เมื่อก่อนหากเอ่ยชื่อของ ณัฐ ศักดาทร เราอาจจะนึกถึงบทบาทของ นักล่าฝัน ผู้ชนะรายการเรียลิตี้ประกวดร้องเพลง อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 4 ที่พิสูจน์ตัวเองในการทำงานสายดนตรีด้วยการสร้างสรรค์ผลงาน ในฐานะนักร้องและนักแต่งเพลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเราเห็นเขาในมิติอื่นๆ ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นงานถ่ายแบบ การแสดงละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และละครเวที คู่ขนานไปกับการเป็นนักวิ่งที่ข้ามเส้นชัยในสนามต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศมามากมาย จนเป็นคนหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองบ้าง
"สมัยก่อนก็ดูแลตัวเองแบบทั่วๆ ไป มีเข้าฟิตเนสบ้าง แต่ผมรู้สึกว่าสมัยนั้นเทรนด์เรื่องสุขภาพมันยังไม่ได้มาแรงเท่ายุคนี้ที่มีโซเชียลมีเดียต่างๆ เข้ามาช่วยกันทุกทางด้วย อย่างมากเราก็เล่นฟิตเนส แต่เล่นไม่จริงจัง แล้วก็ไม่ได้มีข้อมูลที่ถูกว่าแต่ละท่าเล่นยังไง ผมเริ่มมาจริงจังมากขึ้นตอนที่ต้องถ่าย Men's Health เหตุผลแรกมันคือเรื่องงาน มีความจำเป็นให้เรารู้สึกว่าต้องเต็มที่กับงานนี้ แล้วเราก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงที่ว่า พอแข็งแรงขึ้น คนอื่นๆ ก็เห็นกายภาพของเราที่แข็งแรงขึ้นด้วย เหมือนเขาเห็นว่าขอบเขตของตัวเรากว้างขึ้นในการทำอะไรต่างๆ"
ณัฐ ศักดาทร เล่าถึงครั้งที่เขารับงานถ่ายแบบลงนิตยสารเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างรูปร่างของตัวเอง ก่อนที่การออกกำลังกายเพื่องานนั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นการวิ่ง ที่ทำให้เขาค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต รวมถึงขยายโอกาสในการทำงานให้กว้างขึ้นไปกว่าการเป็นนักร้องอย่างที่เคยฝันไว้
อย่างเมื่อต้นปีที่เขาเพิ่งปล่อยเพลง ฉันเห็น ออกมาให้แฟนเพลงทั้งฟังและร้องตามกันทั้งประเทศ แล้วยังรับงานแสดงให้แฟนซีรีส์ได้ชมกันเรื่อง วุ่นรักนักข่าว และอีก 3 เรื่องที่กำลังตามมาช่วงปลายปีนี้
"เมื่อก่อนเราคิดว่าเป็นนักร้องก็ต้องเป็นนักร้อง เป็นนักแสดงก็ต้องเป็นนักแสดง แต่พอยุคสมัยเปลี่ยน เริ่มเห็นอะไรต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย เราเริ่มรู้ว่าแต่ละคนมีหลายมิติได้ มันไม่ได้มีแค่มิติของงาน และงานประเภทเดียวเท่านั้น เลยทำให้ตัวเราสนุกกับการมีหลายมิติเหมือนกัน เราสนุกกับการที่วันนี้เราได้เป็นนักร้อง วันนี้เราได้ไปเป็นนักแสดง วันนี้เราได้ไปเป็นนักกีฬา หรือวันนี้เราได้เป็นคนขี้เกียจอยู่บ้าน นึกออกปะ การเปลี่ยนตัวเองไปหลายๆ หมวด มันก็สนุกดีครับ มันคงเป็นนิสัยส่วนตัวของผมด้วย เราไม่ชอบให้ทุกวันเหมือนเดิม ยกตัวอย่างถ้าเราวิ่ง ผมเป็นคนที่ไม่ชอบวิ่งอยู่ที่เดิม เวลาซ้อมวิ่ง ผมเปลี่ยนสนามไปตลอด การมีงานหลากหลาย มันก็ตอบโจทย์ของเราตรงนี้ เหมือนได้วิ่งสนามใหม่ไปเรื่อยๆ"
ณัฐเล่าให้ฟังว่าหลังจากออกกำลังกายได้สักระยะหนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดี ร่างกายแข็งแรง ประกอบกับช่วงนั้นเมืองไทยเริ่มมีการจัดงานวิ่งมากขึ้น พอเห็นคนรอบข้างและคนในวงการเริ่มลงรูปวิ่งตามงานต่างๆ จึงสนใจและอยากรู้ว่าการวิ่งเป็นอย่างไร
เหตุผลอีกส่วนหนึ่งลึกๆ เพราะอยากลองเอาชนะตัวเองด้วย
"ผมมีปมตั้งแต่สมัยเด็กว่าเป็นคนไม่เก่งกีฬา เป็นปมใหญ่ที่สุดปมนึงของผมเลยนะ เพราะตั้งแต่สมัยเรียน ผมได้เกรด 4 หมด ได้ 3 วิชาพละวิชาเดียว คือทำอย่างอื่นได้ดี แต่พละแย่ที่สุด แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งย้ายไปทำงานที่แกรมมี่ใหม่ๆ พอน้องเทรนเนอร์ที่แกรมมี่ชวนไปลองวิ่งดู เราก็เลยรู้สึกว่าจะทำได้หรือเปล่า ลองดูน่ะ"
พอถามถึงวันแรกที่ไปซ้อมวิ่งว่าเป็นอย่างไร เขาถึงกับหัวเราะออกมา "เหนื่อยครับ แต่มันมีความรู้สึกเหนื่อยแบบเฟรช และรู้สึกดีกับตัวเอง" แล้วบรรยายความรู้สึกในการซ้อมวิ่งหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาแล้วว่า "วันแรกที่ไปซ้อมวิ่ง มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มันรู้สึกว่าฉันได้ทำอะไรดีๆ ให้ตัวเองแล้ว การออกไปวิ่งกับเพื่อนเมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้ว แทนการนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตหรือทำอะไรสักอย่าง คือผมว่าการวิ่งสำหรับแต่ละคนมันมีฟังก์ชันไม่เหมือนกัน สำหรับผมมันคือโมเมนต์ที่เราได้ออกจากความวุ่นวายของโลกใบนี้ ข่าวสารพุ่งเข้ามา ทุกอย่างมันเร็วเหลือเกิน แต่โมเมนต์ที่เราวิ่งก็คือเราไม่ได้มานั่งดูอินสตาแกรม เราไม่ได้มานั่งเช็กข่าว เราอยู่กับตัวเรา อยู่กับโลกที่เราวิ่งผ่านแค่นั้นเลย"
สิ่งอื่นที่เห็นได้ชัดคือพลังในการทำงานที่เพิ่มขึ้น เขาบอกว่าเวลาร้องเพลงจะมีแรงร้องเยอะมาก และไม่เหนื่อยง่ายเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งวันไหนที่ได้วิ่งตอนเช้าจะรู้สึกสดชื่นไปตลอดทั้งวัน ไม่มีความรู้สึกหงุดหงิดงัวเงีย และพร้อมลุยกับงานทุกรูปแบบ
"การวิ่งมันต่างจากฟิตเนสที่ผมทำเพราะเรื่องงาน มันเป็นสิ่งที่เราเริ่มจากตัวเราเอง มันไม่มีงานมาบอกว่าเราต้องวิ่งให้ได้ พอทำด้วยเหตุผลส่วนตัวแล้วสำเร็จ มันภูมิใจมากเลยครับ ยังจำวันแรกที่ลงวิ่งมินิมาราธอน 12 กิโลเมตรได้ แล้วขณะที่เข้าเส้นชัย มันคือความรู้สึกที่เราเคยคิดว่าเราไม่เก่งกีฬา เราทำได้นี่หว่า เรื่องที่เราไม่เคยคิดว่าคนอย่างเราจะทำได้ พอเราซ้อมสักหน่อย ให้เวลากับมันสักหน่อย มันทำได้ ถ้าเรื่องที่เราคิดว่าเราห่วยที่สุดในชีวิต และเป็นปมใหญ่ที่สุดอันนึงของผม วันนึงเราทำสิ่งที่เกินขอบเขตที่คิดว่าเราทำได้ไปเยอะ เลยเหมือนเปลี่ยนระบบความคิดในการใช้ชีวิตของเราให้โพสิทีฟกับตัวเองมากขึ้น"
อย่างที่ณัฐเล่าให้ฟังก่อนหน้านั้นว่าช่วงที่เริ่มวิ่ง เป็นช่วงที่เขาเพิ่งย้ายไปทำงานกับแกรมมี่ใหม่ๆ ซึ่งเขาเจอความท้าทายและความกดดันในการทำงานสูง แต่งเพลงไม่ผ่านจนเกิดความเครียด แล้วความรู้สึกที่ได้รับจากการวิ่งนั้นเอง ที่เริ่มส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อการทำงานของเขาในเวลาต่อมา
"ตอนมาแกรมมี่ใหม่ๆ ผมแต่งเพลงอะไรก็ไม่ผ่านสักที จนเราเริ่มรู้สึกว่าเราเจอเพดานทางความสามารถของเราแล้วเหรอ พอได้ออกไปวิ่งแล้วเราทะลุเพดานเรื่องความแข็งแรงของร่างกาย หรือเรื่องที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้ มันทำให้เรารู้สึกแบบเดียวกับเรื่องงานว่า เฮ้ย ขนาดเรื่องที่เราติดลบมา เรายังทำได้เลย แล้วเรื่องงานที่เรามีภาษีมาแล้วประมาณนึง มันต้องไปได้อีกสิ กลายเป็นว่าวิธีคิดจากเรื่องวิ่งที่ว่า อะไรที่มันเคยเป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นไปได้ถ้าเราทุ่มเท มันเข้ามาในเรื่องงาน รวมถึงเรื่องอื่นในชีวิตเหมือนกัน จากคนที่มองเห็นแต่ข้อจำกัดของตัวเอง มันเริ่มมองเห็นว่าเราจะทำยังไงให้เลยข้อจำกัดนี้ไปให้ได้ ตอนวิ่งอยู่มันอาจจะยังไม่รู้หรอกว่าอีกกี่กิโลฯ ถ้าเราไม่หยุดซะอย่าง เดี๋ยวมันก็จะถึงเส้นชัย ตอนทำเพลงก็เหมือนกัน ถ้าทำไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเอง"
หลังจากนั้นเขาจึงลุยแต่งเพลงต่อไปเรื่อยๆ จนสำเร็จออกมาเป็นเพลง รักเธอคนเดียว ที่เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ดังที่สุดของเขา
หากวัดระยะทางสะสมจากการฝึกซ้อม รวมการลงวิ่งแต่ละสนามที่ผ่านมา บัดนี้เขาอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นมาไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ลองย้อนกลับไปในช่วงแรกที่เริ่มวิ่ง กว่าจะผ่าน 10.5 กิโลเมตรแรก 21 กิโลเมตร จนถึง 42.195 กิโลเมตร เขาคงต้องเผชิญกับความเหนื่อย อาการบาดเจ็บ และความท้อแท้มามากมาย แล้วอะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เขาวิ่งต่อไปโดยไม่เลิกวิ่งไปเสียก่อน
"การวิ่งมันต้องอาศัยแรงใจ อาศัยการต่อสู้กับตัวเอง ถ้าถามว่าในช่วงเวลาทั้งหมดที่วิ่งมา ตอนที่เราวิ่งแล้วเหนื่อย มีวันที่ผมรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หยุดดีกว่าไหม ก็มี แต่มันจะมีบทสนทนาในหัวว่า 'อีกนิดน่ะ' แล้วทุกครั้งที่เรา 'อีกนิดน่ะ' แล้วเราทำได้ มันเจ๋งว่ะ มันเกิดความรู้สึกภูมิใจในตัวเองครับ ที่เราทำอีกนิดนึงเมื่อกี้ได้ แล้วพอเราจำความรู้สึกนั้นได้ มันจะมีอีกนิดนึงต่อไป แต่มันต้องมีครั้งแรกก่อนนะ ที่เราลองให้โอกาสตัวเองได้ลองต่อสู้ในสนามเล็กๆ กับตัวเอง แล้วพอมันจำความรู้สึกที่เอาชนะตัวเองเล็กๆ แบบนี้ได้ มันจะอยากมีครั้งต่อไป มันจะเริ่มฮึด"
แล้วเขาก็เล่าถึงความรู้สึกตอนที่วิ่งเข้าเส้นชัยมินิมาราธอนครั้งแรก ว่าช่วงเวลานั้นคล้ายกับตอนที่เขาประสบความสำเร็จกับงานที่ตัวเองรัก
"โมเมนต์ที่ผมเข้ามินิมาราธอนครั้งแรกในชีวิต ผมรู้สึกฮึกเหิมมาก ผมรู้สึกตัวใหญ่ที่สุดในชีวิต ทั้งๆ ที่ตัวเราก็เท่าเดิมแหละ แต่ความรู้สึกมันใหญ่บอกไม่ถูก แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตอนเล่นฟิตเนส หรือกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา มันเป็นความฮึกเหิมคล้ายๆ กับที่เคยเกิดขึ้นตอนที่เราต่อสู้เพื่อความฝันเรา ตอนทำเพลงนี้ออกมาได้ ตอนเราแต่งเพลงนี้เสร็จ มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเราทำได้แล้ว"
เขาเหมือนกับนักวิ่งหลายๆ คน ที่เมื่อผ่านสนามมินิมาราธอนไปสักพักแล้ว ย่อมต้องการเอาชนะตัวเองเพื่อวิ่งในสนามที่ใหญ่ขึ้น ระยะทางที่ไกลขึ้น ทำเวลาให้ได้สถิติที่ดีขึ้น จากที่วิ่งภายในประเทศแล้วก็ไปต่างประเทศ แต่เมื่อถึงจุดที่เขาวิ่งมาได้ประมาณ 6-7 ปี เขาเลิกมองการวัดผลที่ระยะทางหรือเวลา แต่มีเป้าหมายให้ตัวเองมีความสุขกับการวิ่งมากกว่า
ณัฐเล่าถึงวันแรกที่ออกไปวิ่งที่งานวิ่ง ที่ทำให้เขาหันมาโฟกัสกับการวิ่งให้มีความสุขว่า "ประมาณ 6 โมงเช้า พระอาทิตย์กำลังขึ้น แล้วผมฟังเพลงที่มีเสียงไวโอลินอยู่ มันเหมือนฉากในหนังน่ะ ซึ่งเราไม่มีโมเมนต์อย่างนี้ในชีวิตช่วงอื่นเลย มันคือความรู้สึกที่โคตรดีเลย แล้วก็รู้สึกแค่ว่าถ้าไม่ได้ออกมาวิ่ง คงไม่ได้เห็นโลกในมุมแบบนี้ ที่เป็นภาพสวยๆ อย่างนี้ ที่เป็นเพลงนี้ และที่เป็นเรากำลังเอาชนะอะไรสักอย่างอยู่ มันมีอะไรบางอย่างนำพาให้ฉันต้องมาอยู่ในโมเมนต์นี้แล้วรู้สึกดีอย่างนี้"
ทุกวันนี้เขาจึงไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องไปวิ่งอัลตรามาราธอน หรือคิดถึงปลายทางว่าเมื่อถึงปลายทางแล้วจะทำเวลาได้เท่าไร แต่เป็นการวิ่งให้มีความสุขในทุกๆ กิโลเมตรมากกว่า
"วันไหนอยากจะวิ่งเพื่อผ่อนคลาย โดยเฉพาะตอนผมไปต่างประเทศ พอวิ่งแล้วผมรู้สึกว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนั้น ในแบบที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ได้รู้สึกเวลาไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่เราเอาตัวเองมาวิ่งผ่านเส้นทางในเมือง การวิ่งช่วงหลังๆ จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมหรือโลกใบนี้มากขึ้น"
เมื่อเป้าหมายในการวิ่งเปลี่ยนแปลงไป เป้าหมายในการทำงานของเขาก็เริ่มเปลี่ยนตาม จากเดิมที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง หาโอกาสในการทำงานเพื่อให้คนรู้ว่าเขามีความสามารถมากที่สุด ตอนนี้เขามองว่าจะทำอะไรได้บ้าง ที่จะส่งต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ โดยไม่เรียกร้องความชื่นชอบหรือคำชมจากคนที่ติดตามผลงานเหมือนแต่ก่อน
"ตอนนี้เป้าหมายของการทำงานไม่ได้รับงานตามจำนวนแล้ว คือเราอยู่ในวงการมาสักระยะ เราไม่ได้รับงานเพื่อสร้างรายได้ให้มากที่สุด แต่พยายามจะรับงานที่เรารู้สึกว่าสามารถส่งต่ออะไรดีๆ ให้คนอื่นได้ ในแบบที่เรารู้สึกว่ามีความหมายนะครับ อย่างพวกงานกีฬาจะรับค่อนข้างเยอะ เรารู้สึกว่าเป็นงานที่ส่งต่อพลังงานบวกได้ดีมาก หรือช่วงหลังที่มีคนชวนไปแชร์ประสบการณ์ตามมหาวิทยาลัย ก็พยายามรับมากขึ้น แม้จะแทบไม่มีรายได้อะไรเลย แต่เรารู้สึกว่าเพราะเรื่องวิ่งที่พอผมเริ่มแล้ว คนได้รับพลังบวกจากเรา มันทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดของจุดที่เราอยู่ตรงนี้ ฐานะคนบันเทิง มันอาจจะไม่ใช่แค่มอบความบันเทิงไปวันๆ แต่อาจจะเป็นการที่เราได้สร้างแรงบันดาลใจหรือส่งต่อพลังบวกเข้าไปในชีวิตของเขา โดยที่เขาอาจจะไม่ต้องวิ่งเหมือนเราก็ได้ แต่ให้เขามีกำลังใจ ว่าการท้าทายกับตัวเองหรือการต่อสู้กับอะไรบางอย่างมันเป็นไปได้"
แม้จะบอกว่าไม่ได้รับงานตามจำนวน แต่ช่วงหลังเราเห็นผลงานการแสดงซีรีส์หลายเรื่อง และในช่วงที่กำลังสัมภาษณ์เขาอยู่นี้ก็มีคิวงานเต็มทุกวันอีกด้วย
"ส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากเรื่องวิ่งและดูแลตัวเองมากขึ้น งานเลยเข้ามามากขึ้นด้วย เมื่อก่อนผมอาจจะมีมิติเดียวในการเป็นนักร้อง พอเริ่มวิ่ง ความเป็นตัวเรามีหลายมิติเพิ่มขึ้น คนที่ไม่เคยสัมผัสเรา แต่เห็นเราในมิตินี้ก็เริ่มหันมามองเรามากขึ้น ทำให้คนเปิดใจมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือโอกาสก็ตามมามากขึ้นด้วย ทุกวันนี้มันจะไม่ใช่แค่เรื่องเพลงอย่างเดียวแล้ว มีงานทุกรูปแบบ รวมไปถึงงานกีฬา ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้ผมจะได้มีงานกีฬา นึกออกปะ ไอ้คนที่ไม่มั่นใจตัวเองเรื่องกีฬาสมัยเด็กเลยครับ ทุกวันนี้มีคนมาขอเคล็ดลับเรื่องกีฬา ให้เราเป็นพรีเซนเตอร์แคมเปญวิ่ง ได้เป็นพรีเซนเตอร์น้ำดื่มเกลือแร่ด้วยซ้ำ มันขยายขอบเขตเราไปอีกเยอะเลยครับ
ระหว่างที่พูดคุยกัน ณัฐเอ่ยถึงการเริ่มต้นด้วยตัวเองบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มวิ่ง หรือการเริ่มลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้ที่ดีต่อตัวเอง เพราะในโลกที่ทุกคนใช้โซเชียลมีเดีย แล้วมีข่าวสารเรื่องราวมากมายในแง่ลบเข้ามาหาทันทีที่เปิดหน้าจอ เท่านั้นก็เพียงพอที่จะสร้างความเครียดให้กับผู้คนแล้ว
"ถ้าเราแค่ได้ลองทำอะไรที่มันดีกับตัวเองสักครั้ง ผมว่ามันจะเริ่มติดใจความรู้สึกนั้น สุดท้ายผมไม่ได้รู้สึกว่าทุกคนต้องออกมาวิ่งนะ แต่ผมคิดว่าทุกคนควรให้เวลาตัวเองอย่างน้อยสักนิดในแต่ละวัน เพื่อสุขภาพของตัวเอง เพราะถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย ไม่มีใครมาทำให้คุณ นี่คือร่างกายจิตใจของเราเอง แล้วคนที่จะดูแลได้ดีที่สุดไม่ใช่ใคร คือตัวเราเองนี่แหละ ผมว่าเป้าหมายของการออกกำลังกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้สนับสนุนให้ทุกคนต้องไปฟูลมาราธอนให้ได้นะ มันไม่ใช่ความจำเป็นเลย คุณอาจจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราต้องการสุขภาพที่ดีแค่ไหน อย่างแรกสุดเลย เราพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่หรือเปล่า แค่นั้นก่อนก็ได้ ถ้าไม่พอใจแล้วนั่งเฉยทำไม งั้นทำอะไรสักอย่างสิ"
เขาบอกว่าถ้าไม่ให้เวลากับการดูแลตัวเอง อาจจะมีวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกไม่ชอบตัวเองก็ได้ ซึ่งเขาขออย่าให้เป็นอย่างนั้น อย่างตัวเขาก็เริ่มคิดว่าการจะเริ่มทำอะไรสักอย่างสามารถทำอะไรได้บ้าง สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการวิ่ง เพราะเพียงมีรองเท้าวิ่งคู่หนึ่ง ก็สามารถออกวิ่งได้แล้ว แม้กระทั่งการใช้สื่อออนไลน์ให้เป็นประโยชน์โดยการติดตามคนที่ชอบออกกำลังกาย ซึ่งส่งพลังบวกและกำลังใจให้อยากหันมาดูแลสุขภาพตัวเองบ้างก็ได้
"เดี๋ยวนี้มีคลิปสอนออกกำลังกายเยอะมากในยูทูบ ลองเปิดมาทำสัก 10 นาทีที่บ้านก่อนก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเราไม่จำเป็นต้องทำให้ได้เท่าเขา ทุกอย่างต้องเริ่มจากสเต็ปเล็กๆ ก่อน อันนี้สำคัญมากเลย การเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เริ่มจาก 0 ไป 100 วันนี้ 0 แล้วไป 1 จากนั้นค่อยๆ ไป 5 อย่างคุณไม่เคยวิ่งมาก่อน พรุ่งนี้คุณจะคาดหวังให้วิ่งได้ 10 กิโลเมตร ไม่ได้ ผมคงจะแนะนำให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ตัวเองก่อนครับ แล้วค่อยเพิ่มเป้าหมายไปทีละนิด"
ณัฐ ศักดาทร ทำให้รู้ว่าเป้าหมายของการวิ่งไม่ได้อยู่ที่การเข้าเส้นชัย หากแต่เป็นจุดเริ่มต้น และทุกขณะที่ได้ใช้เวลาอยู่กับการวิ่ง เพื่อทำสิ่งดีๆ ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองต่างหาก
สำหรับผู้อ่านที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวการวิ่งของ ณัฐ ศักดาทร แล้วอยากลองตั้งเป้าหมายในแบบของตัวเอง สามารถเริ่มจากคลิกเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา
1942 VIEWS |
นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่างภาพที่เป็นนักเขียนที่เป็นช่างภาพที่ชอบไปเที่ยวที่เป็นนักเขียนหนังสือท่องเที่ยวที่เป็นช่างภาพให้หนังสือตัวเองที่เป็นนักเขียนเอาเวลาว่างจากที่เป็นช่างภาพที่เป็นงานประจำไปเป็นนักเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กมา 5 เล่มแล้วและช่วงนี้ก็ชอบปลูกต้นไม้ด้วย