จะว่าไป ท้องถนน ตึกสูง สัญญาณไฟจราจร สิ่งของข้างทางดูไม่ต่างจากโลกมนุษย์เท่าไร แต่เมื่อเรามองเห็นสัตว์ประหลาดหลากสีสันที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ดูกลมมน บ้างมีหู บ้างมีแขน บ้างมีผม ตัวเล็กตัวใหญ่ไม่เท่ากัน บางตัวสวมเสื้อ บางตัวใส่ถุงเท้า บางตัวมีลวดลาย หรือกระทั่งมีตัวที่ถูกแบ่งออกเป็นท่อนๆ ฯลฯ ก็ย้ำเตือนให้รู้ว่าเรากำลังเดินทางเข้าสู่โลกมอนสเตอร์ที่สร้างสรรค์โดย Sticky Monster Lab แล้ว
สัตว์ประหลาดของ Sticky Monster Lab ดูมีอารมณ์ขันและท่าทางเป็นมิตร ซึ่งเมื่อทำความรู้จักกับพวกเขายิ่งขึ้นแล้ว อาจจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ในเวอร์ชั่นน่ารักพิลึก
คาแรกเตอร์สัตว์ประหลาดจากแอนิเมชันสั้นเรื่อง The Runners
ยิ่งเวลาผ่านไป ห้องทดลองแห่งนี้ดูเหมือนจะผลิตสัตว์ประหลาดที่ดึงดูดให้มนุษย์เข้าไปสนใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เราจึงเดินทางไปยังโลกมอนสเตอร์ เพื่อทำความรู้จักกับ Sticky Monster Lab มากขึ้น แล้วทีม Sticky Monster Lab ก็ออกมาต้อนรับเราด้วยคาแรกเตอร์ของพวกเขาอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะพาเข้าไปนั่งคุยในห้องทำงานของพวกเขา
ตัวแทนทีม Sticky Monster Lab ผู้ให้สัมภาษณ์
Sticky Monster Lab เป็นครีเอทีฟสตูดิโอสัญชาติเกาหลีที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2007 โดยการรวมตัวของสมาชิก 3 คน ได้แก่ Fla, Boo และ Inae ผู้มีพื้นฐานการทำงานสร้างสรรค์ต่างสาขากัน พวกเขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสตูดิโอแห่งนี้ว่า "Fla เป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ เขาเคยทำงานเป็นแอนิเมเตอร์สามมิติในบริษัทโฆษณามาก่อน Boo ครีเอทีฟไอเร็กเตอร์อีกคนของเรา เคยเป็นนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ ทั้งคู่รู้จักกันขณะทำโปรเจกต์งานโฆษณาชิ้นหนึ่ง แล้วตัดสินใจที่จะร่วมงานกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างที่พวกเขาต้องการ"
ผลงานแอนิเมชันสั้นเรื่องแรกของพวกเขา 'The Runners' ไปเปิดตัวในงาน RESFEST Digital Film Festival (2007) เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะได้รู้จักกับสมาชิกคนสุดท้ายคือ Inae ในช่วงเตรียมงานนิทรรศการ 1st exhibition THE MONSTERS (2008) เพื่อจัดแสดงผลงานเพ้นติ้ง ประติมากรรม และแอนิเมชันสั้นเรื่อง 'The Monsters' ที่แสดงถึงโลกของสัตว์ประหลาดของพวกเขา "ในนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก Boo และ Fla มองหาคนที่สามารถทำประติมากรรมสำหรับจัดแสดง จึงรู้จักกับ Inae ที่กลายมาเป็นโปรเจกต์เมเนเจอร์คนปัจจุบัน แล้วลงตัวเป็นสมาชิก 3 คนที่ทำงานร่วมกันเรื่อยมา"
บรรยากาศภายในงาน 1st exhibition THE MONSTERS (2008)
แอนิเมชันสั้นเรื่อง The Monsters
"หลายคนที่เข้ามาเยี่ยมชมถือเป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะในช่วงเวลานั้นที่เกาหลีใต้ มีโอกาสไม่บ่อยนักที่ดีไซน์สตูดิโอจะจัดนิทรรศการที่มีแอนิเมชันให้ชมด้วย ทำให้คนค่อนข้างให้ความสนใจและอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรา"
นิทรรศการครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนทั่วไปและคนในแวดวงโฆษณารู้จัก Sticky Monster Lab หลังจากนั้นพวกเขาจึงนำคาแรกเตอร์ของสัตว์ประหลาดมาสร้างสรรค์ผลงานแอนิเมชันและกราฟิกดีไซน์ ก่อนที่จะขยายไปเป็นสินค้าหลายประเภทที่มีตั้งแต่ฟิกเกอร์ ของใช้ประจำวัน เช่น พวงกุญแจ เคสใส่แอร์พอด แก้วน้ำ กระบอกน้ำ กระเป๋า โคมไฟ ไปจนถึงโปสเตอร์และอาร์ตพริ้นต์ แล้วยังได้เห็นสัตว์ประหลาดกระโดดเข้าไปร่วมงานกับแบรนด์ดัง อาทิ Nike, Nissan, Fujifilm, บัตร T-money ของเกาหลี และแบรนด์เสื้อผ้าอีกมากมาย
นิทรรศการ Nike Energy Space (2010) ที่ Sticky Monster Lab ทำงานร่วมกับแบรนด์ Nike
การทำงานร่วมกับ Fujifilm เพื่อออกแบบ Instax Mini 8 x Sticky Monster Lab (2013)
นอกจากการผลิตผลงานของตัวเองและทำงานร่วมกับแบรนด์ต่างๆ ภายในประเทศเกาหลีแล้ว พวกเขายังมีโอกาสนำสัตว์ประหลาดในโลกมอนสเตอร์ออกเดินทางไปแสดงงานในต่างประเทศ เช่น Tokyo International Anime Fair 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่น และนิทรรศการ Public Fair No.1 Hong Kong 2012 ที่ฮ่องกง ซึ่งสัตว์ประหลาดเหล่านั้นสร้างความประทับใจและความนิยมจนมีผู้สนใจนำสินค้าของ Sticky Monster Lab ไปจัดจำหน่ายในประเทศต่างๆ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ไทย และ อิตาลี สำหรับในประเทศไทยมีสินค้าของ Sticky Monster Lab วางจำหน่ายอยู่ที่ร้าน happening shop ทั้ง 2 สาขา และทางเว็บไซต์ happeningandfriends.com แล้วความโดดเด่นของคาแรกเตอร์สัตว์ประหลาดที่สร้างรอยยิ้มนี้ ทำให้พวกเขาได้รับเลือกให้เป็น Brand of the Month สำหรับเดือนมิถุนายน 2564 แล้วได้จัดดิสเพลย์ที่ร้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนอีกด้วย
ภาพการจัดนิทรรศการ Public Fair No.1 Hong Kong 2012 ที่ฮ่องกง
Sticky Monster Lab เล่าถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์สัตว์ประหลาดให้ดูน่ารัก แต่ขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่เหมือนโลกคู่ขนาดกับมนุษย์ให้ฟังว่า "ถ้าพูดถึง 'มอนสเตอร์' เราอาจจะเปรียบได้กับใครสักคนหรือตัวอะไรสักตัวที่แปลกประหลาดและน่ากลัว ขณะที่เราทุกคนต่างมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจอยู่แล้ว แต่ผู้คนกลับซ่อนสิ่งเหล่านั้นแล้วนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นคนปกติในสายตาของคนอื่น เราจึงชอบคำว่า 'มอนสเตอร์' เพราะคำนี้มีความหมายที่ย้อนแย้งอยู่ในตัว และพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของสัตว์ประหลาดด้วยคาแรกเตอร์ของ Sticky Monster Lab ที่น่ารักและพิลึกในเวลาเดียวกัน ซึ่งพวกมันเป็นเหมือนตัวแทนในการบอกเล่าเรื่องราวที่เราอยากแบ่งปันนั่นเอง"
ในแอนิเมชันเราจะได้เห็นการใช้ชีวิตของสัตว์ประหลาดในโลกมอนสเตอร์อย่างที่คุ้นเคยในโลกมนุษย์ ไม่เพียงแต่วิถีชีวิตหรือความรู้สึกที่สัตว์ประหลาดสะท้อนออกมาในสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้น ยังพบว่ามีคาแรกเตอร์ และองค์ประกอบฉากอย่างโปสเตอร์ภาพยนตร์ ดนตรี ข้าวของเครื่องใช้ หรือ วิดีโอเกม ที่สะท้อนถึงอิทธิพลวัฒนธรรมป็อปจากโลกมนุษย์บรรจุอยู่ในโลกมอนสเตอร์เหมือนกัน
"โลกของมอนสเตอร์คล้ายกับโลกของเรา แต่พบเห็นความแตกต่างอยู่บ้าง เช่น เดอะบีทเทิลส์ (The Beatles) ในโลกมอนสเตอร์ไม่เหมือนเดอะบีทเทิลส์ที่เรารู้จัก มอนสเตอร์บางตัวในโลกมอนสเตอร์มีร่างกายที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน เราอยากสื่อถึงความหลากหลายในโลกที่ดูคุ้นเคยแต่ก็ไม่ใช่โลกเดียวกันเสียทีเดียว ซึ่งมันสะท้อนโลกของเรา ขณะเดียวกันมีศิลปินทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มากมายที่ให้แรงบันดาลใจกับพวกเรา แต่ส่วนใหญ่ศิลปินที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือศิลปินในยุคที่เราเติบโตมา เราชอบ MTV ภาพยนตร์ขึ้นหิ้ง แอนิเมชันญี่ปุ่นยุค 80-90's ที่เคยดูสมัยเด็ก ซึ่งยุคนั้นการจะหางานต่างๆ เหล่านั้นดูได้มันยากมาก แต่ปัจจุบันเราสามารถหาเรฟเฟอเรนส์ออนไลน์ได้มากมายเท่าที่ต้องการ ดังนั้นเราจึงให้ความสนใจต่อผลงานของศิลปินในยุคนั้น และดูเหมือนว่าผลงานที่อยู่ในใจเราจะส่งผลต่องานของเราในหลายแง่มุมเลยทีเดียว"
เมื่อพูดถึงแอนิเมชันและนิทรรศการของ Sticky Monster Lab แล้ว คงต้องพูดถึงสินค้าที่สร้างสรรค์จากคาแรกเตอร์ของสัตว์ประหลาดเหล่านี้กันบ้าง "สินค้าชุดแรกของเราคือ M series 01-04 และ S series 01-04" ซึ่งนำคาแรกเตอร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Sticky Monster Lab มาทำเป็นอาร์ตทอยให้ผู้ที่ชื่นชอบสะสม ก่อนที่จะผลิตฟิกเกอร์จากคาแรกเตอร์ต่างๆ ตามมาอีกหลายตัว รวมถึงกล่องสุ่ม (blind box) SML [Sport] Series ที่นำกีฬายอดนิยมมาผสมผสานกับคาแรกเตอร์สัตว์ประหลาดของพวกเขาได้อย่างน่ารักน่าเล่น
สินค้าชุดแรกของ Sticky Monster Lab
ฟิกเกอร์ 10 แบบจากกล่องสุ่ม SML [Sport] Series
ฟิกเกอร์ของ Sticy Monster Lab มักจะมีเอกลักษณ์ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวในตัวมันเองได้ แม้ไม่ได้รวมตัวมาเป็นกลุ่มแบบในแอนิเมชันก็ตาม รวมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นที่เมื่อออกแบบมาแล้วก็มีชีวิตชีวาไม่แพ้กัน จนทำให้เราอยากติดตามว่าจะมีอะไรสนุกๆ ออกมาให้ทำความรู้จักกันอีกบ้าง
The Lamp โคมไฟชิ้นแรกที่ทีม Sticky Monster Lab ถือว่าเป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่ท้าทายการออกแบบของพวกเขา
เราอาจจะเห็นผลงานและสินค้าของ Sticky Monster Lab ที่สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนมาแล้วมากมาย แต่เป้าหมายและทิศทางการทำงานของสูดิโอไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การทำผลิตภัณฑ์เท่านั้น พวกเขาบอกว่า Sticky Monster Lab เป็นชื่อของสตูดิโอที่เป็นกลุ่มศิลปินด้วย "เราพยายามทำโครงสร้างของสตูดิโอให้สามารถช่วยศิลปินทำงานสร้างสรรค์ได้ ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการสร้างสรรค์งานในลักษณะนี้ให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยมีกรอบความคิดในการทำงานคือ 'เป็นอิสระ น่ารื่นรมย์ อย่างยั่งยืน' (freely, pleasantly and sustainable)"
ระหว่างพูดคุยกัน เราเห็นทีม Sticky Monster Lab ตั้งหน้าตั้งตาสร้างสรรค์โลกมอนสเตอร์ในบรรยากาศที่ไม่ต่างกับสตูดิโอสร้างสรรค์ในโลกมนุษย์เท่าไรนัก สัตว์ประหลาดบางตัวยื่นแก้วอเมริกาโนให้เพื่อนร่วมงานที่ไม่มีแขนดื่มระหว่างการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พวกเขาชวนกันออกไปเดินสูดอากาศผ่อนคลายหลังพักเที่ยง ก่อนที่จะออกมาโบกมือลาตอนที่เรากำลังเดินทางกลับ
หากมองข้ามรูปลักษณ์และคุณสมบัติทางกายภาพของพวกเขาไป จะเห็นว่าสัตว์ประหลาดของ Sticky Monster Lab นั้นมีหลายแง่มุมที่เหมือนมนุษย์เรา พวกเขาชื่นชอบการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตในการทำงาน สังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือบางครั้งอาจจะเผชิญกับความเหงาบ้าง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยหาก Sticky Monster Lab จะเดินทางไปปรากฏตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ของโลกแล้ว พวกเขาก็ยังได้รับการต้อนรับจากผู้คนเป็นอย่างดี
เพราะเรารู้ว่าพวกเขาไม่ได้เดินทางมาบุกรุกโลกมนุษย์ แต่มาเพื่อผูกมิตรและมอบความสุขให้แก่กันและกัน