โอ๊ค-พงษ์พันธ์ พลสิทธิ์ มือเบสวง Big Ass ผู้มีฝีมือวาดภาพที่ร็อกไม่แพ้ผลงานดนตรี

    เมื่อเดินทางมาถึงค่ายดนตรีอิสระ VOM Records โอ๊ค-พงษ์พันธ์ พลสิทธิ์ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว บนโต๊ะตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางห้องมีสมุดสเก็ตช์และผลงานภาพวาดรวบรวมไว้อีกปึกหนึ่ง พอมองไปรอบๆ จึงเห็นผลงานที่ใส่กรอบแขวนตกแต่งผนังเอาไว้ส่วนหนึ่งด้วย 
    สำหรับแฟนเพลง โอ๊ค คือมือเบส Big Ass วงร็อกรุ่นใหญ่ที่มีอายุกว่า 20 ปี แม้จะมีช่วงที่ห่างหายไปจากงานเบื้องหน้า เพราะสมาชิกในวงมีภารกิจส่วนตัวกันบ้าง แต่เขายังทำงานดนตรีอยู่เบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ค่ายดนตรีอิสระ VOM Records ร่วมกับ สมเมย์-ณัฐนนท์ ศรีศรานนท์ มือกลองวง ลาบานูน และเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับวงในค่ายและนอกค่ายควบคู่กันไป มีโปรเจกต์ Now or Never ที่รวมศิลปินร็อกและเมทัลมากฝีมือมารวมตัวกัน และทำคอนเสิร์ต Rock Alarm ซึ่งเขาเป็นผู้ออกแบบโปสเตอร์ด้วยตัวเองอีกด้วย
    ส่วนคนที่ติดตามเขาเป็นการส่วนตัวทั้งทาง Facebook: oakie gallery หรือ Instagram : oakie_gallery คงเคยเห็นแล้วว่าฝีมือการวาดภาพของเขาร็อกไม่แพ้ดนตรีของเขาเลย
    พงษ์พันธ์เป็นผู้หนึ่งที่สร้างสรรค์งานศิลปะควบคู่กันมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นคนชอบวาดรูปและวาดการ์ตูนตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะเข้าเรียนศิลปะที่วิทยาลัยช่างศิลปที่ทำให้เจอเพื่อนๆ วง Big Ass แล้วเล่นดนตรีด้วยกัน กระทั่งตอนเดินทางไปทำงานที่สหรัฐอเมริกายังใช้ทักษะด้านศิลปะมาใช้ในงานเพ้นต์เสื้อยืดด้วยแอร์บรัชอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับเมืองไทยมาเล่นดนตรีให้กับวง Big Ass อีกครั้งจนถึงทุกวันนี้ 
    ปัจจุบันหากมีเวลาว่าง เขามักจะหยิบสมุด สี หรือไอแพดขึ้นมาร่างแบบและสเก็ตช์สิ่งที่อยู่ในความคิดความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นภาพวาดเสมอ ดังนั้นนอกจากผลงานของเขาจะไปอยู่บนโปสเตอร์งานคอนเสิร์ตต่างๆ แล้ว ยังไปปรากฏอยู่บนเสื้อแบรนด์ Zilly-B และ ประตูผี อยู่บ้าง โดยล่าสุดเขาส่งผลงานเข้าร่วมโครงการ Bangkok Illustration Fair 2021 แล้วได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 150 BKKIF Artist ในนาม Oakie อีกด้วย
    เราจะชวนมาทำความรู้จักกับโลกของ โอ๊ค พงษ์พันธ์ ที่มีทั้งดนตรีและศิลปะโคจรอยู่รอบตัว และนำผลงานศิลปะของเขามาให้ชื่นชมพร้อมๆ กัน
ชีวิตของคุณมีเรื่องศิลปะควบคู่กับดนตรีมาตลอด แล้วจุดเริ่มต้นของศิลปะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?
