หากนิยามว่า เมย์-นันทิชา ดิเรกวัฒนานุกุล เป็นเจ้าของสวนดอกไม้คงไม่ผิดนัก แม้ดอกไม้ของเธอไม่ได้เติบโตจากแสงแดด หยดน้ำ หรือแร่ธาตุในดิน แต่ผลิดอกเผยความงามจากจินตนาการและความชอบที่เธอมีต่อการวาดรูป กลายเป็นภาพวาดที่มีสีสันสบายตาและพาให้ผู้พบเห็นสบายใจ ภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า inflowerlesson
Inflowerlesson เป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ในรูปแบบของเพจและอินสตาแกรม ที่เมย์คอยเอาใจใส่จนเติบโตเป็นดอกไม้หลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ดอกทิวลิป ดอกดาวเรือง ดอกแพนซี่ และดอกไม้ชนิดอื่นๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามสินค้าต่างๆ ทั้งสติกเกอร์ โปสการ์ด กระเป๋า เคสโทรศัพท์ เข็มกลัด ฯลฯ อีกทั้ง เมย์ยังเพาะพันธุ์เหล่าดอกไม้ให้เติบโตผลิบานในพื้นที่อื่นๆ อย่างการออกแบบลวดลายบนสินค้าให้กับแบรนด์เสื้อผ้าหรือบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการจัดนิทรรศการร่วมกับ Glowfish Creator's Lab ภายใต้คอนเสปต์ Intuition ที่สะท้อนความรู้สึกส่วนตัว เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาด้วย
แต่ก่อนที่ดอกไม้ของเมย์จะผลิบานและสวยงามขนาดนี้ เธอมีวัตถุดิบในการสร้างสรรค์อย่างไร เราขอพาคุณไปสัมผัสตัวตนและความตั้งใจของแบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นง่ายๆ เพียงแค่อยากลงมือทำ
เตรียมกระถางของคุณให้พร้อม แล้วไปรับเมล็ดพันธุ์แห่งกำลังใจจากสวนดอกไม้ของ inflowerlesson กัน
"เราโตมากับโมเดิร์นไนน์การ์ตูน ตอนเด็กๆ เลยชอบวาดการ์ตูนตาโตค่ะ" เมย์เล่าย้อนถึงความทรงจำในวัยเด็ก ในยามที่การวาดรูปยังเป็นเพียงงานอดิเรกที่สร้างความสนุกระหว่างวันให้กับเด็กสาว ก่อนที่เมล็ดพันธุ์แห่งความฝันจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและพร้อมสำหรับการเติบโต
"หลังจากนั้นเราก็เรียนต่อด้านแฟชั่น เพราะเราอยากเรียนด้านการออกแบบ ตอนนั้นเลือกเรียนสาขาแฟชั่นและสิ่งทอ ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าคงเหมาะกับเราที่สุด มันทำให้เราได้รู้เรื่องผ้า เรื่องการเลือกวัตถุดิบต่างๆ แล้วเราก็ค้นพบสไตล์งานที่ตัวเองชอบด้วย"
ภายในห้องเรียนวิชา Textile เมื่ออาจารย์ให้เธอนำแรงบันดาลใจจากศิลปินที่ชื่นชอบมาออกแบบเป็นลวดลายบนผ้า ดอกไม้ตามธรรมชาติ สัตว์ขนาดเล็ก และเด็กผู้หญิง คือ สิ่งที่เธอสนใจและสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะบนผืนผ้าในเวลานั้น
"ศิลปินที่เราชอบส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินชาวเอเชีย ค่อนไปทางประเทศญี่ปุ่น มันทำให้เราเริ่มเจอว่าตัวเองชอบวาดรูปสไตล์นี้ ลายเส้นประมาณนี้ รูปแรกที่วาดจะเป็นเด็กผู้หญิง สัตว์เล็กๆ อย่างกระต่าย พอทำงานมาเรื่อยๆ เราก็ค้นพบว่า ตัวเองวาดดอกไม้ได้ดีที่สุด ถึงแม้ชีวิตจริงเราจะแพ้ดอกไม้ก็ตาม" เมย์หัวเราะราวกับได้เผยความลับให้ทุกคนได้รู้แล้ว ก่อนที่เธอจะเล่าต่อว่า "ช่วงนั้นเพื่อนๆ ในคณะเริ่มสร้างเพจไว้ลงผลงานของตัวเองกัน เราก็เลยคิดว่าตัวเองต้องมีบ้างแล้ว"
นั่นจึงเป็นที่มาของ Inflowerlesson ที่มาจากคำว่าบทเรียนและดอกไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถนัดและเป็นตัวแทนความรู้สึกและความชอบที่มีต่อธรรมชาติ
แล้วต้นอ่อนของ Inflowerlesson ก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยโทนสีที่มีเอกลักษณ์และลายเส้นพริ้วไหวให้ความรู้สึกเหมือนถูกโอบกอดด้วยธรรมชาติ พาให้ผู้พบเห็นได้พักสายตาและรู้สึกสบายใจ สวนดอกไม้ของเธอจึงค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละนิด
แม้หลังจากเรียนจบเธอจะผันตัวไปเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ที่ช่วยดูแลด้านการออกแบบลายผ้าอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ไม่นานนักเธอก็ตัดสินใจกลับมาทำงานของตัวเอง โดยครั้งนี้ เธอได้เปลี่ยนเหล่าดอกไม้จากงานดิจิตัลอาร์ต ให้กลายเป็นชิ้นงานที่จับต้องได้ อย่าง สติกเกอร์ โปสการ์ด มาสกิ้งเทป ฯลฯ และเปิดให้คนที่สนใจโดยเฉพาะสาวๆ ได้เลือกซื้อสินค้าที่ชอบกลับไปด้วย
"เวลาใครถามถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้ เราก็ตอบไม่ค่อยได้นะเพราะเราไม่ได้มีจุดพลิกผันอะไร แค่รู้สึกว่าเราต้องลงมือทำมันแล้ว ช่วงแรกเราไม่ได้วางแผนอะไรมากนัก แค่อยากวาดอะไรก็วาด เราเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น หลังจากมีโอกาสได้ไปออกงาน Art Ground ที่ The Jam Factory คิดว่าคนน่าจะจำงานของเราได้จากโทนสีของภาพ จริงๆ เมย์มีโทนสีที่ชอบใช้ประจำ เวลาเราเจอสีที่ชอบเราก็จะดูดสีเก็บไว้ในพาร์เล็ตของตัวเองด้วย"
เมย์เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานว่า เธอมักจะศึกษาขนาดและพื้นที่ของสินค้าแต่ละชิ้นก่อนที่จะลงมือออกแบบลวดลายให้เหมาะกับงานชิ้นนั้นๆ
"เมย์เป็นคนชอบมองชัดไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือทำ เราอยากเห็นดีเทลและข้อจำกัดของชิ้นงานก่อน เพราะมันง่ายต่อการทำงาน ภาพที่ใช้สำหรับสินค้าเกือบทุกชิ้นเรามักจะออกแบบใหม่หมดเลย ยกตัวอย่างเช่น กระเป๋าผ้า พอเราได้ขนาดของกระเป๋าแล้ว เราก็จะวัดสเกลของลวดลายที่ต้องการ มันทำให้เราเห็นว่า เราจะให้ขอบภาพอยู่ตรงไหน แล้วดอกไม้ ภูเขา ภาพที่เราต้องวาดจะต้องสูงเท่าไหร่"
นอกจากนี้ การเลือกซัพพลายเออร์ก็เป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญ ทริคเล็กๆ ที่เธอได้จากการทำแบรนด์นี้มาเกือบห้าปี คือ การมองหาผู้ผลิตที่เคยทำงานที่เธอต้องการให้กับคนอื่นมาก่อน หรือการขอให้ร้านทำตัวอย่างชิ้นงานมาก่อน เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นระหว่างการผลิต
"ช่วงแรกที่ทำแบรนด์ เราเคยทำการ์ดที่ต้องไดคัท ซึ่งร้านเขาผลิตให้เราผิดสเป็กหมดเลย จำได้ว่าเราเครียดมากๆ จนไปยืนร้องไห้อยู่ที่ร้านเลย มันเป็นบทเรียนของเราเลย การได้เจอซัพพลายเออร์ที่เข้าใจเรามันเป็นสิ่งที่ดีมากเลย เพราะไม่ใช่ทุกร้านที่จะเข้าใจและทำงานที่เราต้องการได้"
นอกจาก Inflowerlesson จะเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าเป็นของตัวเองแล้ว นักวาดสาวยังใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์อื่นๆ ที่ต้องการให้สวนดอกไม้ของเธอเข้าไปเติบโตและสร้างสีสันให้แก่สินค้าของพวกเขาอีกด้วย ที่ผ่านมาเธอมีโอกาสได้ออกแบบลายเสื้อผ้าและบรรจุภัณฑ์ให้กับหลายๆ แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น O.D.C, Lamignonne, Sirinn Cosmetics ฯลฯ
"จริงๆ เราชอบทำงานคอมมิชชั่นนะ ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้สึกว่า มันเป็นงานที่ต้องทำงานภายใต้โจทย์ที่กำหนด จนบางทีก็ไม่ค่อยได้เป็นตัวเองเท่าไหร่ แต่มันทำให้เรามีพอร์ตฟอลิโอมากขึ้น อีกอย่างมันสนุกด้วยค่ะ เราชอบทำงานด้านนี้อยู่แล้ว" เธอบอกกับเราแบบนั้น ก่อนจะเล่าถึงข้อจำกัดในการรับงานของเธอต่อว่า "ด้วยความที่เมย์ทำงานดิจิตัลเเพ้นติ้งเป็นหลัก เราก็จะไม่ถนัดงานเพ้นต์สดเท่าไหร่ค่ะ อย่างการไปเพ้นต์กำแพง เพ้นต์ร้าน เราต้องปฏิเสธว่าเราทำไม่ได้จริงๆ"
ในอนาคตเธอหวังว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำงานคอมมิชชั่นร่วมกับแบรนด์อื่นๆ มากขึ้น รวมถึงการได้ทำงานร่วมกับเอเจนซี่ต่างประเทศอีกด้วย
"เรารู้สึกว่าแวดวงศิลปะในต่างประเทศดูเปิดกว้างและสนุกกว่าในไทย อย่างเมย์จะชอบประเทศญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าเขาเปิดกว้างมากๆ แค่เราเดินอยู่ในเมืองก็มีโอกาสได้เจองานกราฟิกสวยๆ แล้วสื่อสิ่งพิมพ์ของเขาก็ยังมีอยู่ ส่วนนักวาดก็มีพื้นที่ในการแสดงงานค่อนข้างเยอะ ทั้งนิตยสาร ทั้งแกลเลอรี อีกอย่างเมย์อยากมีหนังสือเป็นของตัวเองด้วยค่ะ" หญิงสาวเล่าถึงแง่มุมเกี่ยวกับแวดวงศิลปะและเป้าหมายในอนาคตที่เธอกำลังปั้นอยู่ในเวลานี้
การเดินทางตลอดห้าปีของแบรนด์ Inflowerlesson ทำให้เมย์ได้เรียนรู้ว่าโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าโอกาสนั้นคือ 'การลงมือทำ'
"ส่วนตัวเราทำงานคอมมิชชั่นจะรู้สึกว่า โอกาสเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในสายงานนี้ แต่เราเองก็ต้องพยายามลงรูป อัพเดทผลงานให้เขาเห็น ส่วนการที่จะได้งานไหม มันเป็นการตัดสินใจและโอกาสที่เขาจะหยิบยื่นมาให้ แต่ถ้าเราไม่ลงมือทำตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครมาเห็นงานของเราค่ะ" ปัจจุบันสวนดอกไม้ของแบรนด์ Inflowerlesson ยังถูกเติมเต็มด้วยสีสันและลายเส้นจากเมย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรอคอยการมาเยือนของผู้คนที่จะช่วยต่อยอดความฝันของเธอให้เป็นจริง
บทสนทนาครั้งนี้จบลงแล้ว แต่ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไป ขอให้คุณก้มมองที่กระถางในมืออีกครั้งว่า มีความฝันอะไรที่รอการเติบโตอยู่ไหม? อย่ารอช้า รีบลงมือรดน้ำพรวนดิน ก่อนที่เมล็ดพันธุ์แห่งความฝันจะหล่นหายและกลีบดอกไม้จะร่วงโรยไปอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิม
ด้วยสีสันและลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ของ เมย์-นันทิชา ดิเรกวัฒนานุกุล พาให้ผู้พบเห็นสบายตาและสบายใจ ทำให้แบรนด์ Inflowerlesson ได้รับเลือกให้เป็น Brand of the Month ประจำเดือนมิถุนายน 2565
พิเศษสุด! รับทันทีส่วนลดสูงสุด 15% เมื่อใช้โค้ด FLOWER10 ซื้อสินค้าของ ทางเว็บไซต์ happening and friends ตลอดเดือนเมษายน 2565 หรือ แวะไปอุดหนุนสินค้าของ Inflowerlesson แล้วรับส่วนลด 10 % ที่ happening shop สาขา bacc และสาขาดาดฟ้า ลาซาล 33
ที่สำคัญ! ทุกออเดอร์มีสิทธิ์ลุ้นรับอาร์ตปริ้นต์พร้อมกรอบ (ขนาด 9x12.5 นิ้ว) มูลค่า 1,400 บาทด้วย
3074 VIEWS |
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา