ภาพวาดแมวสามสีหรี่ตามองแบบกวนๆ ที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด กระเป๋า เข็มกลัด เสื้อยืด และสินค้าต่างๆ ของแบรนด์ Caliiico (อ่านว่า คาลิโก้) คงทำให้เดากันได้ว่าที่มาของชื่อแบรนด์น่าจะมาจากคำว่า calico ซึ่งแปลว่า แมวสามสี นั่นเอง เพียงแต่การเติมอักษร ii เข้าไปเพื่อสร้างเว็บไซต์ caliiico.com เพื่อไม่ให้ซ้ำกับเว็บไซต์อื่นที่มีอยู่แล้ว กลับยิ่งสะท้อนคาแรกเตอร์ของแบรนด์ให้แตกต่างจากแบรนด์ที่นำเสนอแมวอื่นๆ ยิ่งไปอีก
ต่อ-ทศพร เชื้อทอง และ ตรอง-วงพลอย โรมวิลาศ คือผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Caliiico มาด้วยกัน พวกเขาเล่าว่า สมัยทั้งคู่ยังเรียนแอนิเมชันอยู่ที่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี เมื่อมีงานที่เปิดพื้นที่ให้นักศึกษานำของมาขายเมื่อไร ตรองมักจะคิดโปรเจกต์ทำเสื้อยืดและกระเป๋าไปขายโดยมีต่อเป็นคนวาดรูปให้เสมอ ทั้งคู่จึงคุ้นเคยกับการผลิตสินค้าเป็นอย่างดี
หลังจากเติบโตจากการทำแบรนด์ที่นำเสนอแมวสามสีผ่านสินค้าต่างๆ แล้ว Caliiico ก็สร้างสีสันใหม่ๆ ด้วยการปล่อยโปสการ์ดชุด THAILAND ที่นำเสนอภาพวาดผู้คนที่อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ แลนด์มาร์กในกรุงเทพฯ ประสบการณ์การเดินทาง ไปจนถึงสารพัดเหตุการณ์ที่สะท้อนความเป็นไทยไว้อย่างมีอารมณ์ขัน โปสการ์ดชุดนี้ได้รับความนิยมมากจนนำมาพัฒนาต่อเป็นสินค้าที่ระลึกประเภทต่างๆ แล้วสร้างแบรนด์แยกออกมาเป็น Caliiico THAILAND
เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นของแบรนด์อารมณ์ดี ที่มองเมืองไทยผ่านสายตาของแมวสามสีไปด้วยกัน

จนกระทั่งทั้งคู่เรียนจบจึงเป็นที่มาของ Caliiico ซึ่งต่อเล่าให้ฟังว่า "เมื่อก่อนผมวาดรูปอยู่นะ แต่เป็นรูปคน รูปรถ รูปเมือง ฉากสถานที่ เพื่อทำงานกราฟิกงานแอนิเมชันและวาดเล่นลงเพจของตัวเองไป เดิมทีผมเลี้ยงหมาสีดำชื่อจัมเปอร์ไว้อยู่แล้ว พอเรียนจบมาเราก็ไปเอาแมวมาเลี้ยงเพิ่ม ตัวแรกเป็นแมวสามสีชื่อ แม่เหมียว เป็นแมวจรซึ่งบ้านตรองที่ต่างจังหวัดเลี้ยงไว้ พอเราไปเจอแมวจรที่เป็นแมวสามสีอีกตัวหนึ่ง เลยเก็บมาเลี้ยงไว้ด้วยกันแล้วตั้งชื่อว่า ใบตาล พอเรารักแมวของเรา ความชอบมันก็เปลี่ยน ผมเริ่มวาดแมวสามสีเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทางตรองเขาทำโปรดักส์เกี่ยวกับกระเป๋าอยู่แล้ว เราเลยคิดว่าเอาลายเส้นพวกนี้มาใส่บนกระเป๋าเล่นๆ ดีไหม พอเห็นแล้วรู้สึกว่ามันใช้ได้อยู่นะ น่าจะขายได้ เลยเอาไปลงขายออนไลน์ในเว็บไซต์ต่างประเทศดู" โดยการค้นหาลายเส้นของแมวช่วงแรกๆ ของต่อนั้น พัฒนาขึ้นมาจาก ใบตาล นั่นเอง
เมื่อภาพวาดที่เกิดจากคาแรกเตอร์ของใบตาลมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงเลือกลายที่เหมาะสมนำมาทำสินค้ากระเป๋าผ้าดิบทรงโท้ทซึ่งเป็นผ้าที่มีสีดูเป็นธรรมชาติ แล้วลงจำหน่ายในเว็บ Etsy คำว่า Caliiico เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น เพราะคำว่า calico แปลได้ทั้งสองความหมายว่า แมวสามสี และ ผ้าดิบ ซึ่งสะท้อนความเป็นสินค้าของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
การขายสินค้าออนไลน์ช่วงแรกนั้นมีลูกค้าต่างชาติสนใจสั่งซื้ออยู่เรื่อยๆ ต่อจึงเริ่มออกแบบลายแมวแบบอื่นมาให้ตรองผลิตเป็นสินค้าประเภทอื่นเพิ่ม จากสินค้าเริ่มแรกที่เป็นกระเป๋าโท้ทจึงเริ่มขยับขยายมาเป็นเสื้อยืด หมอน และโปสการ์ด

จุดเปลี่ยนของแบรนด์เกิดขึ้นเมื่อห้างสรรพสินค้าเปิดโอกาสให้ส่งสินค้าไปนำเสนอเพื่อจองบูทออกร้าน แล้ว Caliiico ได้พื้นที่เป็นครั้งแรก ทั้งคู่จึงคิดหาวิธีตกแต่งร้านและเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ต่อบอกว่าการออกบูทครั้งแรกผลตอบรับดี จึงรู้สึกว่าแบรนด์น่าจะไปต่อได้
ตรองนึกทบทวนและรู้สึกว่าการพบเจอลูกค้าเวลาไปออกบูทให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการขายออนไลน์มากพอสมควร "พอเจอคนซื้อเราก็จะรู้ว่าจริงๆ ลูกค้าต้องการอะไรค่ะ เขาอาจจะสนใจกระเป๋านอกจากทรงที่เราทำอยู่ หรือจริงๆ แค่เขาซื้อโปสการ์ดหนึ่งใบนำไปติดหรือใส่กรอบก็แฮปปี้แล้ว"
ส่วนต่อเสริมว่า การออกบูททำให้พวกเขาได้เจอกับคนกลุ่มใหม่ๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เข้ามาคุยด้วย ทำให้รู้สึกดีมากกว่าการขายออนไลน์อย่างเดียวเหมือนกัน "เวลาคนมาเลือกซื้อโปสการ์ดของเรานะครับ พอเขาเห็นแมวสามสีหรือแมวดำที่คล้ายกับแมวของเขา เขาจะพูดชื่อแมวของตัวเองตอนเลือกโปสการ์ดของเรา แล้วบางคนไม่ใช่แค่แมวของเขาอย่างเดียว เขาคิดถึงแมวของเพื่อนแล้วซื้อไปฝากเพื่อนด้วย มันเป็นความรู้สึกที่สนุกดีเวลาเจอแบบนี้ มันเป็นโมเม้นต์ที่ให้ความสุขเล็กๆ กับเรา เพราะถ้าขายออนไลน์เราจะไม่เจอสถานการณ์นี้เลย"

สมัยที่พวกเขาขายของตอนเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการขายสินค้ากับเพื่อนๆ กลุ่มนักศึกษาด้วยกันแบบสนุกๆ การขายออนไลน์ก็เป็นลักษณะที่พิมพ์ตอบลูกค้าที่มาซื้อสินค้า แต่พอออกร้านทำให้พวกเขารู้ว่ามีสิ่งอื่นให้เรียนรู้อีกมาก อีกทั้งยังสนุกกับการคิดเรื่องการตกแต่งร้านถึงขั้นสเก็ตช์รูปการจัดร้านเพื่อวางแผนก่อนที่จะหาของมาตกแต่งเลยทีเดียว ว่าแล้วต่อก็เปิดภาพบูทและภาพสเก็ตช์ให้เราดู
"ตอนตกแต่งร้านเราเคยวิ่งหาซื้อโต๊ะ เก้าอี้ ขอนไม้ ผ้าแคนวาสมาเติมเต็ม แล้วเวลาจัดสีมันโดดไปโดดมา ผมเลยคิดว่าเราต้องมาสเก็ตช์รูปก่อนไหม เลยมีโอกาสที่ผมวาดรูปขึ้นมาเพื่อคุมธีมร้านได้ระดับหนึ่งแล้วเราค่อยจัดตาม หลังจากนั้นภาพรวมของร้านออกมาดีเหมือนกัน"


แม้ทั้งคู่จะมีสินค้าขายทางออนไลน์และออกบูทตามงานเทศกาลต่างๆ บ้างแล้ว แต่จุดที่ทำให้เริ่มรู้สึกว่าแบรนด์เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ คือ ตอนนำสินค้าไปฝากขายที่ร้าน happening shop
ตรองเล่าถึงช่วงเวลาที่เห็นศักยภาพของ Caliiico ว่า "ปกติเราไม่ได้ออกบูทถี่ทุกเดือนค่ะ แล้วต่อเขาทำงานประจำ ฉะนั้นการที่เราจะมาทำแบรนด์จริงจังจึงไม่มีเวลาไปตั้งหน้าร้านเองได้ จนพี่ที่รู้จักคนหนึ่งแนะนำว่าลองเอาไปฝากขายที่ happening shop ไหม ตอนนั้น happening shop มาเปิดที่หอศิลปกรุงเทพฯ ใหม่ๆ พอเราลองไปฝากขาย ปรากฏว่ามันขายได้ เราก็เลยเริ่มทำโปสการ์ดตั้งแต่ตอนที่ไปฝากขายที่ร้านควบคู่ไปกับการออกบูท พอทำสินค้าเพิ่มมันก็สนุกค่ะ ตัวต่อเองสนุกกับการวาดภาพของเขาอยู่แล้ว ลายเส้นมันวิ่งตามแมว โปรดักส์วิ่งตามลูกค้า มันอาจจะไม่ได้วางแผนชัดขนาดว่าจะดีไซน์สินค้าอะไรมาก่อน มันเหมือนเป็นความบังเอิญด้วยค่ะ"
ซึ่งนอกจากการฝากขายที่ร้าน happening shop พวกเขายังนำสินค้าแบรนด์ Caliiico มาขายออนไลน์ในเว็บไซต์ happening and friends และได้รับเลือกให้เป็น Brand of the Month ประจำเดือนกันยายน 2564 อีกด้วย

จากที่ต่อเกริ่นให้ฟังว่า ใบตาลคือแมวสามสีที่เป็นจุดกำเนิดลายเส้นและรูปแมวที่เขาวาด และลักษณะนิสัยชอบเที่ยวและการเป็นแมวนักล่าที่คาบจิ้งจกมาตอบแทนคนเลี้ยงด้วยความรักของใบตาลนี้เองที่เป็นสิ่งสำคัญให้แมวของ Caliiico แตกต่างจากภาพวาดแมวอื่นๆ และอาจสะท้อนมุมแมวๆ ซึ่งตรงกับความจริงที่คนเลี้ยงแมวหลายคนเจอ แต่ยังไม่ค่อยมีใครเล่าออกมา
"ปกติผมเห็นภาพแมวของคนอื่นหรือว่าเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊คผมในอินเทอร์เนต แมวเขาจะดูใสๆ น่ารัก สะอาด แต่พอเราเลี้ยงแมวเองบ้าง ปรากฏว่ามันไม่เหมือนอย่างที่ผมเห็น มันชอบเที่ยวเดินบนหลังคา ชอบไปจับจิ้งจก จับนก จับหนู ลายเส้นของผมเลยสะท้อนคาแรกเตอร์แมวที่มีบุคลิกกวนๆ ตาเล็กๆ ดูหยิ่งๆ คาบจิ้งจก หรือเดินอยู่บนหลังคาบ้าน ซึ่งคาแรกเตอร์มันไม่ได้น่ารักขนาดนั้น"
ลายเส้นของต่อในช่วงแรกมีทั้งรูปหมาสีดำจากจัมเปอร์ที่เลี้ยงไว้มาเป็นแบบ รวมถึงแมวสามสีที่วาดขึ้นมาคู่กัน ต่อมีการค้นหาลายเส้นหลายแบบทั้งลายเส้นที่ดูคลีน ก่อนที่จะค่อยๆ ลงตัวขึ้นจากลายเส้นที่มีเท็กซ์เจอร์บางอย่างที่ดูคราฟต์ ซึ่งการวาดภาพจำนวนมากทำให้เขาเริ่มมีแนวทางในการเลือกลายเส้น ที่นำมาเป็นทิศทางหลักของภาพวาดแมวในการสร้างแบรนด์ในที่สุด
แต่แล้ววันหนึ่ง นิสัยชอบเที่ยวของใบตาลทำให้มันเดินทางหายไปจากบ้าน ซึ่งแม้ทั้งคู่จะรู้สึกเสียใจและคิดถึงใบตาล แต่พวกเขาคิดว่ามันอาจจะย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังอื่น และภาพที่วาดใบตาลไว้ก็ยังคงอยู่ตลอดไป
เหมือนแมวสามสีจะยังมีแรงดึงดูดต่อพวกเขาอยู่เสมอ เพราะหลังจากนั้นพวกเขายังเก็บ โมเร ลูกแมวสามสีตัวที่สามที่แม่แมวโดนรถชนมาเลี้ยง แล้วโมเรก็เป็นแมวที่มีส่วนร่วมกับการทำงานของต่อและตรองจนถึงปัจจุบัน

