การร่อนเร่ไปในความฝันของ NOMA ศิลปินที่วาดความสุขให้กับชีวิตจริงของตัวเอง

    "ถ้าการวาดภาพที่ทำให้เรามีความสุขและสนุกขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่ทำมาตั้งนานแล้ว" NOMA พูดถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อผลงานส่วนตัวชิ้นแรกที่วาดขึ้น หลังจากที่ห่างหายจากการวาดภาพมา 3-4 ปี เมื่อเธอนำภาพวาดชิ้นนั้นโพสต์ลงโซเชียลมีเดียและวาดภาพอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ก็ทำให้มีผู้ชื่นชอบและติดตามมากขึ้น จนกลายเป็นที่รู้จักในนาม NOMA มาจนถึงปัจจุบัน
    NOMA ถือเป็นศิลปินนักวาดชาวเกาหลีที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง ภาพวาดของเธอภายใต้ชื่อ NOMA มักจะมีตัวละครหนุ่มสาวและสรรพสัตว์ภายใต้แสงเงาที่ชวนค้นหา เธอเลือกใช้ฉากธรรมชาติสลับกับฉากเมืองที่คุ้นเคย แล้วแต่งแต้มกลิ่นอายแฟนตาซีที่กระตุ้นจินตนาการ ทำให้ภาพวาดของเธอบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในยุคสมัย ที่บางครั้งอาจจะฉาบไปด้วยความหม่นเศร้า แต่บ่อยครั้งก็ยังมีประกายแห่งความหวัง รวมถึงความสุขในชีวิตประจำวันง่ายๆ ที่แสนอบอุ่นหัวใจ 
    NOMA เป็นศิลปินที่ได้รับความสนใจในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียทั้ง X, Instagram และ Youtube เกินกว่าหกแสนคนทีเดียว
    ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อ NOMA สมัครเข้ามาในงาน Bangkok Illustration Fair 2024 (BKKIF 2024) แล้วได้เป็นหนึ่งใน BKKIF Artist ที่มาร่วมจัดแสดงผลงานในปีนั้น แต่ในช่วงเวลาจัดงานเป็นเวลาเดียวกับที่เธอเพิ่งคลอดลูก สามีของเธอจึงเป็นตัวแทนเดินทางมาออกบูท และได้พบปะผู้ติดตามผลงานที่แวะมาเยี่ยมเยียนถามถึงเธอเป็นจำนวนมาก 
    เมื่อมีโอกาสเหมาะ happening จึงนัดสัมภาษณ์ NOMA เพื่อทำความรู้จักและหาความหมายของการพเนจรร่อนเร่ไปในภาพวาดของเธอ
การลาออกครั้งสุดท้ายที่ทำให้ได้มาเป็นนักวาด
    NOMA เล่าให้ฟังว่าเธอสนใจการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก สมัยมัธยมต้นเคยเรียนโรงเรียนด้านศิลปะโดยเฉพาะ แต่เมื่อขึ้นมัธยมปลายแล้วก็เข้าโรงเรียนที่สอนหลักสูตรสามัญทั่วไป ที่มีสาขาวิชาศิลปะให้เรียน ช่วงเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เข้าคณะแอนิเมชัน แต่ก็ลาออกมากลางคัน เมื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง แต่ก็ตัดสินใจลาออกมาอีก
    "ตอนที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนอายุ 21 ฉันกลับไปบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด แล้วรู้สึกว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เลยไปสมัครไปเป็นครูในโรงเรียนสอนศิลปะ ซึ่งเป็นที่กวดวิชาศิลปะที่ฉันเคยเรียนก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ช่วงแรกก็รู้สึกกังวลและกดดันเวลาที่จะต้องสอนใครสักคน แต่พอสอนไปเรื่อยๆ ก็เหมือนการได้ค้นหาตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เลยเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆ"
    ระหว่างที่เป็นครูในโรงเรียนสอนศิลปะ เธอไม่เคยวาดภาพของตัวเองประมาณ 3-4 ปี จนรู้สึกว่า "ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว" เธอเลยทำงานสอนไปด้วย แล้วก็วาดภาพไปด้วย พอวาดภาพแรกเสร็จแล้ว ก็เลยนำมาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียให้ทุกคนเห็น พอลงผลงานไปเรื่อยๆ ก็พอเห็นเส้นทางที่จะได้เป็นนักวาด เลยทำงานเป็นนักวาดภาพประกอบยาวมาจนถึงทุกวันนี้
    ดูเหมือนว่าเธอจะยังจำความรู้สึกตอนวาดภาพนั้นได้ดีทีเดียว
    "จริงๆ แล้วภาพนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ มือไปทางไหนก็ไปตามนั้น อย่างที่บอกว่าไม่ได้วาดภาพมานาน ก็เลยวาดไปตามใจ มีบางคนเห็นภาพนี้แล้วรู้สึกว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ฉันรู้สึกชอบและรักผลงานชิ้นนี้มากๆ ระหว่างที่วาดภาพ ฉันรู้สึกสนุกมากๆ เลยคิดว่า 'ถ้าการวาดภาพที่ทำให้เรามีความสุขและสนุกขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่ทำมาตั้งนานแล้ว' รูปนั้นทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง"
สีกวอชที่ทำให้ตกหลุมรักและการได้พบกับความสุขที่แท้จริง
    ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ของ NOMA ใช้สีกวอช (Gouache watercolor) หรือ สีน้ำทึบแสง ที่ให้อารมณ์คล้ายสีน้ำ เราอยากรู้ว่าทำไมเธอจึงเลือกใช้สีชนิดนี้ แล้วก็ได้คำตอบว่า "อย่างที่บอกว่า ฉันสนใจการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันก็ชอบไปร้านหนังสือด้วย แต่ว่าเมื่อก่อนร้านหนังสือยังไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับภาพประกอบมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือนิทาน ซึ่งหนังสือนิทานเกาหลีในช่วงนั้นใช้ภาพวาดสีน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งฉันหามาใช้ไม่ได้ สีเดียวที่หาได้ง่ายที่สุดคือ สีน้ำ ฉันก็เลยเริ่มใช้สีน้ำวาดภาพตั้งแต่อายุ 16 จนได้มารู้จักกับสีกวอช ตอนที่ลองใช้ก็เริ่มรู้สึกว่า เวลาวาดแล้วให้ความรู้สึกเหมือนภาพในหนังสือนิทานสมัยเด็กที่เคยอ่าน แล้วมีความคล้ายภาพดิจิตอลหน่อยๆ จากนั้นฉันก็เลยตกหลุมรักกับสีกวอช แล้วใช้วาดภาพมาตลอดเลย"
    ช่วงแรกเธอค่อนข้างมีปัญหากับการวาดภาพ จนตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ฉันควรวาดภาพต่อไปไหม" หรือว่าควรทำอะไรดี แต่ทันทีที่ได้เริ่มวาดภาพแรกออกมาแล้ว เธอก็รู้สึกว่าการทำสิ่งนี้คือความสุข
    "ฉันรู้สึกว่าเราสนุกกับการวาดภาพขนาดนี้ เราจะไม่ทำมันจริงๆ หรือ พอวาดไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกหลงใหล แล้วอยากเป็นนักวาดภาพประกอบขึ้นมาจริงๆ แต่พอเริ่มเป็นนักวาดภาพประกอบแล้ว ก็ยังมีความสงสัยอีกว่า 'แล้วภาพวาดของเราจะหาเงินให้เราได้จริงๆ ไหม' ในแง่รายได้ จะมีคนซื้อผลงานของเราไปเป็นปกหนังสือไหม ตอนนั้นฉันอัพรูปลงโซเชียลมีเดีย มีแฟนคลับสนใจผลงานก็จริง แต่ยังไม่แน่ใจว่คนส่วนใหญ่จะชอบภาพวาดของฉันหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกว่า ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีใครมาจ้างให้วาดปกหนังสือหรือปกอัลบั้ม เดี๋ยวจะทำโปสการ์ด โปสเตอร์ขาย แล้วหาเงินจากตรงนั้นแทนก็ได้ เลยลองนำผลงานไปวางขาย แล้วก็เริ่มมีคนสนใจ ติดต่อให้ไปวาดแชตวอลเปเปอร์ (chat wallpaper) มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผลงานได้รับความนิยมขึ้นมา จนตอนนี้รู้สึกว่า ค่อนข้างมีความมั่นคงนะคะ แต่อยากจะบอกว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ฉันหลงทาง สับสน และกังวลกับเส้นทางการเป็นนักวาดภาพประกอบมากจริงๆ"
    NOMA มีสินค้าที่ทำขึ้นจากภาพวาดของตัวเองมากมาย เช่น สติกเกอร์ โปสการ์ด โปสเตอร์ ที่คั่นหนังสือ แผ่นรองโต๊ะทำงาน (desk mat) เข็มกลัด กระจกพกพา ฯลฯ แล้วเมื่อปีค.ศ. 2021 เธอยังเป็นนักวาดภาพประกอบคนแรกที่ได้จัดนิทรรศการเดี่ยว The Garden of Traces ที่ Sejong Center for the Performing Arts (เซจง เซ็นเตอร์ ฟอร์ เดอะ เพอฟอร์มิง อาร์ตส์) ในกรุงโซล มีผลงานออกแบบปกหนังสือ แล้วยังร่วมงานกับร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังของเกาหลีอย่าง NO BRAND BURGER ที่เรียกได้ว่า NOMA ทำให้งานภาพประกอบเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างกลมกลืน
ที่มาของชื่อ NOMA ที่เธอใช้ร่อนเร่ไปในภาพวาดแห่งความฝัน
    NOMA บอกว่า เริ่มแรกเธอใช้ชื่อศิลปินว่า NOMA โดยไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
    "ตอนแรกฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ลองเขียนคำที่ตัวเองชอบออกมาเยอะๆ จนเป็นคำว่า NOMA กระทั่งตอนที่ได้มาเจอกับสามี เขาก็ถามว่า รู้จักคำศัพท์ว่า nomadic ไหม ที่หมายถึง เตร็ดเตร่ ร่อนเร่ น่ะ แล้วทั้งฉันและสามีก็ชอบไปไหนมาไหน ไม่ชอบอยู่เฉยๆ เลยคิดว่าเอาคำว่า NOMADIC มาใช้เป็นชื่อสตูดิโอที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้"
    ถึงกระนั้นเธอก็คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า จะเตร็ดเตร่ร่อนเร่เหมือนชื่อสตูดิโอไม่ได้นะ
    "สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นนักวาดภาพประกอบคือ ความสม่ำเสมอ ฉันคิดว่าอาชีพนี้เราต้องทำงานคนเดียวเป็นส่วนมาก นักวาดบางคนอาจจะทำงานที่บ้านหรือทำงานที่สตูดิโอใช่ไหมคะ ถ้าหากไม่ทำงานอย่างสม่ำเสมอหรือขี้เกียจขึ้นมา จู่ๆ ออกไปเที่ยวเล่นก็เสียงานได้ง่าย เลยรู้สึกว่าการมีวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก"
    แล้วในความมุ่งมั่นตั้งใจวาดภาพของเธอ ก็นำไปสู่การเดินทางไปร่วมงานเทศกาลมากมายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงได้รับคำเชิญให้เป็น Guest Artist ในงาน Bangkok Illustration Fair 2025 (BKKIF 2025) ด้วย 
    การเดินทางไปร่วมงานเทศกาลทำให้ได้รับประสบการณ์ดีๆ มากมาย เธอเล่าให้ฟังว่า "ฉันรู้สึกตกใจและประหลาดใจมากๆ ที่มีคนรู้จักและชอบผลงานของฉันในต่างประเทศด้วย ฉันเคยได้รับคำเชิญให้ไปร่วมงานที่ไทเปครั้งหนึ่ง ก็มีคนที่นำเคสโทรศัพท์มือถือที่ทำขายช่วงแรกๆ ถือมาเจอกันที่งานด้วย ช่วงที่ผ่านมาฉันมีโอกาสได้ไปต่างประเทศค่อนข้างมาก แต่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่เธอคนที่ชอบผลงานของฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณ แถมยังได้รับพลังงานดีๆ กลับมาจากพวกเขาด้วย"
    เธอบอกว่าตอนที่ไปร่วมงานที่ไทเป มีแฟนคลับคนหนึ่งที่เป็นนักวาดคนไทยเล่าให้ฟังว่า กรุงเทพฯ มีงาน BKKIF เธอเลยส่งผลงานสมัครเข้ามา "จริงๆ ฉันอยากไป BKKIF 2024 ที่กรุงเทพฯ ด้วย แต่ไปไม่ได้เพราะท้องแก่มากเลย ฉันคลอดลูก 1 วันหลังจากงาน BKKIF เลยนะ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังได้รับจดหมายและข้อความว่า ที่กรุงเทพฯ มีคนมาซื้อผลงานของฉันเยอะมากเหมือนกัน" 
    สามีของเธอช่วยเล่าเสริมว่า มีคนรู้จัก NOMA เยอะมาก เขาได้ทั้งจดหมายและภาพวาดที่ฝากให้เธอเยอะมาก ซึ่งระหว่างที่อยู่ในงาน BKKIF จะมีประโยคที่เขาพูดเยอะมากคือ "ตอนนี้คุณ NOMA มาไม่ได้นะ เขาท้องอยู่ครับ ผมไม่ใช่นักวาดนะ คุณนักวาดไม่ได้มานะครับ ผมพูดทั้งวัน แล้วมันตลกมากคือ ระหว่างที่ผมไปเข้าห้องน้ำอยู่ คุณนักวาดบูทข้างๆ ก็มาช่วยบอกว่า คุณนักวาดท้องอยู่นะ มาไม่ได้นะ เลยรู้สึกประทับใจกับงานนี้มากๆ"
การสนับสนุนของครอบครัวที่ทำให้ NOMA ไม่ได้ทำงานโดดเดี่ยว
    แม้ NOMA จะบอกว่านักวาดทำงานเพียงลำพัง แต่ตัวเธอยังมีสามีที่คอยสนับสนุนอยู่เสมอ โดยตอนแรกสามีเคยทำอาชีพอื่นมาก่อน เมื่อลาออกจากงานในปี 2019 ก็เลยได้มาช่วยงานด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการวาดภาพ ด้วยความที่ตัวเธอมีงานเยอะมากจนทำคนเดียวไม่ไหว เขาเลยค่อยๆ เข้ามาช่วยทีละเล็กทีละน้อย จนสุดท้ายก็เข้ามาช่วยเต็มตัว
    "นอกจากการวาดภาพแล้ว งานด้านอื่นๆ ฉันไม่ค่อยเก่งเท่าไร โดยเฉพาะงานด้านธุรกิจ แต่ว่าสามีฉันเก่งด้านนี้มากๆ และไม่ว่างานจะเหนื่อยหรือลำบากแค่ไหน เขาก็ไม่บ่นไม่เกี่ยงงานเลย โดยเฉพาะช่วงที่ฉันกำลังท้อง แล้วสภาพจิตใจอ่อนไหว สามีก็จะมาช่วยเทคแคร์สภาพจิตใจตรงนี้ด้วย สิ่งที่ได้รับจากเขาทำให้ภาพวาดของฉัน ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะมีความหม่นเศร้าอยู่ แต่ทุกวันนี้ภาพรวมมีความอบอุ่นมากขึ้น เพราะมีเขาเป็นหลักอันมั่นคงที่ช่วยค้ำจุนด้านจิตใจให้"
    หากจะเรียกสามีของเธอว่า เป็นหนึ่งในทีมคนสำคัญของ NOMA ก็คงไม่ผิดนัก แต่เธอยังมีสมาชิกอีก 2 ตัว คือ ไทซู และ เฮซู สุนัขสายพันธุ์โคเรียน จินโด ที่คอยกระตุ้นให้คอยดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองบ้าง "ก่อนหน้านี้ฉันทำงานค่อนข้างหนัก ใช้เวลาทำงานอยู่หน้าโต๊ะทำงานหรือคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน จนมีปัญหาเรื่องข้อมือและรู้สึกไม่ค่อยมีแรง แต่พอเลี้ยงสุนัขแล้ว นั่งทำงานอยู่ก็อาจจะพาเขาออกไปเดินเล่นบ้าง แล้วก็มีพากันเดินขึ้นเขา ซึ่งเหมือนการออกกำลังกายและทำให้ได้ดูแลสุขภาพด้วย ถ้าเป็นช่วงที่ยังไม่ได้เลี้ยงเขาก็ไม่ได้ดูแลสุขภาพตัวเองเลย"
    ครอบครัวที่มีสามี ลูกน้อย และสุนัข ช่วยสร้างสมดุลของชีวิตส่วนตัวและการทำงานของเธออย่างมาก เมื่อถามถึงความพึงพอใจ เธอก็ให้คำตอบทันทีว่า "ระดับความพึงพอใจของชีวิตเต็มที่มาก ตอนแรกฉันทำงานที่บ้าน เลยกลายเป็นว่า ทั้งเรื่องงาน ชีวิตประจำวัน และทุกอย่างมันแยกออกจากกันไม่ได้ รวมกันไปหมด ก็เลยไม่ค่อยมีความสุข หลังจากนั้นก็เริ่มหาสตูดิโอทำงานสักพักหนึ่ง จนตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะมีพื้นที่ทำงานในบ้านไปเลย แต่จะแบ่งเวลาในชีวิตว่า ทำงานก็ทำงานจริงๆ ทำงานเสร็จก็ออกมาใช้ชีวิต เลยรู้สึกว่าฉันใช้ชีวิตได้อย่างบาลานซ์"
    ซึ่งสามีก็พูดถึงการทำงานของเธอไว้ว่า "ผมรู้สึกว่า ถึงแม้คนเราจะไม่ได้เก่งทุกเรื่อง มีบางเรื่องที่ทำไม่ได้บ้าง แต่เธอเป็นคนที่เปล่งประกายมากๆ ด้วยความที่ NOMA เป็นคนที่ชัดเจนกับความรักในการวาดภาพของตัวเองมากๆ ผมเลยรู้สึกว่าเท่มากๆ และเคารพเธอมากๆ ในจุดนี้ครับ"
    NOMA ยังพูดถึงสมดุลในความฝันและชีวิตจริงของเธอไว้ว่า "ตอนเด็กๆ ความฝันของฉันคือการได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก จริงอยู่ที่ความสุขของฉันคือการได้วาดภาพ แต่ก็อดรู้สึกว่า วาดภาพอย่างเดียวแต่ไม่มีรายได้ ฉันก็คงจะมีความสุขได้ไม่นาน ถือว่าฉันโชคดีที่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำรายได้จากมันได้ด้วย สิ่งนี้เลยเป็นความสุขของฉันที่สามารถวาดภาพไปได้นานๆ อย่างมั่นคงค่ะ"
    หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเธอตั้งแต่ต้นจนจบ เราก็รู้สึกได้ว่า ชื่อ NOMA และคำว่า NOMADIC ช่างเหมาะกับเธอเหลือเกิน เพราะการร่อนเร่ไปบนเส้นทางนักวาดด้วยตัวเองนั้น ทำให้เธอค้นพบความสุขของชีวิตได้ในที่สุด 
    แล้วภาพวาดของเธอ ยังพาทุกคนออกเดินทางไปสัมผัสความฝันที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริงต่อไปได้อีกด้วย
Favorite Something
  •   The Terminal - Steven Spielberg
  •   Piano Man - Billy Joel
  •   The Vegetarian - Han Kang
  •   Claude Monet

ดุสิตา อิ่มอารมณ์

นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