抱歉,您所選擇的語言,尚未提供。

อนาสเตเซีย จาง : ผู้กำกับหน้าใหม่ กับ การฉายสปอร์ตไลต์ส่งภาพยนตร์ฮ่องกงไปสู่สายตาชาวโลก

    บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นแสงสีจากป้ายไฟนีออนตามถนนหนทางในภาพยนตร์ฮ่องกง นี่เป็นหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ ท่ามกลางการเลือนหายของแสงสีจากป้ายไฟนีออนที่ค่อยๆ ถูกปลดออกตามการจัดระเบียบใหม่ของชาวฮ่องกง อนาสเตเซีย จาง (Anastasia Tsang) เป็นหนึ่งคนที่ออกไล่ตามเพื่อบันทึกภาพวัฒนธรรมเหล่านั้นเก็บไว้ โดยหวังให้มรดกทางวัฒนธรรมนี้ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา

    ใครที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง A Light Never Goes Out ที่บอกเล่าถึงหญิงวัยกลางคนที่พยายามสานฝันของสามีผู้ล่วงลับอย่างการเป็นช่างทำป้ายไฟนีออน คงจะประทับใจกับมิตรภาพ ความสัมพันธ์ และแสงสีเสียงในภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

    ด้วยความกลมกล่อมในการร้อยเรียงภาพชีวิตควบคู่ไปกับการนำเสนอวัฒนธรรมการทำป้ายไฟนีออน นี่จึงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์น้ำดีจากเทศกาลหนังฮ่องกง (Hong Kong Film Gala Presentation 2023) ซึ่งมาจัดฉายในโรงภาพยนตร์เฮาส์ (House Samyan) ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 และเป็นภาพยนตร์หนึ่งเดียวจากฮ่องกงที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปเช้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้อีกด้วย

    ด้วยฝีไม้ลายมือในการเล่าเรื่องอย่างมืออาชีพ ทำให้น้อยคนจะรู้ว่า A Light Never Goes Out นั้นเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของผู้กำกับสาว อนาสเตเซีย จาง หรือ แอนนา ทีม happening จึงถือโอกาสที่เธอบินลัดฟ้ามาร่วมงานเทศกาลหนังฮ่องกงที่เมืองไทย ชวนเธอมาพูดคุยถึงชีวิตและเบื้องหลังการทำงาน ก่อนที่ A Light Never Goes Out จะกลายเป็นแสงแห่งความหวังของแวดวงภาพยนตร์ฮ่องกง ระหว่างทางเธอผ่านประสบการณ์แบบไหนมาบ้างนะ

ณ ความร้อนห้าร้อยองศาฟาเรนไฮด์ กับการหลอมรวมความชอบในวัยเด็ก

    ขณะที่บางคนอาจค้นพบความชอบในชีวิตตั้งแต่เด็ก สำหรับแอนนานั้น เธอค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อภาพยนตร์อย่างสม่ำเสมอ

    "ฉันชอบการเล่าเรื่องตั้งแต่เด็ก ฉันมักจะใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และละครเวทีอยู่บ่อยๆ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันชอบหนังเป็นพิเศษ เพราะหนังมักจะเปิดภาพกว้างให้เรามองเห็นเรื่องราวในหลากหลายมุมมอง ตอนเด็กๆ ฉันเคยดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง ฉันจำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่จำได้ว่า ฉันร้องไห้อยู่นานมากเมื่อดูจบ คงเป็นเพราะรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครในหนัง เหมือนเราได้เห็นภาพชีวิตของวัยรุ่นฮ่องกงในอีกรูปแบบหนึ่ง มันทั้งเศร้าและมีชีวิตชีวาในเวลาเดียวกัน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หนังจะทำให้เรารู้สึกได้หลากหลายขนาดนี้"

