ตัวตนที่ชัดเจนขึ้นจากคำถามซึ่งโคจรอยู่รอบ เอิ๊ต-ภัทรวี ศรีสันติสุข

    เอิ๊ต-ภัทรวี ศรีสันติสุข กวาดสายตาผ่านกระจกพร้อมกับมือที่ค่อยๆ ผลักประตูเข้ามา ไหล่ซ้ายของเธอสะพายกระเป๋ากีตาร์อย่างคล่องแคล่ว สมกับเป็นเครื่องดนตรีคู่ใจที่เราเห็นทุกครั้งตอนขึ้นคอนเสิร์ต เมื่อเห็นทีมแฮพเพนนิ่งเธอก็เผยยิ้มออกมา ทั้งดวงตาสดใสและรอยยิ้มแบบนี้แหละที่ดึงดูดให้เราอยากพูดคุยกับเธอทุกที

    เราค่อยๆ ทบทวนเส้นทางการทำงานเพลงของเธอก่อน "เอิ๊ตเติบโตมาจากในยูทูบนะคะ เอิ๊ตใช้ซอกเตียงเอิ๊ตเป็นเวทีมาตลอด" เธอพูดถึงช่อง WishesOnTheEarth ที่ใช้ลงเพลงคัฟเวอร์ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งจู่ๆ ก็มีคนตามเข้ามาฟังมากขึ้นในวันที่เธอเป็นนักศึกษาปี 4 ภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากรับบท ไนซ์ นักร้องนำวง See Scape จาก ซีรีส์ ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 1 (2556)
    หลังจากที่ออกซิงเกิลแรก You You You ในฐานะศิลปินค่าย White Music เอิ๊ตก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นจากเพลง Sky&Sea ที่ยอดวิวในยูทูบทะลุร้อยล้านไปแล้ว ก่อนที่เธอจะหายหน้าหายตาไปเรียนแต่งเพลงที่ JMC Academy เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียเกือบปี แล้วปรากฏตัวอีกครั้งในค่าย Muzik Move Records การกลับมาทำงานเพลงครั้งนี้ เอิ๊ตเริ่มมีภาพของศิลปินนักร้องนักแต่งเพลงที่ชัดเจนขึ้น ทำงานเพลงต่อเนื่องจนมีอีพีอัลบั้ม About Time (2561) อัลบั้มเต็ม After Sunset (2562), Sweet but Sour (2565) ซึ่งบรรจุเพลงฮิตมากมายไม่ว่าจะเป็น ถ้าฉันหายไป (Skyline), หวง (You're Mine), ห้ามใจไม่อยู่, งอน, เจ็บไม่ต่างกัน ฯลฯ ก่อนที่จะได้เห็นแง่มุมใหม่และสีสันทางดนตรีที่หลากหลายขึ้นในอีพีอัลบั้ม Emotional Rollercoaster (2567) โดยเฉพาะท่าเต้นน่ารักๆ ในเพลง อยู่ดีๆ ก็อ่อนแอ (My Weakness is You) ที่เราอยากให้ตามไปชมมิวสิกวิดีโอกันด้วย
    นอกจากเพลงเพราะๆ ที่ถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงหวานใส หากใครได้ชมเอิ๊ตเล่นสดคงจะรู้ว่าเอิ๊ตช่างดูเปล่งประกายบนเวที ดึงดูดผู้ฟังให้รู้สึกไปกับความหมายของแต่ละเพลง คล้ายกับโลกใบนี้กลายเป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง จนเรารู้สึกว่าเธอเป็นศิลปินที่ครบเครื่อง ทั้งการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง และการแสดงบนเวที แต่เอิ๊ตกลับบอกว่า หลายครั้งเธอก็ไม่ได้มั่นใจอย่างที่ใครๆ เห็น "เอิ๊ตเพิ่งจะรู้สึกสบายๆ เมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ เอิ๊ตกลับไปดูตัวเองเมื่อก่อน เราอาจจะดูมั่นใจ แต่เราเห็นสายตาไอ้เด็กผู้หญิงคนนี้ เรารู้ว่าน้องล่อกแล่ก"  
    ในบทสัมภาษณ์นี้เอิ๊ตจะมาเปิดเผยคำถามมากมายที่อยู่ในหัว ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล คำถามที่บั่นทอนการเป็นศิลปินของตัวเอง ตลอดจนคำถามที่ช่วยให้เธอเติบโต แล้วค้นหาตัวตนได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
    แต่ก่อนที่จะได้รู้ว่าคำถามแบบไหนที่โคจรอยู่รอบตัวเอิ๊ต เรามาเริ่มจากคำถามแรกกันก่อนเลย
ตอนเด็กๆ เอิ๊ตเติบโตมาอย่างไร?
    ตอนเด็กๆ ได้ลองอะไรเยอะมาก ที่บ้านสนับสนุนให้เรียนอะไรที่ไม่ใช่วิชาการเยอะอยู่เหมือนกัน เรียนบัลเล่ต์ เปียโน ไวโอลิน เหมือนเอาเท้าไปจุ่มแล้วดูว่าเราชอบอะไร แล้วตอน ป.1 เอิ๊ตเคยเรียนโรงเรียนอื่นมาก่อน แต่คล้ายๆ กับว่าเอิ๊ตจะเป็นเด็กที่เอนเนอร์จีเยอะมาก แรงไม่หมดสักที พ่อแม่บอกว่าดูสมาธิไม่ค่อยดี แม่เขาก็เลยมีไอเดียอยากลองส่งไปเรียนที่โรงเรียนรุ่งอรุณ เพราะเขาบอกว่าเราดูชอบเล่นดนตรี วิ่งเล่น อาจจะไม่ต้องเรียนวิชาการจ๋า เอิ๊ตเลยได้เข้าไปเรียนเป็นรุ่น 7 ของโรงเรียน แล้วเรียนตั้งแต่ ป.2 ถึง ม.6 
    แม่เขาอาจจะรู้สึกว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ลูกจะได้สำรวจสิ่งต่างๆ ทำอะไรก็ทำโดยที่ไม่ต้องเน้นวิชาการมาก คิดว่าเขาให้คุณค่าตรงนั้น เอิ๊ตรู้สึกว่าทุกอย่างที่เขาทำคือ อะไรก็ได้ที่ให้ลูกเอาความสุขเป็นที่ตั้ง อะไรก็ได้ให้ลูกยิ้มที่สุด ร่าเริงที่สุด อาจจะมีช่วงที่เราร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งเราก็จำไม่ได้ แต่เขาเล่าให้ฟังว่า อยากทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกยิ้ม ให้ลูกเติบโตมาสดใส
เหมือนคุณแม่อยากให้มีความสุขในทุกการเติบโตหรือเปล่า?
    รู้สึกว่าเราเติบโตมาในบ้านที่ตามใจอยู่เหมือนกัน ตามใจหมายถึง เอาความสุขของลูกเป็นที่ตั้งเลย อะไรที่ทุกข์หน่อย หรืออะไรที่ใจมันไม่ได้เรียกร้องก็ไม่บังคับให้ทำเท่าไรค่ะ ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นคนแบบนี้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่เขาจะปลูกฝังสิ่งนี้เพราะเขาเห็นความสำคัญ เอิ๊ตรู้สึกว่าไม่ได้มีผิดหรือมีถูก แต่เราถูกหล่อหลอมมาจากที่บ้านโดยที่เราไม่รู้ตัวนะ 
    ตอนเด็กๆ จะมีเวลาที่เราเรียนเปียโน เรียนไวโอลิน พ่อแม่เขาจะมาดูว่า เราตั้งใจแค่ไหน ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็ไม่ให้เรียนแล้ว ทำให้กลายเป็นคนที่อยากซ้อม อยากตั้งใจ อยากทำ เหมือนเขาใช้จิตวิทยามาหลอกล่อเรานะ ให้เรารู้สึกว่าชอบโดยที่ไม่รู้ว่าความชอบนั้นมาจากตัวเราจริงๆ ไหมนะคะ เพราะว่าเราก็เด็กมาก แต่เผอิญตอนนั้นมันธรรมชาติมากเลยอะ เหมือนเขาใช้จิตวิทยาบางอย่าง เช่น เวลาเรียนดนตรีจะมีการแข่ง เหมือนการแสดงครั้งหนึ่ง เขาก็บอกว่า 'ถ้าไม่พร้อมไม่เป็นไรนะ' 'ถ้าไม่พร้อมไม่ต้องไป' 'ไว้มีงานที่เราอยากไปแล้วค่อยไป' 'ถ้าไม่พร้อมโทรไปบอกครูได้เลยว่าไม่อยากเล่น' ไอ้เราก็คืออยากเล่นขึ้นมาเลย จากที่เฉยๆ ซ้อมเลย อยากเล่น อยากไป เหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุใช่ไหม เขาชอบใช้จิตวิทยาแบบย้อนกลับ (Reverse Psychology) กับเรา เอาจริงๆ สิ่งที่เราชอบทุกวันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เขาวางแผนมาตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้
ถ้าให้มองย้อนกลับไป เอิ๊ตชอบดนตรีตรงไหน?
    เอิ๊ตมีภาพตัวเองถือกระเป๋าแล้วมีจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่างตลอดเวลาเลยอะ ตอนเด็กๆ เอิ๊ตจะไปเรียนดนตรีที่เสรีเซ็นเตอร์ แบกกระเป๋าขึ้นลิฟต์ไปเรียน ตั้งใจเรียนให้จบชั่วโมง คือเอิ๊ตรู้สึกชอบการมีจุดมุ่งหมาย อะไรคือพื้นที่ของฉัน พื้นที่ของฉันคือตรงนี้แน่เลย มันคือสิ่งที่ฉันมี สิ่งที่ฉันจับไว้แล้วรู้สึกดี มันเป็นเป้าหมายเล็กๆ ที่เราไม่รู้ตัว คงเสพติดความมีเป้าเล็กๆ อันนี้ไปเรื่อยๆ อาทิตย์นี้ไม่ได้ซ้อมมา ทำอย่างไรให้ครูไม่รู้ อะไรอย่างนี้ 
    ซึ่งเอิ๊ตไม่ได้ชอบฟังเพลงคลาสสิกเป็นพิเศษนะ ตอนเด็กๆ ไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น เล่นตามโน้ตที่เขาให้มา กลับบ้านไปซ้อมเพื่อจะได้รวมวง อยากเล่นแล้วเขาชม ไม่ค่อยมีสาระอะไรมาก ตอนเด็กๆ รู้แค่นั้นเลยว่า เราสะพายกระเป๋าของเราไปเรียน แล้วไม่ได้คิดอะไรเลย ตอนนั้นได้เล่นไวโอลิน 2 ดีใจมากที่ได้อยู่แถวหน้า ซึ่งไวโอลิน 2 เล่นคนเดียวไม่เพราะเลย ต้องเล่นประสานนะ นานๆ ทีจะได้เด่นกับเขา แต่มันสนุกมากในจุดที่เราได้ประสานเพื่อนฝั่งนี้ เรารอนับจังหวะ เรารอนับห้อง เป็นโมเมนต์แบบแปลกๆ ดี เราจะรู้ว่าคนนี้เก่งมาก เขาเป็นดาวรุ่ง ไม่รู้ว่าเขาซ้อมวันละกี่ชั่วโมง เราควรจะชื่นชมคนนี้ ส่วนเราก็งูๆ ปลาๆ เนอะ ชอบเล่น เราไม่ได้เก่งขนาดนั้นนะคะ เล่นได้ประมาณหนึ่ง กลางๆ แต่คิดว่าชอบสิ่งแวดล้อมตรงนั้น ชอบบรรยากาศตรงนั้นมากกว่าชอบฟังอีก
    แล้วเอิ๊ตเรียนออร์เคสตราใช่ไหม มันจะต้องมีการรวมวง แล้วเหมือนมีเพื่อนที่สนิทกัน 3 คน ตอนเด็กๆ พื้นที่เสรีเซ็นเตอร์ตรงนั้นกลายเป็นเหมือนบ้านเอิ๊ตเหมือนกัน มีเครื่องเล่นเด็ก บ้านบอล ร้านขนมปังปิ้ง กินบ่อยมาก ไปดูแข่งทามิย่า โมมอเตอร์ วัยเด็กเราสนุก เพื่อนเขาน่ารัก ชวนเราไปเล่นอะไรก็ไม่รู้ สนุกไปหมดเลย เพื่อนเขาชอบเล่นกีตาร์ เขาชวนเราไปเล่นกีตาร์แล้วก็สอน ชวนเราไปเล่นกีตาร์ร้องเพลงเอลวิส ฟีลแม่ของเพื่อนที่อยากให้ลูกร้องเพลงรุ่นเขา เพลงอะไรไม่รู้ที่เราไม่เคยฟังมาก่อน แต่ก็ร้องตามไป สนุกมาก ชอบร้องเพลงจังเลย 
    พอถึงจุดๆ หนึ่งที่บ้านให้เลือกสิ่งที่ชอบมาสักอย่างหนึ่งได้ไหม เพราะแต่ละอย่างที่เรียนก็แพงเหมือนกัน ซึ่งตอนนั้นทำใจลำบากมาก เพราะมันไม่รู้ แต่คิดๆ ดู ไวโอลินเราไปเล่นที่โรงเรียนรุ่งอรุณก็ได้ งั้นเราเรียนร้องเพลงแล้วกัน เลยกลายเป็นค่อยๆ มูฟไปทางนั้น
เล่นดนตรี ชอบร้องเพลง แล้วทำไมช่วงมหาวิทยาลัยถึงเรียนต่อด้านภาพยนตร์?
    เอิ๊ตว่ามันจับพลัดจับผลูมากเลยค่ะ ด้วยความที่เรียนโรงเรียนทางเลือกมาตลอด เขาจะมีกิจกรรมที่ทำหยดน้ำ คล้ายๆ กับการทำพรีเซนเทชั่นปลายปี เขาจะให้เราไปอยู่กับชุมชนแล้วทำพรีเซนเทชั่นออกมา แล้วเรามักจะทำสื่อวิดีโอเสมอ ชอบทำสารคดี เขียนบท ตัดต่อ เราไม่ต้องเอาหน้าเข้าไป ลงเสียงเอาได้ แล้วเอิ๊ตเรียนสายศิลป์ ได้เรียนวิชาสังคมเยอะ ครูสังคมชอบให้ทำสื่อ แล้วการทำสื่อก็เลยมาถึงการทำยูทูบ เอิ๊ตก็เอาการทำยูทูบไปส่งเกี่ยวกับการทำมีเดียด้วย 
    แต่กว่าจะได้เรียนภาพยนตร์คือใช้เวลาสองปี ปีแรกๆ จะเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเรื่องการศึกษา เอิ๊ตไม่เคยเรียนในระบบมาก่อน เอิ๊ตไม่ชินกับการฝนข้อสอบ ตั้งแต่สอบ O-NET A-NET เข้าไปแล้ว มันเหมือนในใจเราอยากจะตอบอะไรเยอะแยะมากมาย แต่เราต้องฝนข้อนี้ข้อเดียว ซึ่งที่โรงเรียนรุ่งอรุณเวลาสอบเขาจะให้เปิดหนังสือได้เลย อยากจะพูดอะไร อยากจะเชื่อมโยงอะไร เขียนตอบไป แต่อันนี้เราถูกบังคับให้ตอบแค่หนึ่งข้อ ไปไม่ถูกเหมือนกัน มันช็อกด้านการศึกษาแล้วหนึ่ง แค่จะต้องเรียนรู้ระบบและทำตาม ต้องปรับตัวสักพัก 
    ช่วงแรกรู้สึกว่าการเรียนยากมากสำหรับเอิ๊ต เอิ๊ตง่วงตลอดเวลาไม่รู้ทำไม ปกติเวลาอยู่ในห้องเรียนเอิ๊ตจะเป็นเฮอร์ไมโอนี่คนหนึ่ง ที่พอเราพูดแล้วเราหายง่วงใช่ปะ พอเรียนแล้วเราไม่ได้พูดก็จะหลับ ตื่น หลับ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เลยรู้สึกยาก แต่พอขึ้นปี 3 มันก็ง่ายขึ้น คลาสเล็กลง มันมีวิชาที่เราชอบ ก็ไม่ได้ถนัดนะคะ เรียนซีเนมาโตกราฟอะไรไม่รู้ กล้องมีอะไรบ้าง ว้าว! ไม่ถนัดเลย แต่สนุก ครูเขาอยู่ใกล้เรามากขึ้น จากเป็นร้อยๆ คนในห้องเหลือยี่สิบคน ถามครูได้ เราก็โอเคแล้ว รู้สึกสบายใจกับสภาพแวดล้อมตรงนี้ ปรับตัวได้ทั้งทางสังคมและการศึกษา
    ทางสังคมก็ช็อกน้ำเหมือนกัน เพราะแบบว่าจากชั้นเรียนสมัยมัธยมมีแค่ 25 คนน้อยๆ ของเรา มันเป็นร้อยๆ คนต่อรุ่นหนึ่ง ชั้นเรียนหนึ่งเยอะมาก มันมีความเข้าสังคมไม่เป็น แต่ก็ปรับตัวมาได้ และรู้สึกว่าเป็นเราที่แข็งแรงขึ้นมากๆ
    สมมติเราเอาตัวเองไปไว้ในสังคมหนึ่งที่เป็นสังคมใหม่ เอิ๊ตว่าเราจะรู้ว่าเราคือใคร ตอนเข้าไปปี 1 เป็นมนุษย์ที่ทุกคนหมั่นไส้ ยัยเด็กผู้หญิงคนนี้ แวบแรกเลยจะดูดีดๆ หน่อย ไม่รู้จักกาลเทศะสักเท่าไร โผงผาง เพราะเรามาจากสังคมแบบนั้นค่ะ สังคมใหญ่ๆ เขาอาจจะไม่ชินกับคาแรกเตอร์แบบนี้ ก็ค่อยๆ รู้จักการเปิดตัวเองในจุดที่ควรเปิด หรือ ปิดตัวเองในจุดที่ควรปิด แชร์ความโผงผางนี้เฉพาะกับคนที่รับได้ ก็จะมีคนเข้าใจเรามากขึ้น และเราเองก็เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนกัน
ตอนที่ทำวิดีโอคัฟเวอร์ตั้งแต่มัธยม ช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
    เริ่มทำวิดีโอลงยูทูบไปส่งอาจารย์ภาษาอังกฤษแล้วรู้สึกชอบจังเลย แล้วเอิ๊ตชื่นชมคนที่ทำคลิปต่างประเทศ ได้เห็นคนนี้เล่นในห้องนอน ห้องเขาเป็นอย่างไร ห้องเขามีอะไรบ้าง วัยรุ่นในนั้นเขาทำอะไรกันเราก็ทำตาม ช่วงนั้น High School Musical ดังมากๆ ค่ะ เราก็ร้องตาม ไปดูดเสียงคนนี้มา เอาตัวเองไปแทนที่ วาเนสซา ฮัจเจนส์ เราก็เล่นไปเรื่อย บวกกับรู้จักการตัดต่อครั้งแรกในชีวิต ก็ไปซื้อผ้าแล้วเอาราวผ้ามาทำกรีนสกรีนที่บ้าน 
    คิดว่าที่ได้ไปแคส ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น น่าจะเป็นเพราะเขาเห็นเอิ๊ตจากยูทูบนี่แหละ ไปแคสตอนปี 4 ซึ่งเราก็โตมากแล้ว มีคนไปแคสเยอะมากๆ แล้วเขาก็ให้เราแคสหลายบทมาก แต่แสดงไม่ได้เลย พอเขาให้ร้องเพลงรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ เราทำได้
ประสบการณ์ที่ได้เล่น ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 1 เป็นอย่างไร?
    ได้จับไมค์ร้องเพลงเป็นวงดนตรีร็อกในชุดนักเรียนเป็นครั้งแรก ตอนที่เราเรียนอยู่ปี 4 แล้วด้วยนะ เพราะก่อนหน้านั้นโรงเรียนรุ่งอรุณไม่มีชุดนักเรียน ไม่เคยใส่ชุดนักเรียนเลย ตื่นเต้นมาก 
    หลังจากนั้นก็ช็อกเหมือนกันค่ะ เหมือนตอนแรกเราเล่นดนตรีอยู่ในห้องนอนของเรา ช่วงแรกๆ คือ เอิ๊ตตื่นนอนมา คอมอยู่ข้างเตียง เอิ๊ตจะเปิดอ่านคอมเมนต์ก่อนเป็นอย่างแรกเลย พอเอิ๊ตโพสต์คลิปไป ตื่นขึ้นมาปึ๊บ ปิ๊ง มี 1 คอมเมนต์ สมมติมาจากเดนมาร์ก 'Love your VDO' พอชีวิตเริ่มมีคนมาดูวิดีโอเยอะขึ้น ก็จะมีคนจากประเทศไทยที่เราเอาไปแปะตาม Hi5 ของเราใช่ไหมคะ จะเริ่มมีคนที่เรารู้จักมาคอมเมนต์ แต่มันก็ยังเป็นสังคมเล็กมากๆ อยู่ แต่พอไปเล่นฮอร์โมน มันแมสค่ะ มีคนเยอะมากๆ เยอะเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้
    มันเป็นปรากฏการณ์มากๆ จริงๆ เอิ๊ตออกน้อยมากนะคะ เป็นติ่งน้อยๆ อยู่ในนั้น แต่ตอนนั้นเราไม่เคยเจอการวิพากษ์วิจารณ์ที่เยอะขนาดนี้มาก่อน ช็อกแบบร้องไห้ ช็อกมากๆ มีทั้งบวกและลบแหละ แต่ลบมันอยู่ในใจเราใหญ่มากๆ เรายังเป็นเด็กมากๆ ในวงการโซเชียลมีเดีย ตกใจกับสิ่งที่เขาสามารถทรีตกับเราได้ แล้วตอนนั้นได้ไปทำอะไรยิ่งใหญ่เยอะมาก เช่น อยู่ดีๆ ไปเล่นงาน Big Mountain ที่ทุกคนอย่างไฮป์ ทุกคนอย่างดีด เราเป็นใครเนี่ย เรามาเล่นในที่ๆ มองคนไม่เห็นปลายแถว เดินอยู่ในงานมีคนมาขอถ่ายรูปเราเยอะมากจนเราอดดูคอนเสิร์ต หนูก็ช็อก เฮ้ย! เราอยากดูคอนเสิร์ต ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตเลย ทำอย่างไรดี เรารู้สึกว่าไปที่อื่นก็ไม่ได้มีคนมาขอถ่ายรูป ตอนเดินซูเปอร์ เดินตลาด คนจำเราได้น้อยมาก แต่พอเราไปเดินอยู่ที่นั่น คนก็รู้แหละว่าที่เล่นเป็นคนนี้ หน้านี้คุ้นๆ ก็ใหม่มาก ทำให้เอิ๊ตได้เจอกับสเกลที่ใหญ่มากๆ ของการทำดนตรี เพราะหลังจากนั้นพอมาทำของตัวเองมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะคะ มันเหมือนกลับมาสู่การทำเพลงเล็กๆ อีกครั้ง เพราะพอเรามาทำเพลงของตัวเองแล้วมาบิวด์ฐานแฟนเพลงใหม่ตั้งแต่ต้น เพราะว่ามันไม่เหมือนกันเลย เราไม่ได้เป็นคนร็อกแบบนั้น
เส้นทางของเอิ๊ตเหมือนเป็นไปตามโชคชะตาไหม?
    ไหลๆ เนอะ จริงๆ มีพาร์ทนึงที่ใหญ่มากคือช่วง ม.5 จนเรียนปี 1 ได้ไปเป็นคอรัสให้คุณเพชร โอสถานุเคราะห์อยู่ 4 ปี ตอนแรกเอิ๊ตไม่รู้ว่าเขายิ่งใหญ่มาก ซึ่งเราได้ไปออดิชั่นเพราะคุณครูที่โรงเรียนสอนร้องเพลงเป็นเพื่อนกับพี่โอ๋ ซีเปีย (เจษฎา สุขทรามร) แล้วพี่โอ๋มายืมหนังสือ เขาก็มานั่งฟังเราร้องเพลงเล็กน้อย เขาบอกว่า 'เสียงเหมาะนะ ไปออดิชั่นไหม' วันต่อไปก็ไปออดิชั่นเลย มันเหมือนซีนในหนังมาก ไปห้องซ้อมที่ไหนก็ไม่รู้ตอนดึกมาก ง่วงนอนมาก แล้วก็ไปออดิชั่น เขาบอกว่า 'ได้' อ้าวได้เลย 'วันสุดท้ายแล้ว เลือกน้องแล้ว' เรามีความรู้สึกว่า 'นี่มันอะไรกันเนี่ย' ตอนนั้นเอิ๊ตต้องเลือกระหว่างไปเอเอฟเอสที่สอบได้แล้วกับเป็นคอรัสให้คุณเพชรหลังจากที่เขาคัมแบคในรอบ 20 ปี (อัลบั้ม Let's Talk about Love ของ เพชร โอสถานุเคราะห์) มันเป็นทางแยกที่แยกแล้วแยกเลย ปึ้ง! เหมือนสไลด์อิงดอร์มากๆ ถ้าแยกมาจุดนี้แล้วชีวิตมันก็ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย แต่มันดี เหมือนชีวิตมีทางเลือกเยอะมาก
    ตอนนั้นเราได้ตามเขาไปทุกที่เลยค่ะ ออกเดินทางไปเชียงใหม่โดยที่ไม่มีพ่อแม่ครั้งแรก ไปเล่นงานแฟตในฮอลล์มืดๆ ไปเซ็นทรัลเวิลด์ แต่งตัวแบบมีกลิตเตอร์ เข้าผับครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่เราไม่ได้ชอบเที่ยว เราก็แบบ 'สวัสดีค่ะ หนูมาทำงานนะคะ หนูไม่ได้มาเที่ยวค่ะ' ทำงานตั้งแต่เด็กมากๆ จนเหมือนเป็นทางเลือกที่เราตุปัดตุเป๋มา ผ่านมาสิบปีแล้วหรือเนี่ย
ทำงานมาอย่างต่อเนื่องแบบนี้มีช่วงเบรกให้ตัวเองได้พักบ้างไหม?
    มีช่วงอายุ 25 ที่เหมือนเราเบรกกับตัวเอง เพราะหนูรู้สึกว่าตอนนั้นทำซิงเกิลของตัวเองไปแล้ว 2 เพลงแล้วเหมือนชะงัก มันเหมือนว่าเราฉงนกับตัวเองว่าอายุ 25 แล้ว เราเคยดูหนังฝรั่งมามากมาย 25 เขาจะต้องมีคำตอบทุกอย่าง 19 ต้องออกจากบ้านพ่อแม่ แต่จุดนั้นเรามองว่า องค์ความรู้เราไม่พอที่จะเป็นนักร้องนักแต่งเพลงมากๆ เราทำงานนี้มาหลายปีมาก รู้ตัวอีกทีเราทำอาชีพนี้แล้วนะ ช็อกอีกแล้ว 
    ตอนนั้นเริ่มมีคนจำได้จากเพลง Sky and Sea ซึ่งคนจำได้มากขึ้นในจุดที่เรายังไม่รู้สึกภูมิใจกับตัวเองเลย รู้สึกว่าเราไปเล่นดนตรีในที่ที่เราไม่ได้รู้สึกสบายใจขนาดนั้น เรากำลังแสดงบนเวที แสดงว่าตัวเองมั่นใจอยู่ ก็เลยเป็นการเบรกที่เอาเงินเก็บที่เราหามาไปเรียนแต่งเพลงที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 10 เดือนค่ะ เป็น 10 เดือนที่เข้าใจคำว่าแฮงเอาต์คืออะไร คือการนั่งเฉยๆ มองน้ำ ดูทะเล แล้วเราก็ตั้งใจเรียน เอิ๊ตได้ไปอยู่ในสังคมของคนที่เรียนดนตรีครั้งแรก คนนี้เขาฟอร์มวง เขาทำวงแบบนี้ คนนี้เดินทางมาจากที่นี่ เขาทำเพลงแบบนี้ ไอ้คนนี้ไม่มาเรียนเลย เป็นอะไรวะ มันก็มีเหมือนได้เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ทุกคนชอบดนตรีครั้งแรก ผ่านไป 11 เดือนก็กลับมาทำดนตรีอีกแล้ว ไม่รู้เรียกว่าเบรกได้ไหม
การไปเรียนคอร์สแต่งเพลง 10 เดือน ทำให้รู้สึกชัดเจนกับเส้นทางดนตรีมากขึ้นหรือเปล่า?
    เอิ๊ตรู้สึกว่ามั่นใจมากเลยค่ะ พอไปเรียนแล้วรู้สึกว่าเราทำได้ดีในห้องมากเลย ทั้งๆ ที่ตอนเรียนเราเข้าใจสิ่งที่เขาพูดประมาณ 60% เท่านั้นเอง แต่เราได้กลับไปทำการบ้านมา อ่านสิ่งที่เขียนมาให้เพื่อนในห้องฟัง เราไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อนแน่นอน มันปลดล็อกบางสิ่งที่อยู่ข้างในมากๆ รู้สึกว่าทุกคนมีส่วนประกอบที่เป็นเราอยู่ เหมือนได้ขุดความเป็นเราออกมาจากทุกคน สุดท้ายมันคือ ไม่มีใครเป็นเราได้ดีเท่าเราอีกแล้ว 
    แค่บทเรียนเดียวก็ทำให้รู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องดีที่สุด เราไม่จำเป็นต้องทุกข์อะไรกับใครเลย เพราะว่าเราเป็นตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม เรามีเส้นทางที่เราดำเนินมา เรามองโลกไม่เหมือนใคร เพราะไม่มีใครมองโลกเหมือนกัน ทุกคนพิเศษในแบบของตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่ามั่นใจมาก 
    ตอนแรกบินกลับมา แต่งเพลงไว้ประมาณหนึ่งเลยค่ะ แล้วเอาเพลงสากลที่แต่งมาลองในตลาดไทย เอาเพลงฝรั่งสากลไปเล่นในผับ เราก็เล่นมาแล้วนะ ซึ่งก็เป็นการหาตัวเองในอีกมุมหนึ่งว่า อ๋อ... ทุกอย่างมีกาลเทศะเช่นกัน กาลเทศะหมายความว่า การเล่นดนตรีในสถานที่เอนเตอร์เทนเป็นอีกแบบหนึ่งกับการที่เราอยากเป็นนักดนตรีแล้วต้องพิสูจน์บางอย่าง มันแยกกัน หรือการให้คุณค่ากับความหลากหลายว่า เก่งไม่เก่ง ผ่านการทำสิ่งนั้นค่ะ ก็มั่นใจ แต่ว่ามันเคยผ่านความมั่นใจมาก ความมั่นใจเหี่ยว แล้วกลับมาเข้าใจใหม่ด้วย
    ในช่วงนั้นของวงการเพลงไทยเรายังทำได้ไม่ถึงขนาดนั้น แล้วมันยังมาไม่ถึงยุคค่ะ แต่ยุคนี้โอเคขึ้น ยุคนี้เปิดขึ้น เราสามารถสร้างโลกของเราและอยู่ในนั้นได้โดยที่ไม่ต้องพยายามแสดงหรือพยายามเป็นใครได้แล้ว มันเป็นการเติบโตของวงการเพลงเหมือนกัน
ตอนที่กลับมาทำงานแต่งเพลงทำเพลงหลังจากนั้น เป้าหมายของเอิ๊ตเป็นอย่างไร?
    ถ้าแบบตรงไปตรงมาเลย ตอนนั้นเอิ๊ตทำเพลงมันเป็นงานเลี้ยงชีพเราแล้ว ในฐานะเด็กผู้หญิงอายุ 26-27 เซ็นสัญญา เราต้องทำยอดวิวให้บริษัท ก็จะปรับเป้าหมายในหัวว่า สิ่งที่เราทำ เราต้องสื่อสารให้คนชอบ คนไม่ต้องชอบทุกคน แต่มันต้องชัดพอที่เราจะสื่อสารแล้วมีคนเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเราจะขยุกขยิกเหมือนทำไดอารี่ส่วนตัวได้ ซึ่งสิ่งนั้นเอิ๊ตคิดว่ามันคือความพยายามบาลานซ์ไปเรื่อยๆ ว่า สิ่งที่สื่อสารให้เข้าใจจะบวกเอาศิลปะของตัวเองที่เราชอบมาใส่อย่างไรให้มันเฉียบขึ้น สมูตขึ้น แล้วทำอย่างแยบยลขึ้นไปได้เรื่อยๆ 
    ซึ่งมันก็มีจุดที่บางครั้งเราเบนเข็มไปทางอยากจะเอาใจตลาดมากเกินไปเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ชอบนะคะ เราชอบ แต่ว่าเราได้ทดลอง สมมติมันมีเฉดสีเยอะมากๆ เราได้ลองทำหลายเฉดสีมากๆ ว่า ตรงไหนนะที่เราทำแล้ว ใจเรามันรู้สึกดี จริงๆ มันอาจจะไม่ได้ดูสุดโต่งมากๆ ถ้าคนนอกมองเข้ามาก็จะรู้สึกว่าเป็นเพลงเอิ๊ตอยู่ดี แต่ตัวเองรู้สึกว่านี่มีเฉดเยอะมากแล้ว สำหรับเอิ๊ตคือสุดทางแล้วนะ นี่คือการทดลองของเรา ความหลากหลายมันเยอะมากๆ วิธีการสื่อสารของตัวเองออกไปมันต่างกันในจุดเล็กๆ ไปหมดเลย
รายละเอียดของความต่างขึ้นอยู่กับวิธีการเล่าเรื่องหรือสีสันที่ใส่ไปในดนตรีใช่ไหม?
    ใช่ค่ะ หลังๆ ที่เอิ๊ตเริ่มเขียนเนื้อเพลงเองแทบทั้งหมดเลย มันยิ่งเดิมพันเลยว่า เราเขียนเนื้อร้องแบบนี้มันจะเฉียบได้กว่านี้ไหม ปกติชีวิตจริงเราพูดแบบนี้ไหม มันเหมือนเราได้ลองค่ะ ในคนๆ หนึ่งมันคงมีหลายเฉดใช่ไหมคะ แต่ถ้าเพลงนี้เอิ๊ตตัดสินใจว่า เอิ๊ตวางกีตาร์ เอิ๊ตออกไปเต้นอย่างนี้ นี่คือชีวิตใหม่ของเอิ๊ต แค่นี้ก็ใหม่แล้ว โมเมนต์ที่เราอยู่บนเวทีแล้วเราไม่ถือกีตาร์ เราถือไมค์แล้วเราขยับตัว เราสบายใจไหมหรือเราแสดง อันนี้ต้องกลับมาสะท้อนความรู้สึกตัวเองว่า ถ้าเราจะเป็นไอ้คนๆ นั้นให้ได้ เราต้องรู้สึกจริงๆ ถ้าเราแต่งเพลงออกมาแล้ว เราต้องเป็นคนนั้นโดยที่ไม่ใช่การแสดง ก็เลยรู้สึกว่าทางด้านจิตใจได้ลองออกมาจากวันแรกที่คิดว่าฉันก็เป็นนักแต่งเพลงได้ ลองเอาใจไปเล่นกับอะไรบางอย่างมาเยอะมาก
ทีมแฮพฯ เองชวนเอิ๊ตมาเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันบ่อยๆ ทำให้เห็นพัฒนาการอยู่เสมอ เอิ๊ตคิดว่าโชว์ของตัวเองเริ่มลงตัวตั้งแต่เมื่อไร?
    เอิ๊ตเพิ่งจะรู้สึกสบายๆ เมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ เอิ๊ตกลับไปดูตัวเองเมื่อก่อน เราอาจจะดูมั่นใจ แต่เราเห็นสายตาไอ้เด็กผู้หญิงคนนี้ เรารู้ว่าน้องล่อกแล่ก เอิ๊ตเพิ่งไปเรียนเกี่ยวกับการแสดงมานิดๆ หน่อยๆ เหมือนปรับใจอะไรอย่างนี้ เอิ๊ตรู้สึกว่า ความคิดของเอิ๊ตบนเวทีมันสะสมอะไรมาเยอะมาก มันสะสมคำถาม เช่น เราดีพอไหม? คนที่มาดูเรา เขาเดินทางมา เราต้องให้อะไรกับเขามันถึงจะเหมาะสม? เขามาดูเราหรือจริงๆ เขาแค่ผ่านมา? เขามารอเราหรือเขาอยากมาดูวงที่มาเล่นต่อจากเรา? คือเอิ๊ตมีคำถามแบบนี้ พออินเทอร์ลูดขึ้นเอิ๊ตมีคำถามแบบนี้แล้ว เล่นไปสักพักก็เริ่มนึก ผมหน้าม้าเราแตกหรือยัง? ดูสิเราเสื้อยังอยู่ในกางเกงไหม?
