เมื่อพูดถึงศิลปะบนร่างกาย ภาพจำที่หลายคนมักนึกถึงคือ รอยสักขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยลวดลายดุดัน ทั้งผลงานขาวดำและสีสัน หรือแม้กระทั่งการสักยันต์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักเชื่อมโยงกับความเชื่อดั้งเดิม โดยส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ในอดีต ผู้หญิงเองก็มีรอยสักเพื่อแสดงถึงการเสริมอำนาจ หรือเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสิทธิในยุคสตรีนิยมเช่นกัน
ในยุคสมัยที่ความเท่าเทียมเริ่มขยายออกไปในวงกว้างมากขึ้น การเปิดรับการสักบนร่างกายก็ได้รับการยอมรับตามไปด้วย โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของช่างสักผู้หญิง และการที่ผู้หญิงเริ่มมีรอยสักกันมากขึ้น รอยสักจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การตกแต่งร่างกายเพื่อความสวยงาม แต่ยังช่วยให้หลายคนสามารถแสดงออกถึงตัวตน ความรู้สึก หรือเรื่องราวสำคัญในชีวิตได้อย่างอิสระ และสะท้อนความหลากหลายในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
เราจึงอยากพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 9 Tattoo Artists จากมุมมองของช่างสักผู้หญิงที่มีสไตล์และความหลากหลายของผลงาน ในวันที่ศิลปะการสักได้รับการยอมรับมากขึ้น เราจะได้เห็นแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของพวกเธอ เช่น การท่องเที่ยว ความสนใจส่วนตัว หรือ เรื่องราวลึกซึ้งจากลูกค้า อีกทั้งยังมีการสะท้อนมุมมองด้านเชิงพาณิชย์ ที่ช่วยเปิดแง่มุมใหม่ให้เราเห็นว่า ทุกประสบการณ์นำมาใช้เป็นการสร้างสรรค์รอยสักได้ โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่กรอบเดิมๆ
ตามเราไปทำความรู้จักศิลปะการสักที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้นผ่านมุมมองของพวกเธอทั้ง 9 คนกันเลย
Troll ยักษ์สีเขียวแห่งโลกเวทมนตร์ คาแรกเตอร์ที่ถ่ายทอดว่า เหล่า Fairy ไม่ได้มีแค่นางฟ้าสวยงาม
เหนือฟ้า-อิสริยา ฑิตะปัญโญ

หากพูดถึงเรื่องราวของเทพนิยายและแฟรี่ หลายคนคงคุ้นตากับดอกไม้ เหล่าภูตินางฟ้าตัวเล็กที่มีปีกสวยงามคล้ายผีเสื้อ แต่ในโลกเวทมนตร์ยังมีองค์ประกอบและตัวละครที่มากกว่านั้น เหนือฟ้า เป็นศิลปินช่างสักที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านรอยสัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความหลากหลาย และไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ความสวยความงาม
หลังจากเธอเรียนจบจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ในช่วงที่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงที่หางานยากมาก เธอจึงตัดสินใจที่จะเรียนรู้เรื่องการสัก เพราะคิดว่าเป็นการทำงานที่สามารถเริ่มจากตัวเอง ด้วยทักษะการวาดรูปและความชอบที่มีต่อศิลปะทุกแขนง เธอคิดว่าน่าจะสามารถทำงานนี้ได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงมีแพสชันในสิ่งที่รักต่อไปได้เรื่อยๆ
คาแรกเตอร์เอกลักษณ์ของ troll_the_tatt คือ 'โทรลล์' ยักษ์สีเขียว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความชื่นชอบดูหนังแฟนตาซี อย่าง Harry Potter และ Spiderwick กับโลกเวทมนตร์และตัวละครเซอร์เรียลมากมาย เธอรู้สึกว่ายังมีตัวละครอื่นๆ ที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง ซึ่งอาจจะไม่ได้ตรงกับบิวตี้สแตนดาร์ด แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันสะท้อนถึงตัวตนของเธอในหลายๆ ด้าน จึงรู้สึกชื่นชอบและเลือกโทรลล์ให้เป็นคาแรกเตอร์ประจำร้าน ส่วนสไตล์ผลงานในร้านก็ตั้งใจอยากให้ลูกค้าสัมผัสถึงความเป็นแฟรี่เทลและเทพนิยาย แม้ไม่มีตัวแฟรี่สวยงามตามมาตรฐานทั่วไป
การสะสมประสบการณ์ และความมุ่งมั่นที่ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทำให้ผลงานของเธอมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนลูกค้าบางคนบอกว่า แค่เห็นผลงาน หรือเห็นลายนี้ก็รู้เลยทันทีว่าเป็นงานที่เธอสัก คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกดีใจและภูมิใจ รวมถึงยังมีเรื่องราวน่ารักๆ เกี่ยวกับการเป็นช่างสักที่ดูเหมือนเป็นโชคชะตานำพาให้เธอได้เจอกับคนสำคัญในเส้นทางนี้ ทั้งคนที่สอนเธอสักกับช่างสักคนแรกที่เธอได้ไปสักด้วย ที่ทั้งสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกันในแบบที่ไม่น่าเชื่อ
เหนือฟ้าปิดท้ายด้วยการบอกความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่ผู้หญิงเริ่มมีรอยสักมากขึ้น และการที่มีผู้หญิงเป็นช่างสักเพิ่มขึ้นในปัจจุบันว่า
"ถ้าเป็นเรื่องของการสักในปัจจุบันที่ทั้งผู้หญิงเป็นช่างสักหรือว่าโดนสักเอง เรารู้สึกว่าตอนนี้มันดูฟรีขึ้น เราเห็นช่างผู้หญิงเก่งๆ เยอะมาก แล้วก็รู้สึกดีใจที่วงการสักมันก็เริ่มบูมขึ้น แล้ววัยรุ่นเดี๋ยวนี้สักกันเยอะ เรารู้สึกว่าเค้าต้องการแสดงความเป็นตัวเองออกมาผ่านลายสัก"
ส่วนความท้าทายในการเป็นช่างสักของเธอ อาจจะเป็นที่บางครั้งมีการคำนึงถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวนิดหน่อย เนื่องจากเป็นสตูดิโอส่วนตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรค เพราะว่าลูกค้าทุกคนที่มาสักกับเธอทุกคนล้วนเป็นลูกค้าที่น่ารักมากๆ และเธอยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกของ troll_the_tatt!
