บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกใน happening ฉบับที่ 29 เดือนกรกฎาคม 2552 เป็นการสัมภาษณ์เจ้าของเครือ Apex ผู้ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยปรากฏตัวในสื่อมากนัก ถือเป็นเกียรติของสื่อด้านศิลปะ-บันเทิงเล็กๆ อย่าง happening ในเวลานั้นที่ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่ผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในแวดวงภาพยนตร์ไทยมากว่าครึ่งศตวรรษ
ในวาระที่มีข่าวหนาหูว่าโรงภาพยนตร์ สกาลา ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์โรงสุดท้ายในเครือ Apex จะสิ้นสุดสัญญาและอาจต้องปิดกิจการลงในสิ้นปีนี้ ทีม happening ขอนำบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้มาเผยแพร่อีกครั้ง
เอ่ยชื่อ นันทา ตันสัจจา อาจไม่เป็นที่คุ้นหูของมวลชนมากนัก …แต่ถ้าบอกว่าเธอคือเจ้าของและผู้บริหารของโรงภาพยนตร์ในเครือ Apex อันประกอบไปด้วยโรงหนังใหญ่ 3 โรงในย่านสยามสแควร์อย่าง สยาม ลิโดและสกาลา เชื่อว่าชื่อนี้น่าจะสะดุดความสนใจของคอหนังตัวจริงอยู่ไม่น้อย
ตระกูลตันสัจจาประกอบธุรกิจโรงหนังมาตั้งแต่ยุคศาลาเฉลิมไทย (อีกกิจการหนึ่งของครอบครัวนี้ที่รู้จักกันดีคือสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง สวนนงนุช) ก่อนที่จะมาริเริ่มบุกเบิกโรงหนังที่ย่านสยามสแควร์ตั้งแต่ที่นี่ยังเป็นเพียงพื้นที่โล่งๆ เริ่มจากการเปิดโรงหนังสยามในปี พ.ศ. 2509 โดยเป็นโรงภาพยนตร์ 800 ที่นั่งแห่งแรกที่มีบันไดเลื่อนอยู่หน้าโรง ต่อด้วยโรงหนังลิโดที่มีขนาดที่นั่ง 1,000 ที่นั่ง ในปีพ.ศ. 2511 และสกาลา ในปีพ.ศ. 2512 ซึ่งก็มีขนาด 1,000 ที่นั่งและยังมีการออกแบบตกแต่งสวยงามอลังการ ซึ่งอัตราการเติบโตนี้เป็นการบอกถึงความรุ่งเรืองของธุรกิจภาพยนตร์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
จากวันนั้นถึงวันนี้ โรงภาพยนตร์ในเครือ Apex ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งภาพความทรงจำที่มีค่าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในบ้านเรา ทั้งการผ่านมรสุมในช่วงที่หนังต่างประเทศบอยคอตประเทศไทย ผ่านมรสุมการเมืองเมื่อโรงหนังสยามถูกม็อบเผาทำลาย และผ่านทั้งการปรับตัวเพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าและเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งที่มากขึ้น ทั้งการริเริ่มเอาหนังนอกกระแสมาฉายในโรงใหญ่จนกลายเป็นขวัญใจของคนรักหนัง พูดได้เต็มปากว่าโรงหนังทั้ง 3 โรงนี้เป็นโรงขนาดใหญ่ที่ยังคงยืนอยู่ได้ในธุรกิจอันดุเดือดนี้ได้ยาวนาน โดยยังมีอุดมการณ์ในการนำหนังคุณภาพมาให้คอหนังได้ชมอยู่เสมอๆ
นั่นคือเรื่องราวแบบย่นย่อของ Apex จากสายตาของคนภายนอก
ส่วนนับจากบรรทัดนี้ไป เป็นเรื่องราวจากสายตาของ นันทา ตันสัจจา ผู้ที่อยู่กับโรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรงนี้มาตั้งแต่วินาทีแรก

ชีวิตที่คลุกคลีกับโรงหนังมาตั้งแต่เกิดเป็นอย่างไรบ้าง? ก็โตมากับละครโรงหนังนี่นะคะ เพราะคุณพ่อ (พิสิฐ ตันสัจจา) ทำมาตั้งแต่สมัยเฉลิมไทย ตั้งแต่เฉลิมไทยเป็นโรงละคร แล้วก็กลับมาเป็นโรงหนัง เราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเรามาอยู่สยามสแควร์จนถึงปัจจุบัน เพราะว่ามันเกิดมาก็อยู่ในนี้เลย แล้วเราดูหนังสมัยก่อนไม่เหมือนเดี๋ยวนี้นะคะ ที่มีวิดีโอ มีวีซีดี มีหนังแผ่นมาให้ดู สมัยก่อนไม่มีนะคะ เราจะดูนี่ต้องรอหนังเลิกทุกรอบก่อน แล้วถึงจะฉายดูกันเองกันประมาณเที่ยงคืน แล้วฉายในโรงใหญ่ด้วย หอบผ้าห่อหอบหมอนไปนอนในโรงหนังแล้วดู หลับบ้างอะไรบ้าง เด็กๆ ก็หลับไปดูไปอย่างนี้ เพราะว่าคุณพ่อต้องเช็กหนังใช่ไหมคะ เราก็อยู่ดึก ๆ ดูกันอย่างนั้นแหละ
แสดงว่าคุณต้องดูหนังทุกเรื่องที่เข้าฉาย? ก็หนังสมัยก่อนมันไม่เยอะอย่างนี้ เมื่อก่อนเรื่องหนึ่งนี่ฉายเป็นเดือน อย่าง ขุมทองแม็คเคนน่า (Mackerna's Gold ค.ศ. 1969) เราฉายไป 9 เดือน แล้วยังกลับมาอีก คือดูจนไม่รู้จะดูอะไรแล้ว สมัยก่อนเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้บางที่ไม่ถึงอาทิตย์หายไปแล้วน่ะ ถ้าไม่รีบดูก็หายไปแล้ว
ทำโรงหนังที่สยามสแควร์ตั้งแต่แรกๆ นี่เป็นอย่างไรบ้าง? เราเป็นคนแรกที่อยู่นะคะ อยู่ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่าบ้าหรือเปล่าที่มาอยู่ที่นี่ (หัวเราะ) เขาถามพ่อเลยว่าคิดดีแล้วเหรอ? เพราะที่นี้ไม่มีอะไร มีรถเมล์อยู่ 2 สาย ไปสามย่านกับไปประตูน้ำ นานๆ มาคัน เพราะตอนนั้นยังไม่มีการก่อสร้างอะไรเลย นอกจากแบ่งที่เป็นล็อกๆ ยังไม่มีใครมา มีเรามาคนแรก ไฟรอบโรงนี้เราทำเองหมดเพื่อไม่ให้มันเปลี่ยว ตอนนั้นเวลาให้คนงานไปกินข้าวเขาหายไปเลย เพราะเขาต้องไปกินสามย่าน ประตูน้ำแถวนี้ไม่มีอะไรกินเลย ตอนเรามาอยู่นี่แถวนี้ยังมีหัวสวมอยู่เยอะเลย เพราะว่ามีบ้านที่อยู่เก่าๆ เขาย้ายไปแล้วทิ้งพวกนี้ไว้ ฝั่งตรงข้ามก็คือสวน แล้วก็กลายเป็นโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเน็นตัล ตอนนั้นเราก็ค่อยๆทำ จากโรงหนังสยามแล้วก็ต่อไปที่ลิโด แล้วก็ต่อมาสกาลา ที่สยามเราเปิดด้วยเรื่อง รถถังประจัญบาน (Battle of the Bulge- สร้างปีพ.ศ. 2508) เวลาดูในโรงมันกระหึ่มมาก โรงแทบพัง หรืออย่างตอนที่ฉายเรื่อง The Omen อาถรรพ์หมายเลข 6 (สร้างปีพ.ศ. 2519) คุณเชื่อไหม เรานี่อยู่ห้องตั๋วเลยนะ แล้วเราฉายรอบพิเศษตอนเที่ยงคืน คนมารุมห้องตั๋วแตกกระจายหมดเลย ตอนนั้นต้องมีตำรวจตัวใหญ่อยู่ข้างบนเรา คอยคร่อมไว้ (หัวเราะ) เพราะกระจกมันแตกหมดเลย คนรุมกันขนาดนั้น โรงที่เปิดแล้วไม่พอ เลยเปิดโรงหนังสกาลาอีกโรง เปิดมันที่ละโรงๆ แล้วมันก็พังทีละโรง (หัวเราะ)
ตอนที่เปิดโรงหนังสยามคุณอายุเท่าไหร่? นี่หลอกถามอายุเราหรือเปล่า (หัวเราะ) จริงๆก็ 20 หน่อยๆ แต่ทำทุกอย่างนะคะ เวลาที่เขามีเรื่องนี้เราอยู่กับเขา อย่างที่คนมารุมห้องตั๋วจนพัง เราก็ไม่ได้ไปแอบแล้วให้คนงานมาดูแล แต่เรายืนอยู่กับเขา ไม่ว่ามีเรื่องอยู่ที่ไหน เราจะยืนอยู่ที่นั่น ตอนดารา โซฟี มาโซ มาเมืองไทยแล้วมาที่โรงเราก็เหมือนกัน พังตรงนู้น พังตรงนี้ ประตูนี้พัง ประตูนั้นพัง สมัยก่อนนี่ดารามันดังจริงๆ นะ คือมองย้อนกลับไป มันก็สนุกนะคะ
รู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องรับหน้าที่บริหารโรงหนังต่อจากคุณพ่อใช่ไหม? เราก็มีน้องนะคะ แต่พอดีคุณพ่อเสียเร็ว คือท่านเสียตอนอายุ 48 เอง ในขณะนั้นน้องๆ ก็ยังเรียนหนังสืออยู่ เราคนใกล้ตัว ก็ถูกลากมานั่งทำก่อนแล้ว (หัวเราะ) รอจนเขาจบก็กลับมาช่วยกันทำ จริงๆ ตอนทำตอนแรกๆ นี่คุณพ่อยังอยู่ เราก็เหมือนกับเป็นเด็กแถวออฟฟิศ คือเรียนจบวันนี้ รุ่งขึ้นลงมานั่งในออฟฟิศเลย 9 โมงเช้า ถ้าไม่อยู่ที่โต๊ะนี่เสร็จแล้วไม่ได้แล้ว แล้วเวลาคุณพ่อสอนลูกนี่ไม่ใช่สอนแบบให้ลงมือทำเลย เราต้องทำตั้งแต่งานกวาดโรงหนัง เขาก็สอนว่ากวาดยังไงให้เสร็จภายใน 40 นาที เพราะสมัยก่อนโรงหนังมันใหญ่ อย่างสกาลานี่ถือว่าโรงเล็กนะคะ โรงหนังสมัยก่อนนี้ 1,500-1400 ที่ แล้วมี 2 ชั้นด้วย เพราะฉะนั้นพ่อบอกว่าถ้าเราไม่รู้วิธีกวาดเป็นยังไง เราจะไปดุเด็กได้ยังไง อย่างคุณโต้ง (กัมพล ตันสัจจา-น้องชาย) ก็โดนเหมือนกัน ไปอยู่ห้องเครื่องบ้าง ห้องฉายบ้าง คือพ่อสอนลูกมาให้ทำงานเหมือนพนักงานคนหนึ่ง แล้วจะต้องรู้ตั้งแต่ต้น เพื่อที่เราจะรู้ว่าการทำโรงหนังมันเป็นยังไง แต่เผอิญเราเกิดมาก็เห็นแล้ว วิ่งไปคุยกับคนนั้น วิ่งไปกับพนักงานคนนี้บ้าง ขายตั๋วเป็นยังไง เราเป็นผู้หญิงเราก็เบาหน่อย กวาดโรงเสร็จก็ขายตั๋ว ขายตั๋วเสร็จขายน้ำ ต้องทำทั้งนั้น คุณพ่อไม่ปล่อยให้นั่งโต๊ะแล้วเป็นนาย
ตอนที่มาเริ่มต้นเป็นผู้บริหารนี่มีความยากเย็นอย่างไรบ้างไหม?
เราเริ่มต้นจากเด็กที่สุดในออฟฟิศนะคะ สตาฟฟ์ของคุณพ่อก็ไม่ค่อยจะเชื่อหน้าเราเท่าไหร่ (หัวเราะ) เพราะเรายังเด็กอยู่ ก็เพิ่งจะสัก 20 นิดๆ จบจากจุฬาฯ มาก็นั่งอยู่ตรงนี้ เราก็เลยไปหาคนตัดเสื้อบอกเขาว่า 'ตัดเสื้อชุดแก่สุด' (หัวเราะ) ต้องแต่งให้มันแบบภูมิฐานหน่อย คนเขาจะได้เชื่อเรา อยู่ไปอยู่มาเดี๋ยวนี้ เราก็ไปบอกช่างเหมือนกัน แต่บอกว่า 'ขอชุดเด็กๆ หน่อย' (หัวเราะ) เพราะว่าแก่งั่กอยู่คนเดียวแล้ว (หัวเราะ)
ช่วงนั้นคุณดูแลกิจการอะไรบ้าง?
สมัยก่อนนี่เยอะกว่านี้นะคะ สมัยก่อนเรามีเฉลิมไทย แล้วเราก็มามี 3 โรงที่สยามสแควร์ เริ่มมาจากสยาม ลิโด สกาลา เรายังมีอินทรา ซึ่งมีระบำที่ต่อมาเป็นคณะอินทรดารา ตอนนั้นการแสดงที่นี่มีเปลี่ยนทุก 3-4 เดือน ซึ่งต้องมีการฝึกซ้อม แล้วเด็กที่มาอยู่ก็เป็นร้อย คือต้องคุมคนพวกนี้ด้วย แล้วมันเป็นเวลาเดียวกับที่คุณพ่อเสียด้วย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ทีนี้เราเดินตามพ่อมาตั้งแต่เด็ก เดินตามไปว่าเขาทำอะไร อยากรู้อยากเห็นไปหมด พอเรามารับงานเข้าจริงๆ งานบางอย่างมันเหมือนรูทีนไปแล้ว ผู้ร่วมงานของคุณพ่อแต่ละคนก็รับส่วนเหล่านั้นไปได้ แต่ที่สุดแล้วตอนนั้นเราก็ไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องเลิกที่อินทราไป เพราะว่าอย่างระบำต้องคุมเด็กวัยรุ่นเป็นร้อย งานที่โรงหนังนี่ทุกวันก็กลับบ้านเที่ยงคืน แล้ว 9 โมงต้องอยู่ที่โต๊ะ เป็นอย่างนี้ทุกวันๆ ไม่มีวันหยุด

ตอนที่รัฐบาลขึ้นภาษีหนังต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีผลกระทบอะไรกับคุณบ้าง?
ตอนนั้นพวกสมาคมหนังของอเมริกาเขาบอยคอตไม่ส่งหนังเข้ามาฉายเลย แล้วทำไง เราก็ต้องไปซื้อหนังไทยมาฉายบ้าง พอเอาหนังไทยมาฉาย เจ้าของหนังท่านก็บอกว่าวันนี้ฉันไม่ฉาย ฉันจะฉายวันโน้น ฉันไม่พร้อมที่จะฉาย แล้วทำยังไงกับโรงหนังของเราล่ะ เราก็เลยไปทำหนังเองเลย (หัวเราะ) ก็สนุกนะคะ เราทำ รักเอย (พ.ศ. 2521) คุณสุชาติ วุฒิชัย (ฝ่ายครีเอทีฟประจำเครือ Apex) ทำหนังเรื่อง น้ำค้างหยดเดียว (พ.ศ. 2521) คือรวมแล้วเราทำหนังไป 17 เรื่อง ในช่วงที่เขาไม่ได้ส่งหนังเข้ามา พอเลิกบอยคอตกันเราก็เลิกทำ (หัวเราะ) เพราะไม่มีความจำเป็นแล้วที่จะต้องทำ แต่ตอนนั้นหนังเราก็ประสบความสำเร็จพอสมควรนะคะ
จำได้ว่าหนังเรื่อง รักเอย เป็นหนังเพลงด้วยทำไมต้องทำหนังเพลง?
ก็มันแปลกดีไง ตอนนั้นไม่มีใครทำนะ ถ้าเดี๋ยวนี้ทำก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมิวสิกวิดีโอเต็มไปหมด
ช่วงเวลาที่ค่ายหนังต่างประเทศบอยคอตนี่กินเวลานานแค่ไหน?
นานเหมือนกันนะคะ เกือบ 3 ปีได้ เพราะว่าช่วงนั้น เราไม่อยู่บ้านเลย ออกไปถ่ายหนังข้างนอกตลอด ถ่ายบนเขาแถวเชียงใหม่ ตอนนั้นเที่ยวสนุกมากเลยนะ เหมือนเรามาเที่ยวเลย ขึ้นไปบนภูเขา พอตกกลางคืน เราฐานะผู้นำก็ไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน เขาก็เลี้ยงเหล้า กินก็ไม่เป็น แต่กินก็กิน โห มันวูบลงข้างล่าง ขึ้นข้างบน (หัวเราะ) แล้วบางบ้านที่ต่างจังหวัดเขาเล่นไพ่กัน เราก็เล่นไม่เป็นอีก ทำไงดี ก็ขนเงินไปวางไว้หน้าตัก แล้วเราก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่มันจะหมดสักที จะได้ขอไปนอน (หัวเราะ) ไปเป็นหมูให้เขาทุกวัน แต่สนุกมากเลย แต่พอเขามีอะไรก็จะบอกเรา มีตรงโน้นดี ตรงนั้นดี เราก็วิ่งไปดู แต่การถ่ายหนังของเราเป็นการถ่ายที่มีระเบียบนะ มีสคริปต์ล่วงหน้าแบบฝรั่งเลย สมัยก่อนเราเป็นคนแรกที่ทำ มีสคริปต์เป็นเล่มให้ดาราดูหมด ว่านี่คือบทของคุณๆ หนังเรื่อง รักเอย ถ่ายแค่ 14 วัน แต่ทำงานมาก่อนไม่รู้กี่เดือนนะคะ ก็จะมีหน่วยเคลียร์ทำความสะอาดตามหลังตลอด เพราะฉะนั้นไม่มีใครด่าเราเลย
ทำไมต้องทำงานเป็นมืออาชีพขนาดนั้น ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่เคยทำหนังมาก่อน?
มันก็ควรเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ (ยิ้ม)
ที่ทำเองเรื่องไหนประสบความสำเร็จมากที่สุด?
รักเอย มั้งคะ มนต์รักอสูร (พ.ศ. 2521) ก็ดี คือมันประสบความสำเร็จหลายเรื่อง ก็เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น พวกคุณคงยังไม่ได้ดู เพราะยังไม่ทันเกิด (หัวเราะ) แต่เราสนุกไปก่อนคุณแล้ว สนุกมากเลย แต่สมัยก่อนสนุกมากนะคะทำหนังก็สนุก ทำอะไรก็สนุก คือเราพยายามทำทุกอย่างให้สนุกหมด แล้วจริงๆ เราอยู่ในสยามสแควร์นี่ เราก็อยู่ในความสนุกของวัยรุ่นตลอดเวลาอยู่แล้ว
ช่วงที่โรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์เข้ามามีบทบาท คุณได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง?
พูดถึงมัลติเพล็กซ์นี่ คนทำมัลติเพล็กซ์คนแรกนี่คือเรา เพราะสยามสแควร์มันมีอยู่ 5 โรง ก่อนที่มันจะเป็น 5 โรง ก็เป็น 3 โรงมาก่อน มันก็คือมัลติเพล็กซ์แล้ว เราก็ใช้คำว่ามัลติเพล็กซ์มาก่อนด้วย ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก เลยว่ามัลติเพล็กซ์คืออะไร แต่โอเคหลังจากนั้นแล้วมันก็มีศูนย์การค้าเกิดขึ้น ก็มีโรงหนังเล็กๆ ออกมามากขึ้นๆ ก็ต้องแบ่งส่วนการตลาดกันไป แต่สำหรับเราที่เกิดมากับโรงหนัง จนมันเหมือนอยู่ในสายเลือดแล้ว มันก็ยังสนุกอยู่ ก็ทำไปเรื่อยๆ ถึงจะอายุเยอะก็ทำไปเรื่อยๆ แต่ก็คงไม่ขยายมาก คงไม่เป็นมหาชนอย่างคนอื่น
ทำไมคุณถึงไม่อยากเป็นมหาชน?
เราทำแค่นี้พอแล้วล่ะ เพราะเราแค่อยากทำให้คนดูมีความสุขในการมาดูหนัง แล้วมีหนังที่มีอะไรดีๆ กลับไปให้เขา ใช่ การทำการค้าก็ต้องคิดถึงตัวเงิน แต่จริงๆ แล้วในตัวเงิน มันก็จะต้องมีคุณธรรมด้วย เพราะหนังบางเรื่องยังคุยกับคุณสุชาติว่า 'เรื่องนี้ได้เงินแน่ ๆ แต่ว่าอย่าฉายเลย เพราะว่าศีลธรรมเสื่อม' ไอ้หนังพวกนี้เราปฏิเสธหมด เพราะฉะนั้นตอนนี้เราถึงมีหนังทางเลือกเพราะเราหลบมาจากหนังเมนสตรีม ที่ตอนนี้ทุกคนฉายเรื่องเดียวกันหมด ใครอยู่ตรงไหนใกล้ก็เข้าไปดูตรงนั้นก็แล้วกัน แต่ที่นี่เรามีหนังที่ที่อื่นไม่มี มันอาจจะมองดูเหมือนเป็นหนังเล็ก แต่หนังเหล่านี้เป็นหนังที่มีคุณค่า เป็นหนังที่ได้รางวัลมาแล้ว ซึ่งบางครั้งเราฉายซาวนด์แทร็กเลยด้วยซ้ำ เราเริ่มจากการฉายหนังอิหร่าน Children of Heaven (สร้างปี พ.ศ. 2540) เมื่อ 8-9 ปีก่อน จนตอนนี้ลูกค้าเราอาจจะไม่ตูมตามหวือหวา แต่เราก็มีแฟนคลับ ถึงจะจำนวนไม่มาก แต่เรามีความรู้สึกว่าเราก็ให้สิ่งดีๆ กับคนดู แล้วคนดูก็เหมือนกับครอบครัวของเราเหมือนกัน เพราะว่ามาเอนจอยในสิ่งเดียวกัน
ถามตรงๆ ว่าปัจจุบันสถานการณ์ของโรงหนังขนาดใหญ่เป็นอย่างไร?
คนก็น้อยลงเยอะ เพราะมาร์เก็ตแชร์มันเยอะมากเรา ก็ไม่รู้นะ ว่าเรามีความคิดโบราณหรือเปล่า แต่เรามีความรู้สึกว่าเราชอบโรงใหญ่ อย่างคุณถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของการดูหนัง ถ้าหนังเรื่องเดียวกันถ้าฉายสกาลานี่ มาดูเถอะ คุณจะได้ทั้งซาวนด์ทั้งอะไร แต่เราอาจจะโฆษณาน้อยไปหน่อยมั้ง จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้น้อยหน้าคนอื่น เราอาจจะไม่ได้บอกใคร เพราะว่าจริงๆ เราก็นำเขามาอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละ พอเราทำระบบเสียงอะไรเสร็จแล้วขึ้นป้ายปุ๊บ คนอื่นก็เอาตามเลยนะ
แสดงว่าที่นี่ก็มีการปรับปรุงระบบตลอดเวลา?
เราทำของเราอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่าเราอยากจะให้อะไรกับคนดู ไม่ใช่ว่าจะเอาตังค์คุณอย่างเดียว แล้วราคาตั๋วเราก็ไม่ได้แพงมาก เพราะว่าอยากให้เด็กนักเรียนได้ดู แต่ก็แปลกนะ เด็กๆ กลับชอบดูแพงๆ ไม่รู้เขาเอาตังค์จากไหนมา หรือความคิดเราอาจจะผิดที่ทำให้ราคาถูกหน่อย สมมติเดือนหนึ่งเขาได้ดูเรื่องเดียวถ้าไปดูแพงๆ แต่เราอยากให้แบ่งเงินให้มันดูได้ 2 เรื่องก็ยังดี แต่ไม่ค่อยเวิร์กมั้ง เด็กสมัยนี้รวย (หัวเราะ)
การบริหารยุคก่อนนี้กับในยุคปัจจุบันแตกต่างกันในแง่ไหนบ้าง?
สมัยนี้เรามีเครื่องทุ่นแรงเข้ามา ก็ทำให้เราทำอะไรได้เร็วขึ้น อย่างสมัยก่อนเราแมนนวล (Manual) หมด แต่เราก็ยังรักษาเอกลักษณ์อันนี้ไว้ คุณจะเห็นว่าสกาลาเราไม่ยอมเปลี่ยนเลยนะ จริงๆ เราเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ แต่มีความรู้สึกว่าไม่อยากเปลี่ยน อยากเก็บเอาไว้อย่างนี้ อย่างเรื่องตั๋ว เมื่อก่อนเป็นกระดาษยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ แล้วคุณรู้ไหม มันเร็วนะ แทนที่คุณจะมานั่งคีย์ นี่เขียน ๆ แล้วไปเลย แล้วคนพวกนี้เห็นเขาตอกบัตรติ๊กๆ แล้วไปเลยนะ คนพวกนี้ไม่พลาดด้วย แล้วจริงๆตอนนี้คนดูเราน้อย มันเลยไปได้อย่างนี้
สังเกตว่าที่นี่มีพนักงานสูงอายุหลายคน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เขาให้เรามาทั้งชีวิตนะ มีบางคนเขาอายุมากก็จริง แต่เขายังหัดคอมพิวเตอร์ คือทุกคนพยายามใช้ชีวิตของเขา ใช้จิตใจของเขา ทุ่มลงไปให้เราเห็น เรายืนดูแล้วเราเห็นเลยว่า เขาให้เราจริงๆ เขาพยายามจริงๆ เราไปบอกเขาว่า "อยู่บ้านเถอะ เป็นห่วง เวลามานั่งรถเมล์เดี่ยวแย่" เขาก็บอก "ไม่เอา ขอทำงาน" เราจะให้เขาทำงานอาทิตย์ละ 2-3 วัน ก็ไม่เอาอีก แล้วผลสุดท้ายคือเขามีลูกสาวทำงานอยู่ด้วย ปรากฏว่าตอนบ่ายต้องให้ลูกสาวจูงพ่อกลับบ้าน ขืนบอกว่าให้อยู่บ้านนี่ไม่ได้เลยนะเพราะชีวิตเขาต้องมา ต้องอยู่กับโรงหนัง เพราะตื่นมาเขาอยากมาโรงหนัง เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ตอนนี้มีพนักงานทั้งหมดกี่คน?
ตอนนี้น้อยลงไปเยอะนะ เพราะเรามีอยู่ไม่มาก รวมๆ ก็โรงละ 20 กว่าคนมั่ง เราก็ยังถือว่าใช้คนเยอะ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายเราเยอะ จริงๆ ก็ทำไม่คุ้มเหนื่อยนะตอนนี้ แต่ว่าก็ยังทำด้วยใจรัก

ชุดพนักงานของโรงภาพยนตร์สกาลา
ในฐานะเจ้าของโรงหนัง มีหนังเรื่องไหนที่รู้สึกภูมิใจมากๆ ที่ได้ฉายถึงแม้จะไม่ได้เงินเยอะ?
ก็ An Inconvenient Truth (สร้างปีพ.ศ. 2549) เพราะเราได้ให้อะไรกับสังคมเลยนะ หรืออย่าง Slumdog Millionaire (สร้างปีพ.ศ. 2551) ก็ภูมิใจตรงที่เราเลือกมาก่อนเลย พอเขาได้รางวัลออสการ์เราก็ดีใจ ก็แสดงว่าโอเคมีมุมมองอะไรที่เราไปทางเดียวกันในเรื่องหนังคุณภาพนะคะ อะไรอย่างนี้นะคะ
แต่ก็มีหนังในกระแสมาฉายในเครือ Apex อยู่บ้าง อยากรู้ว่ามีการจัดโปรแกรมอย่างไร ว่าช่วงไหนจะเอาหนังแมสฉาย หรือหนังนอกกระแสมาฉาย?
ก็แล้วแต่จังหวะนะคะ หนังแมสนี่เขาก็จะมีจังหวะของเขา คือบางครั้งเราอยากจะฉายจะตายแต่ไม่มีโรงฉาย เพราะเรามีหนังทางเลือกของเราฉายอยู่แล้ว ทีนี้เราก็ต้องเลือกของเราด้วย แล้วบางทีเขาออกหนังฟอร์มใหญ่มาหลายๆ เรื่อง เราก็ต้องเลือกเอาว่าจะฉายเรื่องอะไรแล้วแต่จังหวะตอนนั้น
ตอนนี้กลุ่มคนที่มาดูหนังที่โรงของคุณที่เห็นว่ามาบ่อยๆ คือกลุ่มคนประมาณไหน?
คืออย่างนี้ไงคะ (ชี้มาที่ผู้สัมภาษณ์) คือไม่ใช่วัยรุ่นจนเกินไป คือรุ่นที่ทำงานแล้ว เขาเป็นคนที่เป็นคอหนังจริงๆส่วนมากแฟนเราเป็นคอหนัง แต่แฟนๆ ที่น่ารักเขาจะมาบอกเราด้วยว่า ไอ้นั่นดี ไอ้นี่ไม่ดี มีอย่างนั้นสิ เหมือนกับเป็นบ้านเดียวกัน อยากดูอะไรก็มาบอก เคยมีคนมาเคาะประตูเรียกหาคุณสุชาติบอกให้เอาหนังเรื่องนี้ๆ มาฉาย (หัวเราะ) คืออยู่ที่นี่มันก็มีความสุขดีนะ มีความน่ารักของแฟนหนังเรา ซึ่งอาจจะเป็นหน้าเก่าๆ เหมือนเราเป็นเพื่อนกันแล้ว มันคนบ้านเดียวกันแล้วเลยเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยเป็นธุรกิจเท่าไหร่ (หัวเราะ)
มีการจัดเทศกาลหนังอย่างพวก Little Big Film Project ที่ทำร่วมกับสหมงคลฟิล์มอยู่เสมอๆ ด้วย มีความตั้งใจอะไรกับโปรเจกต์นี้?
ตอนที่เราจัดฟิล์มเฟสติวัลหรือหนังที่เรารวมกลุ่มเป็น Love Story บ้าง อะไรบ้าง หรือช่วงออสการ์ เราก็พยายามจับกลุ่มหนังอันนี้มาให้ดู คือเราก็พยายามแค่ให้มีรวมแพ็กเกจอันนี้ ๆ ออกมา เหมือนให้ภาพของเอเพ็กซ์ชัดขึ้นว่าเป็นโรงที่ฉายหนังทางเลือกที่มีคุณภาพ เราพยายามให้เป็นอย่างนั้น คนที่จะตัดสินคือพวกคุณนี่แหละว่าเราทำสำเร็จไหม (ยิ้ม)
หลาย ๆ ครั้งที่โรงของเอเพ็กซ์มีงานแบบเรียกว่าทำบุญด้วย อย่างตอนฉายหนังเรื่อง เด็กโต๋?
เด็กโต๋ (สร้างปี พ.ศ. 2548) นี่เราภูมิใจนะ เพราะว่าหลังจากจบไปแล้วนี่ คนเขาจะเอาตุ๊กตาให้น้องนะ ก็โอ้โห ได้มาเป็นกองเลย แล้วคุณป๊อป (อารียา สิริโสดา) กับคุณนก (นิสา คงศรี) ก็เอารถบัสมารับเลย พนักงานเราก็ตามไปดูโรงเรียนด้วย (โรงเรียนแม่ใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่) เขาก็ได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น จาก 8 บาท ขึ้นไป 12 บาทต่อวัน ซึ่ง 4 บาทนี่มีความหมายมากสำหรับเด็กต่างจังหวัด แล้วมันก็จุดประกายให้คนหันไปสนใจเขา แล้วเขาก็ยังทำต่อเนื่องอยู่ แล้วต่อมาคุณนกกับคุณป๊อปเขาก็ทำ ปักษ์ใต้บ้านเรา (สร้างปี พ.ศ. 2551) มาฉายกับเราอีก นอกจากนี้เรายังเคยให้ฉายหนังสั้น ละครเวที อย่างเมื่อปีก่อนเราก็เป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลละครกรุงเทพฯ ด้วย หรือล่าสุดก็คือคอนเสิร์ตเพื่อคนหูหนวก (Love is Hear) คือเรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราสามารถช่วยเด็กที่เรียนทางนี้นะคะ ให้เขามีเวทีแสดงออก ใครจะไปรู้ วันหนึ่งเขาอาจจะเป็นบิ๊กไดเร็กเตอร์ เป็นบิ๊กโปรดิวเซอร์ก็ได้ คือเราเองก็พยายามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้นะคะ เหมือนการทำบุญชนิดหนึ่ง แต่มาทำบุญในแนวของเรา หมายความว่าทำได้ในอาชีพของเราด้วย แต่เราคงทำไม่ได้มาก ไม่เหมือนเกาหลีเขาที่รัฐบาลเขาซัพพอร์ตเลย แล้วดูสิว่าบ้านเขาประสบความสำเร็จแค่ไหน
มีข้อสังเกตว่าโรงหนังในเครือเอเพ็กซ์ดูจะมีการประชาสัมพันธ์น้อย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
งบน้อยไงคะ แต่ก็มีนะคะ แต่ไม่ได้โฆษณาออกไปมากมาย อย่างที่เป็นเมนสตรีมนี่เขาลงที่เดียวเขาได้หมด แต่เราเป็นหนังทางเลือก หนังเรื่องเดียว ก๊อบปี้เดียว แล้วไปลงอย่างเขาก็หมดน่ะสิ มันก็ไม่เหลือแล้วจะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อหนังอื่นมาฉายล่ะ (หัวเราะ) เราก็ทำเท่าที่ทำได้ แต่ว่าถ้าบอกว่าไม่มีเลยนี่ไม่จริง มันก็มี แต่เราไม่ได้ทำอะไรหวือหวาเท่านั้นเอง อย่างน้อยเราก็มีลงในไทยรัฐทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

คนดูหนังสมัยนี้กับสมัยก่อนต่างกันเยอะไหม?
สมัยนี้กับสมัยก่อน ต่างกัน รสนิยมในการดูก็ต่าง ไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราวมีสาระมากกว่าเดี๋ยวนี้ นี่คือในความรู้สึกเรานะคะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะคุณจะตอบเราได้ดีกว่า แต่เรารู้สึกว่ารสนิยมของผู้ดูเปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะคนดูหนังจะเป็นวัยรุ่นส่วนใหญ่มั่ง แต่หนังสมัยก่อนรู้สึกคอนเซอร์เวทีฟกว่านี้นะคะ เหมือนเพลงสมัยก่อนกับเพลงสมัยนี้ มันคนละเรื่องเลยนะ เพลงสมัยก่อนถ้อยคำสัมผัสมันกินใจเข้าไปแล้วบอกไม่ถูก แต่สมัยนี้มันเป็นอะไรที่บ่นแล้วเป็นเพลงได้ (หัวเราะ) เพลงสมัยก่อนมันมีทั้งสัมผัสนอกสัมผัสใน แล้วคำที่ออกมานี่ ทำไมเขาคิดได้ก็ไม่รู้ สมัยนี้ไทยปนอังกฤษ 'Wait a minute Wait a minute...' (หัวเราะ) ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่าเพลงพวกนี้มันไม่อยู่นาน หนังก็เหมือนกัน หนังสมัยใหม่มันไม่อยู่นาน แต่คุณซื้อดีวีดีมาดูหนังเก่า ของเก่านี่เอเวอร์กรีน (Evergreen) มันมีอะไรลึก อย่างเราทำหนังเมื่อก่อนนี้ เวลาอัดเพลงต้องเล่นทั้งวงพร้อมกันเสียงหนึ่งเล่นผิดต้องเอาใหม่ทั้งหมด สมัยนี้คุณว่างเมื่อไหร่ก็เข้าไปเล่นสิ อารมณ์ร่วมไม่มี แต่สมัยก่อนมันเข้าห้องอัดเสียงเล่นกันทั้งวันทั้งคืนเลยนะ วันนี้ไม่ดีพรุ่งนี้เอาใหม่ เสน่ห์มันคือใจของทุกคนที่ลงไปตรงนั้น รวมกันเป็นเพลงออกมา ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ คุณเข้าไปคุณก็ร้องๆ ฟังคนอื่นแล้วก็ร้องๆ คุณก็มีอารมณ์หนึ่ง แต่อาจจะเป็นอารมณ์คนละอย่างกันก็ได้ แต่มันก็เพราะนะ ไม่ใช่ว่าไม่เพราะ เพียงแต่มันเป็นสมัยใหม่ไปแล้ว เราอาจจะเป็นคนโบราณที่จะชอบเสน่ห์ของการเอาหัวใจออกมาทำร่วมกัน เราคงเป็นศิลปินไปหน่อยมั้ง (หัวเราะ)
ความสุขของเจ้าของโรงหนังคืออะไร?
โอ๊ย ก็เห็นคนมาดูเยอะๆ สิคะ (หัวเราะ) เห็นคนมาดูแล้วเขาแฮปปี้กลับไป แต่มีบางเรื่องนะที่คนร้องไห้กลับไป แต่เราก็แฮปปี้ เขาร้องไห้เพราะเขาอินกับหนังมากเลย ก็รู้ว่าเขาชอบแล้วถึงขนาดร้องไห้ออกมาเลยก็มี
ทุกวันนี้คุณยังดูหนังในโรงของตัวเองอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า?
ก็ดู ดูโรงของเรานี่แหละ ไม่ไปไหนหรอก เพราะชอบเสียงชอบอะไรตรงนี้ แต่ไม่ชอบตรงคนดูมันน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง (หัวเราะ)