    ความคิดเหล่านี้เอิ๊ตก็ปรึกษาคุณครู เขาบอกว่า 'เราเอาความคิดออกไปไม่ได้ แต่เราเอาความคิดอะไรมาไว้ในหัวเราดี' อย่างเช่นเพลงนี้มันเป็นเพลงเกี่ยวกับ เราชอบคนนี้จังเลย เราลองสร้างภาพที่มันเกี่ยวกับคนๆ นี้ ว่าเราอยู่กับเขาที่ไหน เรากำลังร้องเพลงนี้ให้เขาฟังอย่างไร 
    เอิ๊ตฝึกสมาธิเยอะมากๆ เพื่อที่จะทำสิ่งนี้ได้โดยที่มันจริงที่สุด เพราะเอิ๊ตว่าไอ้เด็กสมาธิสั้นคนนั้นมันยังอยู่ในตัวเอิ๊ต ไอ้เด็กที่คิดว่า 'เอาแล้ว คนหน้าหาวว่ะ' 'แย่แล้ว เราน่าเบื่อแน่เลย' มีเสียงอย่างนี้อยู่ในหัวเยอะมากเลยค่ะ เพิ่งเร็วๆ นี้เอง ที่ฝึกที่จะเอาความคิดที่มันอยู่กับปัจจุบันเอามาใช้บนเวทีให้ได้ แล้วกลายเป็นว่ามันช่วยมากๆ เลย เพราะว่าไอ้ความคิดเยอะแยะตรงนั้นมันเหมือนไม่มีที่เข้า มันอาจจะมีพรึ่บมาบ้าง แต่เราก็จะรู้สึกว่าไม่เกี่ยว แกไม่เกี่ยว เอาตอนนี้ก่อน เอาโมเมนต์นี้ก่อน เราได้ร้องเพลงตรงนี้ มีคนอยู่ตรงนี้ คนดูเราอยู่ คนฟังเขากำลังอยู่ในอารมณ์ของเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราอย่าวอกแวก เอิ๊ตตี้อย่าวอกแวก 
    ก่อนหน้านี้ความคิดเยอะมาก อยากเท่นี่คือสุดๆ เลยค่ะ อยากเท่ในสายตาคนอื่นด้วย ถ้ามีนักดนตรีสักคนโผล่มาตรงนี้ สมมติเขาเดินผ่านมา เราไม่อยากจะดูแย่ เราอยากจะดูเท่ เราไม่อยากให้เขาตัดสินเรา ทั้งๆ ที่เราตัดสินตัวเองอยู่ เอิ๊ตว่าสิ่งเหล่านั้นไร้สาระมากสำหรับเอิ๊ต หมายถึงว่า เอิ๊ตเป็นอะไร เราตัดสินตัวเองอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ ถึงขั้นว่า เวลาไปหาจิตแพทย์ เราก็ปรึกษาคุณหมอแบบนี้นะ 'ทำอย่างไรดีคะ หนูอยากดูดีในสายตาคนอื่น' ซึ่งมันไม่ได้ช่วยชีวิตอะไรเราเลยนะคะ แต่ว่าเราทำทำไม คิดแบบนั้นทำไม ซึ่งเอิ๊ตค่อยๆ ลอกตัวเองออกมาแล้วค้นพบว่า ถ้าเราชอบตัวเองเป็นที่ตั้งต้น ชอบผลงานเรา เราจะไม่คิดเลยว่าเราดูเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่นอย่างนี้ค่ะ 
    พอได้มีโอกาสได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีบ่อยๆ มันช่วยหล่อหลอมเรามากๆ ว่า จริงๆ เอิ๊ตทำอีพีอัลบั้ม Emotional Rollercoaster เพราะว่าความคิดเราเป็นบ้าบอ แต่ว่าพอทำสิ่งนี้เสร็จ เอิ๊ตเพิ่งรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ เอิ๊ตอยากทำอะไรในก้าวถัดไปชัดมากๆ อันไหนจะทำ ไอ้สิ่งที่เคยทำแบบอันไหนจะไม่ทำ แล้วจริงๆ แล้วเราเป็นใคร เราอยากทำอะไร มันชัดขึ้นเยอะมากเลยค่ะ ซึ่งมันอาจจะเปลี่ยนอีกนะ แต่ด้วยความที่ Emotional Rollercoaster เป็นงานที่เราได้ทดลองนู่นเราได้ทดลองนี่ แล้วเราจริงจังกับงานทุกชิ้นเลย พอได้ทดลองแล้วเหมือน ตอนเด็กๆ ที่แม่ให้เลือก ตอนนี้เราว่าเราเกือบเลือกได้แล้ว บทต่อไปของการทำงานมันจะไม่เหมือนกับที่ผ่านมาเลย เรารู้สึกว่ารู้จักตัวเองมากๆ แล้วไม่รู้ว่ามันสายไหม แต่ในวัยนี้เราเพิ่งมาเข้าใจว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ
จะบอกว่าที่ผ่านมามีการค้นหามาตลอด แต่ยังไม่ชัดเจนเท่าตอนนี้ใช่ไหม?
    เอิ๊ตว่ามันชัดเจนตอนที่เราได้ลองผิดลองถูก ง่ายๆ เลย หยิบไมค์ขึ้นมาแล้วเต้น เราก็เต้น ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ แต่ถ้าใจเรารู้สึกว่ากำลังแสดง เพราะฉะนั้นลองมาหาว่าเรามีท่าเต้นท่าอื่นไหม ที่เราทำแล้วเราจะไม่รู้สึกว่าแสดง เอิ๊ตว่าคนที่อยู่บนเวทีทุกคนจะเข้าใจ เพราะว่ามันคือโมเมนต์ที่แบบ ฉันทำอะไรอยู่ สายตาทุกคนเขากำลังมองเราอยู่ มันอาจจะเป็นเวลาแค่ 10 วินาที แต่มันติดอยู่ในใจตลอดเลยค่ะ สำหรับเอิ๊ต เราสนุกกับการที่เราได้ลองผิดลองถูกกับการทำงานบทนี้ ลองออกจากพื้นที่ปลอดภัยที่คิดว่าตัวเองจะไม่ทำ
คำถามที่เกิดขึ้นในใจระหว่างการโชว์บนเวที ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะข้ามผ่านมันไปได้?
    มันไม่ได้ข้ามได้ทุกวันนะคะ บางวันเราก็ยังข้ามไม่ได้ แย่แล้ว เพลงนี้จบไป 5 วิแล้ว เพลงต่อไปยังไม่ขึ้นเลย เกิดอะไรขึ้นน่ะ เอิ๊ตรู้สึกว่า ถ้าถามตัวเองลึกๆ เลย เรากลัวคนอื่นจะมองไม่ดี กลัวคนอื่นจะรู้สึกว่าเราไม่โปร กลัวลูกค้ามองเข้ามาแล้วรู้สึกว่าเราไม่ตั้งใจ อะไรอย่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีใครคิดอย่างนั้น อาจจะมีส่วนน้อยก็ได้
    เหมือนเป็นชนักอันใหญ่ในหัว อุปสรรค์หนึ่งในหัวคือการดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ซึ่งเราแคร์คนอื่นเกินไปหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเราทำอะไร เราตั้งใจเต็มที่แล้วสำหรับวันนี้ เก่งมากๆ แล้วนะ กลับบ้านไปดีใจได้เลยว่าเราทำดี แล้วเราสนุกเต็มที่ เรายิ้มเต็มที่ เราปล่อยความรู้สึกเราเต็มที่ นอนอ้วนๆ บนเตียงได้แล้ว สบายๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันมีอยู่ แต่แค่เราได้รู้ว่ามีปมนี้อยู่ก็คุ้มแล้วค่ะ การรู้ว่ามันมีอยู่ทำให้เราสังเกตว่าตอนนี้กำลังเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นในใจ ลองคิดดูดิ๊ว่ามันเกิดจากอะไร เอิ๊ตแกเป็นอะไรอยู่ ค่อยๆ คุยกับตัวเองไปเรื่อยๆ
ความเข้าใจตัวเองสำคัญสำหรับเอิ๊ตมากแค่ไหน?
    มันสำคัญมาก มันสำคัญที่สุดเลยสำหรับเอิ๊ต มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะหมกมุ่นกับตัวเองในบางครั้ง เพราะว่าเราเอาตัวเองออกมาเป็นสินค้า ถ้าไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ต เอิ๊ต ภัทรวี ก็คืออยู่บนชั้นหนึ่งในนั้น เราพยายามทำโปรดักส์นี้ให้มันออกมาดีแล้วแหละ แต่เราอย่าลืมว่าเราไม่ใช่แค่นั้น เรามีเลเยอร์ที่มีความเป็นคนอยู่ในนั้นด้วยค่ะ
แล้วความสุขในการทำงานของเอิ๊ตอยู่ที่ไหน?
    เอิ๊ตรู้สึกว่า ถ้าข้างในเรากำลังสุขอยู่ ไม่ว่าเราจะตอบงาน คุยงาน เรายกประเด็นบางอย่างขึ้นมาในห้องประชุมหรือในไลน์ก็คือความสุข แต่ถ้าเรารู้สึกขุ่นมัวกับสิ่งนี้ เอิ๊ตจะเคลียร์ตัวเองให้เสร็จก่อน แล้วจะค่อยตอบหรือสื่อสิ่งนี้ออกไปด้วยความเข้าใจ เราจะชัดเจนกับตัวเองก่อนแล้วค่อยไปชัดเจนกับคนอื่น การมีปฏิสัมพันธ์ของเอิ๊ตกับคนอื่นๆ เอิ๊ตอยากให้มันชัดเจนที่สุด แล้วอยากให้มันเกิดจากความเข้าใจ เกิดจากความเคารพซึ่งกันและกันมากๆ ตรงนี้เป็นความสุขได้ไหมไม่แน่ใจนะ 
    เพราะว่าการเล่นดนตรีมันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าวันนั้นเราอาจจะเจออะไรมาไม่ดี แต่ว่าเราต้องหาจุดที่เราอยากจะแชร์กับคนดู แล้วเราทำตรงนั้นให้มันจริงที่สุด มันต้องจริงเท่านั้นสำหรับเอิ๊ต เอิ๊ตรู้สึกว่า ความสุขของเอิ๊ตมันคือการสุขมาจากข้างในตัวเองให้ได้ ต้องชั่งมันให้เป็นในบางเวลาด้วย ถ้าวันไหนที่ขุ่นมัวก็ต้องขุ่นมัวให้มันรู้กันไปอะไรอย่างนี้
เหมือนเอิ๊ตได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมากมากขึ้น?
    รู้สึกว่ากล้าขึ้น แข็งแรงขึ้น และก็ไม่ค่อยกลัวอะไรที่เรารู้สึก เพราะว่าคุยกับตัวเองเยอะขึ้นมาก แล้วรู้สึกว่าเราแกร่งขึ้นมากๆ แล้วค่ะ
ถ้าถามถึงชีวิตนอกเหนือจากการทำงาน มีสิ่งไหนที่สนใจอยู่บ้าง?
    เอิ๊ตกำลังอินเกี่ยวกับเรื่องกิจวัตรประจำวันอยู่ค่ะ กำลังอินกับการตื่นเช้ามาทำอะไรดี กินน้ำสักแก้วก่อนที่จะเล่นโทรศัพท์ ถ้าเป็นไปได้ยืดเหยียดร่างกาย ทำงาน กินข้าวให้ตรงเวลา 3 มื้อ อยากออกกำลังกายสัก 1 ชั่วโมงให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ช่วงเวลาไหนของวัน เราอาจจะไปทัวร์อยู่ แต่เราก็จะพยายามหาช่อง 
    ซึ่งมันก็ดูแปลกๆ สำหรับเอิ๊ตที่ไม่เคยมีกิจวัตร ไม่เคยทำงานแบบมีรูทีน แต่ว่าช่วงนี้กำลังโหยหาสิ่งนี้ เช่น อยู่บ้านอยากจะล้างจานก่อนที่จะไปนอน อยากให้โล่ง อยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างดี ตื่นมาซักผ้าตอนเช้า ก่อนที่มันจะเป็นภูเขา อันนี้ไม่รู้เป็นแพสชั่นได้ไหม มันดูธรรมดามากๆ เลยค่ะ แต่ว่าตัวเองอาจจะใช้ชีวิตมาแบบดูสะเปะสะปะมั้ง เอิ๊ตก็เลยอินกับเรื่องพวกนี้ 
    เอิ๊ตถามตัวเองว่า อินกับการออกกำลังกายไหม ก็ไม่อินเท่ากับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อยากให้มันเป็นรูทีนของเรา อยากให้เหมือนกับการที่เราแปรงฟันอาบน้ำ อยากให้เราไปถึงจุดที่เรามีวินัยกับตัวเองได้ แล้วให้การมีความคิดสร้างสรรค์หรือการแต่งเพลงเป็นเหมือนกับการแปรงฟันเหมือนกัน 
    อันนี้พยายามทำ แต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จตอนไหน ก็ชาร์เลนจ์มาเรื่อยๆ พยายามคาร์ดิโอ้ทุกวันให้ได้ นี่ก็ทำมาจะสองเดือนแล้ว ทำมาจนเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่าเรานิ่งขึ้น เรามีความสุขขึ้น เหมือนเคมีอะไรข้างในมันปิ๊งป่องขึ้นมาค่ะ มันสงบขึ้น แล้วช่วงนี้นะคะพยายามที่จะไถเฟซบุ๊กให้หน่อยลง ไถโซเชียลให้น้อยลง แล้วเซิร์ชหาสิ่งที่เราอยากอ่านให้เยอะขึ้น เซิร์ชหาสิ่งที่เราสนใจโดยที่เราไม่ไถฟีด สกรีนไทม์เราอาจจะเท่าเดิมเลย แต่ว่าเราอยากเซิร์ชมันด้วยตัวเอง อันนี้คือแพสชั่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตตอนนี้ โมเมนต์นี้เลยที่พยายามจะทำ
จุดเริ่มต้นที่รู้สึกว่าอยากมีวินัยกับอะไรบางอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    เพราะว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทำด้วย เอิ๊ตไม่ออกกำลังเลย ไม่ชอบออกกำลัง ไม่ชอบเหนื่อย แล้วพอใช้ชีวิตมาถึง 30 ปุ๊บมันดูเหนื่อยมากเลย มันปวดมันเมื่อย เอิ๊ตคิดว่าเคยอยู่ในเส้นที่จะมีเคมีที่ไม่ดีในสมองได้ อยู่ในเส้นที่รู้สึกว่ามีบางวันที่เราไม่อยากลุกไปไหน เราอยากจะนอนไปเรื่อยๆ เราอยากจะร้องไห้ไม่มีเหตุผล เราไม่อยากทำอะไรอยากลาออกจากการเป็นตัวของตัวเอง ทิ้งทุกอย่างแล้วหายไปจากที่นี่ เราจะย้ายประเทศดีไหม เราจะทำอะไรดี เราคิดอย่างนั้นตลอดเวลา มันเริ่มไม่เฮลตี้กับตัวเองแล้ว ก็ลองศึกษาอะไรหลายๆ อย่าง อย่างเช่นในยูทูบก็มีนะคะ ถ้าคุณเอาโทรศัพท์ตัวเองไปซ่อนก่อนนอนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ เราก็ลองเอาโทรศัพท์ไปซ่อน 1 ชั่วโมง ที่ไหนก็ได้ ห้องอัดหรือแถวๆ ห้องนั่งเล่น โดยที่เราจะไม่เล่น เรารู้มันอาจจะมีงานเข้ามาก็ได้ แต่เราเชื่อว่ามันรอได้ เพราะว่ามัน 5 ทุ่มแล้ว 
    แล้วก็อ่านหนังสือเยอะขึ้น อินกับหนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง ของ ฮารูกิ มูราคามิ มากๆ ค่ะ แล้วเขาพูดถึงเรื่องนี้ในจุดที่เราต้องการพอดี พออ่านจบไปประมาณเดือนหนึ่ง แล้วก็ยึดมันมาเป็นอะไรบางอย่างในใจตลอด 1 เดือนที่ผ่านมานั้น เพราะว่าตั้งแต่ทำคอนเสิร์ตกลัวเยอะมาก กลัวขายไม่ได้ กลัวไปหมดเลย กลัวงบอะไรที่เราต้องวาง นอนไม่ได้เลย พอเราอ่านมุราคามิ เราก็ค้นพบว่า เขาเริ่มวิ่งตอนอายุ 33 โห! เท่าเราเลย ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เติบโตมาแบบแข็งแรงนี่นา แล้วเขามีรูทีนที่เชื่อว่า ตราบใดที่เขาเป็นนักเขียน เขาจะวิ่งทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะเอาตัวเองมานั่งคิดงานได้ทุกวันเท่านั้นไม่ใช่เหรอ สิ่งที่เขาต้องทำในฐานะนักเขียน มันไม่ใช่อะไรมากกว่านี้ มันไม่ใช่การมานั่งคิดว่า หนังสือเล่มนี้ดีพอหรือยัง ที่ผ่านมาดีพอหรือยัง ถ้าเขาทำสิ่งนั้นได้ดี ชีวิตก็จะเลือกเขาเอง ผู้อ่านก็จะมาอ่านหนังสือเขาเอง คนที่ไม่ชอบก็อาจจะไม่อ่าน ซึ่งก็ไม่เป็นไร มันจะมีคนที่ชอบอยู่ สิ่งที่เขาพูดมันพูดกับเราหมดเลย ก็เลยอินกับเรื่องนี้มากๆ ว่า ถ้าเราทำตัวเองให้เฮลตี้และบาลานซ์ แล้วเราใช้ความคิดสร้างสรรค์ใส่ลงมา ชีวิตจะเลือกทางที่มันเหมาะสมกับเรามาให้เราเอง 
    อาจจะดูเพ้อๆ เนอะ แต่มันมีความเรียลในบางอย่าง หลายๆ ครั้งเราไม่รู้จะเอาใครเป็นต้นแบบ หลายครั้งชีวิตที่เป็นฟรีแลนซ์มากๆ บางทีมันก็หลงทางเหมือนกันนะคะ สมมติเพื่อนๆ เขาหยุดกันวันเสาร์-อาทิตย์ แล้วเราล่กอะ เรารู้สึกว่าเราหยุดได้ด้วยเหรอ เรายังไม่ได้ลงไอจีเลย วันนี้เลยรู้สึกว่าการสร้างกรอบให้ชีวิตที่มันไม่มีกรอบมันก็โอเค มูราคามิเขาทำให้เห็นว่า ไอ้คนที่ 33 ปีไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน มันเริ่มได้ มันเยี่ยม และเขาดูเฟรนลี่กว่าในเรื่องสั้นของเขามาก
อาจจะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ว่าพอมีวินัยแล้ว เราจะทำแบบนั้นได้หรือเปล่า ใช่ไหม?