จากการเพ้นต์ตัวด้วยปากกาเมจิกตั้งแต่วัยเด็ก สู่การเป็นช่างสักสไตล์ฟรีแฮนด์ (Freehand) ที่เต็มไปด้วยจินตนาการ
เหมย-จารุวรรณ แซ่ลี

เหมยเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 5 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่เริ่มต้นเข้ามาคลุกคลีกับวงการสักจากการรับออกแบบลวดลายสำหรับการสัก จากพื้นฐานความชอบวาดรูปและหลงใหลในการเสพงานศิลป์ ทำให้เธอตัดสินใจเรียนรู้และฝึกหัดการสักด้วยตัวเอง จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเปิดร้านสักอย่างจริงจัง
เหมยเล่าย้อนกลับไปถึงแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการสักโดยเลือกใช้เทคนิคฟรีแฮนด์ของร้านเธอว่า
"ความสนใจเกี่ยวกับงานศิลปะคือเริ่มตั้งแต่ตอนเด็กเลยค่ะ คือชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว พอมีพื้นฐานวาดรูปบ้าง ชอบเอาปากกาเมจิมาเพ้นต์ตัวพี่ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันคือการสัก แล้วก็เหมือนเราก็เริ่มชอบตั้งแต่ตอนนั้นมา" เธอเล่าไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก
นอกจากนี้ สไตล์งานสักของร้านเธอไม่ได้จำกัดแค่ดอกไม้เท่านั้น เหมยยังบอกเราอีกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เลือกมาที่ร้านมักจะชอบแนวงานของเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่บางคนก็มีเรื่องราวเพิ่มเติม เช่น บางคนชอบทะเล บางคนชอบภูเขา แล้วต้องการให้มีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ในงานด้วย เธอก็จะออกแบบให้สอดคล้องกับสไตล์ของร้านและความต้องการของลูกค้า เพราะเชื่อว่าศิลปะการสักไม่ได้มองแค่มุมของความสวยงามอย่างเดียว แต่ยังเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้ผ่านรอยสักได้อีกด้วย
การได้ทำงานสักและได้พบลูกค้าที่หลากหลาย ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำในช่วงเริ่มต้นการเป็นช่างสักของเธอตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี จากทั้งกลุ่มนักศึกษาต่างคณะ หรือว่าผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ทำให้เธอได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับลูกค้า รวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติที่มักชื่นชมผลงานและให้กำลังใจว่า งานสร้างสรรค์ของเธอมีคุณค่าและสามารถมีมูลค่าได้มากกว่าที่เธอคิด
เหมยมองว่าการที่เริ่มมีช่างสักผู้หญิงมากขึ้น ทำให้ลูกค้าผู้หญิงก็มีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน เพราะความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ลูกค้าจึงรู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะในเรื่องของตำแหน่งที่ต้องการสัก ซึ่งทำให้เธอรู้สึกดีใจที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการสักและการยอมรับในยุคปัจจุบัน
รอยสักเล่าเรื่องผ่านลายเส้นสีไม้ กับความหลงใหลในศิลปะบนร่างกาย (Body Art) และการพิสูจน์ตัวตนกับครอบครัว
โบ-กานต์พิชชา ขอไชย
ความสนใจในการวาดรูปที่โบมีมาตั้งแต่เด็ก เป็นแพสชันที่เธอหลงใหลและรักษามันไว้อย่างสม่ำเสมอ แม้จะจบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความหลงใหลในศิลปะบนร่างกาย เธอจึงตัดสินใจเรียนสัก และค้นพบว่าตัวเองมีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงอยากสานต่อและเอาจริงเอาจังทางด้านนี้อย่างเต็มตัว
ผลงานของเธอมักมีการผสมสานที่หลากหลาย ทั้งการเพิ่มรายละเอียดเข้าไปในชิ้นงานอย่างเต็มพื้นที่ และการใช้สีสันที่สดใส ทำให้เรารู้สึกว่า เวลามองงานของเธอจะรู้สึกถึงความสดชื่น มีชีวิตชีวา ดูน่าสนใจ การเลือกใช้ลายเส้นที่คล้ายกับสีไม้ ทำให้งานดูเหมือนภาพวาดลงบนกระดาษ ซึ่งกลายมาเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญของที่ร้าน
โบหยิบยกเรื่องราวของรอยสักที่ออกแบบผ่านการตีความของเธอให้เราได้ฟังกัน