    นอกเหนือจากความรักที่มีต่อภาพยนตร์แล้ว เธอในวัยรุ่นยังหลงใหลในภาษาฝรั่งเศส จนมีโอกาสได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อครั้งที่ศึกษาด้านการจัดการด้านวัฒนธรรมในช่วงมหาวิทยาลัยอีกด้วย และการเดินทางครั้งนี้เอง เป็นจุดหลอมเหลวที่ค่อยๆ หลอมรวมทุกความชอบในชีวิตเธอเข้าไว้ด้วยกัน

    "การไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ทำให้ฉันได้เห็นวัฒนธรรมใหม่ๆ การดูหนัง ดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่าจะมาทำหนังเลยนะ ฉันคิดว่าคนที่จะทำหนังได้จะต้องเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ซึ่งไม่ใช่ฉันแน่ๆ"

การขึ้นรูปของหลอดไฟที่มีชื่อว่าความฝัน

    แม้จะกล่าวไว้เช่นนั้น แต่เมื่อกลับมาที่ประเทศฮ่องกงแล้ว แอนนาก็ตัดสินใจเรียนต่อด้านภาพยนตร์ในหลักสูตรเรียนทางไกลกับมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส และมีโอกาสได้ทดลองทำภาพยนตร์สั้นที่หยิบยกประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมฮ่องกงมาเป็นส่วนประกอบ

    "ฉันรู้สึกว่าการเรียนด้านการจัดการวัฒนธรรมอาจไม่ได้เชื่อมโยงกับภาพยนตร์โดยตรง แต่มันก็มีความคล้ายกัน ตรงที่ฉันต้องวิเคราะห์ชีวิตของผู้คน วิเคราะห์ภาพยนตร์ การทำหนังก็เหมือนการทำงานวิจัย เราต้องหาข้อมูล ลงพื้นที่ และเก็บข้อมูลของสิ่งที่เราสนใจ อย่างใน A Light Never Goes Out ฉันอยากพูดเรื่องการสูญเสีย ฉันก็ไปหางานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งนี้ ไปสัมภาษณ์คนที่เคยผ่านประสบการณ์นี้มาจริงๆ จนเรียบเรียงออกมาเป็นบทหนังเรื่องนี้"

    เธอไม่เพียงเรียนรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์เท่านั้น แต่การเรียนภาพยนตร์ก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองอีกด้วย

    "ฉันรู้สึกว่าคนฝรั่งเศสค่อนข้างเปิดกว้างและเปิดรับความคิดเห็นของทุกคน ฉันเคยทำคลิปสั้นระหว่างเรียนเกี่ยวกับสัตว์ป่าที่ต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ เปรียบเทียบกับคนฮ่องกงที่ต้องเผชิญกับภาวะที่อยู่อาศัยแพง จนไม่สามารถซื้อบ้านได้และต้องออกมานอนข้างถนน ตอนแรกฉันมักจะคิดว่า มันจะประหลาดไปไหม ผู้ชมจะชอบหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้ว งานชิ้นนี้ก็เป็นหนึ่งในงานที่ได้รับคะแนนสูงมากๆ ทำให้เห็นว่า คนฝรั่งเศสค่อนข้างเปิดกว้างกับไอเดียใหม่ๆ มันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันไม่ควรกดดันตัวเองไปก่อน เราต้องกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ เสมอ"

ความท้าทายครั้งใหม่กับการแต่งเติมสีสันที่ใช่ด้วยสารเรืองแสง

    หลังจากเก็บประสบการณ์การทำภาพยนตร์เรื่องสั้นมาพักใหญ่ ก็ถึงเวลาที่เธอจะเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์เรื่องยาวดูบ้าง

    "ฉันอยากพูดเรื่องความตาย ไม่รู้ทำไมฉันถึง หมกมุ่นกับประเด็นนี้ น่าจะเพราะฉันเองเคยสูญเสียคนในครอบครัวไปเหมือนกัน ฉันจึงอยากจะนำเสนอช่วงเวลาของการก้าวผ่านความเสียใจนี้ ขณะเดียวกัน ฉันก็อยากนำเสนอวัฒนธรรมและความเป็นฮ่องกงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย"

    หลังจากทำการบ้านและหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ สีสันและรูปทรงที่แตกต่างกันของป้ายไฟนีออนตามร้านรวงต่างๆ ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่เธอใช้สื่อสารถึงเอกลักษณ์ความเป็นเมืองฮ่องกงในภาพยนตร์ของเธอ

    "ตั้งแต่เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับไฟนีออน ฉันก็หลงรักมันทันที มันเป็นงานศิลปะที่สวยงามมาก แต่ละชิ้นมีความซับซ้อนในการสร้าง ฉันเองก็มีโอกาสได้ลองทำด้วย พบว่านี่เป็นงานที่ต้องใช้สมาธิและทักษะมากๆ น่าแปลกใจที่คนฮ่องกงกลับไม่ให้รู้ถึงความตั้งใจเหล่านี้เลย"

    เธอเล่าต่อว่า "ฉันรู้สึกว่าป้ายไฟนีออนเป็นมากกว่าป้ายไฟ มันสื่อสารถึงความหลากหลายในพื้นที่เล็กๆ ของเมืองฮ่องกงได้เป็นอย่างดี ถ้าใครเคยชมภาพยนตร์ฮ่องกง เรามักจะสังเกตเห็นว่า ท่ามกลางตัวละครและเรื่องราวที่แตกต่างกันไป บรรยากาศหรือฉากหลังในเรื่องก็มักจะมีแสงไฟนีออนมาประกอบอยู่เสมอ ฉันคิดว่าถึงเวลาที่ไฟนีออนจะกลายเป็นตัวเอกของภาพยนตร์ฮ่องกงแล้ว ก่อนที่พวกมันจะจะหายไปจากชีวิตของพวกเรา"

    และนั่นก็เป็นที่มาของ A Light Never Goes Out ภาพยนตร์น้ำดีที่ทำให้เธอได้ทุนจากโครงการ FFFI (First Feature Film Initiative) ซึ่งรัฐบาลฮ่องกงจะคัดเลือกและมอบทุนสร้างให้กับเหล่าผู้กำกับหน้าใหม่ที่กำลังหาทุนในการทำหนังเรื่องแรก โดยมีหล่านักแสดงฝีมือดีและทีมเบื้องหลังจากภาพยนตร์ดังมากมาย คอยให้กับสนับสนุนในการทำงานเป็นอย่างดี ซึ่งภาพยนตร์เรื่องแรกของแอนนาก็ได้ นักแสดงชื่อดัง อย่าง ซิลเวีย จาง และ เยิ่นต๊ะหัว มารับบทนำให้อีกด้วย

    "ตอนที่เริ่มทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันจำได้ว่าฉันอยากให้ ซิลเวีย จาง และ เยิ่นต๊ะหัว มาแสดงในเรื่องนี้ มีคนถามฉันว่า ฉันบ้าไปแล้วหรือเปล่า มันจะเป็นไปได้จริงๆ หรอ แต่ฉันก็คิดว่ามันต้องเป็นไปได้แน่นอน โชคดีมากๆ ที่ทั้งสองคนตอบรับ และยังเป็นกันเองกับฉันมากๆ ด้วยความที่ซิลเวียเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับ ฉันเคยถามเธอว่า มีความคิดเห็นยังไงกับการทำงานบ้าง แต่เธอก็ตอบแบบเป็นกันเองว่า 'ครั้งนี้ฉันมาเป็นนักแสดง ถ้าอยากให้ทำอะไรก็บอกมาได้เลย' มันทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณเธอมากๆ"

    "อย่าง เยิ่นต๊ะหัว เวลาเขาอยู่ในกองถ่าย เขาจะชอบพูดคุยและเล่นสนุกกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง แต่ทันทีที่ผู้กำกับจะเริ่มถ่ายทำ เขากลับพร้อมสำหรับการแสดงทันที ราวกับเป็นคนละคนกันเลย อย่างทีมงานเองก็เก่งมากๆ ฉันได้ทีมจากภาพยนตร์เรื่อง Lust Caution (2007) มาช่วยดีไซน์และคิดคอนเสปต์ให้กับไฟนีออนในเรื่องนี้ ทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้นก็ได้ มันยังมีวิธีอื่นที่ใช้ในการสื่อสารได้เหมือนกัน"

    เนื่องจากกฎหมายด้านอาคารและข้อจำกัดในการก่อสร้าง ป้ายไฟนีออนในเมืองฮ่องกงจึงค่อยๆ ถูกปลดออก เพื่อความเป็นระเบียบและความปลอดภัย นั่นก็เป็นดังระเบิดเวลาที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่า ป้ายไฟที่เธอถ่ายไว้จะหายไปตอนไหน

    "จริงๆ แล้ว ป้ายไฟนีออนส่วนใหญ่ในภาพยนตร์นี้ไม่มีอยู่แล้ว บางส่วนก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เราจึงต้องทำงานแข่งกับเวลา ไม่ว่าจะเป็นการรีบไปถ่ายป้ายไฟที่ยังคงมีอยู่ ขณะเดียวกันก็มีการใช้ฟุตเทจเก่าๆ มานำเสนอ หรือการใช้ซีจีช่วยในการถ่ายทำ เช่นเดียวกับป้ายไฟอันสุดท้ายในภาพยนตร์ที่เราทำขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ก็ถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน"

    แม้จะน่าเสียดายที่วันนี้ เราไม่อาจเห็นแสงสีจากป้ายไฟนีออนตามท้องถนน เหมือนในอดีตแล้ว เธอยิ้มและกล่าวว่า แต่นี่ก็ถือเป็นเสน่ห์และกิมมิคเล็กๆ ให้ผู้ชมได้ค่อยๆ สังเกตว่า ไฟดวงไหนที่เป็นของจริงและเธอสร้างขึ้นมาใหม่ในภาพยนตร์เรื่องนี้

    ด้วยความที่วัฒนธรรมการทำหนังฮ่องกง มักจะมีการปรับเปลี่ยนหน้างานอยู่เสมอ เพื่อให้แต่ละฉากถ่ายทอดเรื่องราวได้ดีที่สุด และนั่นก็เป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้

    "ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราต้องดีลกับเวลาและสถานที่เวลาถ่ายทำ แต่สิ่งฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ยากที่สุดในงานนี้ คือการตกลงกับตัวเองว่า สิ่งที่คิดนั้นดีพอหรือยัง แล้วเราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ไหม เพราะหน้างานเราต้องเป็นคนตัดสินใจว่าสิ่งไหนที่ทำได้หรือไม่ได้ และอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้"

การประกอบร่างของสีสันและแสงไฟที่จุดประกายความหวังของหนังฮ่องกง

    แม้ภาพยนตร์จะว่าด้วยการจากไปของคนรักและการเติมเต็มความฝันในชีวิต แต่เมื่อเฝ้าดูในรายละเอียด ผู้ชมอาจพบว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังอุดมไปด้วยตัวละครที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตน ความเป็นปัจเจก และปัญหาชีวิตที่คนในฮ่องกงต้องเผชิญอยู่อีกด้วย นี่เป็นหนึ่งในความตั้งใจของแอนนาที่อยากถ่ายทอดเรื่องราวของคนฮ่องกงในเวลานี้ให้คนทั่วโลกได้สัมผัส

    "ฉันอยากเล่าถึงปัญหาของผู้คนในเมืองที่แตกต่างกันไป อย่างลูกสาวในเรื่องก็เป็นเจเนเรชั่นที่สนใจในหน้าที่การงานและความสำเร็จใกล้เคียงกับตัวฉัน ขณะที่เด็กหนุ่มอย่าง ลีโอ ก็เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่กำลังเผชิญกับความว่างเปล่าในชีวิต ด้วยสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และโรคระบาด ทำให้หลายคนยอมแพ้ต่อการมีชีวิตอยู่ เด็กรุ่นใหม่หาเงินยากขึ้น ที่อยู่อาศัยแพงขึ้น ลีโอจึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่บอกคนเหล่านั้นว่า แม้จะไม่ประสบความสำเร็จตามที่สังคมกำหนดไว้ แต่ทุกคนต่างก็มีความสำเร็จที่รอพวกเขาอยู่ได้ มันยังมีความหวัง เหมือนป้ายที่ฉายแสงแห่งความหวังให้ผู้ชม"

    ขณะเดียวกัน เธอก็สอดแทรกมุมมองที่แตกต่างจากประสบการณ์ส่วนตัวไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

    "มีคนถามว่า ทำไมลูกสาวถึงดูไม่เสียใจกับการจากไปของพ่อเลย ทำไมเธอไม่ร้องไห้เลยล่ะ ฉันเองก็เคยประสบกับปัญหานี้ตอนที่คนในครอบครัวจากไป ฉันตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงไม่ร้องไห้นะ ทั้งๆ ที่คนที่เรารักจากไป แต่หลังจากนั้นเกือบหกเดือน อยู่ดีๆ ฉันก็ร้องไห้ออกมา ฉันจึงอยากนำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่มีวิธีการดีลกับความผิดหวังต่างกันออกไป บางครั้งเรารู้สึกเจ็บปวดมาก แต่เราก็ป้องกันตัวเองด้วยการไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา"

    ก่อนเธอจะพูดติดตลกว่า "ส่วนตัวฉันชอบเซอร์ไพรส์คนดูค่ะ ถ้าผู้ชมคาดหวังว่ามันจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นในช่วงต่อไปแน่ๆ ฉันก็มักจะทำอีกอย่าง ให้พวกเขารู้สึกอีกแบบหนึ่ง มันทำให้นึกถึงเวลาไปดูหนังตามเทศกาลต่างๆ แล้วมีคนบอกว่า เอกลักษณ์ของหนังฮ่องกง คือ อารมณ์ที่หลากหลายในหนัง ถึงจะเป็นหนังเศร้าแต่มันก็มีทั้งความโรแมนติก ความสนุกปะปนอยู่ในนั้น"

    เมื่อนำบทภาพยนตร์ที่อุดมด้วยสีสันที่ทั้งอบอุ่นและโศกเศร้า มาหลอมรวมกับทักษะการแสดงของเหล่านักแสดงมืออาชีพ ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง A Light Never Goes Out กลายเป็นภาพยนตร์น้ำดีที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และพา ซิลเวีย จาง คว้ารางวัลม้าทองคำนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาเป็นตัวที่สามในชีวิตอีกด้วย

    และไม่ว่าในอนาคต ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพา อนาสเตรเซีย จาง ก้าวไปสู่ประสบการณ์แบบไหน วันนี้เธอได้กลายเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่จุดไฟแห่งความหวังและพาให้วงการภาพยนตร์ฮ่องกงได้เฉิดฉายบนเวทีโลกอีกครั้ง

Favorite Something
  •   Emir Kusturica - Life is a miracle
  •   Air - Cherry Blossom Girl
  •   Milan Kundera - The Joke
  •   Crayon Chin-Chan

Nitsanart Nilthongkum

最後一年的大學生涯,正在享受快樂的時光,喜歡和人談話,喜歡天空和音樂,大部份的時間都花在聽音樂上,有時候會讓音樂聽我。

Wanwanat Buraphadeja

happening shop 團隊顧問,《ญี่ปุ่นอุ่นอุ่น(暖暖日本)》FB 粉專版主與同名書的作者,另有攝影集《Nagasaki Light》和旅遊書《Kagawa Memories》等著作,除了攝影與寫作之外,她特別喜歡的兩件事就是靜坐和講冷笑話。