งาน Pop Up Asia 2022 ปีนี้ จัดในช่วงเวลาที่ไต้หวันเพิ่งเปิดประเทศหลังจากปิดยาวจากสถานการณ์โควิด 19 ราวเดือนเดียวเท่านั้น โดยภาพรวมแล้วจึงถือว่าเป็นปีที่มีบูทจากชาติอื่นๆ มาร่วมงานด้วยไม่มากเท่าปีก่อนๆ แต่ก็ยังถือว่าเป็นงานเทรดแฟร์ที่คึกคักอยู่ดี พื้นที่จัดแสดงปีนี้ครอบคลุมโกดัง 3 หลัง (โกดังหมายเลข 3-5) มีจำนวนบูทราว 230 บูท และยังมีนักสร้างสรรค์จากประเทศต่างๆ อย่างฮ่องกง ญี่ปุ่น และประเทศไทย มาร่วมออกงานอยู่ ที่สำคัญคือปีนี้มีนิทรรศการของ Filip Pagowski ศิลปินชื่อดังชาวโปแลนด์มาจัดแสดงในงานด้วย
นอกจากการออกบูทของนักสร้างสรรค์และแบรนด์ต่างๆ แล้ว ภายในงานที่จัดกัน 4 วัน (17-21 พฤศจิกายน 2565 ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างให้ร่วม ทั้งการ Matching, เวิร์กช็อป, งานบรรยายของ Speaker ต่างๆ รวมทั้งการมอบรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักสร้างสรรค์
happening มีโอกาสได้ไปร่วมงานกับทีม Pop Up Asia มาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่การไปออกบูทนำผลงานของนักสร้างสรรค์ชาวไทยไปแสดงและจำหน่าย การจัดงานประกวดร่วมกันในชื่อ happening makes ที่ได้นำนักวาดชาวไทยไปแสดงงานที่ไต้หวัน รวมทั้งยังได้โอกาสเป็น speaker ไปบอกเล่าเรื่องราวของวงการสร้างสรรค์ในเมืองไทยให้ชาวไต้หวันอีกหลายครั้ง ในปีนี้เราก็ได้ไปออกบูทจัดแสดงเรื่องราวของ happening และ Bangkok Illustration Fair (หรือ BKKIF ซึ่งเป็นงานที่ happening ร่วมกันจัดกับ What If และ Decembell) ไปเป็น Speaker และยังพาผู้ชนะจากการประกวด happening makers 2021: I draw, I am คือ เอ้-พีรดา โคอินทรางกูร หรือ EAOWEN ไปร่วมออกบูทและร่วมเป็น speaker อีกราย รวมทั้งไปช่วยดูแลศิลปิน 2 รายคือ Pnk.ff และ BlueBlurryMonday ที่ได้รางวัลจากงาน BKKIF 2022 ให้ไปออกบูทฟรีในงาน PUA ปีนี้อีกด้วย
เราเดินสำรวจงาน PUA ปีนี้อยู่นาน ได้พบเจอทำความรู้จักกับดีไซเนอร์ เจ้าของแบรนด์ และศิลปินหลายรายที่น่าสนใจ แต่เพื่อให้เห็นภาพรวมของงาน PUA ปีนี้ ซึ่งอาจรวมไปถึงบรรยากาศการทำงานสร้างสรรค์ในไต้หวันและในเอเชียในช่วงนี้ด้วย เราขอแนะนำบูท 10 บูท ที่เราเห็นว่าน่าสนใจมากๆ และอยากให้คุณได้รู้จักกันไว้
นี่คือ 10 บูท (ซึ่งถ้ารวมแบรนด์ในบูทที่เราเลือกมาแล้วมีมากกว่า 10) ที่เป็นตัวแทนสายตาของทีม PUA ที่มองความเป็นไปในวงการคราฟต์ และเราก็มองซ้อนด้วยสายตาของทีม happening ที่ชื่นชมนักสร้างสรรค์เหล่านี้อีกที
1. Tshioh Rushcraft
