หลายคนคงบันทึกความประทับใจไว้ในรูปแบบของภาพถ่ายหรือวิดีโอ บ้างก็จดลงสมุดไว้เผื่อวันหนึ่งย้อนกลับมาอ่าน จะได้จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สำหรับ สายไหม-วิสสุตา แก้ววิเชียร หญิงสาวผู้หลงรักการวาดภาพเป็นชีวิตจิตใจ เธอใช้ดินสอสีแต่งแต้มจินตนาการลงบนกระดาษ เกิดเป็นภาพวาดที่มีกลิ่นอายความทรงจำเฉพาะตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่มีชื่อว่า days of light
"days of light คือพื้นที่บันทึกความทรงจำและเรื่องราวดีๆ ที่เราเก็บมาเล่าผ่านภาพวาดค่ะ" สายไหมเริ่มต้นเล่าถึงความตั้งใจของแบรนด์อย่างสดใส เธอเป็นหนึ่งคนที่ชอบหยิบสีมาขีดเขียนตั้งแต่เด็ก แม้เธอจะออกตัวว่า ไม่เคยคิดอยากวาดรูปอย่างจริงจัง แต่ความไม่จริงจังนั้น ก็ทำให้การวาดรูปกลายมาเป็นพื้นที่ความสุขเล็กๆ ที่เธอทำมันอย่างเป็นประจำและมั่นคง
"เราไม่เคยรู้สึกจริงจังกับการวาดรูปเลย มันเป็นพาร์ทที่ผ่อนคลายในชีวิตเรา เมื่อก่อนเราชอบวาดหน้าคน วาดนักแสดงที่ชอบ วาดด้วยมาร์กเกอร์บ้าง สีไม้บ้าง พอขึ้นมหาวิทยาลัย เราเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบอุตสาหกรรม (Industrial Design) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เราได้แนวคิดเรื่องการออกแบบมากขึ้นและอินกับบรรยากาศมากขึ้น เราเริ่มอยากวาดภาพทั้งเฟรม ไม่ใช่แค่หน้าคนหรือภาพพอร์ตเทรต (Portrait) มันค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ จนเราเริ่มทำ days of light มันเป็นการทำในสิ่งที่เราอยากทำช่วงเรียน มันถูกเก็บไว้ในใจ เพราะช่วงเรียนเราไม่ค่อยมีเวลา พอเรียนจบ เราก็เลยนำไอเดียนี้กลับมาทำอีกครั้ง"
"เราเริ่มวาดจากสิ่งที่เราประทับใจในหนัง เริ่มจากคำพูดที่เราอยากสื่อสาร เอามาประกอบกับฉากที่ชอบ หลังจากวาด Reply 1988 แล้ว เราก็วาดเรื่องที่สองคือ Start-Up ซึ่งเป็นซีรีส์ที่เราชอบเหมือนกัน พอทำมาสักพักหนึ่ง เราก็เริ่มอยากวาดอะไรที่เป็นเรื่องเล่าของตัวเองบ้าง เราอยากเก็บรวบรวมความทรงจำดีๆ ที่ญี่ปุ่น ทั้งเหตุการณ์ตอนที่ไปคนเดียวและตอนที่ไปกับเพื่อน มันเลยเกิดเป็นภาพชุด Again, Someday. ขึ้นมา"
หญิงสาวเล่าถึงการเดินทางครั้งใหญ่ที่ช่วยจุดไฟให้กับหัวใจของเธอ "จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากเก็บบันทึกความทรงจำนี้ไว้ คือ ตอนปี 2018 ตอนนั้นเราอายุ 19 ปี และตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว เพราะอยากได้ดูคอนเสิร์ตดงบังชินกิแต่ไม่มีเพื่อนไปด้วย พอไปแล้วก็เลยคิดว่าจะอยู่เที่ยวต่อสักพักค่อยกลับ มีอยู่วันหนึ่งเราลองไปตามเส้นทางที่จุดขายตั๋วแนะนำ จนไปถึงเมืองนากาโทโระ ที่นั่นเราได้เจอคนญี่ปุ่นสองคน เขาเป็นแฟนกัน เขาถามเราว่า ขอไปเที่ยวด้วยคนได้ไหม ตอนแรกเราก็ตกใจนะ เพราะเราเป็นผู้หญิงคนเดียว แต่สุดท้ายก็คิดว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปเที่ยวด้วยกันก็ได้ ก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวกับเขาค่ะ"
"จำได้ว่าเราเดินไปคุยกันไป ล่องแก่ง ล่องเรือ ขึ้นเขา ขึ้นกระเช้า แถมยังนั่งรถไฟกลับโตเกียวด้วยกันอีก มันเหมือนหนังเรื่อง Before Sunrise (1995) หนังเรื่องโปรดของเราเลย เรารู้สึกประทับใจกับช่วงเวลานั้นมาก มันเป็นวันที่พิเศษที่สุดในชีวิตเราเลย พอเรากลับมา มันตราตรึงมากขนาดที่เราร้องไห้ตอนที่นึกถึงระหว่างกินข้าว มันแฮปปี้มากจนน้ำตาไหล มันเกิดเรื่องที่มันวิเศษกับเรามากๆ จนเรารู้สึกว่าเราก็บไว้คนเดียวไม่ได้ มันต้องเล่าให้ใครสักคนฟัง"
สายไหมนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาร้อยเรียงกับภาพฟิล์มที่ถ่ายไว้ แล้วแชร์ลงบนเฟซบุ๊กให้คนรอบตัวได้ฟัง มีผู้คนมากมายแวะเวียนมาแสดงความดีใจกับเธอ แต่นั่นยังไม่พอ เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังคงผลักดันให้เธอลงมือทำสิ่งใหม่ๆ และค้นพบสิ่งที่ทำให้หัวใจเธอได้รับการเติมเต็ม
"เราพบว่าตัวเองเป็นคนที่อินเรื่องความสุข ความทรงจำ การมอบกำลังใจให้กับคนอื่น จนเกิดเป็นไอเดียว่า อยากบันทึกภาพวันดีๆ เหล่านี้ไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที พอเรียนจบก็เลยเริ่มจากการปล่อยตัวปล่อยใจค่ะ" เธอหัวเราะ ก่อนเล่าต่อว่า "ตอนนั้นเราดูซีรีส์เรื่อง Reply 1988 แล้วประทับใจมาก ชอบจนดูวนติดกัน 3 รอบ เราอยากเก็บทุกรายละเอียดที่ผู้กำกับเล่าให้ครบ เราเป็นคนอินอะไรก็จะคลั่งรักและมีแพสชั่น (Passion) กับมันมากๆ"
จากภาพวาดสีสดใสก็ค่อยๆ ต่อยอดกลายเป็นชิ้นงานที่สามารถพกพาไปใช้ในชีวิตได้ง่ายขึ้น อย่างพวงกุญแจ เคสโทรศัพท์ ที่คั่นหนังสือ "จุดมุ่งหมายของเราไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ผ่านมาปีกว่าแล้ว days of light ก็ยังเป็นวันดีๆ เรื่องราวดีๆ ที่เราไปเจอมา แล้วมันเป็นพลังและแรงบันดาลใจให้เราก้าวต่อไป เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำสิ่งใหม่ๆ แล้วเราก็เก็บเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าให้คนอื่นฟัง ผ่านการวาดรูป แล้วมันก็เริ่มกลายเป็นสินค้าต่างๆ แทน ความรู้สึกที่เราอยากส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่น มันเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม"
"เราเริ่มต้นทำแบรนด์นี้แบบไม่คาดหวัง เราแค่ชอบวาดและอยากทำ ต่อให้ไม่มีใครชอบเราก็จะทำอยู่ดี เราเริ่มมาจากการวาดแฟนอาร์ต พอเปลี่ยนมาวาดภาพออริจินัลของเรา ก็แอบสงสัยว่าคนจะชอบไหม แต่กลายเป็นว่ากระแสตอบรับดีมากๆ มีคนที่เข้ามาเพราะชอบลายเส้นเรา ชอบภาพ ชอบเรื่องที่เล่า บางคนทักมาบอกว่า ตอนแรกก็ชอบภาพของเราอยู่แล้ว แต่พอได้อ่านเรื่องราวที่เราเอามาเป็นแรงบันดาลใจว่าเป็นมายังไงก็กดซื้อทันทีเลย"
สายไหมเล่าย้อนกลับไปถึงความประทับใจตอนที่เริ่มทำแบรนด์แรกๆ ว่า "ตอนเราเริ่มวาดภาพใหม่ๆ และยังไม่มีใครรู้จักเท่าไหร่ มีลูกค้าคนหนึ่งเขียนมาบอกว่า เขาเคยมีช่วงเวลาที่แย่และไม่อยากจะใช้ชีวิตต่อไปแล้ว แต่ภาพของเราทำให้เขาอยากจะใช้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ อยากพบเจอเรื่องราวดีๆ เหมือนในภาพของเราบ้าง อ่านจบเราร้องไห้เลย มันเป็นฟีดแบ็คที่มีความหมายกับเรามาก การที่มีคนซื้อสินค้าของเรามันก็ดี แต่การที่งานของเรามีความหมายกับใครบางคน มันมีคุณค่ากับเรามากๆ"
เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนพูดต่อว่า "จริงๆ การที่เราเป็นนักวาดในเมืองไทย เราไม่ค่อยเห็นภาพในอนาคตของตัวเองว่า เราจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่การที่มีฟีดแบ็คแบบนี้เข้ามา มันทำให้เรารู้สึกว่า เราประสบความสำเร็จในชีวิตวันนี้แล้ว"
บ่อยครั้งที่เรามักยุ่งกับการใช้ชีวิตจนลืมนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปในแต่ละวัน จนบ้างครั้งก็หลงลืมความสุขของตัวเองไป สายไหมจึงเปิดพื้นที่เล็กๆ ในสตอรี่ไอจี (Instagram Story) บนแอคเคาท์ days of light ไถ่ถามถึงความสุขในชีวิตของคนที่ผ่านไปมา โดยหวังว่าการตั้งคำถามครั้งนี้ จะทำให้ทุกคนได้มีเวลาสำรวจความทรงจำที่ผ่านมาของตัวเองบ้าง
"มันเป็นคำถามสะกิดใจบางคนเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เราเคยถามว่า 'วันนี้เรามีความสุขกับอะไร' บางคนก็ส่งมาว่า คิดไม่ออกเลย แต่พอได้อ่านของคนอื่น เขาก็ส่งกลับมาว่าคิดออกแล้ว (หัวเราะ) พอไม่ค่อยมีใครมาถามว่า เรารู้สึกยังไง เรามีความสุขกับอะไรมันก็ทำให้เราลืมไปว่า เรามีความสุขกับอะไรบ้าง พอมีคนหนึ่งมาตอบ เราก็แชร์ให้คนอื่นได้อ่าน ทุกคนที่เห็นก็อยากเล่าบ้าง ยิ่งมีคนมาแชร์เรื่องราวดีๆ ของตัวเองเยอะ คนอื่นก็จะรู้สึกว่า ฉันเองก็มี ฉันเองก็เคยเจอเรื่องนี้เหมือนกัน"
สายไหมหวังว่าแบรนด์ days of light จะสามารถเป็นพื้นที่ที่ชวนให้ผู้คนหยุดพักจากเรื่องราวที่เหนื่อยล้า และหันกลับมามองความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้เช่นกัน "ถ้าการได้อ่านเรื่องราวของคนอื่น ทำให้คนนึกถึงเรื่องราวของตัวเอง การเล่าความสุขของตัวเองผ่านแบรนด์นี้ มันอาจทำให้ทุกคนได้ย้อนกลับไปคิดถึงความสุขของตัวเองบ้างเหมือนกัน เราหวังว่าคอมมิวนิตี้เล็กๆ นี้และผลงานของเราจะทำให้คนระลึกถึงเรื่องราวดีๆ ของตัวเองได้"
แม้เธอจะเรียบจบด้านออกแบบและเป็นเจ้าของแบรนด์ภาพวาด แต่สายไหมกลับไม่กล้านิยามตัวเองว่าเป็นนักวาด หญิงสาวขอเลือกนิยามตัวเองว่าเป็น 'นักสะสมความทรงจำ' แทน
"เรารู้สึกว่าคนอื่นเขาขยันวาดกว่าเราเยอะมากๆ เราแทบไม่ได้ลงงานบ่อยเลย ถ้าถามว่าเราทำงานอะไร เราคงเป็นนักสะสมความทรงจำมั้งคะ มันเป็นอาชีพที่เราคิดขึ้นมาเอง มันเป็นอาชีพที่เราอยากใช้ค่ะ เพราะก่อนที่เราจะบันทึกความทรงจำได้ เราต้องออกเดินทางไปเจอเรื่องดีๆ ก่อน มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าเราทำงานอยู่แต่หน้าคอม เราจะเอาอะไรมาเล่าให้คนอื่นฟัง เราพยายามรักษาบาลานซ์ ต้องออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัว ดูแลสุขภาพ ออกไปทำกิจกรรมใหม่ๆ ไปเจอเพื่อน พื้นฐานเราเป็นคนขี้เบื่อที่ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ เราชอบทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน จริงๆ เราก็ชอบเขียน ชอบทำกราฟิก ชอบถ่ายรูป ชอบคิดไอเดียดีไซน์ ชอบเล่นดนตรี ชอบร้องเพลง ชอบดูซีรีส์ ชอบติ่ง ทุกอย่างมันรวมกันเป็น days of light เรามองมันเป็นมีเดียนะ สักวันหนึ่ง เราอาจไม่ได้เล่าเรื่องผ่านรูปวาด หรือ งานเขียนอย่างเดียว วันหนึ่งเราอาจจะแต่งเพลง ร้องเพลงก็ได้ (หัวเราะ)"
ในอนาคต เราอาจได้ฟังบทเพลงแห่งความสุขที่แต่งโดยนักสะสมความทรงจำที่ชื่อว่า สายไหม ก็เป็นได้
ไม่ว่าในอนาคตแบรนด์ days of light จะเติบโตไปอย่างไร แต่เราเชื่อเสมอว่า พื้นที่แห่งนี้จะอุดมไปด้วยความทรงจำของสายไหม และผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาบอกเล่าเรื่องราวในวันดีๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกำลังใจและส่งมอบความสุขให้กับผู้อื่นต่อไป
แล้วคุณล่ะ.. อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว นึกออกหรือยังว่า วันนี้คุณมีความสุขเพราะอะไรบ้าง?
3430 VIEWS |
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา