ชีวิตที่มีมากกว่าเปียโนของ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร

    เมื่อพูดถึง โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ภาพหนุ่มนักดนตรีหน้าหวาน พร้อมกับเสียงเปียโนบรรเลงอันไพเราะก็ลอยเข้ามาในหัว หากใครติดตามนักดนตรีหนุ่มคนนี้มาตั้งแต่ซิงเกิล 'รักเธอ' หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินคนนี้คือความสามารถในการเล่นเปียโนที่โดดเด่น จนกลายเป็นหนึ่งในไอดอลด้านดนตรีสำหรับใครหลายๆ คน

    เราเห็นโต๋นั่งอยู่หลังเปียโนทุกครั้งที่ร้องเพลง ถ่ายรูป ขึ้นคอนเสิร์ต หรือแม้กระทั่งให้สัมภาษณ์ เพราะหัดเล่นเปียโนมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และเริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่เข้าวงการ ทุกเพลงของเขาจึงมักจะเริ่มจากการแต่งทำนองจากเปียโน นับตั้งแต่เพลงแรกที่ถูกปล่อยออกมาให้เราได้ฟัง เราจะได้ยินเสียงเครื่องดนตรีหลักคือเปียโนอยู่เสมอ

    มาวันนี้เข้าสู่ปีที่ 16 ที่โต๋ยืนระยะในวงการดนตรี และประสบความสำเร็จในการทำเพลงที่ไม่ได้มีแค่เปียโนหรือจังหวะเพลงช้า เป็นจุดที่ทำให้เขาออกมาจากข้อจำกัดเดิมของตัวเอง รวมถึงการออกมาทำอะไรใหม่ๆ เช่น การเต้น เล่นละคร หรือออกรายการต่างๆ ซึ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงมากขึ้น คล้ายได้กลับไปเป็นศิลปินหน้าใหม่อีกครั้ง

    "คือเมื่อก่อนเราเป็นนักเปียโน เป็นนักดนตรี เราจะเน้นตรงนี้มากเวลาเล่นโชว์หรือเล่นคอนเสิร์ตต่างๆ เพราะรู้สึกว่าเราเป็นนักเปียโน แต่งเพลงก็จะอยู่กับเปียโนมาตลอด แต่พอเราหลุดออกมาจากกรอบที่เราคิดว่า เฮ้ย จริงๆ แล้วเราคืออาร์ติสต์ เราคือศิลปินที่ต้องอยู่ให้ได้ทั้งตอนที่มีเปียโน และไม่มีเปียโน เดินออกมาร้อง ต้องอยู่ให้ได้ ต้องเต้นเหรอ ก็ต้องอยู่ให้ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ได้โดยที่มีและไม่มีมัน พอเราหลุดออกมาจากเซฟตี้โซนของเราปุ๊บ คราวนี้มันก็เลยเริ่มไปแต่งอะไรก็ได้แล้ว ตอนนี้เราสามารถแต่งโดยที่ไม่มีเปียโน บางเพลงก็แต่งกีตาร์ ผมว่ามันเป็นการปรับความคิดในตัวด้วย มันไม่ใช่เฉพาะการทำเพลงนะ ในฐานะศิลปินของเราที่อยู่ข้างหน้าด้วย"

    จากนักดนตรีขี้อายที่สร้างสรรค์ผลงานเพลงอยู่หลังเปียโน และเขียนเพลงที่ล้วนเป็นแนวรักหวานซึ้ง เขาเติบโตขึ้นและก้าวออกมาจากกรอบที่ตัวเองเคยตั้งไว้ เราได้ฟังเพลงจังหวะเร็วและสนุก เพลงที่มีเครื่องดนตรีชิ้นอื่นเป็นดนตรีหลัก กระทั่งเพลงที่มีท่อนแร็ปมาแทรกไว้กลางเพลง และที่สำคัญ เราเห็นโต๋ในมุมที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ซึ่งเขาเองก็มีความสุขกับการได้ลุกขึ้นมาจากเปียโนเพื่อมาทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ และค้นพบความสามารถใหม่ๆ ของตัวเองทั้งในด้านดนตรี และด้านอื่นๆ ในวงการบันเทิง

    หลังจากที่โต๋เติบโตขึ้น ในช่วงยุคหลังๆ เพลงของเขาจึงฉีกออกไปจากแนวเพลงเดิมบ้าง ซึ่งแต่ละเพลงก็มีที่มา แรงบันดาลใจ และวิธีการแต่งเพลงที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจึงชวนโต๋มาพูดคุยถึงเบื้องหลังการแต่งเพลงของ 5 เพลงฮิตที่เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางสายดนตรี และเป็นอีกหนึ่งบุ๊กมาร์กใหญ่ในชีวิตของศิลปินหนุ่มคนนี้

เขตห้ามหวง

    เพลงนี้เกิดขึ้นจากการเจอเพื่อน 4 คนครับ แล้วเราก็คุยกันนานเลยกว่าจะได้เริ่มแต่ง คุยกันแบบ อัพเดตชีวิตกัน เป็นไงบ้าง มันคือการแฮงเอาต์เลย ที่มามันคือ สมัยนี้คนชอบดู ชอบส่องไอจี ส่องไปแล้วก็ดูแบบ ไม่รู้จักเขาเลย คนนี้ก็ไม่รู้จักเรานะ แต่ดูเขาทุกวัน แล้วเวลาเขาโพสต์รูปแล้วมีผู้ชายก็ต้องซูมดู แล้วก็ เฮ้ย! นี่มันแฟนเขาหรือเปล่าวะ ขออย่าให้ใช่เลย ไม่ชอบ ไม่เอาๆๆ อะไรอย่างนี้ คือพูดขึ้นมาก็หัวเราะกัน เพราะรู้สึกว่า มึงมีสิทธิ์อะไรไปหวงเขาวะ ไม่มี อยู่ดีๆ ไปเปิดไอจีแล้วไปหวงเขาทำไม เรารู้สึกตลกดี มันก็เลยเป็นประโยค 'ฉันไม่รู้ฉันหวงเธอทำไม' ขึ้นมา น้องข้าว วง fellow fellow (ปณิธิ เลิศอุดมธนา) เป็นคนร้องขึ้นมา เฮ้ยอันนี้ดี ก็เลยจบเลย แล้วช่วยกันแต่ง 4 คน แต่งไปหัวเราะไปเรื่อยๆ จนเป็นเพลงนี้ขึ้นมา

อยู่ในใจฉัน เพลงประกอบละคร นางสาวไม่จำกัดนามสกุล

    เพลงนี้คือขึ้นมาแล้วรู้เลยว่าต้องโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ แน่ๆ เพราะว่าเพลงนี้เป็นตัวเราที่ทุกคนรู้จัก เป็นเพลงรักกับเปียโนที่ขึ้นมาแล้วรู้เลยว่าใคร ผมดีใจที่ได้ทำเพลงนี้ เพราะผมรู้สึกว่าพออยู่ในละครแล้วมันไปด้วยกันได้ดี ด้วยอารมณ์ ด้วยบัลลาด ด้วยเสียงเปียโน หรือด้วยอะไรต่างๆ เพลงนี้มันมาจากทำนองก่อน ทำนองเสร็จ เรียบเรียงเสร็จหมดแล้ว แล้วจริงๆ เนื้อไม่ใช่เนื้อนี้ด้วย จริงๆ เนื้อเป็นคล้ายๆ อย่างนี้ ไม่ได้เป๊ะขนาดนี้ พอผมไปเล่นละคร ผู้กำกับเขาก็บอกว่าอยากให้มีเพลง ผมเลยส่งเพลงนี้ให้ฟัง เขาก็ชอบ แต่เขาบอกขอปรับอีกนิดนึงได้ไหม เพราะเนื้อเรื่องเขาเป็นอย่างนี้ เนื้อก็เลยเป็นเนื้อใหม่ เป็นเนื้ออยู่ในใจฉัน ซึ่งดนตรีกับทำนองทำเสร็จไปก่อนแล้ว

สักวันคงได้เจอ

    เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงบุ๊กมาร์กในชีวิตเลย เพลงนี้เริ่มต้นจากผมอยู่บ้าน แล้วผมลงมาเห็นแม่บ้านที่บ้านเขาเปิดซีรีส์เกาหลีดูอยู่ ซีรีส์อะไรก็ไม่รู้ที่พระเอกเป็นหมอ ผมดูแล้วก็เดินไปที่เปียโน เล่นแล้วก็ร้อง 'ซารางเฮโย~' ขำๆ แต่ฟังแล้วเพราะดี ก็เลยอัดไว้ เพลงนี้ผมแต่งแล้วก็ไปเจอ พี่แม็ค ศรัณย์ (ศรัณย์ วงน้อย) แล้วก็ 'พี่ ผมแต่งเพลงนี้ ผมไม่รู้อะ ผมมีเพลงนี้ สั้นๆ ลองฟังดู' พี่แม็คฟังเริ่มต้นมา เฮ้ย เพลงนี้ดี อินโทรมาดีมากเลย แต่งต่อๆ ก็เลยมาแต่งด้วยกันต่อจนจบเพลงเลย

ยิ้มก็พอ

    ยิ้มก็พอ เนี่ยเริ่มต้นมาจริงๆ มันเป็นเพลงช้า ผมแต่งเป็นเพลงช้าเลย คือมันเป็นเพลงช้าแบบกะว่าเพราะมากเลย สักพัก ก็นั่งคุย เจอพี่โป (โป โปษยะนุกูล) พี่โปบอก เฮ้ย ถ้าเกิดเอาเพลงนี้ขึ้นมาทำให้มันอัพเทมโปขึ้นมาจะเป็นยังไง ผมก็เลยกดโปรแกรมกลองเข้าไป แล้วก็ใส่ เออ เฮ้ย เพราะดีเหมือนกันนะ สนุกดี ก็เลยแต่งต่อ ก็ฮัมเมโลดี้แต่ง เสร็จปุ๊บ เว้นท่อนกลางไว้เพราะรู้สึกว่ามันต้องมีแร็ปตรงนี้ เว้นดนตรีไว้ก่อน ให้เขาไปแร็ปเอง แล้วก็อยากให้วันเดอร์เฟรม (เฟรม-ศุภัคชญา สุขใบเย็น) แร็ป ตอนนั้นยังไม่มีเนื้อด้วย แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเขาจะมาหรือเปล่า เรียกเฟรมปุ๊บ พอเฟรมมา วันที่เฟรมอัดร้องแร็ปเนี่ย เขาแต่งแร็ปมา แล้วร้องแร็ปให้ฟัง ผมนั่งฟังแล้วตบเข่าเลย แบบหืม ได้ดั่งใจตามที่อยากได้จริงๆ เลย

ปรากฏการณ์

    เพลง ปรากฏการณ์ เป็นเพลงที่ผมหัดแต่งด้วยกีตาร์ หลายๆ คนจะไม่ค่อยเห็นผมเล่นกีตาร์เท่าไร ซึ่งเพลงนี้ผมตั้งใจว่าจะหัดแต่งเพลงนึงใช้กีตาร์โปร่ง ไม่ต้องเล่นเปียโน ก็คือตั้งใจจะใช้กีตาร์เลยตั้งแต่แรก แต่งทำนองก่อน กะไว้ว่าจะเป็นเพลงจีน ก็เลยทำเมโลดี้แบบจีนๆ ออกมาเลยครับ แล้วก็เล่นกับกีตาร์โปร่งอย่างเดียว เพราะว่าก่อนหน้านี้เพลงโต๋มีเปียโนทุกเพลงเลย นี่ก็เลยเป็นที่มาของเพลง ปรากฏการณ์ ครับ

    มองย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกๆ ที่เราเห็นโต๋ จนถึงปัจจุบัน เรารู้สึกเหมือนได้เติบโตไปพร้อมๆ กับศิลปินคนนี้ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี เราก็ยังได้ยินเสียงเปียโนที่คุ้นเคยดังขึ้นมาคู่กับเขาอยู่เสมอ

    ในฐานะศิลปินที่ได้มองตัวเองย้อนกลับไป เขาก็รู้สึกเติบโตขึ้นทั้งในด้านความคิดและความสามารถ โดยเฉพาะการเข้าใจความเป็นไปในทุกช่วงชีวิตที่เขายืนอยู่กับบทบาทความเป็นศิลปิน

    "ผมรู้สึกเข้าใจชีวิตมากขึ้น ผมว่าทุกอย่างมันมีช่วงเวลาและจังหวะของมัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ณ วันนี้ บางทีเรานึกย้อนกลับไป มันก็ตลกตัวเองที่สมัยก่อนเราร้อง อ่านปากของฉันนะ... เราไว้ผมยาวเท่านี้ เราเล่นคอนเสิร์ต เราไม่พูดเลย มันตลกดี แต่ทุกอย่างมันดีที่สุดแล้ว ณ วันนั้น แล้วคนก็รักที่เราเป็นแบบนั้นในวันนั้น

    "ผมว่าสิ่งที่สอนเราคือมันสอนให้เราเอ็นจอยกับทุกช่วงของชีวิต เอ็นจอยเวลามันขึ้น เอ็นจอยเวลามันลง เอ็นจอยเวลาที่เราแต่งเพลงไม่ได้ เอ็นจอยเวลาที่เราแต่งเพลงได้ เอ็นจอยเวลาเราปล่อยเพลงไปมันฮิตมาก กับเอ็นจอยช่วงเวลาที่ปล่อยไปมันก็ไม่ได้ฮิตเหมือนเก่า ผมว่านี่คือสิ่งที่ศิลปินทุกคนต้องรักษาไว้ ก็คือการมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ ในทุกๆ ช่วงของเวฟเลย เพราะว่าการเข้ามาอยู่ตรงนี้มันง่าย แต่การยืนระยะให้ยาวมันยาก ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราเรียนรู้ที่จะโตไปตามอายุงานของเราครับ"

Favorite Something
  •   La La Land (2016)
  •   ชิพกับเดล (Chip and Dale)
  •   -
  •   GrandEx'

หวันยิหวา ตั้งจิตมุ่งมั่น

นักศึกษาชีพจรลงเท้าที่สิงสถิตอยู่ในโรงหนังและร้านไอติม ชีวิตถูกขับเคลื่อนด้วยบุฟเฟ่ต์ชาบูและแซลมอน หลงรักภาพถ่าย เพลงเศร้า และเตียงนุ่มๆ

ณัฏฐนิชา สาระ

รู้จักเรียกจินต์ สนิทจะเรียกอะไรก็ได้ เป็นคนว่านอนสอนง่าย ให้ทำอะไรก็ทำ ชีวิตนี้ไม่เคยอยู่นิ่งกับที่ รักในเสียงดนตรี รักในศิลปะ เป็นคนขี้เกียจ แต่ขยันหาประสบการณ์และความทรงจำดีๆ