ในโกดังหมายเลข 3 ที่บูท C01 คือบูทของ Tshioh Rushcraft ซึ่งเป็นแบรนด์ดีไซน์ไต้หวันแท้ๆ แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่นำงานจักสานมาผสมกับแฟชั่นได้อย่างลงตัว ภายในบูทตกแต่งง่ายๆ จัดแสดงสินค้าแบบสบายๆ สินค้าไม่ได้โชว์แบบหนาแน่น แต่วางแบบมีสเปซโปร่งโล่ง ขับเน้นให้สินค้าแต่ละชิ้นดูโดดเด่น ซึ่งความน่าสนใจคือสินค้าหลายๆ ชิ้นของ Tshioh Rushcraft จะผสมการจักสานเข้ากับงานผ้าได้อย่างลงตัว เราจึงได้เห็นหมวก ของแต่งบ้าน หรือกระเป๋าน่ารักๆ หลายชิ้นที่ดูร่วมสมัยเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือในบูทนี้ยังมีการแจกโบรชัวร์ที่มีข้อมูลของ Taiwan Yuan-Li Handwork Association ซึ่งบ่งบอกว่าสมาคมด้านงานคราฟต์ที่ไต้หวันเขาขยันขันแข็งและสื่อสารผลงานได้ดีทีเดียว
ทำความรู้จักกับแบรนด์นี้ได้ที่ tshiohrushcraft.com.tw
2.-3. Trunk Design / Local Craft Japan
ในโกดังหมายเลข 3 เช่นกัน มีพื้นที่ 2 บูทที่ต่อเนื่องกัน (C42-C43) ที่บูทหนึ่งใช้ชื่อว่า Trunk Design และอีกบูทใช้ชื่อว่า Local Craft Japan ซึ่งความจริงแล้ว พื้นที่ 2 บูทนี้เป็นการรวมตัวของแบรนด์คราฟต์ 5 แบรนด์จากจังหวัดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ Rekrow แบรนด์เดนิมจากฮิโรชิม่า, Jiwajiwa แบรนด์สบู่สมุนไพรจากเมืองนารา, kikusuisangyo แบรนด์ผลิตภัณฑ์ไม้จากโอซาก้า, Maruyoshi-kosaka แบรนด์เครื่องเขินจากนางาโน และ Trunk Design แบรนด์คราฟต์จากโกเบ ทั้งหมดเป็นช่างฝีมือที่มีการสืบทอดองค์ความรู้มายาวนาน หลายชั่วอายุคน แต่ความน่าสนใจก็คือ นอกจากแบรนด์ทั้ง 5 จะมาร่วมกันจัดแสดงสินค้าสุดคราฟต์สไตล์ญี่ปุ่นของตัวเองแล้ว นี่คือส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ Local Craft Japan ซึ่งเป็นการรวมตัวของแบรนด์เหล่านี้ และโปรโมทคู่กับการท่องเที่ยวไปด้วย เหมาะสำหรับคนที่อยากสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นแบบพื้นบ้าน และลงลึก โดยในบูทจะมีนิทรรศการและโบร์ชัวร์ที่บอกเล่าถึงโปรเจกต์นี้ มีการแนะนำที่ไปพักและไปเรียนรู้เรื่องคราฟต์พื้นบ้านเหล่านี้เป็นจุดๆ มีโปรแกรมให้เลือกทั้งการเดินทางแบบวันเดียว และการไปอยู่ค้างในพื้นที่เลยทีเดียว การเดินดูชิ้นงานในบูทนี้จึงเป็นเหมือนการเรียกน้ำย่อยให้เราอยากทำความรู้จักกับที่มาที่ไปและประวัติศาสตร์ของงานคราฟต์แต่ละสาขา และชวนให้เราคลิกไปดูรายละเอียดของโปรเจกต์นี้ต่อกันที่เว็บไซต์ localcraftjapan.com
ทำความรู้จักกับ Rekrow ได้ที่ rekrow-hiroshima.com
ทำความรู้จักกับ Jiwajiwa ได้ที่ jiwajiwa.jp
ทำความรู้จักกับ kikusuisangyo ได้ที่ kikusuisangyo.co.jp
ทำความรู้จักกับ Maruyoshi-kosaka ได้ที่ maruyoshi-kosaka.jp
ทำความรู้จักกับ Trunk Design ได้ที่ trunkdesign-web.com
4. PNK.FF และ BlueBlurryMonday
ขอแนะนำบูทนักวาดชาวไทยสักหน่อย บูทหมายเลข C45 เป็นการแบ่งพื้นที่กันระหว่างศิลปินนักวาดสองคนคือ Pnk.ff นักวาดสาวที่วาดคาแรกเตอร์หมาสุดกวน สีสันสดใส และ BlueBlurryMonday นักวาดสาวอีกคนที่มีฝีมือในการวาดสีไม้ได้สุดละมุน ทั้งสองคนได้รางวัลจาก PUA ซึ่งเป็นหนึ่งใน Reviewers จากงาน Bangkok Illustration Fair 2022 ให้มาออกบูทฟรีในปีนี้ ถือเป็นโอกาสได้เอางานมาโชว์และจำหน่ายให้กับชาวไต้หวัน แล้วก็ปรากฏว่าขายดีกันไม่น้อย สินค้าที่เตรียมมาทั้งงานพิมพ์ สติกเกอร์ โปสการ์ด ร่อยหรอไปตามๆ กัน โดยเฉพาะ Pnk.ff นั้นถึงขนาดที่มีชาวไต้หวันมาขอซื้อ 'ป้ายร้าน' ที่เธอทำเป็นป้ายนีออน แล้วเธอก็ยอมขายเสียด้วย
ทำความรู้จักกับ Pnk.ff ได้ที่ praenika.com
ทำความรู้จักกับ BlueBlurryMonday ได้ที่ blueblurrymonday
5. Twenty Lifestyle
มาที่โกดังหมายเลข 4 กันบ้าง เราพบดีไซเนอร์หนุ่มชาวไต้หวันคนหนึ่งที่บูทหมายเลข A26 เขาบอกว่าเพิ่งก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองแค่ราวหนึ่งปีเท่านั้นหลังจากเรียนจบมาจากลอนดอน แล้วเริ่มต้นด้วยการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ก่อน แต่สิ่งที่เราชอบใจไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์สวยๆ ที่เขาออกแบบ หากแต่เป็นถุงผ้าช็อปปิ้งที่สามารถพับเก็บได้ ซึ่งเขาออกแบบลวดลายเป็นกราฟิกที่ช่วยไกด์วิธีการพับเก็บให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ กับสินค้าน่ารักอีกชิ้นคืองานภาชนะเซรามิกที่เป็นรูปเมฆ ซึ่งเขาผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม แต่มาจบงานด้วยการเพนต์มือ ทำให้แต่ละชิ้นมีความไม่ซ้ำกัน ด้วยไอเดียที่ตอบโจทย์บางอย่างเสมอในงานดีไซน์ของเขา ทำให้เรารู้สึกว่าดีไซเนอร์คนนี้น่าจับตาต่อไปว่าจะมีงานอะไรออกมาอีกในอนาคต
ความน่ารักอีกอย่างของแบรนด์นี้คือชื่อแบรนด์ที่ได้อิทธิพลจากคำคมในภาพยนตร์เรื่อง We Bought a Zoo (2011) ที่มีตัวละครตัวหนึ่งบอกว่า บางครั้งสิ่งที่เราต้องการก็แค่ความกล้าแบบบ้าบิ่นสัก 20 วินาที แล้วสิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาหาเราจากการตัดสินใจครั้งนั้น ...นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของดีไซเนอร์หนุ่มคนนี้ในการสร้างแบรนด์ของตัวเองก็เป็นได้
ทำความรู้จักกับ Twenty Lifestyle ได้ที่ twenty_life_style
6. 有空 5 mins
จากการไปไทเปมาแล้วหลายครั้ง เราเห็นการเติบโตที่น่าสนใจของแบรนด์นี้อยู่เสมอ นี่คือแบรนด์ที่ทำสินค้าจากคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่เป็นเจ้า 'ปลาแมว' สุดน่ารัก โดยสินค้ามีทั้งเสื้อยืด, หมวก, โปสการ์ด, หมอน, ที่คั่นหนังสือ, ผ้าเช็ดมือ ฯลฯ ซึ่งยิ่งนานปีก็ยิ่งมีผลิตภัณฑ์และลวดลายน่ารักๆ เพิ่มขึ้นตลอด ในปีนี้เราพบแบรนด์นี้ที่บูท A32 และพบว่าปริมาณสินค้าของแบรนด์ (ชื่ออ่านว่า โหย่วค่ง ไฟว์มินส์) เพิ่มความหลากหลายขึ้นไปอีก (ปีนี้เราเห็นกระทั่งซองแต๊ะเอียรูปปลาแมว) และเมื่อได้คุยกับทีมงานที่อยู่ประจำบูท เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าดีไซเนอร์ของแบรนด์นี้ยังแบ่งเวลาไปทำงานศิลปะอยู่เสมอๆ ด้วย โดยงานศิลปะก็เป็นการต่อยอดจากเจ้าตัวคาแรกเตอร์ปลาแมวของเขานี่ล่ะ
ไอเดียเรื่องการเอาปลากับแมวมารวมกันนี่ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ แล้ว แต่การขยับขยายให้ไลน์สินค้ากว้างไกลออกไป มีร้าน 2 สาขาและมีจุดฝากขายอีกหลายแห่ง ค่อยๆ ทำจนแบรนด์มีอายุร่วม 10 ปีได้นี่ถือว่าเป็นการเติบโตที่น่าทึ่งจริงๆ
ทำความรู้จักกับ 有空 5 mins ได้ที่ 5mins.com.tw
7. 拿鞘 Nature
ยังอยู่ที่โกดังหมายเลข 4 ที่บูทหมายเลข A54 มีชื่อว่า หนาเชี่ยว และพ้องเสียงเป็นภาษาอังกฤษว่า Nature ซึ่งสื่อถึงความพยายามในการทำแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน และแบรนด์นี้ก็ใช้วัสดุจากใบของต้นหมาก หยิบเอาใบที่ตกลงดินแล้ว เอามาทำให้แห้ง แล้วใช้กลวิธีผ่านความร้อน อบแห้ง จนเกิดเป็นวัสดุคล้ายกระดาษที่หนามากๆ แล้วเอามาทำเป็นสินค้าหลากหลาย ซึ่งที่โดดเด่นคือการผลิตเป็นกล่องใส่ของที่ดูแล้วเป็นธรรมชาติเอามากๆ แต่ก็มีความเก๋มากๆ ด้วยเช่นกัน
เห็นงานของแบรนด์นี้แล้วเรารู้สึกว่ามันทั้งเป็นนวัตกรรม เป็นงานคราฟต์ และเป็นศิลปะไปพร้อมๆ กัน
ทำความรู้จักกับ 拿鞘 Nature ได้ที่ na_chiao
8. Jibberish & Nabi & Ink vacation
การไปออกบูทต่างประเทศนั้นถือว่าต้องลงทุนพอสมควร ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ไหนจะค่าบูทอีก ดังนั้นการแบ่งพื้นที่บูทเพื่อลดค่าใช้จ่ายจึงเป็นทางเลือกสำหรับแบรนด์เล็กๆ จากต่างแดนอยู่เหมือนกัน ในโซนหนึ่งของโกดัง 4 เราพบแบรนด์ไทยอยู่ติดๆ กันหลายบูทซึ่งล้วนเป็นบูทไซส์เล็ก และบางบูทก็ถูกแบ่งเป็นหลายแบรนด์ แต่ส่วนผสมที่เราสนใจอยู่ที่บูทหมายเลข A65 ที่มีการรวมกันอยู่ถึง 3 แบรนด์คือ Jibberish แบรนด์ที่ทำเสื้อผ้าย้อมคราม, Nabi แบรนด์เครื่องประดับโลหะ และ Ink vacation ที่ทำกรอบรูปไม้และของแต่งบ้าน ทั้งหมดเป็นแบรนด์ที่มาจากเชียงใหม่ เจ้าของแบรนด์ Jibberish และ Nabi นั้นเป็นคู่รักกัน ในขณะที่แบรนด์ Ink vacation ก็เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันดี นอกจากสินค้าในบูทจะคราฟต์ได้ใจและไม่ซ้ำกันในแต่ละชิ้นจริงๆ แล้ว การมาด้อมๆ มองๆ ในบูทเล็กๆ บูทนี้ยังมีบรรยากาศเหมือนมาเจอกลุ่มเพื่อนชาวคราฟต์จากเชียงใหม่ที่เป็นกันเอง ...จะบอกว่าพวกเขาเป็นตัวแทนคนทำงานสร้างสรรค์จากจังหวัดที่ใครๆ ก็หลงรักนี้ก็ว่าได้
ทำความรู้จักกับ jibberish ได้ที่ jibberish
ทำความรู้จักกับ Nabi ได้ที่ nabi_crafthouse
ทำความรู้จักกับ Ink vacation ได้ที่ inkvacation
9. Lovely Box
มาที่โกดังสุดท้าย โกดังหมายเลข 5 กันบ้าง ที่นี่เราพบกับบูทหมายเลข B64 ที่ไม่ได้เรียกว่าทำสินค้าดีไซน์เท่ๆ เอง แต่ทำงานเพื่อรองรับความเท่ของแบรนด์ต่างๆ อีกที นั่นก็คือเป็นผู้ผลิตกล่องกระดาษนั่นเอง แบรนด์นี้ใช้ชื่อง่ายๆ ว่า Lovely Box แล้วก็ทำผลงานตามชื่อจริงๆ คือการผลิตกล่องหลายแบบ หลายสี ให้เลือกใช้ มีการผสมงานพิมพ์สวยๆ เข้าไปด้วยก็ได้ หรือจะให้ดีไซน์กล่องให้เข้ากับสินค้าอย่างไรก็บอกได้ จะซื้อกล่องกี่ใบก็ได้ ใบเดียวก็ขาย แบรนด์ Lovely Box มีอายุ 3 ปีแล้ว แต่การยืนดูกล่องกระดาษหลากสีหลายรูปทรงในบูทนี้ก็บอกเราได้ว่าพวกเขามีความเป็นผู้รู้จริงเรื่องกล่องกระดาษ และพร้อมจะทำให้กล่องกระดาษเป็น 'มูลค่าเพิ่ม' ในสินค้าแนวครีเอทีฟต่างๆ ในอีกระดับ
ทำความรู้จักกับ Lovely Box ได้ที่ lovelybox.net
10. slowflow.pottery
ปิดท้ายด้วยแบรนด์น้องใหม่อีกราย งานถ้วยและจานสวยๆ ที่บูท B36 เป็นผลงานของแบรนด์เซรามิกจากหนุ่มน้อยที่เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง เพิ่งทำแบรนด์ของตัวเองมาราวปีเดียวเท่านั้น แต่ความน่าสนใจของแบรนด์ slowflow.pottery คือการเป็นแบรนด์ที่สามารถหาอัตลักษณ์ของตัวเองได้แล้ว โดยการใช้สีหวานๆ แต่ผสมผสานกันด้วยเทคนิค slip casting ที่ทำให้ได้ผลงานเหมือนสีหลายๆ สียังหลอมละลายอยู่ด้วยกันบทผิวภาชนะ งานแต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน แต่ดูรวมๆ ทั้งบูทแล้วกลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างประหลาด
นี่คือจุดเริ่มต้นของ slowflow.pottery เรามาดูกันดีกว่าว่าต่อไปแบรนด์เซรามิกแบรนด์นี้จะเติบโตไปอย่างไร
ทำความรู้จักกับ slowflow.pottery ได้ที่ slowflow.pottery
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับงาน Pop Up Asia ได้ที่ popupasia.com
2825 VIEWS |
ผู้ก่อตั้งนิตยสาร happening, บรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening, กรรมการบริหารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc), นักเขียน, นักแต่งเพลง, นักฟังเพลง และนักอ่านตัวยง
ที่ปรึกษาทีม happening shop, เจ้าของเพจเฟซบุ๊กและหนังสือ 'ญี่ปุ่นอุ่นอุ่น', นักเขียน ช่างภาพโฟโต้บุ๊ก 'Nagasaki Light' และไกด์บุ๊ก 'Kagawa Memories' นอกจากภาพถ่ายและงานเขียน สิ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษคือการนั่งสมาธิและการโปรยมุขไม่ขำ