ลายนี้เป็นลายที่โบออกแบบให้ลูกค้าเพื่อสื่อถึงชีวิตที่เปล่งประกายเหมือนพลุ โดยมีดอกเบญจมาศที่เป็นตัวแทนของแม่ที่เป็นศูนย์กลาง โบให้ก้านดอกไม้เปรียบเสมือนเส้นชีวิต เลยมีลักษณะเส้นที่คดโค้งพันกันไม่เป็นเส้นตรง พร้อมทั้งดาวประกายเล็กๆ จากปลายก้าน ที่ปะทุเป็นพลุก้อนโต (แทนตัวลูกค้า) อยู่กลางดอกไม้
ลูกค้ามาสักลายนี้ตอนสิ้นปีและบอกกับโบว่า อยากสักลายพลุแทนความหมายปีนี้ของตัวเองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เกิดแล้วดับไปเหมือนกับพลุ
ลายนี้ลูกค้าให้โจทย์มาว่า อยากได้ลายสักที่มีดอกไม้ประจำเดือนเกิดของสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด งานนี้โบออกแบบให้เป็นเถาดอกไม้ ที่เวลามองไปแล้วเหมือนมีทุกๆ คนอยู่บนไหล่ของลูกค้าเสมอ
เธอรู้สึกว่า การเป็นช่างสักเป็นอาชีพที่มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่โมเมนต์เล็กน้อยสามารถสร้างความประทับใจได้ โดยเฉพาะการที่ลูกค้ากลับมาหา ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาสักกับเธอ หรือเพียงแค่การแวะกลับมาพูดคุยกัน อาชีพนี้ยังช่วยให้เธอได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่ น้อง จากหลายคนที่เข้ามาในชีวิตผ่านการทำงาน
โบเล่าถึงความท้าทายในฐานะการเป็นช่างสักผู้หญิงว่า
"ส่วนตัวไม่ได้เจออุปสรรคในบริบทที่เราเป็นผู้หญิงเท่าไหร่ รู้สึกว่าปัจจุบันก็หลากหลายขึ้นแล้ว การที่เราเป็นผู้หญิงมันเป็นคอมมิวนิตีใหม่ๆ ด้วยซ้ำ ที่เราจะได้รู้จักช่างผู้หญิงอื่นๆ ด้วย ยิ่งมีช่างผู้หญิงมากขึ้น มันก็มีงานที่หลากหลายมากขึ้น เราได้เห็นงานที่น่ารักบ้าง ดูสวยๆ แสดงถึงความเป็นผู้หญิงจ๋าๆ มากขึ้น"
แม้จะไม่มีอุปสรรคจากในวงการช่างสัก แต่เธอก็เคยต้องเผชิญกับการพิสูจน์ตัวเองในเรื่องของการพูดคุยและทำความเข้าใจกับคนในครอบครัว ซึ่งโบบอกว่า การเลือกเส้นทางนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นที่เธอมีอย่างสม่ำเสมอ เธอจึงสามารถเอาชนะใจคุณพ่อ คุณแม่ และก้าวเดินตามเส้นทางศิลปินช่างสักได้สำเร็จ อีกทั้งตอนนี้ที่บ้านก็ชื่นชอบและให้การสนับสนุนผลงานที่เธอทำอีกด้วย
แรงบันดาลใจจากการวาดภาพดรอวอิ้ง (Drawing) ที่เชื่อว่างานสักเป็นศิลปะอีกหนึ่งรูปแบบ
ซูยอน-ซูยอน ชิน

ซูยอน ช่างสักลูกครึ่งไทย - เกาหลี คนนี้หลงใหลในศิลปะจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยช่างศิลป พร้อมกับความตั้งใจที่แน่วแน่ในการพัฒนาฝีมือและก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางที่แปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง แล้วเธอก็เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจเข้าสู่วงการศิลปะการสักว่า
"การสักเป็นอีกประเภทหนึ่งของงานศิลปะ ถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ แตกต่างออกไปจากการวาดรูปลงบนกระดาษ และเมื่อได้เริ่มลองจับเครื่องจักร เหมือนกับว่าเป็นการค้นพบเส้นทางของตัวเอง เรารู้สึกสนุก รู้สึกชอบ หลงใหลไปกับแมชชีนเครื่องนั้น"
ความคิดที่อยากพัฒนาตัวเองอยู่เสมอและการไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ คือแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นของซูยอน เธอมองว่าศิลปะและงานสักมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง แม้จะมีความแตกต่างในแง่ของเทคนิค แทนที่จะทำงานลงบนผ้าใบเพียงอย่างเดียว แต่ได้นำพื้นฐานในการวาดรูปที่มีมาปรับใช้กับการทำงานศิลปะบนผิวหนังได้อย่างเต็มที่
ด้วยความชื่นชอบและหลงใหลในการวาดภาพดรอวอิ้งขาวดำเป็นหลัก ผลงานของเธอส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่แนวงานภาพเหมือน (Realistic) และงานแบล็กเวิร์ก (Blackwork) ทั้งงานขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แม้เธอจะมีผลงานศิลปะวาดรูปส่วนตัว ที่มีสีสัน เช่น ภาพวิวและบรรยากาศสิ่งของ แต่เมื่อนำมาปรับใช้กับงานสัก เทคนิคที่ใช้ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามในอนาคต เธอมีความตั้งใจที่จะพัฒนาฝีมือของตัวเองในการทำงานสักที่ใช้สีสันมากขึ้น