    ศิลปะสำหรับผม ตั้งแต่จำความได้ 2 ขวบก็วาดกำแพงบ้านแล้วก็โดนแม่ตี ถ้าเป็นบ้านเก่าบนกำแพงจะมีร่องรอยดินสอที่ผมเอามาวาดรูปยานอวกาศ รูปคน อะไรอย่างนี้เต็มบ้านเลย แม่ก็ห้าม ยิ่งเขาเห็นเราใช้มือซ้ายด้วย สมัยนั้นส่วนใหญ่เขาจะคิดว่าคนเขียนมือซ้ายเป็นคนไม่ปกติ แล้วโรงเรียนอนุบาลเขาก็บอกแม่ให้ลองไปปรึกษาจิตแพทย์ผมจะได้กลับมาเขียนด้วยมือขวาไหม แม่ผมเองก็ถนัดซ้ายเหมือนกัน แต่เขาพยายามใช้มือขวาเพราะไม่มั่นใจว่าสังคมจะยอมรับหรือเปล่า แต่ผมเขียนมือซ้ายเพราะถนัดซ้าย เขียนมือขวาไม่ได้ สุดท้ายแม่ก็ห้ามผมไม่ได้ ก็เป็นอย่างนี้มาจนเริ่มวาดเขียนบนกระดาษ วาดอะไรก็ตามที่เราเห็น เมื่อก่อนดูไอ้มดแดงก็วาดไอ้มดแดง ดูการ์ตูนเรื่องอะไรก็วาดตาม เราชอบอ่านการ์ตูนก็วาดรูปตามปกการ์ตูนที่เราชอบ ดราก้อนบอล หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ จนตอนที่ย้ายบ้านแล้วได้ไปเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เขาชอบเขียนการ์ตูนจริงจังมากขึ้น มีกลุ่มเด็กแถวบ้านฝึกเขียนการ์ตูนช่องกันเอง เขาเขียนการ์ตูนช่องแล้วเอามาทำเป็นเล่มแลกกันอ่าน แล้วคุยกันว่าลายเส้นเขียนดีไหม จนเพื่อนบางคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นเริ่มออกไปทำงานเขียนการ์ตูน 
ตอนนั้นเขาไปทำงานเขียนการ์ตูนที่ไหน?
    เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาได้ไปเขียนในขายหัวเราะ มันเลยอินสปายว่า ผมเริ่มอยากทำงานเขียนรูปมากขึ้น ยุคนั้นการเข้าไปอยู่ในขายหัวเราะได้คือโคตรเก่งเลยนะ เพราะการเขียนการ์ตูนเมื่อก่อนมันต้องอาศัยการฝึกฝนค่อนข้างสูง เวลาใช้ปากกาคอแร้งเขียน ถ้าเขียนไม่ดีเส้นมันแตก ที่เห็นเส้นคมขนาดนี้ เวลาพิมพ์เส้นมันจะแตกเห็นชัดเจนมากขึ้น ถ้าเกิดเราไม่ฝึกเรื่องเส้นให้ดีๆ มันจะมีผลกับการเอาไปพิมพ์ ฉะนั้นเรื่องเส้นสำคัญมาก เมื่อก่อนเราก็ฝึกเรื่องเส้น เขียนปากกาคอแร้ง เขียนปากกาให้คม ตอนเรียนอยู่วิทยาลัยช่างศิลป์ปี 2 ก็ไปขอฝึกงานกับคนที่เป็นนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหญ่ แล้วเราดูวิธีการที่เขาสอน ไปฝึกงานเป็นคนเขียนภาพประกอบในโรงพิมพ์แถวมักกะสันฮะ
มีความฝันว่าอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนเลยหรือเปล่า? 
    เริ่มอยากเขียนการ์ตูนตั้งแต่มัธยมต้นฮะ แล้วพอมาเข้าวิทยาลัยช่างศิลปจะได้เจอกับกลุ่มคนอีกแบบหนึ่ง มันจะเป็นเรื่องของไฟน์อาร์ตมากขึ้น เป็นงานศิลปะที่มีความละเอียดมากขึ้น แล้วก็ต้องเรียนพื้นฐานตั้งแต่ดรอว์อิ้ง เพ้นติ้งครับ
ตอนเรียนวิทยาลัยช่างศิลปมีปัญหาคลาสสิก เช่น พ่อแม่ไม่อยากให้เรียนไหม?