โมเร แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ของ Caliiico ในปัจจุบัน

ภาพวาดของต่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่แมวที่เขาเลี้ยงไว้เท่านั้น เขาเล่าถึงแมวต่างๆ ที่พบเจออย่างสนุกสนาน "พอเราเลี้ยงแมวแล้ว ผมเริ่มขยายพื้นที่ออกไปมองหาคาแรกเตอร์ของแมวตัวอื่นๆ นอกจากแมวที่บ้านของเราด้วย อย่างเวลาเราปั่นจักรยานออกไปซื้อกาแฟหน้าปากซอย จะมีแก็งค์เพื่อนแมวในซอยที่ผมตั้งชื่อให้ว่า แมวพหลฯ ที่มีคาแรกเตอร์อยู่ในกลุ่มโปสการ์ดของเรา บางตัวชอบออกไปนอกบ้านแล้วไม่ยอมเข้าบ้าน เจ้าของเลยต้องเอาอาหารมาให้ไว้นอกบ้าน แล้วผมเห็นว่าแมวตัวนี้นอนเฉยๆ ตอนเราวาดโปสการ์ดจึงมีถาดอาหารหน้าบ้านแล้วเห็นรั้วบ้านนิดหน่อย อีกกลุ่มหนึ่งผมไปเจอในร้านหนังสือการ์ตูนในซอยนะครับ เป็นแมวที่เขาเลี้ยงในบ้านไม่ให้ออกมาข้างนอก มันจะมายืนอยู่ตรงประตูกระจกแล้วมองออกไปข้างนอก ผมจะได้คาแรกเตอร์แมวระหว่างทางเต็มไปหมด เราจึงขยายขอบเขตไปเรื่อยๆ มันอาจจะไม่ใช่แมวในซอยเราก็ได้ เวลาไปวิ่งที่สวนลุมฯ แล้วเจอแมวที่นั่นที่น่าวาด เราก็หยิบมาวาด แล้วนำเสนอลักษณะนิสัยของมันที่เรียล มันนอนจริงๆ บิดขี้เกียจจริงๆ แล้วมันตีกันจริงๆ ไม่วาดแมวที่สวยงามอะไรขนาดนั้น"
เราจึงเห็นผลงานคาแรกเตอร์แมวที่หลากหลาย ทั้งแมวที่อยู่ข้างกระถางต้นไม้ แมวมองวิวอยู่บนระเบียง แมวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หรือกระทั่งแมวที่ออกเดินเที่ยวอยู่ตามถนนหนทางที่ดูน่าสนใจและมีเสน่ห์อยู่ในงานของ Caliiico เสมอ

นอกเหนือจากแมวที่เลี้ยงไว้และแมวตัวอื่นๆ ที่พบเห็นจะคอยเป็นแรงบันดาลใจในการวาดภาพใหม่ๆ ของต่ออยู่เสมอแล้ว ตรองยังเล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาเวลาไปออกบูทในงานต่างๆ การพูดคุยกับลูกค้ามักจะทำให้พวกเขาได้ไอเดียกลับมาทำสินค้าใหม่ๆ ด้วยเหมือนกัน
ต่อยกตัวอย่างสินค้าชิ้นหนึ่งที่เกิดจากลูกค้าให้ฟัง "เมื่อก่อนเวลาลูกค้าซื้อโปสการ์ดเราจะมีถุงกระดาษที่วาดรูปแมวใส่โปสการ์ดให้ลูกค้าไปด้วย ลูกค้าเขาก็ชอบลายเส้นที่เราวาดสดๆ ด้วยปากกาเมจิกมากเลย ครั้งหนึ่งผมเลยเอาถุงกระดาษมาร้อยเป็นธง 9 ชิ้น ในคอนเสปต์แมว 9 ชีวิต เป็นรูปแมวนอนผึ่งพัดลม แมวนอนขดตัวกลมๆ แมวขู่ ฯลฯ เป็นธรรมชาติแมวที่เราเคยเห็นแบบเรียลๆ ครับ เสร็จแล้วลูกค้าคนหนึ่งมาเห็น เขาบอกว่าอยากขอซื้อธงชุดนี้ แต่ว่ามันเป็นธงกระดาษผมไม่อยากขายเลยให้เขาไป เขาบอกว่า ถ้าเกิดทำเป็นธงมาขายนะ เขาจะซื้อเลย ปีถัดไปผมเลยนำลายเส้นนั้นมาถอดเป็นลายเส้นที่ซิลสกรีนได้แล้วนำมาทำเป็นธงขาย แล้วมหัศจรรย์มากลูกค้าคนเดิมเขาเดินมาเจอเราอีก เขาบอกว่าไม่นึกว่าเราจะทำธงมาจริงๆ ด้วย เขาเลยซื้อไปอีก 2 ชุด มันมีเรื่องราวคล้ายๆ แบบนี้ที่ทำให้เกิดสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมาจากการออกบูทแล้วลูกค้าอีกเหมือนกันครับ"

ปัจจุบันสินค้าของ Caliiico แบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ กระเป๋า เสื้อยืด แอคเซสเซอรี และงานพิมพ์ โดยแต่ละประเภทจะมีสินค้าชนิดและรุ่นต่างๆ แตกย่อยออกมาอีก โดยมีสินค้าในหมวดแอคเซสเซอรีชิ้นหนึ่งที่เกิดมาจากการที่ตรองลองหาไอเดียในการทำสินค้าจากหนังสืองานฝีมือญี่ปุ่นที่คุณแม่สะสมไว้ จนสำเร็จออกมาเป็นถาดผ้าแคสวาส สำหรับใส่ของ ซึ่งสามารถนำวัสดุผ้าที่เหลือจากการทำกระเป๋ามาดีไซน์เป็นสินค้าใหม่ได้อย่างลงตัว
"คุณแม่สะสมหนังสืองานฝีมือญี่ปุ่นไว้เยอะมากค่ะ ซึ่งหนังสือพวกนี้เหมือน Pinterest สมัยก่อนสำหรับตรอง เวลาที่เราไม่มีไอเดียก็ไปเปิดหนังสือเล่นๆ มีแพทเทิร์นงานฝีมือเยอะมากเลยค่ะ แล้วเจอวิธีที่สามารถนำเศษผ้ามาทำถาดได้ เพราะเวลาทำกระเป๋าแล้วจะมีผ้าด้านข้างเหลือ ควรจะทำเป็นไซส์เท่าไร อย่างสีที่ใช้เราลองนำมาผสมให้เข้ากับสีหนังที่เรามีอยู่ตอนนั้น ต่อเขาก็เขียนลายเส้นแมวสำหรับวางลงไป เสร็จแล้วตรองเลยนำผ้ามาตัดแล้วตอกตาไก่ทำถาด เราทำไม่ให้ราคาแรงเพื่อให้ลูกค้าซื้อได้ พอลองทำมาปุ๊บขายได้" เธอแบ่งปันช่วงเวลาที่รู้สึกสนุกกับการสร้างสรรค์สินค้าใหม่ให้ฟังด้วยความกระตือรือร้น

ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เห็นการแบ่งหน้าที่การทำงานของพวกเขาอย่างชัดเจน ต่อเป็นคนวาดและสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ แล้วมองหาเรื่องราวสำหรับภาพวาด พร้อมกับเลือกว่าลายเส้นแบบไหนเหมาะกับการนำไปทำสินค้าประเภทใดบ้าง ส่วนตรองจะเป็นคนลงรายละเอียดในตัวสินค้า ทั้งการเลือกหาวัตถุดิบ และคอยหาไอเดียในการทำสินค้าใหม่ๆ ดังนั้นเมื่อถามถึงความสุขในการทำแบรนด์ Caliiico จากทั้งคู่ คำตอบของพวกเขาจึงแตกต่างกัน
ตรองใช้เวลาคิดไม่นานสำหรับความสุขของเธอ "สำหรับตรองมันเกิดจากการหาข้อมูลเพื่อทดลองทำสินค้าอยู่ ของบางอย่างที่เราลองคิดลองทำมามันยังไม่โอเคที่จะทำออกมาขายนะ ผ้าตัวนี้แข็งไป อ่อนไป ยังไม่ได้ พยายามปรับปรุงสินค้าอีกหน่อย ความรู้สึกของตรองอยู่ที่การได้ทำสินค้าค่ะ"
ส่วนความสุขของต่อคือการมองหาเรื่องราวเพื่อการวาดรูปของเขา "ผมมีความสุขในงานวาดรูปของผม กับการที่เราปั่นจักรยานไปซื้อกาแฟผ่านซอยนี้ตอนเช้า แล้วเราไปเจอสตอรี่ของแมวที่เราคุ้นเคยกับมันบ่อยๆ ในแต่ละวัน ซึ่งมันจะทำนิสัยแปลกๆ ที่เรานึกไม่ถึงอะไรให้เป็นเนื้อเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก ถ้าหากว่ามันอยู่บ้านเฉยๆ มันทำท่านี้หรือมันจะไม่เข้าบ้าน มันจะเดินอยู่บนกำแพงหรือไปคาบอะไรมา พอเจอเรื่องที่เซอร์ไพรส์มากๆ ผมจะเอามาเขียนเป็นเรื่องตอนอยู่ร้านกาแฟหรือตอนกลับบ้าน สเก็ตช์งานไปเรื่อยๆ มันมีความสุขที่ได้คิดสตอรี่ต่อจากนั้นว่าแก๊งเพื่อนแมวของเรามีนิสัยอย่างไร มันจะไปที่ไหนต่อ เราจะมีลายเส้นอะไรขยายต่อจากนั้นไปเรื่อยๆ เป็นความสุขที่มันน่าจะทำให้ภาพวาดของผมไปต่อได้เรื่อยๆ แบบนั้นครับ เพราะทุกวันนี้เวลาผมเดินไปหน้าปากซอย ถ้าเรามองหาก็ยังเจอแมวแปลกๆ หรือเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ตลอด ยังมีกลุ่มแมวที่สวนลุมฯ ที่ผมยังไม่เคยวาด หรือตามต่างจังหวัดที่เราไปเจอกลุ่มลานแมวที่มีคนมาปล่อยเอาไว้ มันมีอะไรให้ผมค้นหาได้เรื่อยๆ ครับ"
ความสุขที่แตกต่างกันของพวกเขาผสมผสานกันอย่างลงตัว และทำให้แบรนด์ Caliiico เติบโตขึ้น จนมีสินค้าที่นำเสนอมุมมองสนุกๆ ของแมวออกมาให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นกระทั่งสติกเกอร์ไลน์ที่ทุกคนสามารถใช้ส่งแทนความรู้สึกของตัวเองผ่านคาแรกเตอร์แมวได้อีกด้วย


ระหว่างที่ทำสินค้าจากคาแรกเตอร์ของโมเรและแมวที่พบเจอจนอยู่ตัวแล้ว ต่อเริ่มกลับไปคิดถึงการวาดรูปคน รถ และฉากเมืองต่างๆ อีกครั้ง "ตอนนั้นผมตั้งใจจะไปวาดสถานที่สำคัญหรือแลนด์มาร์กสวยๆ เหมือนบันทึกการเดินทางของเรา แต่พอเดินทางเพื่อไปวาดรูปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กลายเป็นว่า เราไปพบเจอกับสิ่งอื่นที่น่าสนใจขึ้นมา มันคืออารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยกับกลุ่มคนไทยที่ทำมาหากินอยู่ในบริเวณนั้น ผมสนใจตรงที่มันมีความแตกต่างกันชัดเจนระหว่างผู้คนสองกลุ่ม ยกตัวอย่าง เวลาที่เรามองรถตุ๊กตุ๊ก คนที่อยู่เมืองไทยมานานก็เห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ชาวต่างชาติเขารู้สึกว้าวมาก อยากนั่งมาก ตื่นเต้น อะเมซิ่งไทยแลนด์ เราก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจมากๆ ถ้าเอาความรู้สึกตรงนั้นมาแปลงเป็นภาพเล่าเรื่องน่าจะดี จนออกมาเป็นโปสการ์ดชุดไทยแลนด์"

เราได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพฯ อย่าง วัดอรุณ ,วัดโพธิ์, วัดภูเขาทอง ไปจนถึงแลนด์มาร์กยอดฮิต เช่น สะพานพระราม 8, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, พระพรหมเอราวัณ ที่แม้จะเลือกสถานที่เหมือนกับโปสการ์ดที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ความแตกต่างอยู่ที่การใส่คาแรกเตอร์นักท่องเที่ยว คนไทย พาหนะที่ผู้คนใช้ในการเดินทาง สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ปรุงแต่ง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คนที่อยู่ตรงนั้นจะได้สัมผัส เช่นเดียวกับโปสการ์ดชุดเชียงใหม่และภูเก็ต ที่เขาใช้การสังเกตสิ่งที่อยู่ในฉากและสถานที่นั้นๆ มานำเสนอ

ต่อเล่าถึงความน่าสนใจของสิ่งที่พบเจอจากการเดินทางของตัวเองให้ฟังเราอย่างสนุกสนาน "ในกรุงเทพฯ เราจะจับเรื่องความว้าวของการเดินทางออกมาเล่า เช่น สิ่งที่เราเห็นเป็นประจำอย่างวินมอเตอร์ไซค์บนท้องถนนซึ่งเขาขี่หน้านิ่งมาก แต่ผู้โดยสารต่างชาติที่ซ้อนอยู่กรี๊ดแล้ว หรือ ชาวต่างชาติที่นั่งตุ๊กตุ๊กแล้วเห็นสถาปัตยกรรมของไทย โอ้... มันปราณีต ละเอียด ยิ่งใหญ่ อันนั้นเป็นความว้าวของกรุงเทพฯ แล้วมีโปสการ์ดชิ้นหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการไปปากคลองตลาด ตอนแรกผมจะไปหาดอกไม้แล้วเจอร้านปลาหมึกปิ้งเราก็เลยจะเดินไปซื้อ ทีนี้มีชาวต่างชาติกำลังจะซื้อเหมือนกัน คนขายเขาก็พูดภาษาอังกฤษ แต่ชาวต่างชาติพูดภาษาไทยได้ชัดมาก หรือเราเห็นว่าชาวต่างชาติชอบมวยไทย เราก็ไปลงคอร์สมวยไทยที่ยิมใกล้บ้าน ตอนแรกเรากะว่าคงได้เห็นนักมวยซ้อมกันแข็งขัน แต่พอเข้าไปจริงๆ เราเจอคนที่จับคู่ซ้อมกระสอบทรายกันอยู่ แล้วคนที่จับกระสอบทรายเหนื่อยแล้ว เขาก็นั่งบนเก้าอี้พลาสติกแต่กอดกระสอบทรายไว้ให้เพื่อนเตะ ไม่ได้ยืนจับแบบเท่ๆ เราก็ได้ภาพไทยบ็อกซิ่งออกมา"


"ส่วนที่เชียงใหม่เขาจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น คนโดยสารรถแดงมีทั้งพระ เด็ก แม่ค้า ชาวต่างชาติ นั่งปะปนอยู่ตรงนั้นเลย หรือเวลาที่เราขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปดอยสุเทพ ภาพในหัวเราก็คิด่วาจะได้เห็นพระธาตุดอยสุเทพที่เป็นเจดีย์สีทองอร่ามใช่ไหม ปรากฏว่าภาพที่เห็นคือ มือที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเต็มไปหมดเลย เรารู้สึกว่าคอนเทนต์นี้มันเซอร์ไพร์สเล็กๆ และเหนือความคาดหมาย สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่เราจับมาเล่า"

จากการเริ่มทำโปสการ์ดเพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเมืองไทยหรือคนไทยที่มีเพื่อนชาวต่างชาติ พวกเขาก็เริ่มคิดถึงสินค้าที่จะเป็นของที่ระลึกอื่นๆ แล้วนำองค์ประกอบต่างๆ จากภาพที่วาดไว้มาทำเป็นสติกเกอร์ ที่เปิดขวดแม่เหล็ก กระเป๋าผ้า และเสื้อยืดในนาม Caliiico THAILAND ซึ่งทำให้ Caliiico เป็นแบรนด์ที่บอกเล่าเรื่องราวมากกว่าเรื่องของแมว
ซึ่งมุมมองของ Caliiico THAILAND ที่มีต่อสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศไทย ก็คล้ายจะเชื่อมโยงและเข้าถึงผู้คนได้จริงๆ ต่อเล่าถึงผลตอบรับจากลูกค้าให้ฟังว่า "มีลูกค้าที่ซื้อโปสการ์ดไปลงโซเชียลมีเดียแล้วแท็กเรามา เขาบอกว่า ลายเส้นของเรามีความตลก สนุก น่ารักดี สิ่งสำคัญเขาบอกว่ามันเข้ากับประสบการณ์การท่องเที่ยวเมืองไทยที่เขาพบเจอ เขาได้ทำกิจกรรมต่างๆ แล้วพอมาเจอโปสการ์ดเขาก็รู้สึกว่า แบบนี้แหละที่เขาเพิ่งทำมา บางคนก็บอกว่ามาเมืองไทยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่สนามหลวงยังมีนกพิราบอยู่ พอเขากลับมาเที่ยวอีกครั้งไม่มีแล้ว แต่พอเขามาเจอโปสการ์ดเรา มันทำให้เขานึกถึงประสบการณ์เมื่อสิบปีที่แล้วที่เขาได้เห็นภาพคนให้อาหารนกพิราบเหล่านี้ ซึ่งมันเชื่อมโยงกับความทรงจำของเขา"


ขณะที่สินค้าประเภทอื่นก็เป็นมากกว่าของที่ระลึก แล้วยังทำหน้าที่เหมือนเป็นหนึ่งบันทึกความทรงจำให้กับนักท่องเที่ยวด้วย "ผมเคยเห็นลูกค้าเกาหลีซื้อสติกเกอร์แล้วไปติดในไดอารี่ที่เขียนเล่าเรื่องตอนเดินทางมาเมืองไทย ตอนที่เขาโพสต์ลงอินสตาแกรมก็แท็กเรามา ผมเห็นว่ามีสติกเกอร์รูปรถแท็กซี่ รูปวัด แล้วเขาก็บอกว่าน่ารักดี"


"ตอนแรกคอนเสปต์ของแบรนด์เราเป็นการเสนอเรื่องราวแมวสามสีที่เราเลี้ยง พอมาถึง Caliiico THAILAND เราก็เลยมองว่า เราจะเติมสีสันเล็กๆ ให้กับการเดินทางของผู้คน อย่างโปสการ์ดที่เราทำมีกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ตแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มมีคนถามว่า 'มีโคราชไหมครับ' 'มีหาดใหญ่ไหมครับ' เรารู้สึกว่านี่คือเสียงเรียกร้องหรือเปล่า เราอาจจะต้องออกเดินทาง เพื่อบันทึกเรื่องราวคาดไม่ถึงในรูปแบบภาพวาดได้อีก การทำ Caliiico THAILAND ก็เลยทำให้เราอยากเดินทางออกไปแล้วขยายพื้นที่ของตัวเองออกไปจากเดิม"
จากเป้าหมายเดิมของ Caliiico ที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ผ่านแมว ตอนนี้พวกเขากำลังขยายเรื่องราวที่บอกเล่าออกไปให้กว้างขึ้นผ่าน Caliiico THAILAND ให้เราได้ติดตามการเดินทางของแมวสามสีนี้ต่อไป เพราะมุมมองที่บอกเล่าความเป็นไทยออกมาผ่านสายตาของพวกเขานั้น ทั้งสนุก น่ารัก และเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันที่ไม่ซ้ำใครจริงๆ