เธอเล่าให้ฟังถึงความประทับใจที่เรียบง่ายในการทำงานเป็นช่างสักว่า
"สิ่งที่ทำให้ประทับใจที่สุดจะเป็นเรื่องแค่การได้รับคำชมจากลูกค้าที่เราสัก พอเค้าเห็นผลงานที่เราตั้งใจสร้างสรรค์ แล้วลูกค้าชอบงานเรา แค่นั้นเลย ไม่จำเป็นต้องเอางานไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่ต้องฟังความเห็นใคร แค่ได้ฟังความเห็นของคนที่ได้รับผลงานชิ้นนี้เราไปก็พอแล้ว"
ซูยอนยังได้แชร์แนวคิดเกี่ยวกับการเป็นช่างสักผู้หญิงในปัจจุบันว่า สำหรับเธอ ทุกคนเท่าเทียมกัน และเธอไม่ได้มองว่าการทำงานในสายนี้ต้องมีการแบ่งแยกเพศ เธอมองว่าทุกอาชีพมีความท้าทายที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญและคิดว่าเป็นความท้าทายที่ทุกคนต้องเจอคือเรื่องของเวลา เช่นเดียวกับการทำงานของเธอที่ต้องรับผิดชอบและแข่งกับเวลา เพื่อให้สามารถทำงานให้เสร็จตรงตามแบบแผนที่คุยกับลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ลวดลายแห่งความพิถีพิถันที่สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกการออกแบบ
ปิน-นัชชา ประพิณ

ปินเริ่มต้นจากความต้องการที่อยากหาอะไรทำที่เกี่ยวข้องกับการวาดรูป เพราะเธอเรียนสาขาออกแบบภายใน คณะมัณฑนศิลป์ และรู้สึกว่าไม่อยากทำงานที่มีกฎเกณฑ์มากเกินไป ช่วงที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เธอจึงได้เริ่มเรียนรู้การสักจากรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย และได้ทำงานสักอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบันที่เธอก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 ในเส้นทางการเป็นศิลปินช่างสัก ซึ่งเป็นอาชีพที่เธอรักและตั้งใจอยากทำไปตลอดชีวิต
ผลงานของเธอเป็นงานที่มองแล้วดูเบาบาง สบายตา ด้วยลายเส้นเล็กที่ละเอียดและการลงสีหวานๆ รวมถึงบางงานที่เป็นสไตล์เครยอนแทททู (Crayon Tattoo) ทำให้ผลงานของเธอตอบโจทย์ลูกค้าผู้หญิงได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ตรงตามความตั้งใจของปินที่อยากทำให้งานสักดูไม่น่ากลัว และมีความน่ารักในแบบฉบับของตัวเอง
หลังจากที่เปิดร้าน pon.sstudio ครบ 2 ปี เธอได้ตัดสินใจเปิดร้าน
hellooo.tattoo ร่วมกับพี่สาว ปัน-นุชชา ประพิณ กราฟิกดีไซน์และนักออกแบบปก ซึ่งเป็นผู้ดีไซน์ลวดลายภายในร้านนี้ โดยปินเล่าให้ฟังถึงเหตุผลในการเปิดร้านนี้ว่า
"ปินอยากได้แนวใหม่ๆ เพิ่มเติม แต่ไม่ชอบให้ทุกแนวมาผสมกันอยู่ในที่เดียว เพราะรู้สึกว่า ถ้าลูกค้ามองเข้ามาอาจจะไม่เห็นภาพชัดเจนว่า ร้านนี้ทำอะไรกันแน่นะ ปินเลยตัดสินใจแยกแนวออกมาให้ชัดเจนไปเลย ซึ่งแต่ละร้านจะมีสไตล์ที่ต่างกันค่อนข้างชัด แม้ว่าจะมีความน่ารักและเหมาะกับผู้หญิงเหมือนกัน แต่สำหรับปิน ปินว่ามันให้คนละความรู้สึกเลย"

ลูกค้าส่วนใหญ่ของปินมักมาพร้อมกับเรื่องราวที่มีความหมาย ซึ่งกลายเป็นความประทับใจที่เธอจะจดจำตลอดการเป็นช่างสัก ปินเล่าถึงประสบการณ์เหล่านั้นว่า
"มีหลายเหตุการณ์มากเลย บางคนเค้าก็มาสักน้องหมาที่เสียไปแล้ว อันนี้มันก็ทำให้ปินรู้สึกว่า ปินยังต้องเห็นค่างานสักเยอะๆ ต้องตั้งใจในทุกชิ้นงาน เพื่อให้สมกับที่เป็นเรื่องราวของเค้า แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่ลูกค้าแค่มาสักสิ่งที่ชอบ หรือเป็นความฝันตัวของเค้าเอง พอสักเสร็จ เค้าดูที่กระจกแล้วเค้าก็ร้องไห้ออกมาเลย ด้วยความที่ชอบมากๆ ความรู้สึกนั้นมันทำให้ปินอยากตั้งใจทำงานในทุกวัน เพื่อตอบแทนในฐานะช่างสักที่ลูกค้าเค้าไว้ใจ เอาความรู้สึกของเค้ามาให้เราทำ เหมือนเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของพวกเขาผ่านรอยสัก"
การชอบวาดรูปบวกกับการเรียนด้านอาร์ตทำให้เธอรู้สึกว่า การเป็นช่างสักผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะเธอมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องวางแผนอะไรให้ยุ่งยาก แค่ทำตามสัญชาตญาณและทำด้วยความชื่นชอบ
เธอยังเล่าให้ฟังถึงมุมมองในการเป็นช่างสักว่า เธอรู้สึกดีใจที่เห็นผู้หญิงเริ่มอยากสักกันมากขึ้น และมองหาช่างสักผู้หญิงเหมือนกัน เพราะเธอเองก็ชอบคุยกับลูกค้าผู้หญิงมากกว่า ด้วยสไตล์งานที่เธอทำและความเข้าใจที่มีร่วมกันในเรื่องความสวยงามของลวดลาย ทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ไม่มีอุปสรรค และคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่วงการสักเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น
การท่องเที่ยวเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานให้โดดเด่น
เฟิร์น-นภัสร ธนเสรีธำรง

นอกจากบทบาทอาร์ตไดเรกเตอร์ เจ้าของร้านกาแฟ และร้านดอกไม้ เฟิร์นยังเลือกเส้นทางการเป็นช่างสัก ที่เริ่มต้นจากการลองเรียนสัก แต่กลับกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เธอทำในปัจจุบัน เธอเล่าว่าหลังลาออกจากงานประจำ สิ่งแรกที่อยู่ในลิสต์คือ การเรียนสัก และคิดว่า หากลายที่ออกแบบได้ไปอยู่บนร่างกายของใครสักคนตลอดชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่เจ๋งดี โดยไม่หวังว่าจะทำเป็นอาชีพหลัก แค่ได้ลองก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว แต่พอหลังจากการที่ได้ลงจรดเข็มครั้งแรกจนผลงานเสร็จสิ้น เธอก็รู้ทันทีเลยว่า นี่คือสิ่งที่เธอรู้สึกสนุกและมีความสุขที่ได้ทำมันจริงๆ
สไตล์งานที่ร้านมีทั้งงานคัสตอม ซึ่งนำเอาความต้องการของลูกค้ามาดีไซน์เป็นรอยสักเฉพาะตัว และงานแฟลช (Flash) ที่เกิดจากไอเดียของเธอ ที่สะท้อนถึงเรื่องราวและความหลงใหลในช่วงเวลานั้นๆ เธอเชื่อว่าการเดินทางท่องเที่ยว เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน เพราะการอยู่กับตัวเองอาจทำให้ไม่รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร หรือชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่การออกไปเจอโลกภายนอกและใช้เวลาพักผ่อน ทำให้เธอสามารถสังเกตตัวเองและค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับงานช่วงแรกผลงานที่เธอสร้างสรรค์มักจะสื่อถึงการเคลื่อนไหว มีพลัง และความส่องประกายเหมือนดาวที่กระจายออกไปอย่างไร้ขอบเขต
เฟิร์นเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อการทำงานเป็นช่างสักและผลงานที่เธอประทับใจว่า
"เฟิร์นเป็นคนชอบรับฟังเรื่องราว รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับคนที่มาสักด้วย เหมือนเราอ่านหนังสือเล่มนึงจากคนคนหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่ามากๆ ที่เราได้อะไรจากคนที่มาสัก ในทางเดียวกันเราก็ได้มอบผลงานที่เราตั้งใจทำให้เขาด้วย มันเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นอาชีพที่ให้อะไรกับเฟิร์นได้เยอะขนาดนี้ เลยเป็นสิ่งที่ทำให้หลงรักอาชีพนี้"

สองรอยสักนี้เป็นรอยสักแรกและรอยสักล่าสุดที่เธอสัก โดยทั้งสองลายมีธีมที่คล้ายกัน เกี่ยวกับไฟและพระอาทิตย์ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เธอรู้สึกว่าเส้นทางการเป็นช่างสักของเธอเติบโตขึ้นมากแบบก้าวกระโดดในเรื่องของการหาสไตล์ของตัวเอง
"ลายดอกกล้วยไม้นี้ เฟิร์นบอกว่าธีมนี้เป็นกล้วยไม้นะ ถ้าลูกค้าสักไป แล้วประสบความสำเร็จอะไรสักหนึ่งอย่างที่หวังไว้ก็ให้มาเติมดอกกล้วยไม้ จะมาเติมเมื่อไหร่ก็ได้หลังจากที่ประสบความสำเร็จ แล้วหลังจากนั้นหนึ่งเดือนเค้าก็บอกว่า เค้าประสบความสำเร็จในเรื่องที่หวังแล้ว ลูกค้าก็เลยกลับมาสัก เฟิร์นรู้สึกขนลุกที่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ มันไม่ใช่แค่รอยสักที่เกิดขึ้นเพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นการบอกได้ว่าสิ่งนี้ คุณทำได้แล้วนะ ก็เลยรู้สึกยังติดในใจตลอดมาเลยว่าแบบรอยสักเรานี่มันก็เจ๋งเหมือนกันนะเนี่ย"
เฟิร์นเล่าถึงผลงานรอยสักกล้วยไม้ที่งอกงามอย่างมีความสุข
การเป็นช่างสักผู้หญิงในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่ยากสำหรับเฟิร์น แต่ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เธอเคยพูดคุยถึงเรื่องการสักกับครอบครัว ด้วยพื้นฐานครอบครัวคนจีนก็อาจจะมีภาพจำเก่าๆ เกี่ยวกับช่างสักบ้าง แต่ทางครอบครัวก็เข้าใจและภูมิใจในตัวเธอที่ได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบและมีความสุขในที่สุด
นอกจากการสนับสนุนจากครอบครัวแล้ว เฟิร์นยังได้พูดถึงบริบทในแง่มุมอื่นๆ ในสังคมว่า
"คงต้องขอบคุณรุ่นพี่ช่างสักผู้หญิงรุ่นก่อนๆ ที่เป็นผู้บุกเบิกและปูทางให้ ทำให้ช่างสักรุ่นใหม่ๆ อย่างรุ่นเฟิร์นเองตอนนี้ก็ค่อนข้างหลากหลาย หลายเพศ ไม่ได้เจาะจงเพศไหนก็ตาม ไม่ต้องเผชิญกับความกดดันหรือต้องพิสูจน์ตัวเองกับสังคมเหมือนรุ่นก่อน"
เส้นทางช่างสักที่พาออกเดินทางไปพบโลกกว้างและมิตรภาพใหม่
เนย-จุฑารัตน์ ผมงาม

การเป็นช่างสักไม่เคยอยู่ในความคิดของเนยมาก่อน เพราะอาชีพในฝันของเธอคือ การทำงานในแล็บล้างฟิล์ม แต่หลังจากทำงานตามความฝันมาเป็นเวลา 3 ปี โควิด-19 ก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง กลุ่มลูกค้าของแล็บเริ่มน้อยลง และราคาฟิล์มก็สูงขึ้น จึงทำให้เธอเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่สามารถทำงานไปพร้อมกับการครีเอตได้อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งเธอได้ตัดสินใจซื้อชุดฝึกสักแฮนโปก (Hand poke) ซึ่งเป็นการสักด้วยมือ โดยใช้เข็มก้านจิ้มลงบนหมึก ความโดดเด่นของงานสักประเภทนี้คือ ความไม่เพอร์เฟกต์จากลายเส้นและการลงน้ำหนักมือที่แตกต่างกันของแต่ละคน จากจุดเริ่มต้นนี้เองที่ทำให้เธอเลือกเทคนิคแฮนโปก เป็นเทคนิคเดียวในการสักที่ร้านของเธอ
เอกลักษณ์ของร้านคือคาแรกเตอร์ผู้หญิงที่มาจากลายเส้นวาดที่เรียบง่าย การใช้เส้นที่มีความอิสระในการสร้างสรรค์ ทำให้ลวดลายของร้านมีความหลากหลาย ทั้งผู้หญิงทำกิจวัตรประจำวัน ทำท่าทางต่างๆ, ผู้หญิงเปลือย, ผู้หญิงที่มีขนรักแร้และขนขา ซึ่งเธอมองว่าเป็นธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ที่ไม่เพอร์เฟกต์ ประจวบเหมาะกับการทำงานที่เลือกใช้เทคนิคแฮนโปก จึงดูเข้ากันได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วกลายมาเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอหลงรักในงานสไตล์นี้

เนยเล่าถึงลายสักที่มีผู้หญิงนั่งกินขนมปังหน้าตู้เย็นให้เราฟังว่า งานนี้เป็นงานคัสตอมจากความต้องการของลูกค้า โดยลูกค้าบอกกับเธอว่า อยากให้ขนมปังกับหนังสือเป็นองค์ประกอบที่อยู่ในตู้เย็น และมีเขานั่งกินขนมปังอยู่ด้านหน้า
ส่วนอีกลายที่เนยพูดถึงคือ ลายแรกที่เริ่มวาดคาแรกเตอร์ผู้หญิง เป็นผู้หญิงเปลือย ใส่หูฟัง ที่หลังจากเธอวาดเสร็จก็รู้สึกว่า ภาพนี้ใช่ทางของเธอจริงๆ เห็นแล้วชอบ อยากเอาสิ่งนี้มาต่อยอดเป็นงานสไตล์ตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก
อีกทั้งลายนี้ยังเป็นความประทับใจและจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอมีลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น จากการที่ลูกค้าชาวจีนมาสัก และได้โพสต์รีวิวในแอป เสี่ยวหงชู (XiaoHongShu) หลังจากนั้นร้านก็มีลูกค้าชาวจีนเป็นกลุ่มหลัก เธอบอกกับเราว่า "อาจจะด้วยคาแรกเตอร์ที่ดูแปลกใหม่ ยังไม่ค่อยมีด้วยมั้งคะ เขาก็เลยเลือก เนยคิดว่าแบบนั้น"
อาชีพช่างสักไม่เพียงแต่ให้รายได้กับเธอเท่านั้น แต่ยังทำให้เธอได้สร้างมิตรภาพอันน่ารักกับลูกค้า เนยเล่าด้วยความประทับใจว่า
"มีลูกค้าคนจีน เค้ามาสักครั้งแรกแต่ว่าสัก 5 ลายพร้อมกันเลย ด้วยอายุเท่ากันก็เลยคุยกันแบบถูกคอ สนุกมาก เราก็มีไปพรีเซนต์เค้าว่า 'เนี่ย ฉันนั่งรถไฟไปเชียงใหม่นะ สนุกมาก ราคาก็ถูก' แล้วก็ถามเค้าว่า 'กางเกงคุณซื้อที่ไหน ทำไมสวยจัง' พอคุยกันไปมา สุดท้ายเค้าก็บอกว่า 'เรามาแลกกางเกงกันไหม' ก็คือแลกกางเกงกัน แบบเออตลกดี แล้วเมื่อเดือนที่แล้วเค้าก็มาที่ไทย เราก็นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ด้วยกัน ไปเทศกาลดนตรีด้วยกัน ก็เลยรู้สึกว่าแบบจากลูกค้าแล้วกลายมาเป็นเพื่อน มันเป็นอะไรที่ดีมาก เราคุยกันเกือบทุกเดือน เป็นอะไรที่น่ารัก ชีวิตสนุกดีค่ะ"
ประสบการณ์นี้เปิดโอกาสให้เธอได้แนวคิดใหม่ๆ เช่น การตัดสินใจเรียนภาษาจีน เพื่อใช้ในการสื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำให้ได้พัฒนาตัวเอง และเส้นทางนี้ยังพาเธอเดินทางไปทำงานในต่างประเทศอีกด้วย
ในฐานะช่างสักผู้หญิง เธอมองว่า ความท้าทายในอาชีพนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งกับใคร แต่เป็นการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีกระดับ ในฐานะช่างสักผู้หญิงตั้งแต่เปิดร้านจนถึงตอนนี้ เนยไม่เคยรู้สึกถึงความกดดันอะไรเลย กลับเป็นข้อดีสำหรับคนที่ไม่กล้าสักกับช่างผู้ชาย เธอทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจมากขึ้น เปิดใจ และกล้าที่จะสักในจุดที่อาจรู้สึกเขินอาย เพราะบรรยากาศที่เป็นมิตรและไว้วางใจได้มากขึ้นจากการเป็นผู้หญิงด้วยกัน
การใช้ศิลปะการสักในการบำบัดทางด้านจิตใจและอารมณ์
แนต-นันธินี พ่วงแพ
286tattoofamily

แนตเป็นช่างสักที่มีประสบการณ์มากกว่า 12 ปี จากบางแสน เธอเริ่มต้นจากแพสชันในวัย 18 ปี ที่อยากหารายได้จากความชื่นชอบในรอยสัก และเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากสิ่งที่รัก เธอพัฒนาฝึมืออย่างต่อเนื่องจนทำให้งานสักกลายเป็นอาชีพหลัก จนกระทั่งสามารถเปิดคลาสเป็นอาจารย์สอนสักที่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับนักเรียนหลากหลายช่วงอายุ รวมถึงผู้ที่มองหากิจกรรมการบำบัดและเยียวยาทางจิตใจผ่านการสัก
แนตเล่าให้ฟังว่า ตลอดระยะเวลาที่เริ่มสักจนถึงปัจจุบัน เธอลองทำงานมาหลากหลายสไตล์ จนเธอพบว่า ป๊อปอาร์ต (Pop Art), เรียลลิสติก (Realistic), ไมโครเรียลลิสติก (Micro Realistic) คือแนวทางที่เธอชื่นชอบและสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเองได้ โดยการออกแบบลวดลายมักเริ่มจากความชอบส่วนตัว ควบคู่กับการสังเกตเทรนด์ต่างๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการจัดองค์ประกอบให้ผลงานของเธอดูทันสมัยและโดดเด่นอยู่เสมอ
เธอรู้สึกมีความสุขและภูมิใจทุกครั้งที่ได้สร้างสรรค์ผลงาน และยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ามาตลอดระยะกว่า 10 ปีในอาชีพเป็นช่างสัก ความภาคภูมิใจที่เธอปลาบปลื้มมากที่สุดคือการได้เข้าประกวดงาน Bangkok Tattoo Exhibition (2024) และสามารถคว้ามาได้ถึง 3 รางวัล ได้แก่ The Winner Best of the Day Color New wave, The 2nd Runner Up Best of the Day Color Professional, The 2nd Runner Up Best of the Day Color Creative ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความสามารถของเธอในวงการนี้

อีกหนึ่งบทบาทที่เธอภูมิใจและเล่าให้เราฟังคือ การเปิดคลาสสอนสัก ซึ่งมีนักเรียนหลากหลายวัย ตั้งแต่นักเรียนที่อายุน้อยที่สุด 14 ปี ไปจนถึง 57 ปี
"การเป็นช่างอย่างเดียวอาจมองเห็นแค่กลุ่มลูกค้า แต่การเป็นคนสอนทำให้เห็นมุมมองเรื่องของการสักที่เปิดกว้างมากขึ้น เพราะอย่างนักเรียนที่อายุน้อย คนที่มาสมัครให้ก็จะเป็นคุณพ่อคุณแม่ บอกว่าอยากฝากน้องมาเรียนที่นี่ช่วงปิดเทอม ตอนนี้ที่สอนอยู่คือมีทั้ง เด็ก วัยรุ่น คนสูงอายุ แล้วก็ผู้ป่วยทางจิตด้วย กลุ่มคนที่เป็นซึมเศร้า เป็นไบโพล่า หรือเคสผู้ป่วยบำบัดยาเสพติด เราก็ให้โอกาสเค้า"
ประสบการณ์ของการเป็นช่างสักและเป็นอาจารย์สอนทำให้เธอมองว่า งานสักไม่ใช่แค่ศิลปะ แต่ยังเป็นการบำบัดอย่างหนึ่งทางด้านจิตใจที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง สามารถช่วยบรรเทาความเครียด ความวิตกกังวล รวมถึงเพิ่มความมั่นใจ และความภาคภูมิใจให้พวกเขา จนบางคนสามารถนำทักษะนี้ไปสร้างอาชีพได้
ตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ในวงการสัก ในฐานะช่างสักผู้หญิงที่เริ่มต้นในยุคที่การยอมรับยังน้อย แนตเล่าให้ฟังว่า เธอเคยเผชิญกับความกดดันมากมาย ทั้งจากการโดนดูถูกในแง่ของผลงานและเพศสภาพที่ประกอบอาชีพนี้ แต่เธอก็สามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ด้วยผลงานที่พิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นถึงความสามารถของเธอ และรู้สึกดีใจที่ช่างสักผู้หญิงหลายคนเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่า อาชีพนี้กำลังเติบโต และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเท่าเทียมในสังคมปัจจุบัน
การสร้างสรรค์ผลงานสักในแง่ของศิลปะเชิงพาณิชย์
เฟิร์น-ณัฐกุล ทองเชื้อ

เฟิร์นเริ่มต้นจากการทำงานด้านวิจิตรศิลป์ (Fine Art) หลังเรียนจบ แต่เธอรู้สึกว่า การเป็นศิลปินในสายงานดังกล่าวต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ที่บางคนอาจมองว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เธอจึงมองหาเส้นทางที่สามารถขายผลงานของตัวเองได้มากขึ้น และยังทำงานศิลปะไปด้วยได้ ประจวบเหมาะกับคนรอบตัวเฟิร์นเป็นช่างสัก จึงได้เริ่มเรียนรู้และฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นอาชีพที่เธอทำมากว่า 10 ปีจนถึงปัจจุบัน
สไตล์งานสักของเฟิร์นแรกเริ่มคืองานแบล็กเวิร์ก ต่อมาเธอได้ลองสักหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น แนวงานจีน งานญี่ปุ่น แต่สิ่งที่เธอชอบคือการวาดภาพสเก็ตช์ ที่มีลักษณะเหมือนเส้นถัก เพื่อนๆ จึงแนะนำให้เธอลองต่อยอดสไตล์นี้ จนเกิดเป็นการทำงานสักสไตล์อิมบรอยดะรี (Embroidery) ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเธอมีความตั้งใจในการสร้างงานสักในรูปแบบคอนเทมโพรารีอาร์ต (Contemporary Art) ที่สามารถนำงานของเธอไปผสมผสานเพื่อต่อยอดและพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเราถามถึงผลงานที่ประทับใจ เฟิร์นบอกว่าขอเล่าถึงความผิดพลาดแทนได้ไหม
"เป็นเรื่องราวที่เฟิร์นจดจำมากที่สุด เหตุการณ์ครั้งนี้มันคือความผิดพลาดในชีวิตเฟิร์นที่เฟิร์นจะไม่ให้มันเกิดอีกแล้ว"
เคยมีลูกค้ามาสักรูปภาพครอบครัว แต่เธอได้สักตัวอักษรภาษาอังกฤษผิด ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป เฟิร์นรู้สึกเสียใจมาก แต่ลูกค้ากลับปลอบใจและช่วยหาทางแก้ไขลายสักนี้ร่วมกัน โดยยังคงรักษาความหมายของภาพไว้ และในวันที่ลูกค้ากลับมาเก็บงาน เขาก็บอกกับเฟิร์นว่า ลายนี้จะเป็นงานที่เขาจะไม่แก้ ช่างไม่ต้องเครียดแล้วนะ เขาโอเคกับงานมากๆ เฟิร์นรู้สึกขอบคุณและจดจำมันเป็นบทเรียนสำคัญตลอดการเป็นช่างสักของเธอ
ในมุมมองของเฟิร์นเกี่ยวกับศิลปะกับการสัก เธอมองว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันในแง่พาณิชย์ โดยเธอพูดถึงการทำงานของตัวเองว่า
"สำหรับเฟิร์น ศิลปะกับการสักยังเป็นเชิงพาณิชย์อยู่ ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเราทำงานศิลปะเพื่อศิลปะ (Art for art's sake) เพราะมันยังเป็นอาร์ตเพื่อพาณิชย์ สุดท้ายแล้วเรายังอยู่ได้ด้วยการที่ลูกค้ามีสิ่งที่อยากได้อยู่แล้ว และจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้น เหมือนเป็นการเข้ามาแชร์ไอเดียกัน หาตรงกลางกันคนละครึ่ง ยกเว้นถ้าเฟิร์นทำงานโดยที่ไม่หวังผลอะไรเลย เฟิร์นถึงกล้าพูดว่าเป็นศิลปะเพื่อศิลปะ แต่สำหรับงานสัก ยังคิดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันในเชิงพาณิชย์อยู่"
เมื่อถามถึงลูกค้า เธอเล่าว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ร้านของเธอมักจะเป็นผู้ชาย เฟิร์นเชื่อว่าการที่เธอไม่ได้เปิดเผยตัวตนว่าเป็นผู้หญิงในช่องทางของร้าน ทำให้การยอมรับจากลูกค้าในเรื่องการเป็นช่างสักผู้หญิงไม่ใช่ปัญหา เพราะลูกค้าตัดสินใจเลือกสักกับเธอจากผลงานที่เห็นเป็นหลัก ไม่ใช่จากเพศของคนที่สร้างสรรค์ผลงาน
ส่วนในแง่สถานการณ์เรื่องการสัก เธอรู้สึกดีและมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปรับตัวได้เร็วและมีความเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งการยอมรับในเรื่องต่างๆ อย่างการที่ผู้หญิงหันมาสักมากขึ้น ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้หญิงกล้าที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง โดยไม่รู้สึกถูกจำกัดจากกรอบของสังคม