    ใช่ เอิ๊ตกำลังพยายามพิสูจน์อยู่ว่า ถ้าเราเอาตัวเองมานั่งโง่ๆ บนโต๊ะ แล้วพยายามคิดอะไรสักอย่าง มันจะเหมือนเราแปรงฟันได้ไหม? ไม่รู้ แต่มูราคามิเขาบอกว่า เขาทำได้ เพราะถ้าทำคอนเสิร์ต Once Upon a Dream จบ อีพีอัลบั้มเราก็จบแล้ว มันคือการทำงานบทใหม่ชัดๆ เลย ถ้าเป็นหนังคือเอ็นเครดิตขึ้นมาแล้ว กำลังรอเรื่องต่อไป เรารู้สึกว่ายิ่งเราได้ลองอะไรมาเยอะแยะแล้วในอีพีที่แล้ว เราเลยรู้ว่าเราจะทำอะไร เราชอบอะไร เรากลับมาสู่อะไรอีกครั้ง
เอิ๊ตในวัย 33 ปี ดูจะยังสนุกกับบทใหม่ๆ ในการทำงานอยู่ แล้วมองชีวิตส่วนตัวของตัวเองอย่างไรบ้าง?
    สำหรับเอิ๊ต คล้ายๆ กับว่าชีวิตและการทำงานมันจะเป็นเรื่องเดียวกัน ด้วยเพราะเราเอาตัวเองมาเป็นผลงาน แต่ว่าชีวิตส่วนตัวของเอิ๊ตมันก็ขาดออกจากกันเหมือนกันนะ เพราะเวลาเอิ๊ตอยู่บ้าน เอิ๊ตจะใส่แว่นของเอิ๊ต แล้วทำอะไรแบบที่ไม่มีใครในโลกได้เห็น เราลากแม่มากินอาหารแปลกๆ 'แม่หนูจะทำแบบนี้ ลองกิน' กินได้ไม่ได้ไม่รู้ คือมันจะมีมุมที่เราก็เก็บไว้สำหรับความเป็นเรา มันคือร่างที่เป็นของเรา 
    ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะรู้สึกว่าร่างที่เป็น ใครจะมาเห็นก็ไม่ได้อายอะไร ถ้าเป็นเรื่องภาพลักษณ์ที่อยู่บ้านหัวฟู หน้ามันๆ เลยนะคะ เราก็รู้สึกภูมิใจ แต่ว่าเราเชื่อว่า เราจะออกไปทำงานได้ก็ต่อเมื่อเราเข้มแข็ง ร่างที่เป็นเราต้องแข็งแรง เอาร่างที่เป็นนั้นไปทำงาน แล้วเราจะไม่มีเทสต์ที่สร้าง 
    หมายถึงว่า เราต้องแข็งแรงตั้งแต่ในบ้าน และชีวิตส่วนตัวมันต้องเฮลตี้ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือการแมนเนจความสัมพันธ์กับครอบครัว ทุกๆ อย่าง เราอยากทำให้มันเฮลตี้ เพราะบางทีถ้ามันไม่เฮลตี้ มันทำงานไม่ได้ สมมติเราทะเลาะกับใคร เราจะไม่มีใจอยากทำงานค่ะ ดังนั้นตราบใดที่เราตรงไปตรงมากับความสัมพันธ์ เราเฮลตี้ เราจะทำงานได้ดี 
    ชีวิตกับงานมันแยกไม่ได้ขนาดนั้นหรอก ใจเราก็มีแค่นี้ ตัวเราก็มีอยู่แค่นี้ เราก็เอาใจเรานี่แหละทำงานไปเรื่อยๆ เราเคยลองตัดฉึบ แล้วไปเป็นอีกคน ตัดฉึบ แล้วเราลองปิดมัน ซุกมันเอาไว้ ซุกความเซ็ง ซุกความรู้สึกไม่ดีไว้ข้างใต้พรม ซึ่งมันไม่ได้ดีในระยะยาว สะสมไว้มากๆ มันอาจจะปูดออกมาหรือไปหงุดหงิดในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องไปหงุดหงิดเลย เพราะมันสะสมมาจากที่ไหนไม่รู้
    แล้วในที่สุดเธอก็มีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก Once Upon a Dream Concert เสียงเพลง เตียง ความฝัน ในวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ที่ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ (Siam-Pic Ganesha Hall) ที่ตั้งใจพาทุกคนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการทำเพลงในห้องนอนของเธอด้วยกัน 
    "มันก็เหมือนเวลาผ่านมาโดยที่เราไม่รู้ตัว 10 ปีแล้วที่เราใช้เตียงทั้งร้องและแต่งเพลง เอิ๊ตใช้การแต่งเพลงเป็นพาหนะที่จะพาเราไปยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือความรู้สึก นึกภาพเป็นพรมวิเศษของอะลาดินที่เปลี่ยนเป็นฟูกนะคะ เราจะพาคนฟังที่นั่งอยู่กับเราเดินทางไปบนเตียงนุ่มๆ พาทุกคนไปยังที่ต่างๆ เอิ๊ตมีภาพนั้นอยู่ในหัว อยากทำให้คอนเสิร์ตเป็นอะไรที่สบายทั้งกับคนฟังและทั้งกับตัวเอง"
    ส่วนเราก็พร้อมที่จะเป็นผู้ชมที่โคจรอยู่รอบๆ เพื่อฟังเพลงที่สร้างสรรค์ขึ้นจากห้องนอนของเอิ๊ตเสมอ

ขอบคุณ ร้าน FARM-MU และ โครงการ Dadfa ลาซาล 33 เอื้อเฟื้อสถานที่ในการสัมภาษณ์และถ่ายภาพ
Favorite Something
  •   Before Trilogy: Before Sunrise (1995), Before Sunset (2004), Before Midnight (2013)
  •   Letter To My 13 Year Old Self - Laufey
  •   เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง - ฮารูกิ มูราคามิ
  •   ฮารูกิ มูราคามิ

ดุสิตา อิ่มอารมณ์

นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว