ครูผู้ใช้ 'ศิลปะ' มาเปิดประตูสู่ความรู้ด้านภาษาไทย ด้วยหัวใจที่อยากส่งมอบความรู้ จากโอกาสทางการศึกษาที่เคยได้รับจาก ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา

    จุดหมายในการเดินทางมาจังหวัดพิษณุโลกครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ภูหินล่องกล้า ภูสอยดาว หรือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดฮิตใดๆ เรามุ่งตรงไปยังตัวเมืองเพื่อทำความรู้จักกับครูท่านหนี่งที่เลือกที่จะส่งต่อความรู้ด้านภาษาไทยผ่าน
ศิลปะแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนัง เพลง ศาสตร์ด้านการแสดง ฯลฯ ให้นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจตัวละครในวรรณคดี ศึกษาวรรณกรรม พร้อมๆ กับรู้เท่าทันความเป็นไปของสังคมและโลกใบนี้
    ครูตุ๊กติ๊ก-นภัค วุ่นกลัด ครู (ระดับปฏิบัติการ) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร รอเราอยู่หน้าอาคารเรียนด้วยรอยยิ้มที่สดใส จากการพูดคุยชัดถ้อยชัดคำระหว่างพาเดินชมพื้นที่ต่างๆ ของโรงเรียนเราสัมผัสได้ถึงพลังงานเต็มเปี่ยม โต๊ะทำงานของเธอมีเอกสารและอุปกรณ์สำหรับเตรียมการสอนเช่นเดียวกับครูท่านอื่นๆ แต่สิ่งที่สะดุดตาและชวนให้อบอุ่นหัวใจคือจดหมายที่ติดอยู่บนตู้และเสาด้านหลัง ซึ่งเธอได้รับจากนักเรียนที่ส่งความรู้สึกและความระลึกถึงให้เธอเก็บไว้หลังจากเรียนจบแล้ว
    ก่อนที่จะก้าวหน้าทางสายอาชีพครู และเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานและนักเรียนอย่างที่เห็น เธอเล่าว่าเกือบจะถอดใจตั้งแต่ตอนฝึกสอนแล้ว "ตอนแรกมีความหมดไฟด้วยซ้ำ รู้สึกว่า 'ฉันเหมาะที่จะเป็นครูจริงๆ หรือเปล่า' เพราะว่าเราหักดิบตัวเองด้วยการมาเลือกสอนในโรงเรียนที่มีความเข้มข้นทางด้านวิชาการ แต่ว่าเราเป็นเด็กกิจกรรม เราไม่ได้มีความลึกซึ้งในเนื้อหามากนัก หรือสิ่งที่เรารู้มันยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราจะไปสอนผู้อื่น" ถึงกระนั้นเธอก็ผ่านความรู้สึกนั้นมาได้หลังค้นหาตัวเอง ยอมรับว่ายังขาดคุณสมบัติอะไร แล้วต้องเพิ่มเติมความรู้และทักษะอย่างไร เพื่อที่จะพร้อมเป็นครูที่สามารถสอนนักเรียนได้อย่างแท้จริง
    จากความสนใจแรกที่เราอยากรู้ว่า เธอนำศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิชาภาษาไทยได้อย่างไร มีกิจกรรมอะไรที่ช่วยต่อยอดให้นักเรียนเรียนรู้อย่างสนุกสนานได้บ้าง แต่การพูดคุยครั้งนี้ทำให้เรามองเห็นภาพของการศึกษาที่กว้างกว่าที่เคย แล้วยังเข้าใจถึงความสำคัญของโอกาสทางการศึกษาที่เธอได้รับจาก ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา ซึ่งมีส่วนสานฝันให้เธอได้เป็นครู ผู้ตั้งใจส่งต่อความรู้ให้กับนักเรียนอย่างเต็มความสามารถ
จากวันที่ต้องการความมั่นคง สู่ตัวตนของความเป็นครู
    ครูตุ๊กติ๊กเล่าว่าเธอเป็นเด็กชนบท อยู่ที่อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ พื้นฐานครอบครัวไม่มีความพร้อมที่จะสนับสนุนด้านการศึกษา เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนท่าตะโกพิทยาคม แล้วเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกได้ จึงตั้งใจที่จะขอทุนการศึกษามาช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน 
    "ทางบ้านค่อนข้างลำบาก เราอยู่กับคุณยาย คุณยายต้องทำนาส่งเรากับน้องชายเรียน แล้วก็กู้ กยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) ด้วย เราเลยปักธงไว้อยู่แล้วว่าถ้าเข้ามหาวิทยาลัย เราต้องขอทุนแน่ๆ เพราะทราบมาจากงานแนะแนวของโรงเรียนว่าแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีทุนอยู่แล้วค่ะ ฉะนั้นเราจึงติดต่อกองกิจการนิสิต แล้วมหาวิทยาลัยจะให้เรายื่นเอกสารที่มีเหตุผลของการขอรับทุน มีประวัติ เขียนเรียงความ โดยมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้จัดสรรทุนการศึกษาที่เหมาะสมให้เรา เพราะมีทุนการศึกษาจากหลายแหล่งทุน" 
    ตอนเรียนอยู่ปี 2 เธอก็มีโอกาสเข้ารอบสัมภาษณ์ของ ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา แล้วถูกคัดเลือกให้ได้ทุนให้เปล่าอย่างต่อเนื่องไปจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
    ในการเรียนชั้นปีสุดท้ายของคณะศึกษาศาสตร์ พอเธอได้มาฝึกสอนที่ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร แล้วก็รู้สึกว่าอยากทำงานและตั้งรกรากที่นี่ "ชอบบ้านเมือง ชอบความเป็นพิษณุโลกค่ะ พิษณุโลกเป็นเมืองที่ไม่ได้ใช้ชีวิตเริ่งรีบมากนัก ค่าครองชีพไม่ได้สูงมาก คิดว่าถ้าเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือเริ่มต้นชีวิตการทำงาน จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่เหมาะกับเรา เลยพาครอบครัวมาตั้งรกรากกันที่นี่ แล้วกลายเป็นคนพิษณุโลกไปเลย ตอนนี้ตุ๊กติ๊กอยู่กับคุณยายแล้วก็น้องชาย พื้นฐานชีวิตเด็กทุนไม่ได้ดีอยู่แล้วเนอะ พอคุณยายส่งเราเรียนจบ เราก็รับภาระแทนคุณยาย ตอนนี้เลยเป็นเดอะแบก แซนวิชเจเนอเรชั่นเนอะ คือข้างบนก็ต้องดูแลแม่ ข้างล่างก็ต้องดูแลน้อง"
    เมื่อถามเหตุผลของการเลือกเป็นครู เธอก็บอกว่านี่ไม่ใช่ความฝันที่วาดไว้ตั้งแต่แรก "อันดับแรกที่เรียนครูเพราะมองว่าเป็นอาชีพตามขนบของสังคมและมีความมั่นคงด้านการเงิน เหมือนคนที่เป็นข้าราชการครูค่ะ สำหรับภาษาไทยก็เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเรามาตั้งแต่เด็ก เราชอบเรียนวิชาภาษาไทย เป็นตัวแข่งทักษะในรายวิชาภาษาไทยมาตั้งแต่ประถมมาถึงมัธยม เราก็คิดว่าภาษาไทยคงจะเป็นทักษะที่เราถนัดที่สุดแล้วแหละ เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นครูอะไรสักวิชาหนึ่งก็คงจะเป็นวิชานี้ เลยตัดสินใจไม่ยากที่จะเข้าเรียนในคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย เพราะเป็นสิ่งที่เราถนัดที่สุด"
    แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่เหมือนสิ่งที่คิดไว้เสมอไป เพราะพอได้มาฝึกสอนเธอก็สูญเสียความมั่นใจจนเกือบจะยอมแพ้ เพราะความกดดันและความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง "ตอนแรกมีความหมดไฟด้วยซ้ำ รู้สึกว่า 'ฉันเหมาะที่จะเป็นครูจริงๆ หรือเปล่า' เพราะว่าเราเป็นเด็กกิจกรรมที่หักดิบตัวเองด้วยการมาเลือกสอนในโรงเรียนที่มีความเข้มข้นด้านวิชาการ ขณะที่เรายังไม่ได้มีความลึกซึ้งในเนื้อหามากนัก หรือสิ่งที่เรารู้มันยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราจะไปสอนผู้อื่น แต่ความเครียดมากๆ นั้นก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราได้ค้นหาตัวเอง รู้ว่าเราขาดอะไร ต้องเพิ่มเติมอะไร แล้วเรียนรู้จากคนเก่งๆ ในโรงเรียนที่แวดล้อมเราอยู่ เราถึงจะพร้อมเป็นครูที่สอนคนอื่นได้"
    ครูตุ๊กติ๊กบอกว่าเธอใช้เวลาลองผิดลองถูกมาพอสมควรกว่าจะค้นพบสไตล์การสอนของตัวเอง อีกทั้งขวนขวายเรียนต่อและเข้าอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ จนจบการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร จนตอนนี้เธอมีความสุขกับการสอนนักเรียน และเป็นครูได้อย่างเต็มหัวใจจริงๆ
    "เราอยากเป็นครูที่สามารถทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กได้ การพูดสอนอย่างเดียวอาจจะทำให้เขาเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ปลูกฝังทักษะหรือความเข้าใจให้ติดตัวไปในชีวิตของเขา มันก็เลยต้องมีกลวิธีใช่ไหมคะ เราจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เขาไม่ได้เรียนเหมือนโดนบังคับอยู่ค่ะ เรามีเนื้อหาอยู่แล้ว จะทำอย่างไรให้เนื้อหานั้นไปสู่นักเรียนในวิธีที่เขาสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด เขารับมันได้มากที่สุด และสามารถนำไปใช้ได้จริง สิ่งนี้คือความท้าทายมาก ถ้าสอนแล้ววัดผลออกมาเด็กทำไม่ได้ มันก็จะสะท้อนถึงการสอนของเราด้วย ไม่ได้สะท้อนถึงตัวเด็กเท่านั้น"
'ศิลปะคือประตูที่เปิดไปสู่การเรียนรู้' ของวิชาภาษาไทย
    นอกจากส่วนตัวจะชอบศิลปะแล้ว เหตุผลหลักที่เธอนำศิลปะทุกแขนงเข้ามาใช้กับการสอนวิชาภาษาไทยก็เพื่อให้นักเรียนให้ความสนใจ สามารถเข้าถึง และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง
    เธอบอกว่าส่วนตัวมีความสนใจ มีความสุขเมื่อได้เสพศิลปะแขนงต่างๆ โดยเฉพาะดนตรีที่ทั้งชอบฟังและร้องเพลง ทำให้ชีวิตคลุกคลีกับดนตรีมาตลอด ตอนเรียนชั้นประถมเธอเป็นนักร้องวงดนตรีไทยเดิม พอเรียนในระดับมัธยมก็เป็นนักร้องประจำวงโยธวาทิต และเป็นนักร้องประจำวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนด้วย ซึ่งนอกจากการดูหนังฟังเพลงแล้ว เธอยังชอบชมงานศิลปะ ไปพิพิธภัณฑ์ ที่ล้วนนำมาปรับใช้กับการสอนภาษาไทยได้ทั้งสิ้น
    "จริงๆ พอเรามองทักษะของภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน มันมีศิลปะอยู่ในนั้นหมดเลยนะคะ เช่น เราเรียนเรื่องการพูดใช่ไหม มันก็จะมีศิลปะด้านการพูด ศิลปะการเขียน ศิลปะการอ่าน มันมีคำว่าศิลปะอยู่ในนั้น ซึ่งคำว่าศิลปะคือชั้นเชิง คือความงาม เราก็คิดว่าสองอย่างนี้น่าจะไปด้วยกันได้นะ เลยลองเอาศิลปะทุกแขนงมาใช้กับศาสตร์ภาษาไทย ซึ่งก็ได้รับผลการตอบรับที่ดีมากเลยนะคะ"
    เธอบอกว่าทักษะภาษาไทยเป็นรากฐานของการคิด การเรียนรู้ ดังนั้นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่นักเรียนต้องทำได้คือ การจับใจความสำคัญและการตีความ เธอมีการนำเพลงมาใช้ในเนื้อหาให้นักเรียนจับประเด็นว่าเนื้อเพลงและน้ำเสียงของนักร้องต้องการสื่อความหมายอะไร ส่วนเพลงที่เลือกมาใช้ก็มีตั้งแต่เพลงร็อกจากวง Bodyslam ไปจนถึง T-Pop อย่าง PiXXiE และ 4EVE "เคยมีข้อสอบ ONET ปีหนึ่งที่นำเพลง ร่มสีเทา ของ วัชราวลี มาออกข้อสอบด้วยซ้ำ โดยถามว่า ร่มสีเทาโดยความหมายของผู้แต่งหมายถึงอะไร เพราะฉะนั้นเด็กๆ ต้องคิดถึงเนื้อร้องว่า 'บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน ถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มือแล้วก็สว่าง...' ว่าหมายความว่าอะไร"
    แล้วยังมีการนำหนังไทยและหนังต่างประเทศมาใช้ในการเรียน ศิลปะการเล่าเรื่อง (The Art of Narrative) ที่สอดแทรกเรื่องการวิเคราะห์ตัวละคร วิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย ชนชั้น ความเท่าเทียม ไปจนถึงการกดทับทางเพศ
    "วิชาเลือกเสรีวิชาหนึ่งชื่อ วรรณกรรมภาพยนตร์ คือ เรียนภาพยนตร์ในฐานะที่เป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่นักเรียนจะมาวิเคราะห์สัญญะต่างๆ ในหนัง วิเคราะห์ตัวละคร หรือวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมที่เป็นเล่มกับภาพยนตร์ ซึ่งเราจะมีการคัดบางช่วงบางตอนในหนังสือมา แล้วเปิดหนังให้นักเรียนดู เช่น แผลเก่า หรือ คำพิพากษา เป็นต้น หนังต่างชาติเราก็มีกระทั่งหนังในจักรวาลมาร์เวล ที่มาชวนให้ลองวิเคราะห์พูดคุยกันเรื่องบาดแผลในใจของตัวละครที่พวกเขาคุ้นเคยกันก่อน แล้วจึงนำหลักทางจิตวิทยามาวิเคราะห์ตัวละครในวรรณคดีดูบ้าง หรือสมมติว่า ทศกัณฑ์กับขุนแผนที่เจ้าชู้เหมือนกัน ถ้าเขามีโอกาสได้คุยกัน เขาจะคุยเรื่องอะไรกันบ้าง มันทำให้ตัวละครในวรรณคดีมีชีวิตขึ้นมาได้จริงๆ ค่ะ สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นคนที่อนุรักษ์นิยมมากๆ อาจจะถามว่า 'นำวรรณกรรมมาทำแบบนี้จะดีหรือ?' แต่ติ๊กรู้สึกว่าแทนที่จะวางไว้บนหิ้ง เราหยิบมันมาอ่านจริงๆ ดีกว่า การอ่านจริงๆ ก็คือวรรณกรรมต้องทำงานในหน้าที่ของมันไปตามยุคตามสมัย"
    ซึ่งเธอมองว่าเนื้อหาสาระยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ศิลปะที่นำมาใช้ประกอบกันนั้นคือ 'ประตูที่เปิดไปสู่การเรียนรู้' นั่นเอง

การจัดกิจกรรมที่มีเครือข่ายศิลปะและศิลปินพื้นบ้านเข้ามาช่วยสนับสนุน

    ยิ่งได้คุยกับครูตุ๊กติ๊กเรายิ่งรู้สึกว่า การเรียนภาษาไทยของนักเรียนโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร ยังมีเรื่องสนุกและท้าทายยิ่งกว่าการคิดวิเคราะห์เพลง หนัง และวรรณกรรมอีกมาก

    "วิชาหลักของภาษาไทยจะมีวิชา ภาษาไทย 1, 2, 3, 4, 5 ค่ะ ถ้าเป็นมัธยมปลายจะเป็นวิชาภาษาและวรรณคดีไทย แต่ถ้าเป็นวิชาเลือกจะมีหลากหลายมากเลยค่ะ เพราะเรามีหลักสูตรวิชาเลือกเป็นวิชาเพิ่มเติม เช่น ภาษาไทยเพื่อกิจกรรมการแสดง ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร การสื่อสารภาษาไทยเชิงวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมภาพยนตร์ หรือ วิชาวรรณกรรมเพื่อการท่องเที่ยว"

    กิจกรรมเด่นๆ ของวิชาเลือกก็จะมีการแสดงละครเวที ถึงขั้นยกเวทีใหญ่มาติดตั้ง พร้อมระบบแสง สี เสียง โดยนักเรียนแต่งองค์ทรงเครื่องมาร้องรำลิเกด้วยตัวเองเลยทีเดียว

    "พอดีมหาวิทยาลัยมีแนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เราก็คิดว่าวรรณคดีหรือวรรณกรรมเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดีมากสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราจึงจัดโครงการให้นักเรียนมัธยมปลายมาออกบูทขายของ โดยนำต้นทุนทางวรรณคดีมาใช้ แล้วในงานเดียวกันก็มีการแสดงด้วย เรามีการปรับจากละครเวทีมาเป็นการเล่นลิเก เพราะมีคณะลิเกชื่อดังอย่าง ศรราม น้ำเพชร หรือ ดำดง ที่ได้รับความนิยมมาก เป็นการแสดงลิเกเรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร โดยมีนักเรียนเป็นผู้แสดงร้อยเปอร์เซ็นต์ บทร้องเราได้ความอนุเคราะห์จากคณะลิเกนักศึกษา เพชรพิบูล มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม กิจกรรมนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือระหว่างสองมหาวิทยาลัย ซึ่งเราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของภาคีเครือข่ายต่างๆ ในชุมชนและท้องถิ่นมากเลย"
    นอกจากนั้นหากมีการสอนเรื่องเพลงฉ่อย ทางโรงเรียนก็จะมีการเชิญพ่อเพลงแม่เพลงที่เป็นครูเพลงพื้นบ้านตัวจริงมาสาธิต หรือเชิญคณาจารย์จาก คณะมนุษยศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเพลงพื้นบ้าน วรรณกรรม วรรณคดีมาช่วยบรรยายและถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนเพิ่มเติมด้วย
    การจัดกิจกรรมการแสดงแบบนี้ ทำให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ทั้งตีความบท ถ่ายทอดการแสดงและน้ำเสียงของตัวละคร นักเรียนจึงมีความเข้าใจและจดจำวรรณกรรมหรือวรรณคดีเรื่องนั้นๆ ได้มากกว่าแค่การอ่านอย่างเดียว
    อีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นตัวชี้วัดสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 คือ การโต้วาที ในชั้นเรียนจะมีการตั้งญัตติที่อาจจะมีหัวข้อเกี่ยวกับสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ แบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน แล้วเชิญอาจารย์ที่มีความสามารถในญัตตินั้นๆ มาร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสิน โดยมีตัวแทนนักเรียนเป็นผู้ดำเนินรายการ
    "กิจกรรมนี้นักเรียนได้เรียนรู้หลายอย่างมากเลยนะคะ เราไม่ได้สอนแค่การโต้วาทีอย่างเดียว เขายังได้เรียนรู้คุณธรรมด้านอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้จักการยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น"
โอกาสทางการศึกษาที่เคยได้รับทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นครู
    หลังจากที่ได้ฟังความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะหาวิธีมาส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาไทยอย่างสร้างสรรค์ของครูตุ๊กติ๊กแล้ว เราก็อยากรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อบทบาทความเป็นครูของตัวเอง
    "คนที่เราต้องให้ความสำคัญที่สุดคือเด็ก พูดแล้วดูเป็นครูในอุดมคติมากเลย แต่เดิมเราไม่ได้เริ่มทำงานด้วยความรู้สึกของความเป็นครู แต่พอได้มาเป็นครูเข้าจริงๆ แล้ว เราก็พบว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดจริงๆ เรารู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เรามีคุณค่า เรากำลังปั้นพลเมืองเข้าสู่สังคมรุ่นหนึ่งเป็นร้อยๆ คน เราต้องให้ความสำคัญกับเขา เราต้องทำให้เขารู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม การมาสอนที่โรงเรียนสาธิตเราต้องยอมรับว่านักเรียนเขาจะมีความพร้อมด้านฐานะทางครอบครัวในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่จะสอนเขาหรือให้บทเรียนกับเขาได้ก็ต้องเป็นครูอย่างเรานี่แหละ"
    แต่ถ้าย้อนเวลากลับไป ก่อนที่ครูตุ๊กติ๊กจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความรู้อย่างทุกวันนี้ได้ เธอก็เคยได้รับทั้งโอกาสทางการศึกษาและการถ่ายทอดประสบการณ์จากเพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถมาก่อน

    "มีหลายอย่างมากเลยนะคะที่ประกอบให้เป็นตุ๊กติ๊กได้อย่างวันนี้ ถ้าในศาสตร์การสอน ครูที่เป็นอาจารย์หรือเพื่อนร่วมงานของเรา เป็นต้นแบบให้เราหลายคนมากเลย ซึ่งเราบอกไม่ได้ว่ามันมาจากใครบ้าง แต่สุดท้ายมันเป็นเบ้าหลอมที่ผสมผสานจนกลายเป็นครูอย่างเราในวันนี้ สำหรับทุนบุญรอดฯ แน่นอนว่าเขาให้โอกาสทางการศึกษากับเราในตอนนั้น ซึ่งมันหมายรวมถึงครอบครัวเราไปด้วย คุณแม่ก็เบาใจ มีความสุขไปด้วย เหนื่อยน้อยลง พอมันหลุดพ้นจากความกังวลตอนเรียนปริญญาตรีไปได้ มันก็ไม่ได้ยากสำหรับเราที่จะสู้ต่อไปด้วยตัวเราเอง เพราะฉะนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเราที่สุด เราได้รับทุนการศึกษาแล้ว เรามีกำลังใจ เราเฝ้ารอเงินก้อนนี้ว่าเราจะเอาไปสนับสนุนตัวเองในเรื่องอะไรได้บ้าง มันหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนที่เข้มแข็ง แล้วอยากจะทำอะไรให้กับสังคมไปโดยปริยายเลย 'เพราะการให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ที่ไม่สิ้นสุด' เรารู้สึกว่าอะไรที่เราจะทำได้แล้วไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เราก็อยากจะทำ เพราะฉะนั้นเลยรู้สึกว่าเราเป็นครูตุ๊กติ๊กที่สอนหนังสือได้ ร้องเพลงได้ และชอบงานศิลปะด้วย"

การส่งต่อการให้สู่รุ่นน้องทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา และอนาคตของชาติในฐานะครู
    จากประสบการณ์ที่เธอเคยได้รับทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษามาก่อน นักศึกษาทุกคนจะเข้าร่วมการปฐมนิเทศ แล้วจึงลงชื่อร่วมกิจกรรมในค่ายสำหรับนิสิตนักศึกษาที่ได้รับทุน ทำให้เธอได้เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน และทำกิจกรรมที่ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งความประทับใจจากการไปค่ายครั้งนั้น เป็นเหตุผลที่แม้จะจบการศึกษามาหลายปีแล้ว แต่เมื่อไรที่มีค่ายของนักศึกษาที่ได้รับทุน ครูตุ๊กติ๊กก็มักจะสมัครเข้าไปเป็นอาสา เพื่อร่วมออกแบบกิจกรรมกับทีมงาน แล้วครูตุ๊กติ๊กยังเป็นคนดำเนินกิจกรรมให้มีความสนุกสนานด้วยตัวเอง
    "พอไปค่ายแล้วเรามีความสุขตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ไป มันเป็นการเปิดโลกทัศน์มาก และเราได้พบว่าเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ เราไม่จำเป็นต้องทราบภูมิหลังของเพื่อนที่ได้ทุนรุ่นเดียวกับเราโดยละเอียดก็ได้ แต่เรารู้ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกคนลำบาก ตอนที่ไปเราค่ายจึงได้พบคนที่เหมือนเรา เข้าใจเราเพราะฉะนั้นเราจะรู้สึกมีเพื่อน ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกัน ใครมีเรื่องอะไร พวกเราทุกคนก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษารับฟัง รวมถึงยังได้รับพลังดีๆ มันเป็นพลังงานที่เรารู้สึกว่าเราจะสู้ต่อไป ได้ทำกิจกรรมกับน้องๆ โรงเรียนต่างๆ ได้เรียนรู้ ได้ข้อคิดต่างๆ มากขึ้น"
    "ฉะนั้นเมื่อเราได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น เราก็มีความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนอยู่แล้ว ทุนการศึกษาหนึ่งแสนบาทที่ได้รับในวันนั้นมันไม่ใช่แค่ค่าของเงิน มันมีความหมายมากกว่านั้น มันคือการลงทุนกับการศึกษา ซึ่งการศึกษามันคือการลงทุนกับคน เราอยากให้บริษัทมีทุนอย่างนี้ต่อไป เพราะให้โอกาสทางการศึกษากับคนได้เยอะ เราอยากให้คนในบริษัทรู้สึกว่า สิ่งที่บริษัทให้มาไม่สูญเปล่า เราก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่เราจะทำได้"
    ครูตุ๊กติ๊กยังคงย้ำอยู่เสมอว่า สิ่งที่พาให้เธอเติบโตและก้าวมาถึงจุดนี้ได้คือทุกสิ่งและทุกโอกาสที่ได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุนที่ช่วยสนับสนุนด้านการศึกษา หรือเบ้าหลอมทางความรู้และประสบการณ์จากบุคลากรครูอาจารย์ต่างๆ ที่เคยได้มา ทำให้เธอเป็นอย่างทุกวันนี้ แล้วมีความตั้งใจที่จะส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับเด็กรุ่นใหม่ต่อไป
    "เรายังมีความสุขกับการอยู่กับเด็กๆ ค่ะ ถ้าถามถึงความฝันก็คงจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้เต็มศักยภาพ เป็นครูในแบบของตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด แล้วผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่สังคมให้ได้มากที่สุด เท่าที่พละกำลังของคนๆ นี้จะทำได้ เพราะเราเชื่อว่าหน้าที่ของเรายิ่งใหญ่พออยู่แล้ว"

ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา กับการมอบโอกาสทางการศึกษามากว่า 44 ปี

    คุณญานี ศิริวัฒนกุล ผู้จัดการแผนกประจำ Corporate Capability Development Group บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้ดูแลและรับหน้าที่สัมภาษณ์เพื่อพิจารณามอบทุนด้วยตัวเองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 เป็นตัวแทนที่จะมาบอกเล่าจุดเริ่มต้นและวัตถุประสงค์ของทุนการศึกษานี้ให้เราฟัง

คุณญานี ศิริวัฒนกุล ผู้จัดการแผนกประจำ Corporate Capability Development Group บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
    ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2525 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนด้อยโอกาสในต่างจังหวัดที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ปัจจุบันมีการมอบทุนให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งสิ้น 22 สถาบัน สถาบันละ 16 ทุน ทุนละ 25,000 บาทต่อปีการศึกษา ซึ่งนิสิตนักศึกษาที่ได้รับทุนแล้ว จะได้รับต่อเนื่องไปตลอดจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จึงถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่อปีได้มาก และเป็นทุนให้เปล่าที่มอบให้กับทุกสาขาวิชา โดยไม่ต้องใช้ทุนหลังจบการศึกษา