    มีครับ พ่อไม่อยากให้เรียนเลย พ่อเขาไม่รู้ว่าเรียนแล้วต่อไปจะทำงานอะไร คือยุคนั้นถ้าไม่เป็นจิตรกรดังจริงๆ ก็จะได้แค่นี้ วาดคัตเอาท์ เออ วาดคัตเอาท์โรงหนังผมก็ยอมอะ เราก็เลยตั้งใจว่าจะต้องติดศิลปากรให้ได้ เพราะอยากเป็นจิตรกร อยากจะเป็นศิลปินวาดภาพเก่งๆ ตอนนั้นที่นั่นเป็นที่เดียวที่ ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นได้มันเป็นใบเบิกทาง ถ้าไม่ไปศิลปากรก็จะมีเชียงใหม่ แต่ตอนนั้นเชียงใหม่ยังไม่ค่อยบูมเท่าไร แล้วนอกนั้นไม่มีโรงเรียนศิลปะไหนที่ตอบโจทย์เราได้ แต่มันเข้ายาก คนสมัครสอบเข้า 50,000 เอา 200 คน ใครเข้าได้คือเท่มาก แต่พอเรียนจบวิทยาลัยช่างศิลปแล้วเอนทรานซ์ไม่ติด ที่บ้านเลยให้ไปอยู่อเมริกาดีกว่า
เรื่องดนตรีคุณมาเจอกับเพื่อนในวงตั้งแต่สมัยเรียนด้วยเหมือนกัน แล้วการเล่นดนตรีเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร?
    ผมก็โตมากับการฟังเพลงแกรมมี่ยุคเฟื่องฟู อัสนี-วสันต์ ไมโคร เห็นศิลปินเล่นกีตาร์บนเวทีแล้วมันเท่ เมื่อก่อนตอนมัธยมผมเคยเป่าทรัมเป็ตอยู่วงโยธวาทิต แต่มันไม่เท่ นั่งเกาะลูกกรงดูเพื่อนเล่นวงสตริงกัน อยากร็อก อยากเล่นได้ เราไม่ได้เรียนดนตรีมา เลยฝึกกีตาร์เล่นแบบครูลักพักจำ ฝึกเอาเอง ตอนนั้นอยากเป็นมือกีตาร์ทำวงกับเพื่อนสมัยมัธยมต้น 
    แล้วพอมาเข้าวิทยาลัยช่างศิลปมันได้เปิดโลกทัศน์ไปอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าที่นั่นบางคนอายุมากกว่าเราแล้วเพิ่งมาเข้าเรียนปี 1 เขาจะมีมุมมองทางความคิดที่โตขึ้นไปกว่าเรา ด้วยความที่ชอบคบคนที่โตกว่าผมเลยจะรู้สึกว่าเวลาเขามีเพลงอะไรมาให้เราฟัง มันเป็นเรื่องน่าสนใจ มันโอเคหมด 
ช่วงนั้นได้ฟังเพลงอะไรบ้าง?
    จริงๆ ผมฟังวงต่างประเทศมาสักพักแล้วก่อนจะมาเข้าวิทยาลัยช่างศิลป แต่ว่ามาฟังจริงจังก็จะช่วงนี้ ฟังตั้งแต่ยุค 70 มี Jimi Hendrix, Pink Floyd, ELP (Emerson Lake & Palmer) วงฮาร์ดร็อกยุคเก่าๆ อย่าง Deep Purple ก็จะฟังอยู่แล้ว แล้วก็จะมาหนักขึ้นเป็นพวก Mettalica, Antrax Slayer, Faith No More ซึ่งตอนนั้นเป็นตอนที่ผมได้เจอหมู (อภิชาติ พรมรักษา) กับอ๊อฟ (พูนศักดิ์ จตุระบุล) แล้ว เขาก็จะเอาเพลงพวกนี้มาให้เราฟัง เพื่อที่จะแกะแล้วไปเล่นในห้องซ้อมด้วยกันทุกวันอาทิตย์ เราก็จะเริ่มซ้อมแล้วฟังเพลงที่หลากหลายขึ้น หนักขึ้น เริ่มที่จะชอบฟังเพลงจริงจังมากขึ้น เริ่มสะสมเทปซีดี เงินที่เรามีส่วนใหญ่เราจะไปซื้อเทปซีดีแถวหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวสมัยก่อนจะมีแผงเทปอยู่ ผมได้วิธีการฟังเพลงจากอ๊อฟเยอะ เพราะเขาจะเป็นคนฟังเพลงเยอะแล้วก็หลากหลายมาก ที่บ้านเขาวางเทปเรียงกันสูงยาวบนกำแพงเลย ซึ่งเมื่อก่อนมีครบ อ๊อฟ หมู กบ แด็ก ซึ่งตอนนั้นคุณต้นเป็นมือเบส พอเขาออกไปเลยชวนผมเข้ามาเล่น อยู่กับ Big Ass เกือบ 2 ปีได้
    ผมรู้สึกว่าชอบฟังเพลงและชอบค้นคว้าว่า วงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากวงอะไร ยิ่งฟังก็ยิ่งชอบ อยากรู้ว่า Red Hot Chilli Pepper เป็นมาอย่างไร Faith No More เป็นมาอย่างไร Skid Row มาอย่างไร แล้วเราก็กลับไปฟังเพลงเก่าๆ จะได้รู้ว่ารากฐานดนตรีเขามาอย่างไร
    แล้วยิ่งจบช่างศิลปแล้วไปอยู่อเมริกา 8 ปี นี่คือได้อยู่กับดนตรี ได้เล่นดนตรีกับฝรั่ง ทำให้โลกเราเปิดกว้าง เราฟังเพลงแนวทดลองมากขึ้น สายอัลเทอร์เนทีฟ อินดัสเทรียล Nine Inch Nails เราก็ฟัง ดนตรีกรันจ์ (grunge) ก็ฟัง หลากหลายมาก
ไปอยู่อเมริกาแล้วทำอะไรบ้าง?
    แม่เขาทำร้านอาหารอยู่ที่นู่น พอดีพ่อผมทำเรื่องสามารถพาผมไปได้ ผมก็เลยไป ไปแบบไม่รู้อะไรเลย ภาษาอังกฤษก็แย่ เริ่มไปทำงานเป็นเด็กล้างจานในครัวอยู่ 2 ปีกว่าๆ ได้ แล้วมีคนไทยที่เปิดร้านเพ้นต์เสื้ออยู่ที่เมืองชื่อ Myrtle Beach รัฐ South Calorina เขาชวนให้ไปทำงานด้วยเพราะเขาเห็นว่าผมวาดรูปได้ เมืองนั้นมีชายหาดเป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวไปเล่นเซิร์ฟกัน แล้วผมอยากรู้เรื่องแอร์บรัชมาก แต่ผมไม่มีตังค์ซื้อ พอไปอเมริกาผมสามารถหาของพวกนี้ได้ง่ายขึ้น ตอนนั้นผมเลยไปฝึกวาดรูปด้วยแอร์บรัช 
    คือยุคก่อนแอร์บรัชมีบทบาททั้งกับโมเดลและภาพประกอบมาก เพราะแอร์บรัชเป็นงานที่สร้างมิติให้ภาพ เมื่อก่อนจะมีวิธีการติดเทปแล้วตัดเป็นบล็อกแบบสเตนซิล (stencil) ครับ เสื้อลายหนึ่งอาจจะใช้ 3-4 บล็อกในการพ่น แล้วเวลาเพ้นต์เสื้อมันต้องใช้เวลาทำให้เร็วที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ใช่ไหมครับ วันอาทิตย์คือวันที่เขาจะกลับบ้าน ถ้าต้องการของเขาจะมาสั่งวันเสาร์หรือเช้าวันอาทิตย์ก่อนกลับ ถ้าทำช้าเราจะไม่ได้เงินแล้วโดนลูกค้าต่อว่าด้วยว่าทำไมยูยังทำงานไม่เสร็จ ผมมีออเดอร์ประมาณ 10-20 ตัวต่อวัน ดังนั้นต้องใช้เวลาทำเสื้อตัวละประมาณ 10-15 นาที ผมยืนอย่างนี้ทั้งวัน พ่นเสร็จปั๊บถอดออก ให้ผู้ช่วยทับเสื้อรีดเสื้อ แล้วส่งให้ลูกค้า เป็นอย่างนี้อยู่เกือบ 7 ปีฮะ แต่เป็นการทำงานศิลปะที่หนักมาก ผมต้องทำงานตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนเกือบทุกวัน ยิ่งช่วงซัมเมอร์เป็นช่วงที่เราหาเงินเองได้ ยิ่งต้องยืนทำงานอย่างนี้ทุกวัน
แล้วไปเล่นดนตรีได้อย่างไร?
    ตอนที่ผมทำงานอยู่ได้ไปรู้จักกับนักดนตรีที่นั่นฮะ เขาเห็นว่าเวลาผมไม่ได้ทำอะไรจะเอาเบสมาซ้อมอยู่คนเดียว เลยถามว่าสนใจไปจอยกับวงนี้ไหม เขาหามือเบสอยู่ ผมก็เลยไปเล่นดนตรีกับพวกฝรั่ง เป็นแบบนี้อยู่สักพักจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ Big Ass กำลังหามือเบสพอดี เราก็เลยเข้ามาเป็นสมาชิกในวงจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นพอกลับมาจากอเมริกาแล้วก็เลยหนักมาทางเล่นดนตรีใช่ไหม?
    ใช่ครับ ไม่ได้แตะการวาดภาพเลย เพราะว่าผมรู้สึกว่าเบื่อมาก ตอนนั้นผมวาดทั้งวัน แล้วเป็นการวาดภาพให้คนอื่น เราแทบไม่มีความรู้เรื่องไฟน์อาร์ตเลย รู้แต่จะวาดอย่างไรให้คนชอบ
กลับมาวาดภาพอีกครั้งเมื่อไร?
    เริ่มวาดงานส่วนตัวจริงๆ เกือบ 10 ปีได้ครับ แต่พอกลับมาเริ่มวาดใหม่ๆ มันยังเป๋ๆ อยู่ ยังไม่รู้ทางว่าเราจะวาดอย่างไร เลยวาดอะไรที่เราคิดไปเรื่อยๆ เหมือนเริ่มฝึกฝนมากขึ้น เราไม่เคยแสดงงานเลยนะ พอเริ่มมีอินสตาแกรมเรารู้แล้วว่าเริ่มมีทางเผยแพร่ผลงานแล้ว
    จริงๆ แล้วคนเล่นดนตรีเวลามันเยอะนะ เราเล่นดนตรี 2-3 ชั่วโมง นอกจากเวลาเข้าห้องอัด ถ้าไม่ตื่นสายมันก็มีเวลาค่อนข้างเยอะ เราก็ใช้เวลาช่วงนั้นมาวาดรูป ผมว่าตีว่าทุก 2-3 วันเราจะวาดได้หนึ่งชิ้น แต่เราไม่ได้วาดชิ้นใหญ่ บางทีเราวาดในสมุดชิ้นแค่นี้ แล้วถ่ายลงอินสตาแกรม คนก็ไม่รู้แล้วว่าใหญ่หรือเล็ก คนเขาจะมาชอบวิธีคิดของภาพเรามากกว่า ตรงที่เราวาดแล้วเขาสามารถนำไปตีความของเขาได้ อย่างบางทีเราใส่แคปชั่นลงไป เขาก็ชอบแคปชั่นที่เราใช้ในภาพว่ามันมีความหมายดี 
พอโพสต์ผลงานลงอินสตาแกรมแล้วผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง?
    แรกๆ คนจะสงสัยว่าผมวาดรูปเป็นด้วยเหรอ ก็เริ่มวาดไปเรื่อยๆ จนมีคนเข้ามาคอมเม้นต์ว่าภาพนี้หมายถึงอะไร มีคนมากดไลก์ ก็รู้สึกดี เสพติดนิดหนึ่ง คนชอบภาพเราเยอะเว้ย ก็รู้สึกว่ามีคนสนใจนะ จนมาถึงช่วงที่อยู่ๆ ตูน (อาทิวราห์ คงมาลัย) มากดไลก์ภาพ เขาทักเข้ามาแล้วมาหาผมที่ออฟฟิศ เมื่อก่อนตรงนี้จะเป็นสตูดิโอเขียนรูปของผมนะครับ แล้วก็กลับมาทำงานแอร์บรัช รับพ่นถังน้ำมัน เพ้นต์ของต่างๆ อะไรอย่างนี้ ทีนี้ตูนเขามาบอกว่าจะขอเอาผลงานผมไปใช้กับโครงการ ก้าวคนละก้าว เขาพูดว่าเห็นภาพนี้แล้วเขาชอบมาก รู้สึกว่าภาพนี้สื่อความรู้สึกของเขาได้ เหมาะกับการนำไปใช้เป็นโลโก้ของเขา ซึ่งความหมายที่เขาตีความเป็นคนละความหมายกับผม ภาพนั้นผมเอาแนวคิดจากเพลง Blackened ของ Metallica ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้มาวาด แต่กลายเป็นภาพนี้โดนใจตูนจนมาขอใช้ในโครงการ มันเลยเถิดมาขนาดที่ตูนขอให้เขียนตัวอักษรคำว่า 'ก้าว' ด้วย ตรงนี้ก็พาให้คนกลับมาสนใจเรามากขึ้นในเรื่องของการวาดภาพ แล้วคนก็ติดตามเรามากขึ้น
ช่วงที่บอกว่าเริ่มกลับมาวาดภาพแล้วพยายามค้นหาแนวทางของตัวเอง คุณค้นพบอะไรบ้าง?
    ไม่รู้เลย ผมวาดไปเรื่อยๆ วาดไปจนกระทั่งเรารู้สึกว่าเราเริ่มเข้าใจแล้วว่าแนวทางที่เราต้องการเป็นแบบไหน เอาง่ายๆ คือ เรื่องเส้นหรือเรื่องสี ผมเริ่มเข้าใจว่าเราต้องการให้เป็นสีออกมาเป็นอย่างนี้ เราต้องการให้ภาพออกมาเป็นสไตล์นี้ มันอธิบายยาก มันเกิดจากการทำบ่อยๆ พอทำบ่อยๆ แล้วเรารู้ว่าเส้นที่เราจะวาดจะต้องมาทางนี้ วิธีคิดของเราจะต้องมาทางนี้ มันก็เปลี่ยนไปตามความรู้สึกนะครับ แต่คนก็เริ่มจับทางได้ว่าภาพนี้ผมเป็นคนวาด โดยที่เรายังไม่ได้บอก 
    อย่างบางชิ้นผมทำตามโจทย์สินค้าที่จ้างผม อย่างแบรนด์เสื้อที่ให้ผมออกแบบมีลายเสื้อของแบรนด์ Zilly-B ของเภา (รัฐพล พรรณเชษฐ์) นั่นจะเป็นทางผมค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเป็นเสื้อแบรนด์ประตูผีจะโหดไปเลย ผมจะวาดภาพกระโหลก 
    ตอนนี้ผมค่อนข้างอินไปกับความคิดลัทธิเต๋า เซน แล้วอ่านหนังสือมูซาชิค่อนข้างเยอะ ผมเลยค่อนข้างชอบงานสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นสีน้ำ สีหมึก แล้วเมื่อสัก 3 ปีที่แล้วผมไปญี่ปุ่นกับกบ (ขจรเดช พรมรักษา) เป็นจังหวะโชคดีมากที่ผมไปตกรถไฟอยู่ที่สถานีหนึ่ง แล้วตรงนั้นมีงานแสดงภาพวาดสีน้ำของศิลปินยุค 300 ปีที่แล้ว เสียดายที่ผมจำชื่อศิลปินไม่ได้ แต่ผมไปดูแล้วทึ่งมาก ศิลปินใช้วัสดุและเครื่องมือที่เขามีอยู่ กระดาษบางๆ สมัยก่อน สีที่ใช้เป็นสีจากหินที่นำมาฝนแล้วทำสีขึ้นมา มันดูเรียบง่ายมาก แต่มีเสน่ห์มาก เขาทำให้รู้สึกเหมือนนกบินได้ เหมือนมองภูเขาที่มีหมอกปกคลุมอยู่ ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร แล้วผมรู้สึกว่าผมชอบผลงานสีหมึกหรือสีน้ำมาก มันเป็นสิ่งที่คุมยากมาก ต้องวาดเบาก่อนแล้วไล่มาถึงน้ำหนักที่หนักได้ แล้วการควบคุมน้ำมีเสน่ห์ของมันที่จะเกิดเท็กซ์เจอร์ใหม่ๆ ขึ้นมา มันอาจจะสวยหรืออาจจะเละก็ได้ ในความตั้งใจบางทีมันเกิดความไม่ตั้งใจขึ้นมา มันมีเสน่ห์ของมัน ผมเลยรู้สึกว่าหลังๆ ผมทำงานสีหมึกกับสีน้ำมากขึ้น ผมชอบเลย
ช่วงหลังใช้ไอแพดวาดด้วยใช่ไหม?
    พอมีคนจ้างเราวาดงานลงไปในสินค้าพวกเสื้อมากขึ้น เวลาใช้ไอแพดมันทำงานได้ง่ายขึ้นฮะ คือเวลาเราสแกนงานส่งโรงงาน ถ้าวาดภาพแล้วถ่ายออกมาไม่ดี มันแตก ดูใกล้ๆ แล้วงานไม่เนี้ยบมาก เลยมาเริ่มใช้คอมพิวเตอร์แล้วเรียนรู้จากไอแพด เริ่มรู้สึกว่ามันทำงานง่ายเวลาที่เราส่งโรงงานที่จะให้เขาพิมพ์เอาไปทำบล็อก มันละเอียดกว่า แล้วงานมันดูเป็นมืออาชีพมากกว่า
    แต่กว่าเราจะเข้าใจว่าทีแปรงมันยาก ต้องใช้ความเข้าใจในตัวปากกาและการตั้งค่า ซึ่งเราไม่รู้เรื่องเลย ตอนแรกผมตั้งค่าความละเอียดผิด ขยายแล้วมันแตก ผมก็เลยต้องถามพวกน้องๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์เก่งๆ พอทำเป็นแล้วทุกอย่างมันง่ายมากเลยครับ ไม่ต้องไปนั่งวาดใหม่ พอทำเป็นเลเยอร์ เลเยอร์ไหนเราไม่ชอบ เราลบเลเยอร์นี้ สีนี้ แล้วเราเปลี่ยนเลเยอร์ใหม่ได้ มันง่ายขึ้นเยอะเลย
ช่วยเล่าขั้นตอนการวาดภาพของคุณให้ฟังหน่อย
    เริ่มจากความคิดก่อนเลย ผมจะคิดว่าวันนี้จะวาดเรื่องอะไร เราต้องหาคอนเสปต์หรือแคปชั่นให้เจอ ผมจะชอบเวลาที่ผมวาดภาพอะไรขึ้นมาแล้วมันตอบโจทย์ในความรู้สึกผมได้ แล้วผมจะวาดภาพนั้นให้สมบูรณ์ อย่างเวลาที่เราเจอคำดีๆ หรือเรื่องราวอะไรสักอย่าง เราจะเริ่มใช้ดินสอร่าง ลงสี แล้วทำอยู่สักพักจนกระทั่งมันเป็นไปตามที่เราคิด แล้วค่อยโพสต์ลงไป
    อย่างภาพนี้ผมอ่านข่าวที่มีการสร้างบ้านพักตุลาการริมดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมก็คิดว่ามันคุ้มไหมที่ตัดไม้ไปเพื่อสร้างบ้านอยู่ตรงนั้น แล้วผมจะวาดในช่วงเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นโดยไม่บอกว่าเป็นเรื่องนี้ ผมเอาสิ่งนี้มาเป็นวัตถุดิบในการสร้างงาน หรืออย่างช่วงที่มีเรื่องเสือดำผมก็วาด แต่คนรู้แหละว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไร ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เพื่อนผมแต่งเพลงขึ้นมา แต่การวาดภาพเป็นวิธีที่ผมทำได้ คือผมหาทางออกมาเป็นรูปภาพมากกว่า ผมจะใช้ภาพเป็นตัวแทนความรู้สึก ความคิด หรือสิ่งที่ผมรับรู้มา ณ เวลานั้น
เป็นการแสดงความรู้สึกผ่านภาพใช่ไหม?
    ใช่ครับ วิธีคิดและแคปชั่นที่คิดขึ้นมาได้สำคัญกับผมมาก กว่าที่ผมจะสร้างชิ้นงานนั้นได้ บางทีพอคิดแคปชั่นได้ พอมีคอนเทนต์ที่เหมาะนะครับ ผมวาดแป๊บเดียว อย่างผมวาดหมูตัวนี้ใส่สูท คนรู้อยู่แล้วว่าผมพูดเรื่องการเมืองแน่ๆ แต่ผมไม่บอกออกไป ผมให้คนเลือกตีความตามประสบการณ์ของเขา เป็นเรื่องสนุกดีที่เราได้เห็นว่าภาพของเราถูกนำไปตีความเป็นเรื่องราวต่างๆ ให้คนสามารถคิดได้หลายมุม
พอวาดไปเรื่อยๆ แล้วเคยคิดไหมว่าคุณวาดไปเพื่ออะไร?
    ตอนนี้มันเหมือนการบำบัดความรู้สึกของเรา ในมุมของ Big Ass เราเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้วงสมบูรณ์ขึ้น แต่การวาดภาพมันคือทุกอย่างของเรา มันคือวิธีคิด วิธีที่เราถ่ายทอดลงไปกับภาพจนมันครบองค์ประกอบความเป็นตัวเรา ฉะนั้นผมจะรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พูดแทนตัวเราได้ พูดแทนความคิดหรือวิธีการมองต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องสังคมหรือจิตใจของตัวเราเอง ผมคิดว่ายิ่งวาดผมยิ่งรู้สึกว่าเป็นการบำบัดจิตใจเราไปด้วย ทุกวันนี้ยังอยากวาดไปเรื่อยๆ ไม่คิดที่จะหยุดเลย
Favorite Something
  •   The God Father ทั้ง 3 ภาค, Scarface (1983), Casino (1995), Heat (1995)
  •   Trent Reznor - Nine Inch Nails
  •   มูซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์ สุวินัย ภรณวลัย
  •   ถวัลย์ ดัชนี

ดุสิตา อิ่มอารมณ์

นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพที่เป็นนักเขียนที่เป็นช่างภาพที่ชอบไปเที่ยวที่เป็นนักเขียนหนังสือท่องเที่ยวที่เป็นช่างภาพให้หนังสือตัวเองที่เป็นนักเขียนเอาเวลาว่างจากที่เป็นช่างภาพที่เป็นงานประจำไปเป็นนักเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กมา 5 เล่มแล้วและช่วงนี้ก็ชอบปลูกต้นไม้ด้วย