ผ่านมา 1 ปีกว่าแล้วสำหรับการลาออกอย่างเป็นทางการ หรือที่เหล่าโอตะเรียกกันว่า 'แกรด' จากวง BNK48 สำหรับ แจน-เจตสุภา เครือแตง เชเช่ของบรรดาแฟนคลับหรือแจนจังที่หลายคนรู้จักในขณะนี้
ตอนนั้นมีทั้งกระแสยินดีและเสียใจกับการตัดสินใจของเธอ บ้างก็ว่าเสียดายที่เธอกำลังมีอนาคตที่ดีในบรรดาเด็กสาว บ้างก็ยินดีที่เธอมีเส้นทางชัดเจนและพร้อมให้เติบโตขึ้น บ้างก็กลัวว่าเธอจะหายหน้าไปจากวงการ ทว่าด้วยเวลาและผลงานทั้งที่ไทยกับญี่ปุ่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอก้าวมาได้ไกลมากทีเดียว
แม้ว่า happening จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับสาวๆ แวดวงไอดอลมากนัก แต่เราก็รู้จักและติดตามพวกเธอมาตลอด อย่างแจนจังเองก็เคยมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน happening@house*7 'Art House' เมื่อปลายปีที่แล้ว บรรยากาศช่วงที่แจนจังปรากฏตัวสร้างความตื่นเต้นให้เราไม่น้อย เพราะคนรุมล้อมถ่ายภาพเธอเต็มไปหมด แถมยังมีออร่าความสดใสฟุ้งกระจายจากทั้งตัวศิลปินและแฟนๆ ที่มาตามเชียร์ด้วย
เราจึงอยากขยับตัวไปให้ใกล้ชิดเธอขึ้นอีกนิด พูดคุยกับเธอมากขึ้นอีกหน่อย เพื่ออัพเดตสถานการณ์และผลงานที่กำลังจะมีเร็วๆ นี้ให้แฟนๆ ได้ทราบกัน
ขอบอกว่าบรรยากาศช่วงสนทนาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทั้งจากแจนจัง ทีมงาน และเราเองจนเวลาผ่านไปรวดเร็วมากเหลือเกิน นี่ถ้าแจนยังอยู่ BNK48 เราอาจต้องใช้คำว่า 'โดนตก' ไปเรียบร้อยแล้วแหงๆ
จาก แจน BNK48 สู่ แจนจัง
ได้ทำอะไรแปลกใหม่เยอะมาก เพราะผู้ใหญ่ให้โอกาสเราได้ทำงานหลากหลายด้าน แบ่งงานเป็น 3 กลุ่มใหญ่ อย่างตอนที่ออกจากวงแรกๆ ได้ทำงานในประเทศญี่ปุ่น ได้รับแต่งตั้งเป็น Smile Ambassador คอยโปรโมตจังหวัดฮอกไกโด เวลามีโปรเจกต์อะไรก็จะทำที่ฮอกไกโดซะส่วนใหญ่ แต่ก็จะมีที่โตเกียวและที่อื่นด้วย อย่างโทโฮกุ เป็นพาร์ตที่รู้ก่อนออกจากวงแล้วว่าต้องทำอันนี้เป็นหลัก อีกพาร์ตก็ทำด้านร้องเพลง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะจริงจัง เอาตรงๆ คือเราร้องได้แต่ไม่ได้เรียนจริงจังขนาดนี้ และไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักร้องอย่างเดียว เพิ่งมาเริ่มเหมือนกัน อีกกลุ่มหนึ่งเป็นการออกอีเวนต์ถ่ายรูป พวกงานเอนเตอร์เทนเมนต์
ถ้าตอนอยู่ในวง สิ่งที่โฟกัสมากที่สุดคือ เรื่องร้อง เรื่องเต้น และเพอร์ฟอร์แมนซ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน แล้วเด็กในวงส่วนใหญ่ก็ไม่มีพื้นฐาน บางคนอาจมีร้องแต่เต้นไม่เก่ง บางคนเต้นเก่งมากแต่ร้องไม่ได้ ก็ปรับกันไป แต่เมื่อเราออกมาแล้ว สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือการเป็นผู้นำ เพราะตอนอยู่ในวงไม่ค่อยเป็นผู้นำเท่าไหร่ ถึงแม้อายุเยอะสุดก็ตาม เราอาจจะเป็นเด็กเรียนกลางๆ ห้อง ไม่เกเรเท่าไหร่ มีคนอื่นคอยพูดแล้ว เราก็อยู่ชิลล์ๆ ไป พอออกมาปุ๊บ ทำไงหว่า อย่างตอนสัมภาษณ์ช่วงแรกๆ เราพูดไม่รู้เรื่องเลย วกไปวนมา มีแต่น้ำ อีกอย่างคือเกร็งเวลาพูด ก็ปรับตัวไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็พูดมากขึ้น พูดจนพิธีกรบอกว่าพอได้แล้ว ถ้าให้พูดแบบมีสาระก็ต้องเตรียมตัว เพราะปกติเราไลฟ์ก็พูดไปเรื่อยๆ แต่เวลาไปสื่อ เราต้องพูดประเด็นสำคัญ
ศิลปินไทยที่เป็นทูตแห่งรอยยิ้มฮอกไกโด
ได้ทำรายการท่องเที่ยว จริงๆ ตอนอยู่วงก็ได้ทำกับเพื่อนบ้างแล้ว แต่พอออกมาก็ทำคนเดียว ทีมงานใหม่หมด เราจะเติบโตไปด้วยกันอย่างแท้จริงมาก ก็เอาวะ! ทำไปก่อน ซึ่งผลตอบรับไม่ค่อยโอเค เพราะเราพูดไม่รู้เรื่อง ต้องโปรโมตญี่ปุ่น คนฟังฟังเรื่อยๆ แต่จับประเด็นไม่ได้ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผ่านมาหลายอีพี ชื่อรายการว่า Hey Say Go! มีพี่พิมฐา (ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล) ด้วย แต่ไปแยกกัน เขาเป็นสายชิลล์คาเฟ่ แต่เราเดินป่า ขึ้นกระเช้า และสิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ เราได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นนี่แหละ ไปเจออะไรใหม่ๆ เพราะอยู่ไทย เราอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยออกไปข้างนอกเท่าไหร่ แต่เวลานี้เหมือนเขาบังคับให้เราไปเดินทางผจญภัย เปิดประสบการณ์ โหดอยู่ เพราะเราต้องทำจริงๆ มันไม่ใช่รายการที่เซตอัพไปแตะๆ เราไปจริง เหนื่อยจริง ซึ่งชอบมากเพราะเหมือนเราเป็นแรงบันดาลใจให้คนออกไปข้างนอก ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นอย่างเดียว ไปที่ไหนก็ได้ที่เราไม่เคยไป
บทบาทนางแบบในโฟโต้บุ๊ก
เล่มแรกทำกับเพจโตแล้วจะไปญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ได้ เขาติดต่อมาว่าจะทำโฟโต้บุ๊กให้เราป็นนางแบบ และถ่ายทำที่โตเกียว แต่เราเป็น Smile Ambassador ที่ฮอกไกโด เลยเสนอว่าถ่ายที่ฮอกไกโดไหม สุดท้ายก็กลายเป็นหนังสือท่องเที่ยวฮอกไกโด
เล่มที่สองเราย้ายมาโตเกียว เราทำงานแถวนั้นบ่อยๆ ก็มีคอนเน็กชันมากขึ้น รู้จักโรงพิมพ์ เขาทำหนังสือหลายแนว และที่ญี่ปุ่นมีหนังสือแนวสไตล์บุ๊ก ผู้หญิงและผู้ชายมาถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เช่น พวกไอดอลที่ถ่ายรูปในสถานที่ต่างๆ หรือชีวิตประจำวันของนักพากย์ ถ้าไทยก็ใช้ยูทูบ แต่ที่ญี่ปุ่นเป็นหนังสือ เพราะวงการสิ่งพิมพ์เขายังดีอยู่ เขาเสนอมาให้เราทำ เราก็อยากทำ ไม่ต้องคิดอะไรเลย เพราะมันเป็นโอกาส และเป็นความฝันของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง ได้ถ่ายรูปสวยๆ และได้ลองทำงานกับโปรดักชันชาวญี่ปุ่น ซึ่งสุดยอดมาก อย่างช่างหน้าช่างผมเขาทำได้ทุกแนว เป็นสไตล์ที่เราชอบ เราชอบสไตล์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว พอได้เจอออริจินัลก็แอบครูพักลักจำมาบ้าง เดี๋ยวอาจเอามาแชร์ในแบบของเรา
ในพาร์ตหนึ่งงานหลักเราคือร้องเพลง แต่อีกพาร์ตเราเป็นผู้หญิง หนังสือเล่มนี้เลยเน้นให้ผู้หญิงอ่าน เหมือนเราใช้อันนี้ เธอใช้อะไรเหรอ หนังสือชื่อ Hi Haai! คือคำว่า Hi และ Haai ที่แปลว่า ค่ะ ในภาษาญี่ปุ่น เป็นคำพ้องเสียง ประมาณว่า ค่ะๆ หรือสวัสดีๆ ซึ่งเล่มที่ 2 นี้เริ่มเปิดจำหน่ายพรีออร์เดอร์ที่เฟซบุ๊ก Jan Chan เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเกิดของแจนเอง
ผลงานล่าสุดกับการแสดงซีรีส์ครั้งแรก
เป็นซีรีส์รีเมกจากญี่ปุ่น ที่ Line TV กับ JSL Global Media ร่วมมือกัน ชื่อ 'พรุ่งนี้จะไม่มีแม่แล้ว' เราเล่นเป็นนักแสดงรับเชิญหนึ่งตอน ชื่อ คุณหนูดรีม ไม่เคยเล่นซีรีส์มาก่อนเลย แม้จะเวิร์กช็อปมาแล้วก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่พอทำก็ต้องทำ ก็ทำอะไรที่เราทำได้และเตรียมไปให้พร้อมอย่างการท่องบท ไม่งั้นไปถึงหน้ากองจริงๆ ไม่ทำการบ้านมาต้องโดนแน่ๆ
เนื้อเรื่องหลักๆ เกี่ยวกับชีวิตเด็กที่ขาดความรักแล้วต้องมาอยู่รวมกันในบ้านเด็กกำพร้า ที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นมุมมองทั้งของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กๆ และมุมมองของเด็กๆ ที่อยากให้รู้ว่าพวกเขาก็มีหัวใจ โหดเหมือนกัน ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องทั่วๆ ไป เพราะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ในไทยไม่ค่อยทำเท่าไหร่ และเป็นที่จดจำมากในญี่ปุ่น มารอดูกันว่าในไทยจะเป็นยังไง เริ่มออกอากาศทาง Line TV ตอนแรกวันที่ 9 พ.ค. นี้
ที่ชอบคือ ความท้าทาย เราจะเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ได้ไหมในเวลาที่สั้นและรวดเร็วที่สุด ซึ่งทำไม่ค่อยได้หรอก แต่ก็พยายาม นับถือนักแสดงหลายๆ ท่านมาก การแสดงไม่ใช่แค่การนั่งชิลล์ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นคนอื่น แต่มีเรื่องความกดดัน ภาวะรอบข้าง ความเร่งรีบ แต่ถามว่าชอบไหม ชอบนะ ปีนเขาว่ายากแล้ว อันนี้ยากกว่า ความท้าทายมันใกล้เคียงกัน สุดท้ายอาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็รู้สึกดีที่ได้ทำ
จากหญิงสาวธรรมดากลายมาเป็นแจนจังในวันนี้
อย่างแรกต้องขอบคุณ BNK48 ก่อน ถึงอายุจะเยอะแล้วสำหรับการเป็นไอดอล แต่ก็ทันแบบเฉียดฉิว ขอบคุณที่ทำให้เราเปลี่ยนทิศทางมาอีกทางที่เราชอบเหมือนกัน จากนักเรียนกราฟิกก็ได้ทำงานวงการบันเทิงหลายๆ ด้าน อย่างที่บริษัทบอกไว้ว่า BNK48 คือโรงเรียนฝึกหัดเด็กๆ ว่าจบไปแล้วจะเป็นอะไร อย่างเราจบออกมาก็เป็นแจนจัง แคนกับซินซินก็เป็นนักร้อง ในอนาคตใครที่ถึงเวลาอันสมควรก็อาจออกมาเป็นนักแสดงหรือพิธีกรก็ได้ เพราะอยู่ในวงได้ทำหลายแนว
ต้องขอบคุณที่ทำให้เรามีพื้นฐานการร้องการเต้น ก็เสียใจที่ออกนะ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เราก็ต้องคิดถึงอนาคตว่าอายุ 30 จะทำอะไร เหลืออีกไม่กี่ปีในการคิดถึงทิศทางที่จะไป ถ้ามีเวลามาก ออกมาเร็วหน่อยก็สามารถทดลองได้ว่าแจนจังจะเป็นอะไร เลือกแล้วนะว่าจะเป็นนักร้องและทำงานด้านวงการบันเทิงด้วย พออายุ 30-40-50 ต้องคิดต่อว่าช่วงนั้นจะทำอะไรอีกบ้าง ระยะเวลา 5 ปีนี้ก็ล้มลุกคลุกคลานไปก่อน
และก็ขอบคุณคอนเน็กชันต่างๆ อย่างรัฐบาลญี่ปุ่น โปรดิวเซอร์ คุณครู หรือใครก็ตาม แล้วที่ต้องขอบคุณมากๆ คือ แฟนคลับ แม้ว่าเราไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว เราเป็นแจนจัง ก็ยังโชคดีที่มีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งคอยซัพพอร์ตให้กำลังใจ แถมมีแฟนคลับหน้าใหม่ที่มาตามเราตอนเป็นแจนจังด้วย อ่านคอมเมนต์แล้วทำให้รู้สึกว่าเรายังไปได้อยู่
กำลังใจจากแจนจัง
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเคสๆ อย่างแฟนคลับทวีต เราก็แคปมาลงสตอรี่ในอินสตาแกรมให้กำลังใจ มีแฮปปี้เบิร์ดเดย์ บางคนทักมาว่าไม่ไหวแล้ว อย่างไข่มุก BNK48 ที่โดนไซเบอร์บุลลี่ เราอยากคอนเฟิร์มนะว่าเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ให้กำลังใจไป อย่างเราก็เคยโดน คนว่าเขาไม่รู้หรอกว่าเวลาโดนทำร้ายด้วยคำพูดมันเจ็บแค่ไหน แต่สุดท้ายมันมีคำพูดหนึ่งที่รักษาเราได้คือ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ถ้าเราเอาตัวกระโจนลงไปในปัญหา มันก็จะตะลุมบอน สู้กันไปสู้กันมาไม่จบสิ้น ถ้าเราทำใจยอมรับได้ เดี๋ยวมันก็จบ แต่เดี๋ยวเรื่องใหม่ก็มาอีกนะเป็นงี้แหละ
เราเองก็ขอเป็นกำลังใจให้แจนจังเติบโตในเส้นทางนี้ด้วยเช่นกัน อาจไม่ได้ง่ายเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เราเชื่อว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะผ่านทุกอย่างไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสของเธอแน่นอน อยู่รอดปลอดภัย บ๊ายยยยยยบ่าย! (เสียงเซนต์แจน)
8080 VIEWS |
นักเขียนและกองบรรณาธิการที่พบเจอตัวได้ตามหอศิลป์และร้านหนังสือ ชอบกินแซลมอนและชาบู อยากแก่ไปเป็นคุณป้าใจดีและมีฝูงแมวห้อมล้อม
ชือฆ้องวงศ์แต่เล่นฆ้องวงไม่เป็น บางทีถ่ายแบบบางทีก็เป็นแบบให้ถ่าย