โยชิยูกิ โอคุยามะ: ช่างภาพ ผู้กำกับหนัง และม้านั่ง

    ภาพยนตร์เรื่อง At The Bench (ชื่อไทยว่า ใครมั่งน้า…ที่ม้านั่ง) เป็นภาพยนตร์ปี 2024 จากญี่ปุ่นที่น่าสนใจมากๆ เรื่องหนึ่ง ด้วยวิธีการเล่าที่เรียบง่ายคือใช้ม้านั่งในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเป็นโลเคชั่นเดียวของหนัง และเล่าเรื่องราวของ 5 สถานการณ์ที่มีคนมานั่งอยู่บนม้านั่งตัวนี้ …แค่นี้ก็น่าสนุกแล้ว แต่หนังยังได้นักแสดงที่น่าสนใจมาร่วมงานด้วยอีกหลายคน ได้แก่ ซึสึ ฮิโรเสะ (Our Little Sister, Rage, The Third Murder), ไทกะ นาคาโนะ (Under the Open Sky, A Man, 11 Rebels), ยูกิโนะ คิชิอิ (Small Slow But Steady), อามาเนะ โอคายามะ (Cloud), โยชิโยชิ อาราคาวะ (Kubi, Cloud), มิโอะ อิมาดะ (Tokyo Revengers, My Happy Marriage), นานะ โมริ (Insomniacs After School, April Come She Will), สึโยชิ คุซานางิ (Midnight Swan), ริโฮะ โยชิโอกะ (Anime Supremacy!, Lumberjack the Monster) และ ริวโนะสุเกะ คามิกิ (Last Letter, Godzilla Minus One) เรียกได้ว่าเป็นหนังรวมดาวนักแสดงญี่ปุ่นเลยทีเดียว

    และความน่าสนใจมากๆ ของหนังเรื่องนี้อีกประการคือ มันเป็นหนังของผู้กำกับที่ชื่อว่า โยชิยูกิ โอคุยามะ (Yoshiyuki Okuyama) ซึ่งในแวดวงคนที่ชอบงานศิลปะจะคุ้นเคยว่าเขาเป็นช่างภาพฝีมือดีคนหนึ่ง ถือเป็นช่างภาพชื่อดังที่มีโฟโต้บุ๊กมาแล้วหลายเล่ม และหลายเล่มก็ได้รับรางวัลด้วย ผลงานหนังสือภาพถ่ายของเขามีจำนวนมากถึง 20 เล่มแล้ว!

    โยชิยูกิ เกิดในปี 1991 ตั้งแต่เริ่มทำงานถ่ายภาพเมื่อราวปี 2010 ตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ เขาก็มีงานที่ได้ตีพิมพ์และจัดแสดงค่อนข่างเยอะ เขายังได้รับรางวัลในการทำงานหลายรายการ อาทิ Canon New Cosmos of Photography Excellence Award ในปี 2011 และ Kodancha Publishing Cultural Awards in Photography ในปี 2016 เป็นต้น ซึ่งล้วนถือเป็นรางวัลสำคัญในแวงวงการถ่ายภาพของญี่ปุ่น

    เล่าถึงหนังสือของเขาบางเล่มสักหน่อย ขอเริ่มจาก Girl (2012) หนังสือเล่มแรกของเขา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 เขาถ่ายภาพเพื่อนสนิท โดยเน้นการเฝ้าสังเกตและไม่ได้เข้าไปแตะต้องหรือบงการตัวแบบ จึงได้ภาพที่สื่อถึงธีมเกี่ยวกับมความละเอียดอ่อนของความฝันและการ "บันทึกความทรงจำ" ได้อย่างน่าประทับใจ หนังสือเล่มนี้ทำให้เขาได้รางวัล แคนนอน นิว คอสมอสฯ หรืออีกเล่มที่หลายคนอาจจะผ่านตามาแล้วเพราะเห็นตามร้านหนังสือในหมวดโฟโต้บุ๊กบ่อยๆ คือ Bacon Ice Crean (2015) ธีมของผลงานคือการสำรวจภาพลักษณ์ตนเองในเชิงภาพ โดยเน้นที่ความไม่กลมกลืนหรือการทับซ้อนที่เกิดขึ้น ณ รอยต่อของขอบเขตระหว่างชีวิตประจำวันและสิ่งแปลกใหม่ และเป็นงานที่ทำให้เขาได้รางวัลโคดันฉะฯ นั่นเอง โยชิยูกิยังมีผลงานหนังสือที่น่าสนใจมากๆ อีกเล่มชื่อ flowers (2021) ที่เป็นเหมือนบทสนทนาของเขากับคุณยายผู้ล่วงลับ ซึ่งใช้การถ่ายภาพดอกไม้ในบ้านของเธอในการสื่อถึงสายตาที่มองกันและกัน

    นอกจากนี้ในภาคที่แมสมากๆ เขาก็ยังเคยทำโฟโต้บุ๊กให้กับนักแสดงสาว ซึสึ ฮิโรเสะ ชื่อเล่ม Leisure Treasure (2022) และเคยทำโฟโต้บุ๊กให้กับเครื่องดื่ม POCARI SWEAT (2018) ซึ่งเป็นการถ่ายภาพกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นกำลังทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกันแบบพร้อมเพรียงอีกด้วย (เขายังถ่ายภาพยนตร์โฆษณาให้กับเครื่องดื่มแบรนด์นี้ด้วย)

    โยชิยูกิ มีนิทรรศการภาพถ่ายมาแล้ว 12 นิทรรศการ และหลายงานก็เกี่ยวเนื่องกับโฟโต้บุ๊กของเขานั่นเอง

  หลังจากประสบความสำเร็จกับงานถ่ายภาพชนิดที่เรียกว่ากลายเป็นช่างภาพแถวหน้าของแวดวงไปแล้ว โยชิยูกิก็เริ่มมีผลงานหนังสั้นและมิวสิควิดีโอด้วย โดยผลงาน MV ที่โดดเด่นเช่นเพลง KICK BACK ของ เคนชิ โยเนสุ (Kenshi Yonezu) ศิลปินชื่อดัง ซึ่งเป็นผลงานโดดเด่นที่พาเราล่องลอยไปมาระหว่างโลกแห่งความจริงและความฝัน (ขณะที่เขียนบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เพลงนี้มียอดวิวเกือบ 200 ล้านวิวแล้ว), MV เพลง owakare no uta ของ Never Young Beach ที่ได้ นานะ โคมัตสึ มานำแสดง และใช้เวลากับฟุตเตจอยู่ 3 นาทีครึ่งก่อนจะเข้าเพลง, เพลง Create ของ เก็น โฮชิโน ที่เล่นสนุกกับกราฟิกและสีสันสดใส ฯลฯ นอกจากนี้ยังทำแฟชั่นฟิล์มให้กับหลายแบรนด์ดัง เช่น HERMES ด้วย ซึ่งผลงานเหล่านี้เองที่น่าจะเป็นเส้นทางที่พาเขามาสู่ภาพยนตร์เรื่อง At The Bench ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็พาเขาไปสู่โอกาสยิ่งใหญ่ต่อไปคือการกำกับภาพยนตร์เรื่อง 5 Centimeters Per Second Live Action ฉบับคนแสดงที่สร้างจากอนิเมะเรื่องดังของ มาโคโตะ ชินไค (ผู้สร้าง Your Name อันลือลั่น)

    happening มีโอกาสได้คุยสัมภาษณ์ผ่านทางออนไลน์กับ โยชิยูกิ โอคุยามะ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำความรู้จักกับช่างภาพ/ผู้กำกับคนเก่งและภาพยนตร์เรื่อง At The Bench ของเขาให้มากขึ้น

คุณเริ่มสนใจเรื่องการทำงานถ่ายภาพเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อไหร่?

    ผมเริ่มถ่ายพวกวิดีโอตั้งแต่สมัยอยู่ ม.ปลาย ก่อนหน้านั้นถ้าย้อนกลับไปช่วง ม.ต้น ผมก็เริ่มทำแอนิเมชั่นด้วยตัวคนเดียว โดยใช้การปั้นที่ใช้ดินน้ำมันทำเป็นสต๊อปโมชั่น (Stop motion) ทำเป็นแอนิเมชั่นที่ขยับต่างๆ ได้ด้วยตัวเองครับ ดังนั้นถ้าถามว่าผมเริ่มทำงานพวกถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายภาพเคลื่อนไหวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็คือมีความสนใจมาตั้งแต่ตอน ม.ต้น ครับ

    แต่ถ้าถามว่าเริ่มมีความสนใจในภาพเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ต้องย้อนกลับไปตอนอยู่ประถมเลย คือสมัยนั้นที่บ้านผมมีเคเบิ้ลทีวี ที่สามารถดู MTV ได้ ดังนั้นผมก็เลยเปิดเพลงฟังอยู่ตลอด แต่ทีนี้พอเปิดช่อง MTV ทิ้งไว้ มีเพลงฟังเนี่ย พ่อแม่ก็จะบ่นว่าหนวกหู เสียงดัง เขาก็เลยต้องหรี่เสียง ทีนี้พอเริ่มหรี่เสียงแล้วดูแต่วิดีโอ ผมก็จะเริ่มเห็นแล้วว่ามิวสิกวิดีโอตัวไหนที่เราดูภาพอย่างเดียวแล้วเข้าใจ หรือวิดีโอตัวไหนที่ดูแบบไม่มีเพลงแล้วไม่สนุก ผมก็เลยเริ่มมีความสนใจผลงานของผู้กำกับวิดีโอเพลงที่สามารถทำภาพที่ไม่มีเสียงแต่ยังดูน่าสนใจและสื่อสารได้ ก็จะเป็นผู้กำกับ อย่าง สไปซ์ จอนซ์ (Spike Jonze) ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการสื่อสารที่ทำได้ด้วยภาพเท่านั้นคืออะไร

คุณได้โอกาสในการได้ทำภาพยนตร์เรื่อง At The Bench มาอย่างไร?

    มันก็เริ่มจากสมัยที่ผมเริ่มทำถ่ายภาพ เริ่มทำมาได้สักปี สองปี สามปีเนี่ย ก็จะเริ่มจะมีคนรู้จักงาน เริ่มมีคนที่อยู่ในวงการเพลงมาขอให้ผมทำงานกำกับมิวสิกวิดีโอให้ น่าจะสักตั้งแต่ประมาณปี 2010 กว่าๆ ครับ มันก็เหมือนค่อยๆ มาเรื่อยๆ เริ่มจากมิวสิกวิดีโอมาเป็นพวกแฟชั่นวิดีโอ แล้วก็ตามมาด้วยภาพยนตร์ครับ

เห็นมีหลายงานที่คุณทำกับคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนที่เคยทำงานด้วยกันมาแล้ว มีเหตุผลอะไรไหมที่คุณชอบทำงานกับคนที่คุ้นเคย?

    โดยส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่าเลือกทำงานกับคนรู้จักเป็นพิเศษเยอะอะไรนะครับ ก็เหมือนกับว่ามีโอกาสทำงานร่วมกับใครก็ทำ แล้วก็อาจจะมีโอกาสได้ทำงานกับคนที่เคยทำงานร่วมกันแล้วบ่อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตั้งใจเลือกทำงานกับคนที่รู้จักอะไรแบบนี้ แต่ถ้าถามว่าโดยทั่วไปในแง่มุมของคนทำงาน การที่ได้ทำงานกับคนที่เคยทำงานมาก่อนด้วยอยู่แล้ว มันก็จะทำให้ทำงานง่ายขึ้น และทำให้เราสามารถเริ่มสร้างความสัมพันธ์ให้เราเชื่อใจในการทำงานของกันและกัน ซึ่งก็แน่นอนว่ามันส่งผลให้กับการทำงานค่อนข้างสะดวกขึ้นครับ

    ผมเลยคิดว่าการที่ได้เห็นว่าผมได้ทำงานร่วมกับคนที่เคยทำงานด้วยแล้วบ่อยๆ ก็อาจจะเป็นเพราะมันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เพราะว่าในเมื่อการทำงานร่วมกันแล้ว มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว เลยทำงานต่อเนื่องกันมา

อยากให้คุณเล่าเรื่องการเริ่มต้นทำภาพยนตร์ At the Bench ให้ฟังหน่อย?

    ใกล้ๆ บ้านเกิดของผม หมายถึงบ้านที่ผมอยู่ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จะมีม้านั่งอยู่ตัวหนึ่งที่ผมเห็นอยู่ประจำ เวลาไปเดินเล่นก็จะเจอ ผมรู้สึกถูกใจและรู้สึกดีกับมัน แล้วสำนักงานออฟฟิศของผมเองก็ยังอยู่ใกล้ๆ กับม้านั่งอันนี้ด้วย ดังนั้นหากช่วงที่เขามีเวลาว่างๆ ผมก็จะไปนั่งที่ม้านั่งตัวนี้บ้าง นั่งมองผู้คนบ้าง จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน เริ่มมีการก่อสร้างสะพานอยู่แถวนั้น ผมก็เลยรู้สึกขึ้นมาว่าในโตเกียวแต่ละมุมเมืองก็มีหลายจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างทีละนิดทีละน้อย ซึ่งการก่อสร้างเหล่านั้น อาจจะทำให้บ้านเมืองเราสวยขึ้นหรือว่ามีความเปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกันภาพจำที่เคยเป็นความทรงจำของเรา หรือสิ่งที่เราเคยมีความทรงจำกับมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน จนในที่สุดแล้วมันก็อาจจะมีหลายที่ที่เราจำภาพเดิมของมันไม่ได้แล้ว ว่าเมื่อก่อนมันเคยเป็นยังไง

    ดังนั้นก่อนที่มุมที่ผมเคยนั่งที่ม้านั่งที่อยู่แถวบ้านของผมนี้จะเปลี่ยนไป ผมก็เลยอยากทำหนังเรื่องนี้เก็บเอาไว้ครับ

สำหรับการทำภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกของคุณ มันมีความยากลำบากอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการหาทุนหรือการโปรดิวซ์?

    ผมรู้สึกว่าการที่จะทำหนังให้สำเร็จสักเรื่องหนึ่งได้ มันจะต้องมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าจากข้างในของหัวใจจริงๆ ถึงจะทำให้มันสำเร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ สมมุติเราทำหนังด้วยความคิดที่ว่า เราอยากทำให้มันเป็นหนังทำเงิน หรือเราทำหนังด้วยความรู้สึกว่าอยากให้คนมองหนังแบบนั้น แบบนี้ ความรู้สึกพวกนี้และเป้าหมายพวกนี้จะทำให้การทำงานมันยากครับ

    แต่สำหรับหนังเรื่อง At the Bench มันแตกต่างกัน เพราะมันเป็นหนังที่ผมอยากทำเพราะอยากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่มีเป้าหมายพวกนั้นมาเกี่ยวข้อง แล้วก็เป็นหนังที่ทำด้วยจำนวนคนน้อย แต่ว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกมุ่งมั่นแล้วก็แน่วแน่ มีความตั้งใจอันเข้มข้นเหมือนกันที่อยากจะทำหนังเรื่องนี้ออกมา และยังเป็นทีมงานที่ผมทำงานด้วยกันมาตลอด ดังนั้นถ้าเกิดมองในแง่มุมนี้แล้ว ก็ถือว่าเป็นหนังที่ทำไม่ยาก

At the Bench มีการถ่ายเป็นตอนสั้นๆ หลายตอน และมีนักแสดงแต่ละตอนแยกกัน มีบทบาทและสถานการณ์ต่างกัน อยากรู้ว่าคุณคัดเลือกนักแสดงอย่างไร?

    หนังเรื่องนี้มันเป็นหนังที่มีบทพูดเยอะมาก เป็นเหมือนหนังที่เน้นบทสนทนา ดังนั้นผมก็คิดว่า ผมต้องเลือกคนที่น้ำเสียงมีเสน่ห์หรือว่าเสียงมีความน่าติดตาม ที่จะสามารถถ่ายทอดตัวบทพูดที่ผมอยากจะสื่อสารออกมา หรืออารมณ์ที่อยากจะสื่อสารออกมาได้ ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นความรู้สึกของผมที่ได้ร่วมงานกับกลุ่มคนเหล่านั้น ว่าคนไหนเป็นคนที่มีน้ำเสียงหรือมีความสามารถในการชักจูงผู้คนครับ

ขั้นตอนการเขียนบทของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

    แบ่งกันเขียนครับ มีคนเขียนบททั้งหมดมีกัน 4 คน ตอนที่ 1 กับ 5 เป็นคุณมิคุ อุบุคาตะ (Miku Ubukata) แล้วก็ 2 คือคุณโช ฮัตสึมิ (Sho Hatsumi) ตอนที่ 3 คือคุณชูโกะ เนะโมโตะ (Shuko Nemoto) แล้วก็เรื่องที่ 4 ผมเขียนเองครับ
นักเขียนบท 3 คนที่เลือกมาเป็นคนที่ผมชื่นชอบผลงานเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วครับ แต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ในงานที่ไม่เหมือนกัน ทีนี้ตัวฉากที่ม้านั่งตัวนั้นเหมือนเดิมทุกตอน แต่งานของแต่ละคนทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ผมเลยคิดว่าการที่เลือกธีมตัวม้านั่งตัวนี้ แล้วแต่ละคนก็จะได้เลือกสื่อสารเรื่องตามลักษณะที่ตัวเองถนัด ก็น่าจะทำให้ได้นำเสนอเสน่ห์และการเล่าเรื่องที่แตกต่างกัน

หนังเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำนานไหม?

    หนังเรื่องนี้มี 5 ตอนย่อยครับ แต่ละตอนถ่ายแค่วันเดียวเท่านั้น ดังนั้นหนังเรื่องนี้ใช้เวลาแค่ 5 วันในการถ่ายครับ

หลังจากทำหนังเสร็จแล้ว ได้ฉายในโรงแล้ว มีเสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง และมีความรู้สึกอะไรที่คุณได้รับจากผู้ชมบ้าง?

    ในส่วนเสียงตอบรับก็จะมีคนพูดกันว่า ชอบเรื่องไหนมากที่สุดใน 5 เรื่อง หรือว่าชอบเพราะอะไร แล้วด้วยความที่ม้านั่งอันนี้มันมีอยู่ในสถานที่จริง ก็มีคนที่เขาตามไปดูที่สถานที่จริงด้วยครับ ก็รู้สึกว่าม้านั่งที่ผมมีความชื่นชอบเป็นการส่วนตัว พอมีคนอื่นมาให้ความสำคัญหรือว่าชื่นชอบในแบบเดียวกัน ผมก็รู้สึกดีนะ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นพลังที่เกิดจากการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสื่อรูปแบบหนัง ก็คิดว่าเป็นเสน่ห์ที่เราสามารถสร้างได้ด้วยผลงานชิ้นนี้

ทุกวันนี้คุณยังเดินผ่านม้านั่งตัวนี้บ่อยๆ อยู่ไหม?

    ใช่ครับ

แล้วคุณมองม้านั่งตัวนี้เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า?

    สำหรับผม ไม่ได้รู้สึกว่าม้านั่งตัวนี้มันเปลี่ยนไปนะครับ แต่แค่รู้สึกว่า สถานที่ที่สำคัญสำหรับเรา กลายเป็นสถานที่ที่สำคัญกับคนอื่นด้วยเหมือนกัน …มันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจดี

พอจะบอกได้ไหมว่าม้านั่งตัวนี้อยู่ที่ไหน?

    ที่โตเกียวครับ ที่สวนทามากาวะยูเอ็น (Tamagawa Yuen)

คุณรู้สึกอย่างไรที่ At The Bench ได้เดินทางไปฉายที่ต่างประเทศ อย่างเช่นประเทศไทย?

    ผมดีใจมากนะครับที่หนังของเขาจะได้ไปฉายในประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน คนดูเองซึ่งเติบโตและก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ก็คงดูหนังเรื่องนี้แล้วก็เกิดความคิด หรือว่ามองหนังเรื่องนี้ด้วยมุมมองที่ผมคิดไม่ถึง ผมมีความรู้สึกว่า มันน่าสนใจที่จะดูว่าฟีดแบคหรือความชอบ ความเห็น ของคนไทยหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง อย่างเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของม้านั่งที่ผมมีความทรงจำด้วย เป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับผม ซึ่งคนดูหนังในประเทศไทย ก็อาจมีสถานที่ที่สำคัญ เป็นสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำของตัวเองเหมือนกัน โดยที่ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นม้านั่งตัวนี้

    การที่ดูหนังเรื่องนี้และทำให้คิดถึงสถานที่เหล่านั้นของตัวเองออกมา ก็น่าจะเป็นเรื่องทำให้ผมรู้สึกดีใจที่หนังเป็นสื่อทำให้คนได้กลับไปมองสถานที่ที่มีคามสำคัญกับความทรงจำของตัวเองด้วยเหมือนกัน คิดว่าสถานที่ที่มีความสำคัญกับความทรงจำ เป็นเรื่องที่เราสามารถมีประสบการณ์ร่วมกันได้ในหลายๆ ประเทศ

    แล้วก็นอกจากนี้ หนังที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทำหนัง At the Bench ก็ไม่ได้เป็นหนังญี่ปุ่นด้วยนะครับดังนั้นผมก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจที่หนังได้รับอิทธิพลจากเมืองนอกมา ทำโดยคนญี่ปุ่น แล้วก็ได้เป็นหนังที่เอามาฉายในประเทศไทย มันก็เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจครับ

หนังที่เป็นอิทธิพลของ At the Bench คือเรื่องอะไร?

    จะมี 2 เรื่องหลักๆ ครับ เป็นหนังอเมริกันเรื่อง Coffee and Cigarettes (2003) กับหนังฝรั่งเศสเรื่อง Rendezvous in Paris (1995) ครับ

สุดท้าย ดูเหมือนว่าคุณจะดูภาพยนตร์เยอะมากๆ เราอยากให้คุณแนะนำหนังสัก 2-3 เรื่องที่คุณอยากให้เราดูหน่อย

    เรื่องแรกเป็นหนังที่เพิ่งเข้าฉายปีที่แล้ว ปี 2024 ที่น้องของเขาเป็นคนกำกับ ชื่อ My Sunshine (ぼくのお日さま) เป็นเรื่องที่อยากแนะนำให้ไปดูกันครับ

    อีกหนึ่งผลงานคือ ภาพยนตร์ชื่อ Fever Room (2015) ของผู้กำกับชาวไทย คุณอภิชาติพงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่มีอิทธิพลกับผมมากชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนที่มันเข้าฉายที่ญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน การที่หนังเล่นกับการรับรู้ของผู้ชมด้วยการใช้แสง เสียง และการสื่อสารด้วยภาพทำให้ผมประทับใจมาก

    ตัวผมเองก็ใช้สิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่าง "ความฝัน" และ "ความทรงจำ" เป็นธีมในการถ่ายภาพช่วงแรกๆ ผมรู้สึกประทับใจมากที่ผลงานชิ้นนี้สามารถถ่ายทอดความไม่แน่นอนและความคลุมเครือเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำและงดงามในเชิงศิลป์ โครงสร้างของภาพยนตร์ผสานภาพ เสียง และการกำกับเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว และสามารถพาผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ของผลงานนั้น นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากภาพยนตร์ที่เน้นเรื่องราวเป็นแกนหลักแบบดั้งเดิมอย่างมากครับ

    Fever Room เป็นงานแนวทดลองที่ไม่ค่อยมีคนทำ เขานำ "สิ่งที่จับต้องยากอย่างความทรงจำ" มาทำให้เป็นรูปธรรม ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นไปได้ในการขยายขอบเขตของประสบการณ์การรับรู้ผ่านศิลปะภาพเคลื่อนไหว

Favorite Something
  •   Close-up (1990), Being John Malkovich (1999), Beginners (2010), All Hands on Deck (2020), The Holdovers (2023)
  •   Molly Drake (an english poet and musician)
  •   Sayaka Murata (Author)
  •   Cy Twombly

วิภว์ บูรพาเดชะ

ผู้ก่อตั้งนิตยสาร happening, บรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening, กรรมการบริหารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc), นักเขียน, นักแต่งเพลง, นักฟังเพลง และนักอ่านตัวยง