ไต้หวัน คืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของใครหลายๆ คน ทั้งอาหารอร่อยถูกปาก การเดินทางที่สะดวกสบายและครอบคลุม แถมค่าครองชีพยังไม่สูงเกินไปด้วย ช่วงหลังไต้หวันยังถูกจับตามองด้านเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มที่ต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น เหตุผลเพราะปัญหาสงครามทางการค้าของจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้การลงทุนในจีนชะลอลง โดยจีนปรับกลยุทธ์ลดการใช้จ่ายนอกประเทศ เพื่อตัดกำไรสหรัฐอเมริกา แต่นอกเหนือจากที่กล่าวมา อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไต้หวันโดดเด่นกว่าที่อื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันคือ การนำศิลปวัฒนธรรมมาใช้ในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้านั่นเอง
ปัจจุบันไต้หวันมีพื้นที่ 35,980 ตารางกิโลเมตร ประชากร 23.6 ล้านคน ถ้าเทียบกัน ไต้หวันมีพื้นที่เพียง 1 ใน 14 ของไทยเท่านั้น ปัจจัยด้านกายภาพที่มีพื้นที่น้อยกว่าอาจจะทำให้จัดสรรทรัพยากรต่างๆ ง่ายขึ้น แต่ตัวแปรสำคัญน่าจะเป็นคุณภาพของประชากร โดยมีพื้นฐานที่ดีจากนโยบายของภาครัฐ เช่น นโยบาย National Science and Technology Plan ที่เน้นการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน เพื่อประสิทธิภาพที่ดีของผู้เรียน
ทำไมต้องไทเป? เพราะที่นี่ไม่ใช่จีน และไต้หวันเองก็พยายามลดการพึ่งพาการค้ากับจีนมาโดยตลอด ทั้งออกนโยบายมุ่งใต้ใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศในอาเซียนและประเทศในเอเชียใต้เข้ามาลงทุน อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า จีนมีปัญหาทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาอยู่ ทำให้นักลงทุนในตะวันตกบางส่วนขาดความเชื่อมั่นในจีน และเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในฮ่องกงและไต้หวันแทน อีกทั้งการจะเข้าไปลงทุนในจีนตอนนี้ยังติดเรื่องนโยบายเศรษฐกิจและการเงิน ในทางกลับกัน ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับไต้หวันอย่างแน่นอน ส่งผลให้มีการลงทุนจากทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย หลั่งไหลมาสู่ไต้หวัน เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มั่นคงและปลอดภัย ถ้าตัดสินใจเข้าไปลงทุน
Treasure Hill Artist Village
ขณะเดียวกันการนำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมในไต้หวันนั้น ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมานานแล้ว โดยเฉพาะนโยบายที่จัดให้มีศิลปะในที่สาธารณะตั้งแต่ปี 1992 เปิดตัวโรงละครแห่งชาติไทจง ในปี 2016 เป็นศูนย์รวมด้านศิลปวัฒนธรรม ที่มีทั้งสวน ร้านค้า ร้านอาหาร แล้วยังมีพื้นที่ให้กลุ่มนักดนตรีและศิลปินแขนงอื่นมาแสดงความสามารถในสวนสาธารณะ สถานีรถไฟฟ้า หรือโรงละคร เป็นต้น นอกจากนี้วิธีการที่ง่ายๆ แต่ได้ผลอย่างมากก็คือการมอบชีวิตใหม่ให้กับอาคารที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง เช่นหมู่บ้านเก่ากลายเป็น Taipei Artist Village และ Treasure Hill Artist Village โรงงานผลิตไวน์เก่ากลายเป็น Huashan 1914 Creative Park และโรงงานยาสูบเก่าก็ถูกปรับปรุงให้เป็น Songshan Cultural and Creative Park เพื่อทำเป็นพื้นที่สร้างสรรค์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และกลายเป็นพื้นที่ที่ใช้จัดงานอีเวนต์ด้านครีเอทีฟอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่อย่าง Creative Expo ที่เป็นการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านศิลปวัฒนธรรมและงานสร้างสรรค์ โดยมีภาครัฐเป็นเจ้าภาพ หรืองานของเอกชนที่รวบรวมงานคราฟ์จากทั่วเอเชียมาจัดแสดงอย่าง Pop Up Asia ก็ใช้ Songshan Cultural and Creative Park เป็นพื้นที่ในการจัดงานมาอย่างต่อเนื่องหลายปีแล้ว
แน่นอนว่าอีเวนต์ทางศิลปะและงานครีเอทีฟของที่นี่เองก็ครึกครื้นมากๆ เพราะมีให้เที่ยวชมกันทั้งปี แถมยังมีความหลากหลายครบทุกด้าน ไม่ว่าจะศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ การแสดง และอื่นๆ อย่างระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม จะเป็นเทศกาลโคมไฟ Pingxi Sky Lantern Festival, Taiwan Lantern Festival เดือนเมษายนมีงานใหญ่อย่าง Creative Expo Taiwan เดือนกรกฎาคมมี Taipei Children's Arts Festival เดือนตุลาคมก็ยิ่งถือเป็นเดือนศิลปะ เพราะมี Art Taipei, Taiwan Photo Fair กับ Taipei Art Book Fair ต่อด้วย Pop Up Asia ในเดือนพฤศจิกายน หรือคนที่ชอบดนตรี ที่นี่ก็มีเทศกาลดนตรีทุกแนวทั้ง Taipei Jazz Festival, Sun Moon Lake International Fireworks and Music Festival, Ho-Hai-Yan Rock Festival จะเห็นได้ว่านอกจากการครอบคลุมในศิลปะทุกด้านแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจต่อคนทุกเพศทุกวัย จากความหลากหลายนี้ ความเป็นศิลปะในไต้หวันจึงเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างกลมกลืน
Creative Expo Taiwan
นอกจากงานอีเวนต์และพื้นที่ครีเอทีฟสเปซที่มีเป็นจำนวนมากในไทเปแล้ว ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมของนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรมที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องและได้ผลอีกอย่างหนึ่งคือร้านค้าแบบซีเล็กต์ช็อป (Select Shop) ที่มีเป็นจำนวนมากในไทเป ร้านแบบนี้คือพื้นที่ที่รวมแบรนด์ดีไซน์ต่างๆ มาขายในร้าน (คล้ายกับ happening shop ของเรานั่นเอง) แน่นอนว่าหากใครไปเดินตามร้านแนวนี้ทั่วไทเปหรือตามครีเอทีฟสเปซต่างๆ ก็จะพบเห็นแบรนด์ซ้ำๆ อยู่บ้าง ซึ่งแบรนด์ซ้ำๆ เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นแบรนด์ดีไซน์ที่ล้วนแข็งแรงขึ้นตามวันเวลาแล้วนั่นเอง (ยกตัวอย่างแบรนด์ก็เช่น In Bloom ที่ทำผลิตภัณฑ์ผ้าและ Wooderful Life ที่ทำกล่องดนตรีจากไม้) นี่ยังไม่นับแบรนด์ใหญ่ที่เป็นเหมือน Hub ของแบรนด์ดีไซน์อีกทีอย่าง VVG หรือร้านหนังสือ Eslite ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศอีกต่างหาก
Eslite Bookstore
เมื่อปั้นกันจนได้ที่แล้ว ต่างประเทศก็เริ่มให้การยอมรับในที่สุด
หลังจากที่ แม็กนัส เรนฟรูว์ (Magnus Renfrew) ผู้ก่อตั้ง Art Basel ฮ่องกง เล็งเห็นองค์ประกอบต่างๆ ทั้งการเติบโตด้านเศรษฐกิจ คุณภาพประชากร และการส่งเสริมด้านศิลปวัฒนธรรม ทำให้เขาตัดสินใจจัดงาน Taipei Dangdai เทศกาลศิลปะนานาชาติครั้งแรกของไต้หวัน ขึ้นเมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา หลังจากที่เคยได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในฮ่องกงมาแล้ว
Art Basel แบ่งการจัดออกเป็น 3 ครั้งต่อปีใน 3 เมือง ได้แก่ บาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ช่วงเดือนมิถุนายน หาดไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาเดือนธันวาคม และที่ฮ่องกงในช่วงเดือนมีนาคม โดยแกลเลอรีชั้นนำจะจัดแสดงผลงานของศิลปินในประเทศที่น่าสนใจ และเปิดให้มีการซื้อขาย รวมถึงสามารถติดต่อเพื่อขอผลงานไปจัดแสดงในประเทศของผู้ที่มาเข้าร่วมงานได้ ซึ่งในปีนี้มีถึง 242 แกลเลอรี จาก 36 ประเทศทั่วโลกเดินทางมาร่วมงาน ดังนั้น Art Basel จึงไม่ใช่แค่เวทีซื้อขายงานศิลปะ แต่เป็นเวทีระดับโลกที่สนับสนุนศิลปินทั้งใหม่และเก่าทุกสาขาอีกด้วย
สิ่งที่แวดวงศิลปะไต้หวันจะได้รับจาก Taipei Dangdai อย่างแรกคือความเป็นสากล ผลที่ตามมาคือ มีแกลเลอรีจากต่างประเทศสนใจเข้ามาเปิดมากขึ้น เช่น Sean Kelly Gallery แกลเลอรีจากสหรัฐอเมริกาเองก็เลือกจะเข้ามาเปิดแกลเลอรีในไทเป Lévy Gorvy ที่เปิดตัวแกลเลอรีอยู่ที่ฮ่องกง ก็ถูกจ้างให้มาช่วยดูแลแกลเลอรีที่ไทเปด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1949 หลังแยกออกจากจีน เศรษฐกิจของไต้หวันเติบโตรวดเร็วกว่าจีนเสียอีก ในช่วงปี 80-90 ไต้หวันถือว่าเป็นแหล่งค้าขายงานศิลปะชั้นดีของชาวตะวันตก ก่อนที่ตลาดศิลปะของไต้หวันเริ่มชะลอตัวลงพักหนึ่ง แล้วไปตื่นตัวที่ฮ่องกง แต่หลังจากการจัดงาน Taipei Dangdai ตลาดศิลปะไต้หวันคล้ายถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง แถมมีแนวโน้มที่จะแซงหน้าฮ่องกงไปอีก เนื่องจากมูลค่าในการลงทุนที่ไต้หวันถูกกว่าฮ่องกงถึง 25% และเป็นการเปิดทางไปสู่ตลาดในฝั่งเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนของนักสะสมในไทเปนั้น มีกำลังในการซื้อค่อนข้างสูง โดยมีนักสะสมในกลุ่มครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะที่ต้องการซื้อผลงานเพื่อนำไปเก็บสะสมไว้มากกว่าการเก็งกำไรหรือซื้อขายแลกเปลี่ยน และกลุ่มวัยรุ่นก็หันมาให้ความสนใจด้านการซื้อขายและเก็บสะสมงานศิลปะกันมากขึ้น ข้อได้เปรียบของนักสะสมกลุ่มนี้คือ มีความคิดที่เปิดกว้าง พร้อมรับแนวทางและสิ่งใหม่ได้ง่ายกว่าคนรุ่นก่อน
การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เกิดพื้นที่ทางศิลปะจากภาครัฐและเอกชน เป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้ศิลปินหน้าใหม่เข้ามาในตลาดได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ศิลปินภายในประเทศพยายามสร้างสรรค์ผลงานที่มีความแตกต่างและโดดเด่นขึ้นมา แล้วนำไปสู่การพัฒนาวงการศิลปะภายในประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป
เมื่อภาครัฐของไต้หวันให้ความสำคัญกับศิลปะ และใช้ศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์มาเป็นแรงกระตุ้นในการผลักดันประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้อย่างน่าสนใจ
เราหวังว่ามุมมองของการนำศิลปะเข้ามาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศเช่นนี้ จะไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ไทเปหรือไต้หวันเท่านั้น แต่ประเทศที่รุ่มรวยศิลปวัฒนธรรมอย่าง 'ไทยแลนด์' ที่คนต่างชาติมักเข้าใจผิดว่าคือ 'ไต้หวัน' ก็อาจใช้ยุทธศาสตร์นี้ในการพัฒนาบ้านเมืองได้เช่นกัน
Taiwan Select Shop
3865 VIEWS |
นักสะสมตัวยง ใช้ชีวิตด้วยประโยคที่ว่า 'เน้นสวยงาม เดี๋ยวก็ได้ใช้งานเอง' ปัจจุบันพยายามจะเป็นนักอ่านที่ดี แต่ติดตรงที่เคยป็นนักสะสมมาก่อน หนังสือที่ซื้อไว้เลยไม่ค่อยถูกเปิดอ่านซักเท่าไร
ที่ปรึกษาทีม happening shop, เจ้าของเพจเฟซบุ๊กและหนังสือ 'ญี่ปุ่นอุ่นอุ่น', นักเขียน ช่างภาพโฟโต้บุ๊ก 'Nagasaki Light' และไกด์บุ๊ก 'Kagawa Memories' นอกจากภาพถ่ายและงานเขียน สิ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษคือการนั่งสมาธิและการโปรยมุขไม่ขำ