จุดสีบนชีวิตและความทรงจำ จากปลายหมึกดำของ nnene.iie

    เวลาบ่ายสองที่ ROOTS ย่านสาทร ในโมงยามของความวุ่นวาย ภายในร้านกลับเงียบสงบ เนเน่–นันทวรรณ แจ่มใส หรือ nnene.iie กำลังนั่งประจำที่ตรงมุมโปรดมุมเดิม ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนฐานบัญชาการเล็กๆ ที่เธอมักตั้งใจตื่นแต่เช้ามาเป็นลูกค้าคนแรก เพื่อดื่มกาแฟและเริ่มต้นวันในการทำงานเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงวัยทำงาน

    หลายคนรู้จักเนเน่ในฐานะนักวาดภาพประกอบหน้าใหม่ ที่มีผลงานให้ติดตามในโซเชียลอย่างต่อเนื่อง จากเรื่องเล่าและการจดบันทึกสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันด้วยปากกาหมึกดำของเธอ ก่อนที่การเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยจะขยับขยายลายเส้นให้กลายเป็นผลงานโมชั่นกราฟิก (Motion Graphic) และเริ่มมีงานพิมพ์ริโซกราฟ (Risograph) และโปรดักซ์ต่างๆ ทั้งชิ้นงานเซรามิก หมวก กระเป๋า ฯลฯ ออกมาให้ผู้คนได้จับจองอยู่เรื่อยๆ

    แม้แรกเริ่มการวาดภาพจะเป็นเพียงงานอดิเรกในชีวิตที่เธอยังไม่มีแพลนทุ่มสุดตัว เพราะมีอีกบทบาทเป็นการช่วยครอบครัวดูแลกิจการอาหารสัตว์ควบคู่ไปด้วย แต่ด้วยการชักชวนของเพื่อนๆ ให้ส่งผลงานเข้ามาสมัครในงาน Bangkok Illustration Fair 2023 ก็พาให้เธอได้รับการคัดเลือกจนเป็น 1 ใน 150 ศิลปินที่ได้จัดแสดงผลงานภายในพื้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc) และมีโอกาสได้จัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก ในชื่อ WATCH ME NENE นิทรรศการแรกของหนู ที่เปลี่ยนตึกสี่ชั้นของแกลเลอรี KINJAI CONTEMPORARY ให้เต็มไปด้วยชิ้นงานที่เธอวาดสะสมไว้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่หลายคนให้ความสนใจในเวลานี้

    จากงานอดิเรกอย่างการวาดภาพเหมือน เดินทางมาสู่การเป็นอาชีพศิลปินที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างไร วันนี้เราจะมาเปิดสมุด ชมภาพเสก็ตช์ และทำความรู้จักเธอไปพร้อมๆ กัน

    วัยเด็กเนเน่เติบโตในครอบครัวที่ทำธุรกิจโรงงานอาหารและยาเกี่ยวกับสัตว์ ด้วยหน้าที่การงานของพ่อและแม่ รวมทั้งยังต้องดูแลน้องๆ ที่ยังเล็กกว่าเธอ ทำให้เนเน่มักใช้เวลาอยู่กับป้าและลุงเขยที่ชื่นชอบและคลุกคลีกับงานศิลปะอยู่บ่อยครั้ง นี่จึงถือเป็นก้าวแรกที่พาให้เธอเริ่มสนใจเกี่ยวกับการวาดรูป

    "จำได้ว่าตอนเด็กๆ เราสงสัยว่าดาวต้องเริ่มลากจากจุดไหนก่อน เราจึงพยายามวาดตามคนอื่น เป็นการเลียนแบบ ค่อยๆ ลากเส้นแรกไปจนถึงเส้นสุดท้าย พอทำได้ก็รู้สึกว่าการวาดรูปมันสนุกมากเลย หลังจากนั้นเราก็เริ่มวาดรูปสิ่งที่ชอบไว้ในสมุด สะสมมาเรื่อยๆ ค่ะ"

    แรกเริ่ม เธอโพสต์ผลงานของเธอผ่านอินสตาแกรมและ X (หรือทวิตเตอร์ที่หลายคนรู้จัก) ในแอคเคาท์ที่ชื่อว่า nnene.iie เธอพูดติดตลกว่า เธอคงจะไม่สามารถทำงานได้ต่อเนื่องขนาดนี้ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเอนเกจเมนต์

    "การทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นสิ่งที่เรายังหาสูตรตายตัวไม่ได้เลยค่ะ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ (หรือแพลตฟอร์ม X ในปัจจุบัน) ยิ่งช่วงนี้ถ้าเราไม่ลงงานสม่ำเสมอ ก็แทบจะไม่มีใครเห็นงานเราเลย เวลาเราไม่อยากทำอะไรเลย เพราะคิดงานไม่ออก เรามักจะใช้เอนเกจเมนต์ของโซเชียลเป็นเดดไลน์บังคับให้เรากลับมาทำงาน จริงๆ มันก็เป็นข้อดีนะคะ ถ้าไม่มีปัญหานี้ เราคงจะสร้างงานไม่ได้อย่างสม่ำเสมอขนาดนี้"

    และการทุ่มเทเวลา เพื่อศึกษาและแก้ปัญหาการมองเห็นโพสต์ในแพลตฟอร์มต่างๆ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เหล่าผู้ติดตามมีโอกาสได้ชื่นชมผลงานของเธอในโลกออนไลน์อยู่สม่ำเสมอ

    หลังจากที่การวาดรูปเป็นงานอดิเรกมาพักใหญ่ เธอก็ตัดสินใจเข้าเรียนสาขาวิชาออกแบบอุตสาหกรรม ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (CommeDe) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อ ด้วยความชอบในงานสองมิติและวิทยาศาสตร์ ประกอบกับการเรียนรู้ด้านงานกราฟิกและแบรนด์ดิ้ง (Branding) ในทุกครั้งของการขีดเขียน เธอจึงค่อยๆ เห็นตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น

    "ตอนมัธยมเราเรียนสายวิทย์-คณิตฯ จำได้ว่าเราไม่ได้ชอบเรียนมากนัก แต่เวลาได้เห็นภาพสิ่งมีชีวิตต่างๆ รู้สึกว่าภาพมันสวยนะ เราก็เลยหยิบความสนใจทั้งสองด้าน ทั้งการวาดรูปและวิทยาศาสตร์มารวมกันในงานของเรา"

    ยกตัวอย่างเช่น ผลงานชุด Anatomy Of Emotion บอกเล่าถึงสภาวะอารมณ์ที่ส่งผลต่อร่างกายของมนุษย์ คุณอาจเคยรู้สึกโกรธจนหน้าร้อนผ่าว อาจเคยรู้สึกหัวใจเต้นจนตัวเบาเพราะตื่นเต้น หรือบางทีก็หายใจไม่เต็มปอด เมื่อกลัวอะไรบางอย่าง สิ่งเหล่านี้ถูกศิลปินสาวแปลงออกมาเป็นภาพ แบ่งแยกสัดส่วน และจัดองค์ประกอบจนกลายเป็นซีนเล่มเล็กที่ผสมผสานทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน

    ขณะเดียวกัน เธอก็ทดลองทำงานในเทคนิคหลากหลาย ทั้งสีไม้ สีน้ำมัน และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนจะพบว่าสิ่งที่เป็นตัวเธอมากที่สุด คือ การวาดรูปด้วยหมึกสีดำ สีที่สะท้อนความเป็นตัวเธอ ตั้งแต่การวาดรูป จนถึงการแต่งกายในชีวิตประจำวัน

    "สำหรับตัวเรา สีดำเหมือนกับเอเวอร์กรีนที่ไม่มีวันตาย อย่างเราจะรู้สึกชอบรอยสักสีดำมากๆ มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ แต่พอสักเป็นสี เราจะเบื่อง่ายมาก เราว่าสีดำเหมือนคอมฟอร์ตโซนของเรา จนมันส่งผลกับงานที่ทำในตอนนี้ด้วย" เนเน่พูดพร้อมกับโชว์รอยสักที่เป็นลายเส้นสีดำให้ดู

    ประกอบกับเป็นคนที่ชอบความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ก็ส่งผลถึงผลงานของเธอที่มักจะนำเสนอสิ่งของใกล้ตัวแบบง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังแสนอร่อย หนังสือที่เพิ่งซื้อ และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างในนิทรรศการ WATCH ME NENE ก็มีหนึ่งห้องที่จัดแสดงชุดภาพวาดขนาด A5 จำนวนหลายร้อยใบที่ไล่เรียงภาพวาดของน้องหมาที่เธอรัก สิ่งละอันพันละน้อยที่ทยอยสะสมมานี้ เปรียบเสมือนบทบันทึกเล็กๆ ว่าแต่ละวันเธอพบเจอกับเรื่องราวแบบไหนบ้าง

    ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปที่มุมหนึ่งของร้าน Roots สาขาสาทร กระถางต้นไม้สูงและที่นั่งริมหน้าต่าง ดูแล้วคุ้นตาเหมือนกับผลงานชิ้นหนึ่งของเธออย่างไรอย่างนั้น

    "เราชอบร้านนี้มาก เพราะเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำดีๆ เยอะมาก ร้านนี้จะมีพี่บาริสต้าคนหนึ่งที่เขาเห็นเรามา ตั้งแต่เราเรียนมหาลัยปีหนึ่งจนตอนนี้ทำงานแล้ว เราได้กาแฟฟรีจากเขาบ่อยมาก ไม่รู้ว่าเขาสงสารเราหรือเปล่า ไม่แน่ใจ" เธอหยุดหัวเราะแล้วพูดต่อ "ตอนที่เราปริ้นต์งานชิ้นนี้เสร็จ เราก็เอามาให้พี่เขาเลย เขาก็ตกใจว่าของขายเอามาให้ได้หรอ เราบอกว่าเราตั้งใจเอามาให้ อย่างตอนเราไปแสดงงานที่งานหนึ่งก็เจอเขาแวะมาหาด้วย"

    ไม่เพียงแค่การบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ แต่ภาพวาดยังทำให้เธอได้รับมิตรภาพดีๆ กลับมาอีกด้วย

    "เราเรียนจบเวลาเดียวกับที่มีโควิด-19 เข้ามาพอดี เหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็งหมดเลย" เธอเล่าถึงความสับสนที่เกิดขึ้นหลังเรียนจบ ในวันที่จังหวะชีวิตต้องหยุดชะงักช่วงหนึ่ง "ตอนนั้นเราไม่เห็นทางไปต่อ จนเริ่มกดดันตัวเองว่า จะเอายังไงดี ตอนนั้นเราไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะทำงานด้านที่เรียนมาได้ เรากลัวคนไม่เข้าใจงานของเรา แต่ก็ไม่อยากว่างงาน บวกกับที่บ้านบอกว่า อยากให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน ตอนนี้เราก็เลยทำงานสองอย่างควบคู่กันไป"

    ชีวิตของนักวาดสาวถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนในแต่ละวัน เริ่มจากทำงานออฟฟิศตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น และใช้เวลาที่เหลือของวันนั้นๆ ทุ่มเทให้กับการวาดรูป รวมถึงการรับงานในฐานะนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์อีกด้วย

    "หลายคนอาจจะมองว่า เราจริงจังกับการวาดรูปมากเกินไป อยู่ที่ไหนก็วาดตลอด แต่เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับการวาดรูปเป็นสิ่งที่จริงใจมาก เราทำสิ่งนี้ตอนไหนก็ได้ อยากวาดอะไรก็วาด ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เราว่า มันน่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราระบายความเครียดออกไปเหมือนกัน" เธอพูดเสริมถึงความรู้สึกที่มีต่อการวาดรูป

    เนเน่ยังเผยอีกว่า อาจเพราะเธอเป็นคนนอนน้อย จึงมีเวลาทำอะไรมากมายในหนึ่งวัน "เราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เรียน ชอบนอนดึกตื่นเช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่เราทำหลายอย่างได้แบบนี้ คงเพราะว่าเรามีชั่วโมงให้ใช้เยอะมั้งคะ" เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อเธอพูดจบ

    เป็นที่ทราบกันดีว่า เธอเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีผลงานถูกตาต้องใจผู้ชมและเหล่ารีวิวเวอร์ในงาน Bangkok Illustration Fair 2023 เป็นอย่างมาก นอกจากเธอจะได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 150 ศิลปินที่ได้จัดแสดงงานในหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครแล้ว นับเป็นก้าวใหญ่ที่ต่อยอดไปสู่การทำงานร่วมกับองค์กรและศิลปินที่หลากหลายอีกด้วย
"มันเหมือนเราได้ก้าวออกมาจากสมุดกับทวิตเตอร์สักที" เธอเล่าถึงความรู้สึกแรกที่ได้เข้าร่วมงาน BKKIF2023

    "เราเคยมองภาพศิลปินของตัวเอง แค่ในมุมคอมเมอร์ลที่เป็นเวนเดอร์ออกบูทขายผลงานของตัวเองตามงานต่างๆ แต่การไปออกบูทในงานนี้ทำให้เรามองเห็นว่า อาชีพศิลปินสามารถไปไกลได้แค่ไหน เรามีโอกาสได้คุยกับศิลปินคนต่างชาติ แล้วพี่ๆ ศิลปินคนอื่นก็น่ารักมากๆ มันเปิดโลกของเราไปอีกขั้น จากที่เราเคยทำงานคนเดียวและรู้จักแค่เพื่อนพี่น้องในรั้วมหาลัย เราได้โอกาสไปทำงานภาพประกอบกับหลายที่มากๆ"

    ขณะที่การจัดแสดงนิทรรศการ WATCH ME NENE นิทรรศการแรกของหนู ร่วมกับทาง KINJAI CONTEMPORARY ก็เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักกับชีวิตและการทำงานในแบบฉบับของ nnene.iie ซึ่งเธอได้แต่งเติมตึกสี่ชั้นด้วยผลงานจากปลายหมึกดำ ตั้งแต่กระจกทางเข้า ถุงกระดาษ กระเป๋า จนถึงประตูห้องน้ำ เรียกได้ว่า ผู้ชมที่แวะเวียนไปชมงานจะได้เห็นถึงความสนใจและความทรงจำ ในรูปลักษณ์หลากหลาย ทั้งภาพวาด งานปั้น งานแอนิเมชั่น ตลอดจนกิจกรรมเวิร์กช็อปที่ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมได้อีกด้วย

    "ขอบคุณตัวเองที่วาดรูปและจัดการเก็บมันไว้อย่างเรียบร้อย การจัดแสดงงานครั้งนี้ มันทำให้เรารู้ว่า บางครั้งการวาดรูปและสะสมมันไปเรื่อยๆ กระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็กลายมาเป็นคอนเสปต์งานที่สามารถนำมาจัดแสดงได้เหมือนกันค่ะ"

    แม้การสนทนาครั้งนี้ จะให้ความรู้สึกว่าเส้นทางการทำงานในฐานะศิลปินของเธอเปิดกว้างขึ้นและเริ่มมั่นคงแล้ว แต่ทุกวันนี้เนเน่ก็ยังคงทำงานในฐานะนักวาดภาพประกอบควบคู่ไปกับการดูแลกิจการกับที่บ้านเช่นเดิม

    "เอาจริงๆ เราก็ยังไม่มั่นใจกับสิ่งที่ทำขนาดนั้นนะคะ" เธอนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนบอกกับเราว่า "ถ้าในอนาคตเราไปได้ดีกับสายอาชีพนี้แล้วถูกสัมภาษณ์อีกครั้ง เราก็อยากตอบไปอย่างมั่นใจว่า เราภูมิใจกับงานของตัวเอง เพราะวันนี้เรายังรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะทำมันได้ดีพอหรือเปล่า มันฟังดูเศร้านะ เพราะโอกาสมันมาถึงแล้ว แล้วทุกคนก็บอกว่า เราก็กำลังไปได้ดี เราคงต้องใช้เวลาคิดว่า จะจัดการกับความคิดเหล่านี้อย่างไรเหมือนกัน" เนเน่ปิดจบบทสนทนาด้วยสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ

    ตลอดการพูดคุย เนเน่ที่เผยมุมมองของตัวเองแบบสบายๆ ปนสนุกตามแบบฉบับคนง่ายๆ เบื้องหลังกลับอุดมไปด้วยความคาดหวังและความกังวล ที่เกิดขึ้นจากก้าวใหม่ในชีวิต แต่ไม่ว่าในอนาคตหมึกปากกาจะพาเธอเดินทางไปสู่จุดไหน จุดและเส้นสีดำที่เธอปาดป้ายทิ้งไว้ก็สะท้อนให้เห็นความตั้งใจที่เธอมีในวันนี้ได้อย่างชัดเจน

Favorite Something
  •   Aftersun (2022)
  •   Bolis Pupil - Moon Theme
  •   George R.R. Martin - Fire and Blood
  •   Stefan Sagmeister 

วาสุเทพ สีต่างคำ

นักศึกษาฝึกงานที่ชื่นชอบการแต่งตัวและการถ่ายรูป มีใจรักในเสียงดนตรี งานศิลปะ และการทำขนม โดยเชื่อว่าสักวันตนเองจะเดินทำตามฝันที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว

นิษณาต นิลทองคำ

กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา