ่งที่ตั้งไว้อาจจะโอเว่อร์มาก แค่อยากจะให้ตรงนั้นเป็นแรงผลักดันบางอย่างที่ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากที่เราไม่ได้ทำงานตรงนี้แล้ว
เจนนิษฐ์: ส่วนตัวหนูเป็นคนรู้จักตัวเองอยู่แล้วว่าอยากทำอะไร เหมือนเป็นการคอนเฟิร์มอีกทีว่านี่แหละใช่ แล้วไปต่อ
ฟ้อนด์: หนูคล้ายกับพี่เจนนิษฐ์มากเลย
นิกี้: เหมือนกัน
ฟ้อนด์: เพราะตั้งแต่เข้ามาสิ่งที่ได้ยิ่งยอกย้ำเข้าไปอีกว่าเราชอบ มันใช่ เพราะตอนแรกก็กลัวว่าสิ่งที่เราคิดตอนเด็ก พอเราได้มาทำจริงๆ จะไม่เหมือนอย่างที่คิดหรือเปล่า แต่พอยิ่งได้ทำยิ่งรู้สึกอยากลองไปอีกเยอะๆ และอยากลองหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ปัญ: หนูจะตรงกันข้ามกับทุกคน เพราะว่าตอนนั้นหนูไม่ค่อยรู้ความชอบตัวเองเท่าไร ด้วยความที่ครอบครัวชอบให้เรียนพิเศษ ทั้งวิชาการ กีฬา ดนตรี ตีแบด ว่ายน้ำ เรียนมั่วไปเลย แต่ว่าไม่ได้มีอะไรที่เขาบังคับนะ ให้เรียนก็เรียนได้ แค่มันไม่ได้มีความชอบชัดเจน อย่างมากคือแค่ชอบเรียนร้องเพลงกับเต้น แต่ยังไม่ได้อยากเป็นศิลปินอะไรขนาดนั้น พอมีความรู้พื้นฐานมีความสามารถมาบ้าง พอเรามาอยู่ตรงนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า เออ ...เราชอบสิ่งนี้นะ ไม่งั้นเราคงไม่เรียนมาตั้งแต่อนุบาลหรอก พอเราได้ทำมันจริงๆ เราก็เอ็นจอยกับสิ่งนี้มากๆ แล้วยิ่งทำงาน มาเรื่อยๆ ทำให้เราได้ลองอะไรหลายๆ อย่าง เลยได้เรียนรู้ว่า ชอบอะไรในตัวเอง ไม่ชอบอะไรในตัวเอง สิ่งที่ไม่ชอบในตัวเองก็จะพยายามปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองในทางที่ดีขึ้น ไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบค่ะ
อะไรคือจุดที่เรารู้สึกว่าใช่ เรามาถูกทางแล้ว?
เจนนิษฐ์: แค่ตอนวงเริ่มดังก็รู้สึกว่าถูกทางแล้ว
ทุกคน: (หัวเราะ)
นิกี้: หนูรู้สึกว่าคำถามนี้มันตอบเป็นรูปธรรมขนาดนั้นไม่ได้ แต่รู้สึกว่า เออ ...นี่แหละใช่
ปัญ: หนูเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของพี่ไอซ์แล้วเขาบอกว่า เขาไม่ได้อยากมีชื่อเสียง แต่เขาอยากมีชื่อเสียงเพราะว่า การที่มีชื่อเสียงทำให้เขาสามารถเลือกบทที่เขาอยากรับได้มากขึ้น หรือเลือกงานได้มากขึ้น จริงๆ ความดังก็เป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นในการจะทำสิ่งที่ชอบ
เจนนิษฐ์: ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ แล้วไม่ดังสักที เราก็คิดว่าคงจะมีบางอย่างไม่เวิร์กแล้วแหละ
ปัญ: อย่างเกาหลีปล่อยเพลงมาเพลงหนึ่งไม่ดังสักที แต่จู่ๆ ก็กลับมาบูมหลังจากหลายปีผ่านไป มันอยู่ที่ช่วงเวลา เหมือนเพลง เจน-นุ่น-โบว์
เจนนิษฐ์: พอช่วงคุกกี้เสี่ยงทายดังก็โอเค เวิร์กแล้ว ทำมาปีกว่าเหมือนกันนะ
ปัญ: เอาจริง ด้วยความที่หนูคาแรกเตอร์ไม่ได้เจป๊อปมากใช่ไหมคะตอนนั้น 4 ปีที่แล้วถ้าพูดถึงญี่ปุ่นคนจะนึกถึงเด็กสาวแบ๊วๆ ใช่ไหมคะ แล้วตอนอยู่ที่โรงเรียนหนูไม่แบ๊วเท่าไร คิดว่าเพื่อนจะต้องแบบ "อุ๊ยไปแบ๊ว" "เปลี่ยนเวย์เหรอ" อะไรอย่างนี้ จะเขินๆ นิดนึงแต่ว่าพอหลังจากเพลงคุกกี้เสี่ยงทายมีชื่อเสียงมากขึ้น เพื่อนๆ ก็ทักมาเองว่า "เฮ้ย! เป็น BNK48 เหรอ" เขาไม่ได้ตั้งคำถามกับเรา เพราะเขาเห็นแล้วว่ามันเป็นยังไงแล้ว
การคุยกับสมาชิก VYRA ที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์หลากหลายและมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างกัน แต่การได้รวมตัวกันครั้งนี้ทำให้รู้ว่า ...พวกเธอจะไม่ต้องฝันเพียงลำพังอีกต่อไป