ปี 2020...
ปีแห่งสารพัดปรากฏการณ์ สารพันเรื่องราว...
ช่วงปีที่หลากเหตุนำไปสู่หลายผล ...พร้อมกับสายธารแห่งกาลเวลาที่มุ่งหน้าไปไม่หยุดหย่อน
ได้มีผู้ชายคนหนึ่ง พร้อมด้วยพลพรรคอีก 2 คนได้นำคำว่า 'Mama' มาเป็นดั่งแก่นแกนของผลงานล่าสุด ...ที่เป็นการร้อยเรียงเรื่องราวของสิ่งละอันพันละน้อยกลายมาเป็นวิถี ...เป็นชีวิต ...และเป็นตัวตน โดยได้หลากแรงบันดาลใจมาจากหลายภาพทรงจำที่มี 'บ้านเกิด' เป็นฉากหลัง
ในเช้าวันหนึ่งของซีกโลกตะวันออก ...อันหมายความถึงช่วงเวลายามค่ำคืนของฟากฝั่งตะวันตก เทคโนโลยีอันล้ำหน้าก็ได้พาเราให้ได้พูดคุยกับผู้ชายที่เปรียบได้กับ 'mama's boy' ...ที่คำแรกนั้นสามารถให้ความหมายได้ทั้ง 'คุณแม่' และ 'พระแม่แห่งบ้านเกิดเมืองนอน' ของเขา
.......
"สวัสดีครับพอล ยินดีมากที่ได้เจอคุณนะ"
คือคำทักทายแรกที่เรากรอกเสียงผ่านไมค์โทรศัพท์มือถือไปถึง พอล ไคลน์(Paul Klein) นักร้องนำและแกนหลักในการรังสรรค์งานเพลงแห่ง LANY วงทรีโอที่มีจุดกำเนิดมาจากงานสไตล์ Bedroom Studio ก่อนหน้าที่งานเพลงที่พวกเขารักจะนำพาให้เขา พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คนคือ เลส พรีสต์(Les Priest) มือคีย์บอร์ด และ เจค คลิฟฟอร์ด กอส(Jake Clifford Goss) มือกลองทะยานออกจากห้องนอนไปสู่โลกกว้างทั้งใบ นับจากปี 2017 เป็นต้นมา จวบเมื่อล่าสุดก็เพิ่งได้สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จอีกครั้งกับอัลบั้มชุดที่สาม mama's boy
"ยินดีเช่นกันครับ" พอลในเสื้อยืดสีเขียวลายพรางทหารบกกล่าวผ่านเว็บแคมกลับมา ก่อนหน้าที่บทสนทนาข้ามโลกของเราจะเริ่มต้น...

ทราบมาว่า mama's boy มีรากฐานมาจากบ้านเกิดของคุณ อยากทราบถึงแรงบันดาลใจเบื้องต้นที่นำมาสู่อัลบั้มนี้สักเล็กน้อยครับ?
แรกทีเดียวผมก็แค่อยากพูดถึงบ้านเกิดของผมในอัลบั้มนี้ในแบบที่เป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน นั่นคือเหตุผลที่หน้าปกของอัลบั้มนี้จะเป็นภาพป้ายไฟนีออนรูปคาวบอย มีฉากหลังเป็นฟ้ายามพระอาทิตย์ตก โดยในเพลงอย่าง cowboy in L.A. นั้นผมก็พูดถึงเมืองโอกลาโฮมา ขณะที่ในเพลง good guy ผมก็พูดถึงสุภาพบุรุษทางตอนใต้ ซึ่งเพลงในอัลบั้มก่อนๆ จะไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องพวกนี้เท่าไร ผมเลยคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ใส่สิ่งเหล่านี้ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเกิดของผมลงไปในเพลงด้วย โดยให้คนฟังโดยคิดตามโดยย้อนกลัยไปถึงชีวิตของแต่ละคนไปด้วย
ถ้าเช่นนั้น mama's boy ถือเป็นคอนเสปต์อัลบั้มเลยไหมครับ?
ไม่ครับ mama's boy ไม่ใช่คอนเสปต์อัลบั้ม เพราะในขณะที่ Malibu Nights อัลบั้มชุดที่แล้ว จะเป็นเพลง 9 เพลงที่พูดถึงประเด็นเดียวกัน แต่สำหรับ mama's boy จะเป็น 14 เพลงที่พูดถึงเรื่องที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง มีบางเพลงที่ผมพูดถึงตัวเอง พูดอยู่กับคนอื่น หรือพูดถึงคนอื่นๆ เช่น พูดกับพระเจ้า หรือพูดถึงหัวใจที่ไม่ยินยอมให้ได้ทำตามที่ตัวเองเรียกร้อง อย่างในเพลง heart won't let me ไปจนถึงเพลงอื่นๆ ที่เป็นเหมือนผมคุยอยู่กับตัวเองว่า "นี่ใช่ความรักหรือเปล่า" ซึ่งขณะเดียวกัน คนฟังก็จะฟังโดยตีความจากอีกมุมหนึ่งด้วย ซึ่งทำให้ผมตื่นเต้นมากที่จะให้ทุกคนได้ฟังไปด้วยกันครับ

แล้วในแง่ของขั้นตอนการทำงานละ มีความแตกต่างจากอัลบั้ม 2 ชุดก่อนอย่างไรบ้างครับ?
หลังจากที่อัลบั้ม Malibu Nights นั้นมีขั้นตอนในการทำแตกต่างจากอัลบั้มแรกมากพอสมควร พอถึงช่วงที่ทำอัลบั้ม mama's boy พวกเราก็ตัดสินใจใช้วิธีเดียวกันเลยคือ พวกเราเลือกที่จะแต่งเพลงตุนเอาไว้ก่อน โดยพอมีโครงหลักของแต่ละเพลงแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่มีแค่เสียงร้องกับเปียโน ก็เสียงร้องกับกีตาร์ เราก็ค่อยมาเลือกเพลงที่เหมาะจะเอามาใส่ในอัลบั้ม แล้วจากนั้นจึงเอาเพลงพวกนั้นไปทำต่อในสตูดิโออีกทีหนึ่ง
แต่ถึงแม้ว่าวิธีการทำอัลบั้มนี้จะเหมือนกับอัลบั้มที่แล้ว แต่ในแง่อารมณ์กับความรู้สึกนั้นจะแตกต่างจากอัลบั้มที่แล้วอยู่มากทีเดียวครับ เพราะอย่างที่เพิ่งตอบไปว่า ขณะที่ mama's boy เป็น 14 เพลงที่พูดถึง 14 เรื่องราวต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป Malibu Nights เป็น 9 เพลงที่เกี่ยวกับการเลิกรา ผมเลยค่อนข้างตื่นเต้นที่จะให้ทุกคนได้ฟังเพลงในอัลบั้มนี้ครับ
ถ้าใครจะติดตามไอจีของคุณ ก็จะได้อ่านหรือเห็นถึงความใส่ใจต่อรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในชีวิตอยู่เสมอ นั่นเป็นสิ่งที่บันดาลใจคุณในการทำงาน รวมถึงเพลงในอัลบั้มบ้างไหมครับ?
ผมมองว่า เพียงแค่คุณให้คุณค่ากับสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในชีวิต คุณก็จะเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาได้ไม่ยากเลยละครับ และหากคุณใส่ใจทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วจะทำให้เกิดเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คิดเสมอ แม้ว่าบางครั้งความจดจ่อใส่ใจกับเหล่านี้จะทำให้ผมสว่างคาตาอยู่บ่อยๆ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมเป็น ผมเลยพยายามใส่ใจกับทุกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเหล่านี้อยู่เสมอ
เห็นว่าคุณได้ร่วมทำเพลงกับ เคชิ(Keshi) (ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายเวียตนาม) ในเพลง (what i wish just one person would say to me) aka happy for you พวกคุณมาร่วมงานกันได้อย่างไรครับ?
ผมไปค้นพบเพลงของเคชิเมื่อช่วงหน้าร้อนของปีที่แล้วครับ ซึ่งผมชอบมาก ผมเลยเริ่มตามไอจีเขา เพื่อจะพบว่าเขาตามไอจีของผมอยู่แล้วด้วย ซึ่งมันเจ๋งมากๆ ผมเลยตัดสินใจส่งข้อความตรงไปหาเขาว่า "ผมชอบเพลงคุณมากเลย" เขาก็ตอบกลับมาว่า "ผมกำลังจะไปแอลเอนะ" น่าราวๆ ตุลาคมปีที่แล้ว (2019) พวกเราก็เลยคุยกัน ถ้าได้มาเจอกัน แล้วได้มานั่งแต่งเพลงด้วยกันก็คงดี ตอนนั้นผมเริ่มแต่งเพลงสำหรับอัลบั้มนี้ไปได้เดือนกว่าๆ แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะไปในทิศทางไหน เพราะผมก็ไม่ได้ออกไปเจอใครสักเท่าไรเลย
ตอนที่เขาเข้ามาหาผมที่ห้อง ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่นิสัยดีมาก หลังจากที่เราทักทายแล้วก็พูดคุยกันนิดหน่อยว่าชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงกันบ้างแล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก คือในระหว่างที่เราคุยกัน ผมก็เริ่มพิมพ์โน่นนั่นนี่ไปเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างพรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติมากๆ จนกระทั่งแต่งเพลงเสร็จภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง และทำเดโมด้วยกัน จากนั้นผมก็ส่งเดโมที่เพิ่งเสร็จให้เพื่อนๆ ใน LANY ได้ฟังกัน ซึ่งทั้ง 2 คนก็ชอบเพลงนี้มาก พวกเราเลยตัดสินใจว่า จะเอาเพลงนี้ใส่ลงไปในอัลบั้มด้วย ทั้งหมดเป็นกระบวนการแต่งเพลงที่เจ๋งและทรงประสิทธิภาพมากๆ น่าเสียดายที่หลังจากวันนั้นผมไม่ได้เจอเขาอีกเลย เหมือนเราแค่มาเจอกันวันหนึ่ง แต่งเพลงด้วยกัน แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย (หัวเราะ)

ขอขยับออกจากเรื่องของอัลบั้มนี้นี้บ้างนะครับ คุณคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงดนตรีจะเป็นอย่างไร?
(นิ่งคิด) ไม่ทราบเหมือนกันครับ (หัวเราะ) เป็นคำถามที่ตอบยากทีเดียว เพราะผมก็ไม่แน่ใจว่าหมายถึงมันเคยมีเสียงดนตรีมาก่อนแล้วจู่ๆ ก็หายไป หรือว่าไม่เคยมีดนตรีมาก่อนตั้งแต่แรก แต่ที่ตอบได้อย่างหนึ่งเลยคือมันคงเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่เอาซะเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ดีใจที่โลกเรามีเสียงดนตรีนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมมี Passion มากที่สุดในชีวิตแล้ว และผมทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อที่จะสร้างสรรค์งานดนตรีให้ออกมาดีที่สุด
คงต้องถึงคำถามสุดท้ายแล้ว คุณมีภาพทรงจำเกี่ยวกับเมืองไทยในแง่มุมไหนบ้างครับ?
อาหารไทยดีที่สุดเลยครับ ในย่านที่ผมอยู่มีร้านอาหารไทยด้วยนะ แต่เทียบกับที่ผมเคยไปกินที่เมืองไทยไม่ได้เลย คือเขาก็ทำได้ดีนะ... ดีพอเลยล่ะ แต่ผมแค่ชอบตอนไปกินที่เมืองไทยมากกว่า ขณะที่แฟนๆ ชาวไทยก็ดีมาก เรามีแฟนเพลงเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ไปแสดงที่เมืองไทย แฟนๆ ช่วยร้องระหว่างแสดงกันดังมาก แถมยังเปี่ยมด้วยพลังกันมากๆ ด้วย ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีของคนดูประเภทที่ศิลปินอยากเจอครับ ผมเลยตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ไปที่นั่น
.......
"ขอบคุณที่มาร่วมพูดคุยกันในเช้าวันนี้นะครับ เราอยากให้คนทั่วโลกได้ฟังมันซะทีแล้ว" พอล ไคลน์ กล่าวลาเรา ก่อนที่ภาพของชายหนุ่มเปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้นตรงหน้าจะถูกปิดไป
เหลือเพียงความเงียบ กับภาพ Wallpaper คอมพิวเตอร์แล็บท็อป ...และหัวที่ตลบด้วยสารพันความคิดที่รอการตกตะกอน
ก่อนที่จู่ๆ สมองจะนำพาความคิดกลับไปยังหลายสิบปีก่อน...
กับฉากตอนหนึ่งใน Blackjack มังงะเรื่องเยี่ยม ซึ่ง เท็ตสึกะ โอซามุ ผู้เป็นบิดาแห่งวงการหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงโลกในยุคที่ใกล้ล่มสลาย กระทั่งมนุษย์ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยการเดินทางหนีตายไปหาที่ตั้งรกรากในดาวดวงใหม่ซักดวงในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล
แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแม้จะสามารถเล็ดรอดออกมาจนถึงชั้นบรรยากาศแล้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจย้อนกลับไปยังที่ๆ พวกเขาเพิ่งจากมา แม้ในชั่ววินาทีแห่งความเป็นความตายที่อาจพรากชีวิตของทุกคนไปได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายเพียงว่า ...เพราะโลกคือ 'บ้าน' ของพวกเขา
ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุเดียวกันกับที่ทั้งโลกฟากตะวันออกและฝั่งตะวันตกจะมีเปรียบโลกหรือธรรมชาติเป็นดั่ง 'พระแม่ธรรมชาติ (Mature Nature)' อันมีเพลง แม่เดียวกัน ของวงกัมปะนีเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของตัวอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นนี้...

ทันใด สติก็พากลับมายังปัจจุบันขณะที่มีหลายบทเพลงจากอัลบั้ม mama's boy ดังขึ้นสู่โสตประสาท
วาบความคิดที่เพิ่งผ่านมาได้กระซิบบอกกับเราว่า บางทีนั่นอาจเป็นที่มาของความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในบทเพลงจากอัลบั้มนี้ ที่ Paul และเพื่อนๆ ต่างภาคภูมิใจ
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อ้อมกอดของแม่นั้นก็อบอุ่น และเปรียบได้กับ 'บ้าน' ของมนุษย์ทุกคนเสมอ...
และไม่ว่าเส้นทางชีวิตจะพาเราไปโลดโผนผจญภัย ให้ต้องเผชิญความบอบช้ำหรือกรำสุขมากมายซักเท่าไร...
ในที่สุดแล้ว ...หัวใจของทุกคนก็ต้องการที่จะกลับบ้าน