    คุณญานีพูดถึงเกณฑ์ในการคัดเลือกว่า "เกณฑ์ในการคัดเลือกของเราคือ นักศึกษาจะต้องไม่ได้รับทุนอื่น แต่ในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้เราก็เลยจะพิจารณาคนที่กู้ยืมเงินจาก กยศ. ด้วย ผลการเรียนกำหนดไว้แค่ 2.5 ซึ่งไม่ได้สูงมาก แล้วเราให้ทุนครอบคลุมทุกสาขาวิชาเลยนะคะ แต่การคัดเลือกจะพิจารณาหลายอย่าง มีความกตัญญูกับพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายไหม ได้กลับไปดูแลบ้างไหม มีการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยไหม ทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เสริมด้วยหรือเปล่า" ซึ่งการทำความเข้าใจกับพื้นฐานครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ ลักษณะนิสัยเหล่านี้ เธอนำไปใช้พิจารณาถึงความจำเป็นในการขอทุนของเด็กแต่ละคนนั่นเอง
    เมื่อกระบวนการคัดสรรเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการจัดงานปฐมนิเทศให้นักศึกษาที่ได้รับทุนจากทั่วประเทศได้รับข้อมูลพร้อมกัน มีกิจกรรมละลายพฤติกรรมเพื่อทำความรู้จักเพื่อนร่วมรุ่น แล้วสามารถลงชื่อเข้าทำกิจกรรมในค่ายร่วมกันได้ โดยการทำค่ายนั้นมีความตั้งใจที่จะพาทุกคนเดินทางไปเปิดประสบการณ์ในสถานที่ใหม่ๆ มีช่วงเวลาเปิดใจที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ได้ออกไปทำกิจกรรมกับเด็กด้อยโอกาส แล้วยังเรียนรู้พื้นฐานการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมจากค่ายนี้
    การใช้เวลาร่วมกันในค่ายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งครั้ง ที่ทุกคนได้เป็นผู้ส่งและผู้รับกำลังใจจากกัน จึงเป็นเหมือนการสร้างเครือข่ายและสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของเด็กทุน ก่อนที่จะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วโอกาสทางการศึกษาที่ได้รับจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทุกคนสามารถนำไปยกระดับคุณภาพชีวิต ซึ่งพวกเขาอาจจะนำไปส่งต่อการให้ที่ไม่สิ้นสุดสู่สังคมในอนาคตข้างหน้า
    พร้อมอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับรู้อยู่ในใจว่า พวกเขายังมีความหวังและไม่ได้ต่อสู้กับปัญหาชีวิตอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป

    ครูตุ๊กติ๊กคือหนึ่งในผู้ที่เคยได้รับโอกาสทางการศึกษาจาก ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา จากคนที่เลือกเรียนครูเพื่อความมั่นคงในชีวิต เมื่อเธอได้เห็นการเติบโตของนักเรียนแต่ละรุ่น ก็รู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่เคยได้รับ จนมาสู่การส่งต่อความรู้ด้วยหัวใจของความเป็นครูในแบบของตัวเองอย่างแท้จริง

ดุสิตา อิ่มอารมณ์

นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว