ศิลปะการทรงตัวบนคลื่นชีวิตที่โหมกระหน่ำของ ป๊อป-อารียา สิริโสภา #ชีวิตดีเริ่มที่เรา

    เท้าเปลือยเปล่าของ ป๊อป-อารียา สิริโสภา ก้าวไปบนระแนงไม้ที่เรียงเป็นแถวตั้งแต่หน้าบ้านไปจรดระเบียงน้ำริมทะเลสาบ เมื่อสถานที่สะอาดพร้อมแล้ว เธอหยิบเสื่อโยคะออกมาจากห้องเก็บอุปกรณ์และค่อยๆ นำออกมาปูทีละผืน จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับคลาสโยคะ สักพักนักเรียนทยอยเดินทางมาถึง บางคนเข้าไปช่วยจัดเสื่อและหยิบบล็อกออกมาเตรียมไว้ เมื่อมาครบทุกคนแล้ว คลาสก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการกำหนดลมหายใจ ก่อนที่ร่างกายจะเคลื่อนไหวไปในจังหวะเดียวกัน

    ย้อนกลับไปใน พ.ศ. 2537 คนไทยรู้จัก ป๊อป อารียา ในฐานะนางสาวไทยคนที่ 32 เธอครองใจคนทั้งประเทศด้วยลักยิ้ม 2 ข้าง พร้อมการแสดงออกทางความคิด ทัศนคติ และบุคลิกไม่ซ้ำใคร ได้ทำงานในวงการบันเทิง เป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา เดินแบบ ถ่ายแบบ เลือกรับงานแสดงละครโทรทัศน์เพียง 2 เรื่อง ในระยะเวลาที่ห่างกันถึง 20 ปี คือ นิรมิต (2540) (เนื่องจากคุณแม่ชอบ ธงไชย แมคอินไตย์ มาก) และ ลิขิตรัก (2561) (เนื่องจากคุณแม่ชอบ ณเดชน์ คูกิมิยะ และ อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาก)

    ขณะเดียวกัน เธอเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสาร แพรว, Trendy Man และ a day ออกหนังสือ คู่คุยคู่คิด ที่มียอดขายมากกว่า 200,000 เล่ม ทำภาพยนตร์สารคดี เด็กโต๋ (2548) ร่วมกับ นิสา คงศรี และมีผลงานอื่นๆ ด้วยกันต่อมาคือ ปักษ์ใต้บ้านเรา (2551) รากเรา (2554) และ รายการ เมล็ดพันธุ์ไทย ก่อนที่จะพักงานสร้างสรรค์ของตัวเองมาสอนโยคะที่บ้าน เพื่อดูแลคุณแม่ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด พร้อมๆ กับเริ่มสร้างบ้านหลังใหม่ ที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับดูแลท่านโดยเฉพาะ

    แม้งานแต่ละชิ้นจะใช้เวลาในการสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก แต่เราก็เห็นผลงานในวงการบันเทิงจากป๊อป อารียา มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งช่วงที่คุณแม่ป่วยและเดินทางมารักษาที่เมืองไทย บทบาทการทำงานของเธอจึงค่อยๆ ลดลง ผกผันกับเรื่องราวการเล่นโยคะและการดูแลสุขภาพของเธอ ที่เริ่มถูกสื่อนำเสนอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอเล่าให้เราฟังว่าไม่ได้เพิ่งมาดูแลตัวเองช่วงนี้เท่านั้น เธอออกกำลังกายและดูแลสุขภาพมาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเห็นตัวอย่างจากญาติผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยอย่างหนักมาก่อน

    "พอได้สัมผัสความตายบ่อยๆ จะเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้นค่ะ ชีวิตคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่ไหม สำหรับป๊อป ความเจ็บป่วยเป็นครู คุณปู่ที่เรารักเป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่ ทุกครั้งที่ไปตรัง ปู่จะพาขี่มอเตอร์ไซค์ไปทั่วเมือง เคยกอด เคยขี่คอ แต่ปู่ไม่ดูแลตัวเองจนเป็นเบาหวาน แล้วต้องตัดขา การเห็นปู่ไม่มีขาเป็นตัวอย่างให้เราระวังเรื่องการกิน ระวังเรื่องน้ำตาล เป้าหมายชีวิตเราคือไม่อยากเข้าโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นอย่างเดียวที่คุ้มที่สุดที่จะลงทุนกับตัวเราคือการออกกำลังกาย ถ้าไม่ลงทุนเรื่องนี้กับตัวเอง ทำงานทุ่มเทกับการหาเงิน แต่นอนไม่พอ กินอาหารไม่ดี ขับถ่ายไม่ออก ดื่มเบียร์ ดื่มเหล้า มีเงินมหาศาลแต่สุขภาพแย่ สุดท้ายก็ต้องใช้เงินไปหาหมอ"

    สมัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เธอจึงออกกำลังกาย เล่นกีฬา เล่นเทนนิส ฝึกยิมนาสติก จนกระทั่งตรวจพบปัญหาสุขภาพช่วงวัยรุ่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

    "ตอนอายุ 13 ตรวจพบว่าเราเป็น Kyphoscoliosis (กระดูกสันหลังคด) คอคด หลังคด ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากอะไรหรอกค่ะ ต้นไม้บางต้นลำต้นมันตรง บางต้นก็เติบโตมาโค้งไป พอกระดูกคอโค้ง กระดูกหลังตรงสะบักโค้ง มันก็เจ็บคอ เจ็บไหล่ ตอนหลังเลยต้องเลิกเล่นยิมนาสติก หมอบอกว่าทางที่ดีที่สุดคือต้องใส่ที่ดัดหลัง ดามเหล็กดัดคอ ต้องนั่งหลังตรงคอตรงทั้งวัน แล้วคิดว่าจะเป็นปมด้อยไหมเนี่ย นอกจากจะเป็นเด็กเอเชียคนเดียวในโรงเรียนที่ใส่แว่นหนาดัดฟันแล้ว เรายังไม่อยากเป็นตัวประหลาด เลยไม่ดัดหลัง"

    หมอจึงแนะนำให้เธอหาวิธีกายภาพตัวเองเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง นับตั้งแต่ตอนนั้น ป๊อปจึงหันมาหาข้อมูลเพื่อดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ออกกำลังกายและทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง จนมาค้นพบศาสตร์โยคะตอนอายุ 25 แต่ก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไร เพราะผู้สอนขณะนั้นไม่ได้ปูพื้นฐานและไม่อธิบายเหตุผลในการทำท่าใดๆ เมื่อเธอไม่เข้าใจว่ามันต่างจากการยืดเหยียดยังไง จึงหันหลังให้กับโยคะ พอเวลาผ่านไป 10 ปีแล้วยังเจ็บหลังอยู่ เธอจึงพยายามค้นหาหนทางที่จะสร้างสมดุลให้ร่างกายอีกครั้ง

    "ความเจ็บปวดเป็นครูที่ดีมากเลย คนส่วนใหญ่เวลาเจ็บตัวหรือป่วยจะวิ่งไปหาหมอ แต่เราไม่เอา เพราะหมอไม่รู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเอง คิดว่าต้องหาวิธีแก้ปัญหาของตัวเอง เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงหันมาเล่นโยคะ ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่ตอนนั้นมีคนพาเราไปเล่นโยคะของ Samahita Retreat ที่เกาะสมุย เขาเป็นครูชาวไอริชที่มาจากนิวยอร์ก ชื่อ Paul Dallaghan แล้วเล่นแบบ Ashtanga ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร คลาสนั้นเขาจัดครูเจ๋งๆ มาสอน 1 อาทิตย์ มีอาหารให้ 2 มื้อ พร้อมที่พัก เล่นโยคะตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง 9 โมง พักกินอาหาร เรียนทฤษฎีต่อ"

    นอกจากจะได้ทำความรู้จักกับโยคะแบบใกล้ชิดธรรมชาติท่ามกลางเสียงคลื่นและลมทะเลสดชื่นแล้ว เธอยังได้พบกับครูโยคะที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Richard Freeman ที่สอนเก่งและมีความสงบนิ่งจากการฝึกฝนอย่างจริงจัง ประกอบกับสามารถตอบข้อสงสัยที่มีต่อศาสตร์โยคะได้อย่างชัดเจน ทำให้เธอมีความเข้าใจและออกเดินทางไปเรียนรู้เพิ่มเติมจากครูคนอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อฝึกฝนและเข้าถึงแก่นของโยคะในวิถีที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

    หลังจากเริ่มปรับความสมดุลของกล้ามเนื้อร่างกายจากท่าโยคะทีละน้อย เธอพบว่าสุขภาพโดยรวมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งไม่มีอาการภูมิแพ้ หายปวดประจำเดือน การขับถ่ายดี หลับสนิทและพักผ่อนอย่างเพียงพอยิ่งขึ้น ระหว่างนั้นเธอทำภาพยนตร์สารคดี ปักษ์ใต้บ้านเรา, รากเรา และรายการโทรทัศน์ เมล็ดพันธุ์ไทย ควบคู่ไปกับการเรียนเพื่อเป็นครู ให้รู้ลึกเข้าไปในศาสตร์นี้ยิ่งขึ้น เธอจึงมีโอกาสสอนโยคะที่กรุงเทพฯ สลับกับที่เชียงใหม่อยู่บ้างเป็นระยะ

    แต่ในทะเลแห่งชีวิตไม่ได้มีแค่ช่วงเวลาที่คลื่นลมปลอดโปร่งเหมือนกับที่เธอเคยสัมผัสที่สมุยเท่านั้น เมื่อถึงจังหวะที่มีการเปลี่ยนแปลง ท้องฟ้าที่สวยงาม จู่ๆ ก็มีเมฆปกคลุม ก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำตามมา

    ขณะที่ป๊อปกำลังฟื้นฟูร่างกายไปพร้อมๆ กับทำงานสร้างสรรค์นั้น คุณแม่ของเธอล้มป่วยลง และตรวจพบว่าเป็นโรคสมองน้อยฝ่อ จึงต้องเดินทางจากสหรัฐอเมริกามารักษาตัวและอยู่กับเธอที่กรุงเทพฯ นี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตที่คาดไม่ถึงอีกครั้งหนึ่ง ที่เธอต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ผ่านไปให้ได้

    "แรกๆ เราเก็บกด อยู่กับแม่เครียดนะ ตอนได้ข่าวว่าแม่จะแย่ลงเรื่อยๆ ร้องไห้เลย รู้เลยว่าจะต้องอยู่บ้านเป็นผู้ดูแลแม่ แรกๆ เรารู้สึกว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันมีกรรมขนาดนี้ ทำไมเขาต้องไม่สบาย เราคิดว่าช่วงอายุ 40 เราอยากเดินทางมากกว่าที่ผ่านมาอีก ตั้งใจว่าหลังจากคุณแม่เกษียณ เราจะไปยุโรปด้วยกัน ไปฟลอเรนซ์ อิตาลี พาไปทัวร์หลายๆ ประเทศ แต่พอแม่เกษียณตอน 65 แล้วมีอาการนี้ขึ้นมา รู้อย่างเดียวว่าอิสระที่เรามีไว้ในชีวิตนี้จะหายไป และถ้ารู้จักเราดี จะรู้ว่าเรารักอิสระมาก"

    ป๊อปเล่าให้ฟังว่า คุณแม่เคยเป็นวิศวกรในโรงงานผลิตรถยนต์มาก่อน ถือว่าเป็นผู้หญิงไทยที่ทำงานอยู่ท่ามกลางผู้ชายชาวอเมริกันซึ่งยากจะยอมรับความเก่งของเธอ แต่สุดท้ายก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างแข็งแกร่ง การที่แม่เป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ดูแลสุขภาพ ตรวจร่างกายอยู่เสมอ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมในโรงงานที่สะสมอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลายาวนาน จนส่งผลให้เกิดความผิดปกติ จึงยากที่คุณแม่จะยอมรับกับอาการเจ็บป่วยของตัวเอง ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นการแสดงอารมณ์รุนแรงและวิตกกังวล คนที่คอยดูแลจึงรับมือลำบาก

    "มันทำให้เราหัวใจสลาย เราเห็นว่าแม่ไม่ยอมรับความเจ็บป่วย ตื่นเช้ามาใส่บาตรทำบุญทุกวัน คิดว่าจะต่อรองได้ แต่ไม่ได้ ตอนนั้นเราลงมานอนที่ห้องข้างล่างกับแม่ด้วย แม่ร้องไห้ กรี๊ด นอนไม่หลับ ซึมเศร้ามาก เราเคยดูหนังเรื่อง What Dreams May Come แล้วจำฉากที่คริส (ตัวเอก) จะเข้าไปในบ้านที่กำลังถล่มลงมา แล้วเทวดาบอกว่า 'ถ้าคุณเข้าไปอยู่ในนรกของเขา คุณจะกลับออกมาไม่ได้แล้วนะ' สำหรับเรากับแม่เป็นอย่างนั้น ถ้าปรับไม่ได้ เราจะจมไปกับเขา นี่คือสิ่งแรกของคนดูแลผู้ป่วยที่ต้องตระหนัก เวลาเขาเจ็บปวด ห้ามเจ็บปวดเหมือนเขา อย่าไปจมกับความซึมเศร้าตามเขา คล้ายๆ กับเราเห็นคนจมน้ำอยู่ตรงหน้า แล้วเลือกว่าจะทำยังไงดี ถ้าคุณว่ายน้ำไม่เป็น จะกระโดดลงน้ำไปช่วยคนไหม ไม่ควร คนเราต้องแข็งแรงและฉลาดพอที่จะรู้ว่าจะไปช่วยเขายังไง ถ้ามีเรือ พายเรือไป เพราะฉะนั้นใครที่ต้องดูแลคนอื่นห้ามล้มเด็ดขาด"

    เมื่อคุณแม่ต้องนั่งรถเข็นไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายกลางแจ้งได้เหมือนก่อน เธอจึงปรับปรุงพื้นที่เดิมบริเวณหลังบ้าน ทำระเบียงไม้เพื่อพาคุณแม่ออกมาสูดอากาศ สามารถกินอาหารนอกบ้าน และอยู่ใกล้ชิดต้นไม้บ้าง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เพื่อนบ้านแวะเข้ามาทักทาย และขอให้เธอเปิดคลาสสอนโยคะที่บ้าน พร้อมกับชี้ข้อดีให้เห็นว่าการเปิดคลาสสอนโยคะทำให้ป๊อปสามารถอยู่ดูแลคุณแม่ที่บ้านอย่างใกล้ชิดได้ด้วย

    "โยคะช่วยชีวิตเรา ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง ช่วยให้เรารู้จักแม่ รู้จักนักเรียนที่เข้ามามากขึ้น ตอนที่กำลังสอนอยู่แล้วแม่อาละวาด เราจะรับมือยังไง เป็นการทำสมาธิ ฝึกให้อยู่กับตัวเอง มีอะไรในชีวิตประจำวันที่เราควบคุมได้บ้าง ไม่มีเลย คนส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมรับความเป็นจริง เรามักจะถามว่าทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้ ทำไมแม่ฉันต้องแก่ ทำไมแม่ฉันต้องตาย หน้าที่ของเราคือสังเกต เรียนรู้ ปล่อยวาง แล้วมันคือพื้นฐานที่ได้จากโยคะจริงๆ อยู่กับลมหายใจแล้วสังเกตดูสิ เจ็บตรงไหน แก้ยังไง ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติ เราจะต่อสู้ไปทำไม ยอมรับดีกว่าไหม เพราะมันต้องเกิดขึ้นอยู่ดี"

    โดยนอกจากเธอจะเป็นครูผู้สอนหลักในคลาสโยคะแล้ว คุณแม่ยังคอยเป็นเหมือนครูใหญ่ที่คอยดูแลนักเรียนอีกด้วย สำหรับนักเรียนรุ่นแรกๆ จะรู้ดีว่า คุณแม่มีส่วนร่วมด้วยการทักทายและต้อนรับนักเรียนด้วยรอยยิ้ม เป็นเหมือนครูใหญ่ที่ได้รับมอบหมายให้จำชื่อและเช็กชื่อนักเรียนในแต่ละวัน แล้วระหว่างที่นักเรียนทำโยคะ คุณแม่จะฝึกกล้ามเนื้อตัวเองด้วยการยกแขนเท่าที่พอจะทำได้ เป็นการบริหารร่างกายไปด้วย เมื่อคอยเฝ้าดูแล้วเห็นว่านักเรียนคนไหนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นก็เอ่ยชม ให้ทุกคนได้ยิ้มและหายเหนื่อยไปตามๆ กัน รอยยิ้มและการพูดคุยกับคุณแม่คือกำลังใจที่นักเรียนได้รับกลับมา จนทำให้คุณแม่เป็นสมาชิกคนสำคัญของคลาส Yoga by Pop ที่นักเรียนรักและเคารพอยู่เสมอ

    "แม่เป็นแม่ใหญ่และเป็นหัวใจหลักของ Yoga by Pop เลย เพราะถ้าไม่มีแม่มาอยู่ด้วย เราคงบินไปเรียนโยคะที่อื่น ไม่มีทางเปิดเองอยู่แล้ว เรามาขอบคุณแม่ทีหลังคือ พออยู่กับแม่แล้วเขาดูเราสอนโยคะ ทำให้แม่ชื่นชมเราเป็นครั้งแรกในชีวิตว่า 'เนี่ย ลูกสอนดีนะ' ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้ทำอะไรทำให้แม่หมดเลย ประกวดนางสาวไทย เล่นละคร ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่อยากให้ทำ เราทำให้เขาหมดเลย แต่เรื่องโยคะเราทำให้ตัวเอง แล้วเผอิญแบ่งปันให้แม่ แบ่งปันคนอื่น เพราะช่วงดูแลแม่ แม่ต้องมีอะไรทำ แม่ต้องจำชื่อนักเรียนทุกคน มันทำให้โยคะกับแม่เราลึกซึ้งมาก การที่แม่มาอยู่ด้วยทำให้เรามีโอกาสเข้าใจกัน ให้อภัยกัน ดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความเข้าใจ ช่วงแรกๆ ทั้งโกรธ เกลียด ทะเลาะ ปะทะ แต่มันต้องผ่านมาให้หมดให้ได้ พอใจเย็นลง เห็นใจเขา กอดทุกวัน หอมทุกวัน นักเรียนมาคุยด้วยทำให้เขายิ้ม แม่ก็จะมีความสุขในสถานการณ์ที่เขาเป็นทุกวัน ทำให้เขารับได้ นี่คือสิ่งที่ได้รับตอบแทนมา"

    พอเวลาผ่านไป นักเรียนในคลาสค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ประกอบกับการดูแลคุณแม่ในบ้านที่ไม่ได้สร้างขึ้นให้เหมาะกับการดูแลผู้สูงอายุที่ใช้วีลแชร์ ทำให้เธอเริ่มคิดที่จะสร้างบ้านใหม่ให้เป็นสถานที่สำหรับทั้งคุณแม่และนักเรียนที่จะเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นการเรียนโยคะเท่านั้น

    "แบบบ้านนี้เราคิดไว้ในหัวนานแล้ว สิ่งที่ต้องการคือให้บ้านนี้เป็นสถานที่สำหรับเรียนโยคะ เพื่อให้คุณแม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เราทำ และเป็นสถานที่ให้แม่มาพักผ่อนด้วย เพราะช่วงหลังอาการของแม่ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ปีสุดท้ายตามองไม่เห็น ออกไปข้างนอกไม่ได้ เราเลยต้องเอาโลกภายนอกมาหาเขา"

    เธอพาเราเดินชมบ้านตั้งแต่โรงรถที่มีทางลาดสำหรับรถเข็น ขึ้นไปยังห้องนอนของคุณแม่ มีเส้นทางผ่านเข้ามายังระเบียงซึ่งเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร ยาวเรื่อยไปจนถึงระเบียงริมน้ำ ดังนั้นหากต้องพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลก็สามารถเข้าออกได้สะดวก สำหรับห้องนอนของคุณแม่นั้น ตำแหน่งหน้าต่างอยู่ในระดับที่เวลานั่งรถเข็นแล้วมองเห็นพื้นที่เล่นโยคะได้พอดี หน้าต่างข้างห้องนอนอีกฝั่งหนึ่งยังมีสวนเล็กๆ ที่เมื่อเปิดออกแล้วสมุนไพรที่คุณแม่ชอบจะส่งกลิ่นให้สูดหายใจอย่างสดชื่นได้เลย ระดับของพื้นที่ในบ้านราบเสมอกัน เป็นการออกแบบมาสำหรับพาคุณแม่นั่งรถเข็นไปยังทุกพื้นที่ของบ้านได้โดยไม่สะดุด ไม่มีขั้นบันไดจึงป้องกันการหกล้มและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในวันที่เธออายุมากขึ้นด้วย

    "เราสร้างสถานที่นี้ขึ้นมาเพราะว่าอยากให้แม่มีอะไรทำ อยากให้แม่มีชีวิตชีวา อยากให้มีคนมาหาแม่ แม่ก็มีความสุขที่ได้เจอคน เขาไม่รู้สึกว่าโดนทิ้ง ช่วงเวลาที่อยู่กับเขา เราสังเกตเห็นว่าอาการเขาแย่ลงทุกวัน เขาหายใจสั้นลง รู้ว่าเขาอยู่กับเราได้อีกไม่นานหรอก แค่ไม่คิดว่าเขาจะจากไปตอนที่เราไม่อยู่บ้าน มันเป็นอะไรที่อิ่มตัวมาก เพราะเราทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียใจเมื่อเหตุการณ์นี้มาถึง การที่เราอยู่บ้านได้ดูแลคุณแม่ มีโอกาสได้อยู่กับแม่เต็มๆ เราถือว่ามีบุญมากเลย แล้วช่วงที่ดูแลคุณแม่ก็ได้ดูแลคนอื่น คนอื่นเหล่านี้ก็ดูแลเราและคุณแม่ด้วย เห็นไหมมันคือการให้และการรับ เป็นวงจรที่สวยงามมากเลย ไม่มีอะไรดีเท่ากับการที่เราอยู่บ้านตัวเอง แล้วมีคนเดินทางมาหาเรากับแม่อย่างให้เกียรติขนาดนี้ เราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว"

    ที่ผ่านมาแม้จะพบจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ไม่คาดฝันหลายครั้ง แต่เธอก็ขอบคุณความลำบาก ขอบคุณทุกสิ่งที่หล่อหลอมให้เธอเข้าใจความเป็นไป และรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้แบบนี้

    "เราวิเคราะห์คำว่าทางสายกลางมานานแล้ว มันพูดง่ายแต่ทำยากที่สุด เราขอเรียกว่าความสมดุลดีกว่า มันมีช่วงประสบความสำเร็จที่ยกเราขึ้น มีปัญหาที่ฉุดเราลง เหมือนการโต้อยู่บนคลื่นที่ต้องบาลานซ์ตัวเองให้ดี ถ้าเล่นเป็น เราจะโต้คลื่นได้ แต่เมื่อไรตกใจ เราก็จะจมลง ถ้าไม่ต่อสู้กับน้ำ ก็จมน้ำตาย ดังนั้นเราต้องรู้ว่าจะเล่นกับคลื่นแต่ละลูกที่ผ่านเข้ามายังไง ไม่ต่อต้านมัน ปัญหาทุกอย่างที่เข้ามาเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป ถูกต้องไหม ดังนั้นปัญหาที่แก้ได้ก็ทำไป อะไรที่แก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางมัน"

    ป๊อปบอกว่าปีนี้เธออายุ 48 ปีแล้ว การเป็นคนที่ชอบสังเกตทำให้รู้ว่าการทำงานของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีพลังเหมือนตอนช่วงอายุ 20-30 อีกต่อไป ถึงกระนั้นการดำเนินชีวิตต่อไปในคลื่นลมที่คาดเดาไม่ได้นั้น สิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจให้ดี ซึ่งเธอคอยย้ำอยู่เสมอว่าทุกคนสามารถลงทุนกับตัวเองได้ด้วยการออกกำลังกาย พร้อมทิ้งท้ายกับเราว่า

    "ถ้าต้องการมีชีวิตที่ดี ต้องเริ่มต้นจากตัวเราเองค่ะ"


    สำหรับผู้อ่านที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ป๊อป อารียา แล้วอยากลองเริ่มตั้ง 'เป้าหมายสู่ชีวิตที่ดี' ในแบบของตัวเอง สามารถคลิกเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา

ดุสิตา อิ่มอารมณ์

นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