กุ๊กไก่-รังสิมา อิทธิพรวณิชย์: แอ็กติ้งโค้ชที่ทำให้การแสดงเข้มข้นและคนไม่จาง

    ความลับที่ถูกปกปิด การโกหกเพื่อบิดเบือนเจตนา การบีบเค้นหาความจริง การร้องไห้เพราะสงสารคนใกล้ตัว... นี่เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งในการแสดงอันดุเดือดในละคร เลือดข้นคนจาง ละครยอดฮิตเรื่องหนึ่งของปี 2561

    แน่นอนว่าละครเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมเรื่องบทละครที่ซับซ้อน และการกำกับที่ประณีตอย่างยิ่ง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของละครเรื่องนี้ก็คือ การแสดง ที่ทั้งดารารุ่นใหญ่และรุ่นใหม่มารับบทบาทขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น

    กุ๊กไก่-รังสิมา อิทธิพรวณิชย์ คือหญิงสาวที่เป็นแอ็กติ้งโค้ชให้กับละครเรื่องนี้ เธอเป็นคนทำให้หนุ่มๆ นักแสดงรุ่นใหม่จากโปรเจกต์ 9x9 มาแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ได้อย่างไม่ขัดเขิน ทั้งที่บางรายแทบไม่มีประสบการณ์ด้านนี้

    ว่าแต่ว่า 'แอ็กติ้งโค้ช' คืออะไร และทำอย่างไรถึงมาทำงานสายนี้ได้? เรื่องนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

    เมื่อติดต่อนัดหมายไป สถานที่สำหรับการพูดคุยระหว่างเราก็มาลงตัวที่ Action Play สตูดิโอสอนการแสดงของเธอที่ตั้งอยู่แถวสามย่าน กุ๊กไก่เปิดสตูดิโอแห่งนี้มาราว 2 ปีแล้ว แต่ถ้าย้อนถามไปถึงเรื่องประสบการณ์การแสดง กุ๊กไก่สนใจเรื่องนี้และเก็บแต้มประสบการณ์มานานกว่านั้นมาก เธอเป็นคนกล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มสนใจการแสดงเมื่อไปดูละครเวทีของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง ปริศนา แต่พอผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกมา ปรากฏว่าเธอสอบติดคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ พอถึงปี 3 เธอก็เลือกเรียนเอกด้านสื่อสารการแสดง และโทด้านโฆษณา โดยมีกิจกรรมนอกเวลาเรียนเป็นงานละครเวทีที่เธอทำจนได้เป็นหัวหน้าชมรม และเป็นผู้กำกับละครคณะ เรื่อง เปิด (กระ) โปงคอนแวนต์ (2550) หลังจากนั้นเธอทำงานเป็นฟรีแลนซ์อยู่พักใหญ่

    "กุ๊กไก่เรียนจบราวปี 52-53 ตอนนั้นก็มีแค่พี่เงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) ที่เป็นแอ็กติ้งโค้ชที่เราเคยได้ยินกัน เราก็รู้สึกว่าน่าสนใจ แอ็กติ้งโค้ชคืออะไร เพราะตอนที่เรากำกับละครนิเทศฯ จุฬาฯ หรือแม้กระทั่งตอนเล่น เราจะเป็นนักแสดงที่มีปัญหาที่สุด คือตอนที่เราอยู่โรงเรียน เราก็แค่ชอบเล่นเป็นฟีลเหมือนเล่นใหญ่ๆ เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่กล้าแสดงออก พอสนุก เพื่อนก็ตบมือ แต่พอเข้านิเทศฯ มันต้องไปเล่นอยู่บนเวที เรากลับมีปัญหามากสุด คือไม่มั่นใจเรื่องการแสดง ตอนเข้าปีหนึ่งที่ได้รับเลือกเป็นนักแสดงเพราะตอนนั้นไม่คิดเยอะ ทำตัวเหมือนเล่นละครเวทีหน้าห้อง แล้วพี่ๆ เขาก็ชอบ แต่พอเข้าไปอยู่ในกระบวนการเวิร์กช็อป เรากลับรู้สึกว่า 'เฮ้ย ทำไมพี่ๆ เขาเก่งจัง' ตอนนั้นพี่ปี 4 คือ พี่จั๊ด (ธีมะ กาญจนไพริน), พี่เต๋อ (ฉันทวิชช์ ธนะเสวี), พี่ก้อย (รัชวิน วงศ์วิริยะ)" เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เริ่มสนใจการแสดงอย่างลึกซึ้ง "มันก็เป็นปมของเราเรื่อยมา พอเรียนจบ ทำงานไปสักพักหนึ่งเราก็รู้สึกว่า เอาตรงนี้ที่มันเป็นปมของเราให้แตกไปให้ได้สิ"

    กุ๊กไก่ไปเรียนการแสดงกับครูเงาะ จนเริ่มเข้าใจเรื่องการแสดงมากขึ้น และถือเป็นศิษย์ที่ครูชื่นชมคนหนึ่ง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปเรียนต่อด้าน Theatre Directing ที่ East 15 Acting School ใน University of Essex ประเทศอังกฤษ โดยตั้งใจเรียนมาเพื่อเป็นแอ็กติ้งโค้ชโดยเฉพาะ

    "พอไปเรียนก็มีความมั่นใจขึ้นมา เพราะเราเห็นว่าเราก็ทำได้ สามารถไปกำกับฝรั่งได้ มันมั่นใจเพราะว่า เหมือนกับ พอไปปุ๊บแล้วเราเห็นว่าจริงๆ เราทำได้ เหมือนเราสามารถไปกำกับฝรั่งได้ เหมือนเราสื่อสารกับนักแสดงที่เก่งมากๆ แล้วเราพอมีเทคนิคบางอย่างที่ดูแบบเอเชียๆ ของเรานี่ล่ะ ที่ใช้สื่อสารกับเขาได้ ก็เลยมั่นใจขึ้นมา เลยกลับมาเมืองไทยด้วยการที่คิดอยู่ในใจตัวเองว่า จะทำแอ็กติ้งโค้ช ก็กลับมาตั้งสเตตัสเฟซบุ๊กว่า 'กลับมาแล้วนะคะ รับงานแอ็กติ้งโค้ชนะ' ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยทำงานด้านนี้เลย" เธอหัวเราะสนุกเมื่อเล่าถึงตรงนี้

    และคนที่ติดต่อมาให้งานเธอเป็นคนแรกก็คือ จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ (ผู้กำกับ ลัดดาแลนด์) ที่กำลังมีงานกำกับมิวสิกวิดีโอ นาฬิกาเรือนเก่า ของ ปาล์มมี่ และหนังสั้น มะขิ่น ที่ต่อเนื่องจากภาพยนตร์ ลัดดาแลนด์ อีกเรื่อง ซึ่งจิมตัดสินใจให้กุ๊กไก่มาเป็นแอ็กติ้งโค้ชทั้งสองงานไล่ๆ กัน

    "การออกกองคิวแรกในชีวิตของกุ๊กไก่คือ 6 โมงเช้าถึง 8 โมงเช้าของอีกวัน มันโหดจนต้องกลับมาถามตัวเองว่า นี่คืออาชีพที่เรายังอยากจะทำอยู่หรือเปล่า" เธอหัวเราะ "คือไม่ได้นอน แล้วกดดันมาก วันแรก คิวแรกที่ทำคือต้องไปทำให้พี่ปูเป้ (ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์) เล่นเป็นผีมะขิ่น ซึ่งเป็นนักแสดงละครเวทีที่เก่งนะคะ แต่มันเป็นซีนร้องไห้ แล้วพี่เขาบอกว่าร้องไม่ได้ ปกติเขาไม่ได้ร้องไห้ แล้วเราต้องทำให้เขาร้องให้ได้ แล้วก็เป็นการร้องไห้ที่ต้องพูดโทรศัพท์เป็นภาษาพม่าไปด้วย ซึ่งปลายสายเป็นแม่ที่ในกองไม่มีคนรับบทจริงๆ นะ พี่เขาก็ต้องท่องภาษาพม่า แล้วก็ต้องพูดๆ ไปให้อารมณ์มันออกมาเหมือนหัวใจสลาย คุยไปร้องไห้ไป แล้วยังมีซีนที่โดนข่มขืนอีก มันยากมากๆ เลย ยิ่งเป็นหนังผีนี่ทุกอย่างมันต้องเป๊ะมากๆ ทั้งการบล็อกกิ้ง หรือจังหวะการหันของนักแสดง แต่เราก็ทำให้มันออกมาจนได้ ก็ใช้ทุกศาสตร์ในชีวิตเลย" เธอหัวเราะเมื่อนึกถึงวันแรกในการทำงานนี้ "พองานแรกมันยากมากๆ เลยเป็นการตั้งมาตรฐานให้เราเหมือนกัน เหมือนกุ๊กไก่ไปเจองานยากๆ กับผู้กำกับที่เก่ง มันท้าทายมาก งานต่อจากนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรทรมานเท่านี้แล้ว" กุ๊กไก่หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง    

    หลังจากนั้นแอ็กติ้งโค้ชชื่อ กุ๊กไก่ ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก เธอมีงานต่อเนื่องมาเรื่อย โดยส่วนใหญ่จะเป็นหนังสยองขวัญ อาทิ ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย (2556), รัก ลวง หลอน (2557), ซีรีส์ เพื่อนเฮี้ยน...โรงเรียนหลอน (2557), ซีรีส์ 7 วันจองเวร (2558) และภาพยนตร์ รุ่นพี่ (2558) เป็นต้น ดูเหมือนเธอจะสร้างชื่อมากับเรื่องการแสดงในหนังผี ช่วงหนึ่งกุ๊กไก่หันมาเปิดสตูดิโอสอนการแสดงของตัวเอง เพราะเริ่มเหนื่อยกับการออกกองดึกๆ ดื่นๆ แต่เธอยังไม่ทิ้งกองถ่าย หากได้โอกาสที่น่าสนใจ อย่างการลองเป็นผู้กำกับเต็มตัวใน Wake Up ชะนี The Series (2561) หรือล่าสุด เมื่อผู้กำกับฝีมือดีอย่าง ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ ชวนไปร่วมงานใน เลือดข้นคนจาง เธอก็มาร่วมกับโปรเจกต์นี้ตั้งแต่ช่วงท้ายของการเขียนบท

    "เข้าไปตั้งแต่ตอนที่เขาเขียนบทลงสกรีนเพลย์ (Screenplay) ไปช่วยดูรายละเอียด จะได้เห็นพัฒนาการตัวละคร ให้รู้ว่าทีมเขียนบทตั้งใจจะเขียนคาแรกเตอร์นี้ เพื่อที่จะนำพาไปสู่อะไร มีแรงจูงใจอะไร มีอะไรที่ไดรฟ์เขา จะได้เข้าใจตัวละครมากขึ้น ถ้ามีการกระทำไหนที่รู้สึกว่า เอ๊ะ เขาไม่ทำแบบนี้มั้ง กุ๊กไก่ก็จะบอกได้ว่า ถ้ามองในเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ ไอ้ตัวนี้มันไม่น่าจะทำแบบนี้นะ ก็เหมือนไปให้ไอเดียเขา หรือช่วยคิดบ้าง ช่วงนั้นสนุกมาก" เธอเล่าถึงการเริ่มเข้าไปร่วมงานกับโปรเจกต์ดัง ซึ่งถือว่าไม่ปกตินักที่แอ็กติ้งโค้ชจะได้เข้าไปร่วมงานตั้งแต่ในขั้นตอนเขียนบท "ละครเรื่องนี้ทำเรื่องบท ละเอียดมากๆ พอเขียนบทเสร็จ ทีมเขียนบทต้องมานั่งอ่านด้วยกันทั้งหมด แล้วก็รีไรท์ทีละประโยค ว่าตอนนี้ต้องพูดแบบนี้ไหม คำนี้ไหม เพราะในแมสเสจเดียวกัน มันจะมีคำให้เลือกหลายแบบมากๆ ค่ะ เราก็จะให้คอมเมนต์ในฐานะที่เป็นคนดูครั้งแรก ปกติเวลาอ่านบท กุ๊กไก่จะพยายามดึงแก่นบางอย่างของคาแรกเตอร์ออกมาให้ได้ว่า อ๋อ ตัวนี้คิดแบบนี้ เพราะเหมือนมันมีแรงจูงใจบางอย่าง มันถึงทำให้พูดแล้วมีความนัยซ้อนแบบนี้นะ หรือเลือกวิธีการพูดจาบางอย่างที่ดูข่มหรือเปล่า หรือว่า ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่าง ประเสริฐ (รับบทโดย ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี) กับ ภัสสร (รับบทโดย คัทลียา แมคอินทอช) จะพูดจาไม่เหมือนกัน เป็นเจ้านายที่ไม่เหมือนกัน เลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน ปกติเวลาอ่านบท มันก็จะชัดเลย ภาพมันจะแบบพรึบๆๆ ออกมา แล้วเราก็จะเห็นได้"

    ว่าแล้วเราก็ถามถึงการทำงานใน เลือดข้นคนจาง ที่น่าจะมีเรื่องราวเบื้องหลังอยู่ไม่น้อย    

    "กุ๊กไก่ได้บทมา พอเริ่มเฟิร์สต์รีด (first read) ก็จะเริ่มทำการบ้านกับตัวละคร จะหาว่าแต่ละตัวมีทัศนคติยังไง ทำอะไร เพื่อที่เราจะได้ตอบคำถามนักแสดงได้ ถ้าเราสงสัยอันไหนก็จะถามพี่ย้งเลย เพราะจริงๆ พี่ย้งจะเป็นคนเห็นภาพชัดที่สุด หรือตรงไหนเรารู้สึกแย้งก็แย้งเพื่อให้เห็นภาพตรงกัน แล้วก็เริ่มคิดวิธีว่าจะหาวิธีทำลายกำแพง (ice breaking) ระหว่างนักแสดงอย่างไร อย่างนักแสดงผู้ใหญ่ เขาไม่ต้องมารู้เรื่องพื้นฐานการแสดงแล้ว แต่เด็กบางคนก็จะมีปัญหาเรื่องการแสดงบ้าง อาจจะยังไม่พร้อมแม้จะเคยเรียนการแสดงมาบ้าง อย่างน้องแจ็กกี้ (ธนัท สุริยไพโรจน์) ที่เล่นเป็น เต้ย กับ นาน่า (ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์) ที่เล่นเป็น เหม่เหม ทีมงานก็จะเป็นห่วงที่สุด เพราะยังใหม่ และมีบทที่ต้องระเบิดอารมณ์ เราก็จะหมายตาไว้ว่าสองคนนี้จะกลายเป็นลูกนกของเราที่จะต้องเลี้ยงดูอย่างดี ในขั้นนี้เราก็จะเริ่มมองแล้วรู้สึกว่าใครยังขาดสกิลล์ส่วนไหน ก็ต้องเอามาเวิร์กช็อปแยก อย่างเช่น เรารู้ว่าต้องมีการระเบิดอารมณ์นะ แต่นักแสดงเด็กๆ บางคนก็จะไม่สามารถระเบิดอารมณ์แบบเอ็กซ์ตรีมออกมาได้ เราก็เอามาทำเวิร์กช็อปให้เขาระเบิดอารมณ์ได้บ่อยๆ หรือถ้าตัวละครนี้มันต้องสู้เพื่อบางสิ่งมากๆ แต่ในชีวิตจริงของนักแสดงซึ่งยังเด็ก ก็อาจจะไม่เคยทำอะไรที่ดิ้นรนขนาดนั้น เราก็เอามาเวิร์กช็อปสร้างสถานการณ์ เช่น กุ๊กไก่ก็เอาแจ็กกี้กับนาน่ามาเจอกันก่อน เพื่อให้เขามาลองสร้างสถานการณ์ที่สุดขั้ว อย่างซีนที่ต้องแย่งปืนกันในละคร ซึ่งทั้งคู่ยังเป็นเด็กอายุ 16-17 เขาจะไม่เข้าใจหรอก เราก็จะมาอธิบายให้เขาเข้าใจว่าจริงๆ แล้วมันมีเรื่องเดียวคือเหม่เหมเป็นห่วงพ่อ ดังนั้นต้องทำทุกวิถีทางที่จะโกหกอะไรก็ได้ ส่วนเต้ยทำแบบนี้ก็เพราะว่าชอบผู้หญิงคนนี้มาก เราก็จะพยายามฝังความคิดให้น้องว่ามีไหม คนที่เราชอบมานานแล้ว รู้สึกอยากปกป้องเขา รู้สึกว่าเขาบอบบาง เขาบอกว่าเขาโดนข่มขืนมาด้วย แล้วเราทำอะไรไม่ได้เลย แถมคนนั้นยังทำร้ายแม่เราด้วยนะ ก็พยายามหาแง่มุมเหล่านี้ให้กับน้องเขา"

    แต่การทำงานเวิร์กช็อป บางครั้งก็เป็นการทำงานที่ยังไม่เห็นบทจริง อย่างในกรณีนี้ก็เช่นกัน

    "บางทีมันมีการรีไรท์อยู่ พี่ย้งก็ยังไม่อยากแจกบทให้นักแสดง ดังนั้นตอนมาเวิร์กช็อปที่สร้างสถานการณ์ เราก็จะอิมโพรไวส์ให้เป็นสถานการณ์อื่นที่ใกล้เคียง เช่น สมมติให้แจ็กกี้กับนาน่าอยู่ในโรงพยาบาล แล้วมีเลือดเหลืออยู่แค่ถุงเดียว แล้วพ่อแม่ของทั้งคู่เป็นคนไข้ในโรงพยาบาลที่ต้องการเลือดนี้ ให้สองคนลองสวมบทบาทแย่งกัน หลังจากนั้นก็เป็นขั้นกว่าขึ้นมาอีกนิด มีเรื่องของจินตนาการเข้ามา เช่น ให้สถานการณ์ว่า เอามือถือไปซ่อนนะ แต่มือถือนี้ถ้ามีคนมาเจอ พ่อเราจะถูกจับเข้าคุกนะ ก็จะเป็นสถานการณ์ที่ลิงก์กับบทจริงบ้างแล้ว เพิ่มจินตนาการและประสบการณ์เข้าไปทีละขั้น" 

    กุ๊กไก่ยังออกแบบเวิร์กช็อปอีกหลายๆ เวิร์กช็อปให้กับละครเรื่องนี้ โดยเฉพาะเวิร์กช็อปที่ทำให้แต่ละครอบครัวสนิทกัน แต่แม้จะเตรียมตัวมาอย่างไรก็ตาม พอถึงหน้างานจริง บางครั้งบรรยากาศและตารางการถ่ายทำก็ทำให้การแสดงบทนั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก

    "เพราะเวลาถ่าย เราจะถ่ายทีละโลเคชัน เช่น ไปถ่ายที่บ้านของครอบครัวนี้ก็จะถ่ายติดๆ กันทุกซีนที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เลย มันไม่ได้ถ่ายแค่ซีนนั้นซีนเดียว มันต้องเจออะไรมาหลายซีนก่อนหน้านั้นมากๆ เช่น เวลาถ่ายที่บ้าน เมธ พี่แท่ง (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง) ก็จะต้องร้องไห้ทั้งวันเลย น้ำตาแทบไม่เหลือแล้ว น้องนาน่าก็จะเจอกับซีนที่มีความหลากหลายปนเปมาทั้งวัน แล้วละครเรื่องนี้ไม่มีซีนง่ายๆ เลย ทุกซีนต้องใช้พลังกันทุกคน ตัวละครต้องมีเรื่องที่แบกอยู่ในหัวตลอดเวลา ซึ่งเราก็จะไม่บอกเด็กๆ นะว่าละครเรื่องนี้มันยาก" เธอหัวเราะ "เพราะก็คงเหมือนกับตอนที่เราทำเรื่องแรกนั่นแหละ ที่เจองานยากเลย แต่ก็ลุยไปโดยบอกน้องๆ ว่าคนอื่นเขาก็ต้องเจอแบบนี้แหละ ก็เป็นวิธีทางจิตวิทยานะคะ" เธอหัวเราะขำอีกที "ทีนี้พอถึงเวลาที่นาน่าจะต้องเข้าซีนที่เจอปืน น้องก็ผ่านการถ่ายมาหลายซีนแล้ว พอถึงตรงที่น้องตกใจตอนเจอปืน พี่ย้งก็ต้องการให้ตัวละครถือปืนแล้วอยู่ๆ ก็ร้องไห้ ทำตัวน่าสงสารเลย ซึ่งยากมาก น้องก็ทำไม่ไหว เราก็ต้องใช้วิธีการขโมยการแสดงด้วยวิธีอื่น อย่างการไปนั่งอยู่ใต้โต๊ะตรงที่กล้องไม่เห็น แล้วคอยบีบขานาน่าในจังหวะที่บทส่งมา เพิ่มแรงกดดันทางกายภาพเข้าไปอีก ก็ถ่ายหลายเทก แต่มีเทกเดียวที่น้องกรี๊ดออกมา เหมือนไม่ไหวแล้ว แล้วพี่ย้งก็ใช้เทกนั้นไป"

    เมื่อเราถามกุ๊กไก่ถึงบทบาทหน้าที่ของแอ็กติ้งโค้ชในกองถ่าย เธอเล่าว่าสำหรับ เลือดข้นคนจาง เธอทำหลายอย่าง ตั้งแต่การทำให้นักแสดงแสดงให้ได้ตามความต้องการของผู้กำกับ วิ่งไปคุยกับนักแสดงแล้วคอยมาดูที่มอนิเตอร์ คอยต่อบทกับนักแสดง (อย่างในซีนที่ตัวละครคุยโทรศัพท์) คอยบรีฟนักแสดงสลับกับผู้กำกับ หรือกระทั่งเป็นนักแสดงประกอบเองก็มี (เธอแสดงเป็นครูสอนภาษาไทยของเหม่เหมและเต้ยในซีนเล็กๆ ซีนหนึ่ง)

    "งานนี้กุ๊กไก่มาอยู่หน้าเซ็ตค่อนข้างเยอะ ไม่ต้องไปประกบนักแสดงมาก นักแสดงไม่ได้ต้องการเพื่อน แต่ถ้าเกิดว่าไปกองอื่นที่นักแสดงมีน้อยเขาก็จะต้องการเพื่อน การเข้าใจนักแสดงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่กับเรื่องนี้ ด้วยการที่คาแรกเตอร์มันเยอะ กุ๊กไก่ก็จะปล่อยนักแสดง ทิ้งนักแสดงให้อยู่ด้วยกันเองได้ เขาก็จะมีการคุยกัน ซ้อมบท ต่อบทกัน กุ๊กไก่ก็จะไปอยู่หน้าเซ็ต แล้วพอกุ๊กไก่อยู่หน้าเซ็ตเสร็จ ดูบล็อกกิ้ง ช่วยคิดบล็อกกิ้ง แล้วก็ให้นักแสดงมาเข้าเซ็ต แต่ยกเว้นซีนยากๆ กุ๊กไก่ก็จะไปประกบนักแสดงเลย ทวนบท คอยบรีฟและเซตอารมณ์ให้เขา"

    ส่วนการทำงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ก็มีวิธีการทำงานที่ต่างออกไป กุ๊กไก่ยกตัวอย่างถึงการทำงานกับพี่แท่งให้ฟัง

    "กับพี่แท่ง เราแค่ไปบอกเขาว่า บล็อกกิ้งเป็นแบบนี้ เหมือนพยายามไปสื่อสารภาพในหัวของพี่ย้งให้พี่แท่งเห็นชัดที่สุด พอเห็นชัดปุ๊บ พี่แท่งเขาก็จะสามารถทำได้เลย แต่ว่าความยากก็คือ จะทำยังไงให้ สื่อสารภาพในหัวของพี่ย้ง ออกมาให้ได้โดยที่มันไม่ผิด เราต้องเข้าใจภาพของพี่ย้งให้ชัดที่สุดก่อน แล้วหาวิธีในการอธิบายให้ได้ แล้วพี่แท่งก็จะทำได้เลย จะมีบางซีนที่พี่ย้งต้องการมากขึ้นบ้าง หรือน้อยลงหน่อย เราก็จะต้องไปหาวิธีในการบอก นอกนั้นพี่แท่งก็จะได้เองหมด เราก็จะแบบไปยืนอยู่ห่างๆ ว่า พี่แท่งทำอารมณ์อยู่ ไม่ต้องไปบิลด์อะไรเขา ก็แค่บอกว่าถ้าพี่พร้อมแล้วบอกหนูนะ พอพร้อมปุ๊บ เราก็หันไปพยักหน้ากับกล้อง กับผู้ช่วยผู้กำกับว่า พร้อมแล้ว เราอาจจะมีหน้าที่แค่โยนพร็อบหรือกดออด ในซีนที่มันของเหล่านี้อยู่เท่านั้นเอง คอยดูว่าจังหวะมันได้แล้ว ก็โยน หรือกดออด"

    เลือดข้นคนจาง ใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 4 เดือน รวม 51 คิว ถือเป็นละครที่ถ่ายกันยาวนานเรื่องหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าพอใจ และเหล่านักแสดงรุ่นเยาว์ก็พออกพอใจกับความพยายามของตัวเองเช่นกัน

    "น้องๆ เขาตั้งใจกันมาก บางคนก็มาดูที่หน้าจอมอนิเตอร์แล้วไม่พอใจ อย่าง เจเจ (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) จะมาดูหน้ามอนิเตอร์ แล้วเขาก็จะรู้สึกว่า เขากับพี่เจี๊ยบ (โสภิตนภา ชุ่มภาณี) เล่นไม่เหมือนกันในซีนแรกๆ ประมาณว่าทำไมพี่เจี๊ยบเล่นชัดจัง ในขณะที่เขาซึ่งเคยเล่นมาแต่ซีรีส์จะเล่นแบบไม่แสดงออกเยอะเท่าละคร คือเขารู้สึก แต่ไม่ได้แสดงออกมาเท่าพี่เจี๊ยบ ซึ่งในละครเรื่องนี้พี่ย้งเขาให้โจทย์มาตั้งแต่แรกเลยว่า อยากให้ตัวละครรู้สึกข้างในแบบเข้มข้นแล้วก็แสดงออกมาเข้มข้นด้วย เพราะว่าอยากทำให้มันเป็นละครน่ะค่ะ โจทย์มันคือละคร ไม่ใช่ซีรีส์ ไม่ใช่หนัง พอเป็นละครก็อยากให้ทิศทางการแอ็กติ้งมันชัด พอเจเจมาดูตัวเองก็จะรู้สึกว่าอยากปรับ หรือกับบางคน บางทีเราก็จะเรียกมาดูหน้าจอมอนิเตอร์ เพื่อจะชี้ให้ดูเฉยๆ ว่าซีนนี้ มันสามารถขยี้ไปได้มากกว่านี้อีกนะ หรือเห็นไหมว่าตรงนี้กล้องมันไม่เห็น เราเล่นแทบตายแต่กล้องไม่เห็นนะ ถ้าเงยหน้าอีกนิดหนึ่งดีไหม แต่ส่วนใหญ่เด็กๆ ก็จะแฮปปี้กัน ถ้าพี่ย้งบอกว่าโอเคก็สบายใจกันแล้ว แต่ก็มีบ้างที่พอเล่นเสร็จก็จะมาจับมือเราแล้วถามว่า ที่เล่นไปโอเคใช่ไหม" เธอเล่าแล้วยิ้มบางๆ

    พูดได้เต็มปากว่า เลือดข้นคนจาง เป็นละครไทยที่มีคุณภาพ ท่ามกลางแวดวงละครที่มีอยู่มากมายและหลากหลายรูปแบบในบ้านเรา

    "แอ็กติ้งโค้ชเมืองนอกเขาจะมีหน้าที่แค่ ก่อนเปิดกล้องนักแสดงอาจจะมาปรึกษาเรื่องคาแรกเตอร์ ให้ช่วยขัดเกลาวิชาการแสดงบ้าง" กุ๊กไก่แชร์ความเห็นเมื่อเราถามถึงความเป็นไปของอาชีพนี้ "แต่ว่าในเมืองไทยยังมีแอ็กติ้งโค้ชที่ต้องออกกองอยู่ เพราะว่าบางครั้งนักแสดงยังไม่พร้อมในการที่จะทำทุกอย่างได้ แต่กุ๊กไก่มองว่ามันเหมือนเป็นช่วงที่วงการเรากำลังพัฒนาขึ้น เลยมีผู้กำกับหน้าใหม่ที่มาจากการทำเอ็มวีหรือโฆษณาที่ไม่รู้เรื่องการแสดงมาก ก็อยากได้คนมาช่วยบรีฟนักแสดงให้ออกมาดีที่สุด ก็เลยมีหน้าที่ตรงนี้ขึ้นมา" เธอครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "แต่กุ๊กไก่คิดว่าตอนนี้นักแสดงทุกคนเห็นความสำคัญของการแสดงแล้ว มีหลายๆ คนที่มาเรียนหรือมาขอให้ทำเวิร์กช็อปก่อนจะเปิดกล้อง แต่เรื่องเดียวที่อาจทำให้วงการพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ก็คือวิธีการทำงานของกองถ่ายบางกองที่ติดเรื่องงบประมาณ พองบไม่เยอะมาก ก็อาจจะคิดว่าทำเท่านี้ก็พอ ก็เลยไม่มีเวลาให้นักแสดงได้ลึกซึ้งลงไปกับการแสดง หรือกับการเขียนบทที่เป็นแม่บทของทุกๆ อย่างในละครเลยก็ตาม"

    แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือ ความเห็นของคนดู ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้แวดวงนี้พัฒนาเช่นกัน

    "เดี๋ยวนี้คนดูได้เสพสื่อที่หลากหลายขึ้น ได้ดูซีรีส์ต่างประเทศ ได้ดูเน็ตฟลิกซ์ พอมาดูละครไทย เขาก็จะมีคอมเมนต์ว่าคนนี้เล่นดีนะ คนนี้เล่นไม่ดี หรือเขาจะวิเคราะห์ได้ว่า อันนี้คือเล่นเป็นการเก็บอารมณ์ แต่เลือกที่จะแสดงออกแบบนี้ เราก็จะแฮปปี้เวลาได้อ่านคอมเมนต์แบบนี้นะ" เธอยิ้มกว้าง "รู้สึกว่าคนดูเขามีความเข้าใจมนุษย์เพิ่มขึ้นด้วย ตรงที่อ่านออกว่าจริงๆ แล้วมันมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนะ มีแรงจูงใจนะ กุ๊กไก่เลยพยายามบอกกับนักแสดงว่า ถ้าเราเล่นแบบผิวๆ มันจะไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์เลยนะ มันก็แค่เอนเตอร์เทน แต่ว่าการพาให้คนดูเข้าใจหรือตกตะกอนอะไรบางอย่างในชีวิตเขามันจะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบใดที่นักแสดงไม่รู้สึกตามนั้น"

    เสียงเด็กๆ หลายคนดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่หน้าห้องสตูดิโอ เป็นสัญญาณว่าคอร์สสอนการแสดงในสตูดิโอแห่งนี้กำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้า และประเด็นสุดท้ายที่กุ๊กไก่กล่าวเอาไว้ก่อนเราจะแยกย้ายก็คือเรื่องการแสดง

    "แอ็กติ้ง คือการกระทำอะไรบางอย่างในสภาวะแวดล้อมที่เราสร้างขึ้น เป็นรีแอ็กชั่นต่อจินตนาการสภาวะแวดล้อมอะไรบางอย่างที่เราเอาตัวเราไปอยู่ในนั้น สมมติว่าเราจินตนาการว่าเรากำลังอยู่ในซีนของ เลือดข้นคนจาง ที่เราเป็น กิ๋มคริส (รับบทโดย โสภิตนภา ชุ่มภาณี) ซึ่งมีลูกชายอยู่คนเดียว ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกชาย เราก็จะจินตนาการเหตุผลว่าเพราะอะไร เพราะสามีเราไม่รัก แล้วเรามาอยู่ในครอบครัวนี้คนเดียว เรามีลูกหนึ่งคน ไม่มีคนอื่นแล้ว ต้องทนอยู่ในตระกูลนี้เพราะลูก แล้วเราก็โดดเดี่ยว สภาวะเหล่านี้ที่มันกดดันมา มันจะมีผลให้เราเข้าใจว่าเราจะรีแอ็กชั่นอย่างไร ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ก็สามารถโยงมาถึงในชีวิตประจำวัน ว่าการกระทำของตัวเราในชีวิตประจำวันก็เกิดจากสภาวะแวดล้อมบางอย่างที่มากระทบเรา แล้วทำให้เรารีแอ็กออกไปแบบใดแบบหนึ่ง แปลว่าถ้าเราอยากจะมีบุคลิกภาพ การสื่อสาร หรือพฤติกรรมที่ดีขึ้น เราต้องพยายามเซตสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม หรือวิธีคิดอะไรบางอย่างใหม่ มันจะเหมือนเป็นจิ๊กซอว์เล็กๆ ที่มาช่วยกันสร้างการกระทำของเราขึ้นมา เรื่องนี้กุ๊กไก่เพิ่งจะมาเข้าใจตอนทำงาน แล้วก็พยายามหาว่าแต่ละบทมีปมอะไร จะหาวิธีการสื่อสารกับนักแสดงได้อย่างไร มันเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ในหัว ประกอบกับการเรียนรู้ การอ่านหนังสือเพิ่มเติม พอเริ่มเข้าใจตรงนี้ นอกจากเราจะทำเรื่องแอ็กติ้งกับนักแสดงแล้ว เราก็เริ่มมาประยุกต์ทำคอร์สเป็น Acting for Work หรือ Acting for Life ด้วย ให้มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปน่าจะได้ประโยชน์ด้วย" หญิงสาวอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำอย่างมุ่งมั่น

    เราเอ่ยคำอำลากุ๊กไก่ แล้วเดินสวนกับกลุ่มเด็กๆ ที่วิ่งอย่างร่าเริงเข้าไปในสตูดิโอ เห็นเพียงเท่านี้เราก็รู้สึกว่าการเรียนแอ็กติ้งน่าจะเป็นเรื่องสนุกสำหรับเด็กๆ ทีเดียว แต่ก่อนจะออกจากโรงเรียนของกุ๊กไก่ เราเหลือบไปเห็นบอร์ดที่แปะรวมความเห็นจากศิษย์เก่า (มีหลายคนที่เราคุ้นหน้า อาทิ กุ๊กไก่-ภาวดี คุ้มโชคไพศาล และ นาน่า-ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์) ซึ่งบอกถึงประโยชน์ของการเรียนรู้เรื่องการแสดงอย่าง 'การฟังคนอื่นทำให้เราได้คุยกับตัวเองไปด้วย' หรือ 'การที่เราได้ฝึกสังเกตตน ทำให้รู้ว่าบางครั้งก็มีสิ่งที่เราทำโดยไม่รู้ตัว' หรือแม้แต่ 'ไม่มีคำว่า 'ไม่รู้สึก' กับคนที่ยังมีชีวิต ทุกคนต่างมีความรู้สึกตลอดเวลา...จับให้ทัน'

    ประโยคเหล่านี้เองที่บอกว่าการแสดงเป็นศาสตร์ที่สำคัญ ...ตราบที่เรายังต้องแสดงอยู่ทุกวัน

Favorite Something
  •   Up in the Air, La La Land, Monsters, Inc.
  •   เพลงไทยยุค 90 โดยเฉพาะพี่เบิร์ด, Slot Machine, Queen
  •   โดราเอมอน, ประวัติ สตีเวน เจอร์ราร์ด
  •   Ryan Gosling, Leonardo DiCaprio, Meryl Streep

วิภว์ บูรพาเดชะ

ผู้ก่อตั้งนิตยสาร happening, บรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening, กรรมการบริหารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc), นักเขียน, นักแต่งเพลง, นักฟังเพลง และนักอ่านตัวยง

วรรณวนัช บูรพาเดชะ

ที่ปรึกษาทีม happening shop, เจ้าของเพจเฟซบุ๊กและหนังสือ 'ญี่ปุ่นอุ่นอุ่น', นักเขียน ช่างภาพโฟโต้บุ๊ก 'Nagasaki Light' และไกด์บุ๊ก 'Kagawa Memories' นอกจากภาพถ่ายและงานเขียน สิ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษคือการนั่งสมาธิและการโปรยมุขไม่ขำ