ปีที่ผู้คนส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าพอดีตัว ฟังเพลงป๊อปร็อกเป็นกระแสหลัก มีคนกลุ่มหนึ่งเลือกสวมเสื้อโอเวอร์ไซส์ กางเกงตัวใหญ่ แมทช์กับรองเท้าสนีกเกอร์และสร้อยคอสีทอง ปล่อยหมัดซัดสังคมด้วยไรม์ดุดันและดนตรีบีตหนัก นำเสนอความเป็นฮิปฮอปให้คอดนตรีได้สัมผัส ภายใต้ชื่อกลุ่มว่า AA Crew
สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยนัก AA Crew เกิดจากการรวมตัวของศิลปินฮิปฮอปมากฝีมือ อย่าง ขัน-ขันเงิน เนื้อนวล (King of da Hustle), เดย์-จำรัส ทัศนละวาด (Sunny Day), เวย์-ปริญญา อินทชัย (P.Cess), จูเนียร์-วัชร วัชรพล (JROC) , โจ้-อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต (a.k.a. Joey Boy) และศิลปินอีกหลายคน ก่อนที่ ขัน เดย์ และเวย์ จะแจ้งเกิดในนามไทเทเนียม (Thaitanium) พาเพลงแรปเข้าสู่ดนตรีกระแสหลัก และก่อตั้งค่ายเพลงสไตล์อเมริกันฮิปฮอป Thaitanium Entertainment เพื่อสนับสนุนเหล่าแรปเปอร์น้อยใหญ่ให้สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง
กลับมาที่ปัจจุบัน ในวันที่เพลงฮิปฮอปได้รับความนิยมจากคนทั่วไป ขันและเดย์กลับเลือกหยิบเพลงฮิตในอดีต อย่าง กองไว้, ไหนว่าจะไม่หลอกกัน, ใจโทรมๆ, ลืมไปไม่รักกัน, รักปอนปอน มาเรียบเรียงใหม่ ผสมผสานความเป็นนีโอโซลและฮิปฮอปแบบปัจจุบันเข้าด้วยกัน เกิดเป็นดิจิตอลอัลบั้มที่มีชื่อว่า Bring It Back
เรานัดพบพวกเขาที่ happening library ภายในโครงการดาดฟ้า (Dadfa) ขันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงสีขาวตามเทรนด์สมัยใหม่ ขณะที่เดย์ยังคงใส่กางเกงหลวมๆ สวมเสื้อตัวใหญ่ พวกเขาดูไม่ต่างไปจากเมื่อ 20 ปีก่อนเท่าไหร่นัก บทสนทนาครั้งนี้ว่าด้วยเรื่องราวระหว่างทางของโปรเจกต์ Bring It Back อีกทั้ง เรายังชวนทั้งคู่ย้อนกลับไปถึงจุดแรกเริ่ม ก่อนที่คนมากมายจะรู้จักพวกเขาในฐานะตำนานแห่งวงการฮิปฮอปเมืองไทย ทั้งสองคนต้องผ่านช่วงเวลาแบบไหนบ้าง
เตรียมหูฟังของคุณให้พร้อม แล้วไปฟังท่วงทำนองตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของพวกเขาพร้อมๆ กัน
.jpg)
ช่วยเล่าถึงที่มาของโปรเจกต์ Bring It Back ให้ฟังสักหน่อย
ขันเงิน: มันเริ่มจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราเคยนำเพลง สบายดีหรือเปล่า ของวง XYZ มาทำใหม่ แล้วผลตอบรับค่อนข้างดี พอมีโอกาสได้คุยกับค่ายสนามหลวง เขาก็ถามว่า 'ทำไมไม่ทำเป็นอัลบั้มเลยล่ะ' จึงกลายมาเป็นโปรเจกต์ Bring It Back ที่เรากับเดย์หยิบเพลงที่เราชอบเล่นกีตาร์ร้องเพลงสมัยเด็กๆ มาเรียบเรียงเป็นสไตล์ของเรา แต่ละเพลงที่เราเลือกมา สมัยก่อนเขาเรียกว่า 'จิ๊กโก๋อกหัก' เป็นเพลงที่บอกว่า เราอกหักนะ เราเจ็บปวดแต่ไม่แสดงออกมากนัก จริงๆ แฟนคลับไทเทเนียมจะรู้ดีว่าเราไม่ค่อยทำเพลงอกหัก ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เรามีเพลงอกหักแค่ Hey Lover เพลงเดียวเอง
เดย์: ตอนเด็กมันเขินๆ เนอะ แต่ตอนนี้เราโตแล้ว ไม่ค่อยเขินเวลาตัวเองร้องเพลงอกหักแล้ว ในแต่ละเพลงขันจะรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ ส่วนผมจะเป็นคนแต่งท่อนแร็ป เราจะนึกถึงความเป็นเพลงนั้น แล้วแต่งท่อนที่มาตอบกลับว่า ตอนนี้เราโอเคกับการอกหักครั้งนั้นแล้วนะ ความยากคือ เราจะเขียนให้มันดีและกลมกลืนไปกับเนื้อหาต้นฉบับยังไง แต่พอทำเสร็จแล้ว เราก็รู้สึกแฮปปี้กับมันมากๆ
ตอนนี้วงไทเทเนียมก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 แล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม?
เดย์: ผมว่าวิธีการทำงานสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกันเยอะมาก ทุกวันนี้เรามีโลกออนไลน์เป็นช่องทางนำเสนอผลงาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก ทุกคนอยากจะฟังอะไร อยากรู้อะไรก็เสิร์ชได้เลย ไม่เหมือนกับเมื่อ 20 ปีที่แล้วเราอยากจะเรียนอะไร เราต้องเข้าห้องสมุด ซื้อหนังสือมาอ่าน
ขันเงิน: สมัยก่อนกว่าจะเรียนดีเจได้ ต้องไปศึกษาจากอาจารย์หรือคนที่เขาทำมาก่อนเรา เพราะมันไม่มีในตำราแต่ถ้าเราทำได้ เราจะได้เป็นออริจินอล เพราะคนที่ทำเพลงสไตล์แบบเรามีไม่เยอะมาก ต่างจากสมัยนี้ที่ทุกคนมีช่องทางเรียนรู้เยอะ เรียนแร็ปพักเดียวก็เก่งแล้ว แต่สำหรับคนฟัง เขามีตัวเลือกในตลาดมหาศาลเลย
ย้อนกลับไปช่วงที่คุณเริ่มทำเพลง คุณมีวิธีการนำเสนอเพลงให้ถึงคนฟังอย่างไรบ้าง?
ขันเงิน: ตอนทำอัลบั้ม AA เสร็จ เรายังไม่วางขาย จำได้ว่าปริ้นต์ซีดี 20 แผ่นแรกมาจากอเมริกา แล้วเอามาแจกให้คนแถวสยามได้ฟังก่อน เพราะเราไม่คิดว่ามันจะขายได้ พอคนฟังแล้วเริ่มถามหา พี่เปี๊ยก ดีเจสยาม (ธนโชติ เพียรเสมา) ถามว่า 'ไม่เอามาขายเหรอ' เราถึงเอาไปปั๊มในพันธุ์ทิพย์ ตอนนั้นถึงเริ่มมีหน้าปก พอเราเห็นว่ามันทำเงินได้ เราก็เลยเชื่อ พอกลับไปอเมริกาครั้งนั้น เราถึงเริ่มทำวงไทเทเนียม ส่วนตัวผมมีประสบการณ์ตอนทำอัลบั้มขันทีมาแล้ว จึงพอรู้ว่ามันต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง ตอนนั้นเรานัดค่ายเพลง นัดรายการวิทยุด้วยตัวเอง เดินทางไปส่งเอง เรียกว่าเป็นงานโฮมเมดเลย
เดย์: เราปริ้นต์ปกอัลบั้ม แผ่นซีดีเองที่บ้าน ปริ้นต์จนคอมพิวเตอร์พัง (หัวเราะ) จริงๆ เราต้องขอบคุณพี่เปี๊ยก ดีเจสยามมากที่เขาเอาอัลบั้มเราไปขาย สมัยก่อนแถวสยามเซนเตอร์จะมีลานน้ำพุเป็นศูนย์กลางของพวกเด็กแนวที่มานั่งฟังเพลงกัน นึกถึงสมัยนั้นที่ต้องพกสมุดเบอร์โทรศัพท์ โทรนัดล่วงหน้าว่าจะเจอกันตรงไหน เวลาไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เจอกัน
ขันเงิน: พอเริ่มขยายใหญ่ขึ้น พันธุ์ทิพย์ก็เริ่มมีแผ่นปลอมออกมา (หัวเราะ)
สมัยก่อนเราไม่ค่อยเห็นศิลปินฮิปฮอปไปฟีทเจอร์ริ่งกับแนวเพลงอื่นๆ เท่าไหร่นัก?
เดย์: น้อยมาก คนอาจมองว่าแร็ปเปอร์เป็นพวกหยาบคาย ดุดัน เขาไม่เข้าใจความเป็นฮิปฮอป ไม่เข้าใจว่าเรากำลังสื่อสารอะไร จริงๆ แล้วเพลงฮิปฮอปไม่ต่างจากเพลงเพื่อชีวิตเลยนะ เราพูดสิ่งที่อยากพูด ทำสิ่งที่อยากทำโดยไม่มีอะไรมากั้น ยิ่งตอนนี้เรารู้สึกสนุกกับมันมาก เพราะมันไม่มีขอบเขตแล้วว่าเพลงนี้ต้องเป็นอย่างไร ไม่มีผิดหรือถูก ดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่ความสนุกของคนแล้ว ถ้าเขาชอบเขาก็ฟัง
ขันเงิน: เราว่าตอนนี้ดนตรีมันกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วนะ เราไม่สามารถนิยามได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงร็อกหรือเพลงฮิปฮอป เพราะเด็กๆ เขาเอาทุกอย่างมารวมกันจนลบขอบเขตของดนตรีไปแล้วว่า เพลงนี้มันคือเพลงแนวไหน

เดย์: เรามีเวทีให้แสดงออกมากขึ้น สมัยที่เพิ่งเริ่มทำไทเทเนียมเราไม่มีเวทีแสดงนะ เราต้องจ่ายเงินเพื่อขึ้นไปร้องเพลง เพราะ ฮิปฮอปไม่ใช่เพลงกระแสหลัก มันยากเหมือนกันนะ เพิ่งจะมีงานเยอะๆ ช่วงที่เพลง ทะลึ่ง ปล่อยออกมา ตัดภาพมาตอนนี้ เพลงฮิปฮอปแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพลงป๊อปสมัยนี้ มันหาฟังได้ทุกที่ มันอยู่ในทุกแนวเพลง คิดไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะฮิตกว่านี้ได้อีกไหม
ขันเงิน: ตอนนี้ฮิปฮอปแมสที่สุดแล้ว.. เรามีปาร์ตี้ฮิปฮอปแทบทุกวัน ใครอยากไปงานแร็ปก็ไป ชอบดีเจก็ไปงานดีเจ ชอบงานอาร์ตเราก็มีศิลปะให้ดู ต่างจาก 20 ปีที่แล้ว เราต้องทำให้คนเห็นว่า บรรยากาศงานฮิปฮอปเป็นแบบไหน โชว์ของดีเจ โชว์ของฮิปฮอป หรือแม้แต่อาร์ตของฮิปฮอป อย่างกราฟิตี้ เขาพ่นกันยังไง เมื่อก่อนเราต้องจัดปาร์ตี้เล็กๆ ให้คนที่ชอบฮิปฮอปได้เห็น มาวันนี้เรามีพื้นที่ที่ให้ปล่อยของและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เรารู้สึกดีที่เห็นฮิปฮอปค่อยๆ เติบโตและมีคนซัพพอร์ตให้มันอยู่มาถึงทุกวันนี้
ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ คุณมองเห็นอะไรในตัวศิลปินฮิปฮอปรุ่นใหม่?
ขันเงิน: เราเห็นความมุ่งมั่น ตั้งใจ ยิ่งพอเห็นว่าเขาทำได้ เขาเก่ง มันทำให้เราอยากทำงานให้ดีขึ้น มันเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจระหว่างกัน เวลาได้ยินคนบอกว่าเราเป็นไอดอลของเขา ตัวเราเองก็ได้รับพลังงานดีๆ จากผลงานของพวกเขาเหมือนกัน แต่สมัยนี้เขาเน้นปล่อยทีละเพลง เราฟังเพลงเดียวแล้วไม่ค่อยเข้าใจตัวตนของเขาเท่าไหร่ เพราะเราโตมากับการทำเพลงเป็นอัลบั้ม เวลาฟังเพลงทั้งหมด เราจะเข้าใจว่าคนนี้เป็นแบบไหน เพราะฮิปฮอปมันเป็นเพลงที่คนเล่าเรื่องส่วนตัวเยอะมาก ฟังหนึ่งอัลบั้มก็แทบจะรู้จักเขาทั้งชีวิตเดย์: เด็กสมัยนี้เขามีสแลงของเขา เราก็มีสแลงของเรา มันจึงเชื่อมต่อกันไม่ยากนัก เรามองเห็นตัวเองตอนเด็กๆ ในตัวพวกเขา เขากล้าพูด กล้าทำ ไม่สนว่าใครจะมองยังไง แค่ทำในสิ่งที่รัก เราอยากผลักดันเด็กเหล่านี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เพราะสมัยก่อนเราไม่มีเวทีแบบนี้ เราต้องใช้เวลานานมากกว่าคนจะเข้าใจสิ่งที่เราทำ

ที่ผ่านมาในวงการฮิปฮอปมีกระแสการแบ่งแยกระหว่าง Old Scool กับ New Wave พวกคุณรู้สึกอย่างไร?
ขันเงิน: ไม่ว่าอะไรในโลก ทั้งศิลปะ ดนตรี แฟชั่น เวลาดังพลุแตก คนก็จะแยกเป็นซับคัลเจอร์ออกไป อันเดอร์กราวด์อาจบอกว่า 'เพลงนี้ป๊อป' พอคนที่ป๊อปมาฟังเพลงของคนยุคเก่า เขาก็บอกว่า 'อันนี้มันอันเดอร์กราวด์' เขาจะแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน ผมมองว่าคนที่เขาทำเพลงแมส เขาก็ทำของเขาไปอยู่แล้ว แต่พวกอันเดอร์กราวที่เขาทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ตามกระแส ถ้าเขาทำดีจริงๆ มันก็ทะลุกระแสหลักออกมาได้ อย่างตอนนี้เขาชอบซาวน์แบบป๊อปๆ หน่อย แต่ถ้ามีน้องที่ทำฮิปฮอปจ๋าๆ แล้วดีจริงๆ มันก็สามารถดังได้เหมือนกัน
เดย์:ไม่รู้ว่ายุคนี้จะมีดนตรีแนวใหม่หลุดออกมาอีกไหมนะ อย่างสมัยเราทำเพลงฮิปฮอปมันใหม่มากจนบางทีคนรับไม่ทัน มันก็เลยโตช้า ตอนนี้กำลังรอดูว่าดนตรีแนวไหนจะมาแทนที่ฮิปฮอปตอนนี้
พวกคุณมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคนิคในการทำเพลงใหม่ๆ อย่างการใช้ออโต้จูน แรปเมโลดี้ อย่างไร?
ขันเงิน: เรามองมันเป็นแฟชั่น สมัยก่อนเวลาเราแร็ป คนก็ถามว่า 'ทำอะไรกัน' ถ้าใครที่เปิดรับหน่อย เขาก็จะบอกว่า 'ใช้ได้เหมือนกันนะ' ด้วยความที่เป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เราจึงพยายามเปิดรับอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ เราไม่สามารถยึดหลักของเราว่าดีที่สุดได้ เหมือนเมื่อก่อนเราใส่กางเกงตัวใหญ่ วันนี้เราก็เปลี่ยนมาใส่พอดีตัวแล้ว มันเป็นอารมณ์ของศิลปินรุ่นใหม่ เขาสนุกกับดนตรีแบบนั้น ซึ่งเราเองก็สนุกกับการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เหมือนกัน
เดย์: จริงๆ เราชอบเมโลดี้นะ เพราะเราก็โตมากับเมโลดี้ เล่นกีตาร์ร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก อย่างในอัลบั้ม Bring It Back เราก็ได้ลองแร็ปแบบเมโลดี้ ลองใช้ออโต้จูน สนุกดีนะ เพราะเราไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้ คนจะจำภาพเราแร็ปดุดันมากกว่า อัลบั้มนี้ท่อนแร็ปของเราน่าจะนุ่มกำลังดี หวังว่าทุกคนจะชอบกัน.. เออ แต่เวลานี้ ถ้าแมสจริงๆ ต้องแร็ปเมโลดี้เนอะ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเมโลดี้
ขันเงิน: มันเป็นเทรนด์ของคนทั่วโลกนะ ถ้าย้อนดูเพลงส่วนใหญ่ที่ดังก็เป็นเพลงที่มีเมโลดี้ทั้งหมด เราว่ามันเป็นความพิเศษของดนตรี อย่างเราได้ยิน ตึงตึ๊งตึ่ง ก็รู้แล้วว่ารถไอศกรีมมาแล้ว หรือ เวลาเราเดินห้างแล้วได้ยินเพลงที่ชอบ สมองเราก็ดึงเอาความทรงจำในวันที่เราเคยฟังเพลงนี้กลับมา มันเป็นอะไรที่พิเศษมากจริงๆ
2639 VIEWS |
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา
ที่ปรึกษาทีม happening shop, เจ้าของเพจเฟซบุ๊กและหนังสือ 'ญี่ปุ่นอุ่นอุ่น', นักเขียน ช่างภาพโฟโต้บุ๊ก 'Nagasaki Light' และไกด์บุ๊ก 'Kagawa Memories' นอกจากภาพถ่ายและงานเขียน สิ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษคือการนั่งสมาธิและการโปรยมุขไม่ขำ