เมื่อต้นปี แป้งโกะ-จินตนัดดา ลัมะกานนท์ ปล่อยผลงานเพลง Cover Project: A Part of Love Story ออกมาให้ฟัง 3 เพลงรวด ได้แก่ คำอธิบาย ทำได้เพียง และ ฉันจะมีเธออยู่ ถ้านับตั้งแต่ตอนที่เธอคัฟเวอร์เพลงลงยูทูบเมื่อเกือบ 8 ปีที่แล้ว จนกระทั่งเป็นศิลปินที่แต่งเพลงด้วยตัวเอง ออกซิงเกิลมาให้เราฟังเป็นระยะ นี่ถือเป็นการกลับมาร้องเพลงคัฟเวอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักอีกครั้ง
ที่ผ่านมาเธอมีโอกาสลองทำงานด้านอื่นๆ ในวงการบันเทิงอีกมากมาย เราจึงได้ดูผลงานการแสดงของเธออย่างต่อเนื่อง มีเพลงประกอบละคร และเพลงประกอบภาพยนตร์ออกมาให้ฟังอยู่บ้าง ขณะที่เธอเริ่มทำบริษัทออนไลน์มาร์เก็ตติ้งกับเพื่อน โดยแบ่งส่วนภาพรวมของงานกราฟิกมารับผิดชอบ แถมยังช่วยธุรกิจร้านอาหาร บ้านประพักตร์ ของครอบครัว คอยถ่ายภาพอาหาร ทำคอนเทนต์ออนไลน์ และโพสต์ลงช่องทางโซเชียลต่างๆ ของร้านตามความถนัดของตัวเอง
การพูดคุยกันในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าไม่ว่าเธอจะก้าวออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ไกลจากจุดเริ่มต้นแค่ไหน เธอจะหาหนทางกลับมาสู่สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ซึ่งคือการร้องเพลงอยู่เสมอ
แป้งมองว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เราอาจจะมั่นใจมากขึ้น เปิดกว้างให้เพลงที่หลากหลายแนวมากขึ้น ตอนที่เข้ามาในวงการใหม่ๆ แป้งเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีกรอบที่ตีให้ตัวเอง อยากอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง อยากทำเพลงแบบนี้ อยากให้สิ่งที่เราสื่อออกไปเป็นแบบนี้ มีอะไรที่อยากทำ ไม่อยากทำ อย่างเมื่อก่อนสมมติมีเพลงละครหรือเพลงหนังติดต่อมา แต่ไม่ใช่แนวแบบที่เรารู้สึกว่าจะร้องได้ รู้สึกไม่ถนัด ก็ไม่ทำดีกว่า แต่พอผ่านไปก็รู้สึกว่าบางทีการที่เราได้ทำอะไรแปลกๆ ก็สนุกดี
เรื่องดนตรีรู้สึกว่าเติบโตขึ้นในความเป็นผู้ใหญ่ของเรา เหมือนเรามองโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่แล้วทุกปี ทุกครั้งที่เราออกซิงเกิลมาจะรู้สึกว่า เฮ้ย! เพลงนี้มันเป็นตัวตนของเรามากที่สุดแล้ว ณ ขณะนั้น เพราะเหมือนปีนึงเราก็เจออีกมุมนึงของตัวเอง สิ่งที่เราสื่อไปมันก็เป็นตัวตนของเราในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อเรามานั่งไล่ดู เราก็รู้สึกว่ามันมีความเติบโตของมัน
ยุคแรกแป้งรู้สึกว่าเพลงค่อนข้างติสต์มากเลย เหมือนช่วงนั้นมีสิ่งที่เราอยากทำออกไปแบบนี้ ถ้ามีคนมาบอกว่า เพลงนี้ท่อนฮุกไม่ค่อยติดหูเลย แต่เราก็ชอบ มันจะเห็นตัวเองในยุคนั้นจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะรู้สึกว่ามันเข้าใจง่ายเกินไป อยากให้คนตีความ อย่างเช่น เพลงพระจันทร์ เป็นเพลงที่เป็นตัวตนของแป้งมากที่สุดนะ มองย้อนกลับไปจะรู้สึกว่า ช่วงนั้นเราชอบอะไร เราอยากทำอะไร ในเรื่องเส้นทางดนตรี มันอาจจะไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้น แต่เวลาเรามองกลับไป จะเห็นตัวเองชัดมาก ผ่านมาแล้วเราอาจจะเปิดใจมากขึ้นว่า จริงๆ เนื้อหาแบบนี้อาจจะฟังดูเข้าใจง่ายสำหรับเรา แต่วิธีร้องก็อาจจะทำให้เพลงฟังดูมีสไตล์ขึ้นก็ได้ เราก็ลองทำเพลงแบบนั้นดู
แป้งว่ามันเป็นเหมือนความกล้าๆ กลัวๆ ของตัวเองมากกว่า แป้งเชื่อว่าทุกคนที่เรียนทางด้านอาร์ตมาจะเป็นแบบนี้ แรกๆ เราจะอยากทำอะไรตามกระบวนการ สมมติว่าเราชอบวาดรูป เราจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย ฉันชอบวาดรูปแบบนี้ อยากจะวาดในลายเส้นของเราให้โลกรู้ว่าเราวาดรูปแบบนี้ เวลาเห็นรูปแบบนี้แล้วรู้ว่าเป็นรูปของเรา แต่ว่าบางทีมันอาจจะยังไม่ใช่ตัวเรา 100% ก็ได้ เพราะเรายังไม่เคยเจอตัวเองในพาร์ตอื่นเลย ซึ่งแป้งเชื่อว่าแรกๆ คน 80% น่าจะมีความรู้สึกแบบนี้ แต่พออยู่ๆ ไปบางทีมันจะมีอะไรให้เราได้ลองออกไปแตะนิดแตะหน่อย สุดท้ายเราจะเรียนรู้ว่าทุกอย่างมารวมกันเป็นตัวเราได้เหมือนกัน แล้วมันก็อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำที่เราได้ไปลองทำหลายอย่าง ลองดูว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร
ถ้าอย่างที่เห็นชัดๆ เรื่องการแสดง ทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น เมื่อก่อนแป้งเป็นคนที่พูดไม่เก่งเลย เราได้สกิลการพูดคุย การตอบคำถามมาจากการแสดง พอวันนึงที่เราเก็ต มันก็ย้อนกลับมาว่าเราเอามาใช้ในเพลงได้เหมือนกัน ทำให้เราอินกับเพลงได้มากขึ้น เหมือนรู้ว่าจะบิลต์ตัวเองยังไง สมมติเวลาร้องเพลงเศร้า เราควรจะใช้เสียงผ่อนหนักผ่อนเบาตรงไหน มันคืออะไรที่เกื้อกัน และมันใช้ในชีวิตประจำวันได้นะ ทำให้เราเข้าใจคนเยอะขึ้น บางครั้งพอเราตีความตัวละครก็ทำให้เราเข้าใจว่ามันมีคนแบบนี้จริงๆ มีเหตุผลสำหรับเขาที่เราอาจเคยมองว่าไม่มีเหตุผล ทำให้เราเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น สุดท้ายแป้งมองว่าคนที่ได้คือเรา
ส่วนใหญ่รู้จักแป้งจากงานคัฟเวอร์ แล้วก็รู้สึกว่าจริงๆ ทุกวันนี้แป้งก็ยังชอบการร้องเพลงคัฟเวอร์ คือบางคนจะบอกว่าเราอยากเป็นนักร้องเพราะอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เราก็รู้สึกว่าการมีเพลงเป็นของตัวเองก็แฮปปี้ คือความฝันอย่างนึงในการเป็นนักร้อง แต่ว่าการคัฟเวอร์เป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ ร้องเพลงคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก
เรารู้สึกว่ามันมีวิธีที่ทำให้เพลงของเขาเป็นตัวตนของเรา ไม่ได้ขโมยมา แป้งว่าเพลงเป็นสิ่งที่พอเราคัฟเวอร์ไป เราสามารถตีความในมุมของเราได้ เหมือนเราอยากให้ท่อนนี้มีความสุขที่สุด ในขณะที่จริงๆ มันเศร้าสำหรับเขา การสามารถสื่อออกมาให้เป็นแบบไหนก็สนุกอีกแบบนึง เลยรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสหรือมีเวลา ก็อยากกลับมาทำเพลงคัฟเวอร์เหมือนกัน แล้วในฐานะที่เราชอบฟังเพลง เวลาฟังเพลงเพราะๆ ที่เราชอบ บางทีเรารู้สึกว่าเราอยากร้องเพลงนี้แบบจริงจัง ก็คุยกับทางค่ายมาหลายปีแล้วว่าอยากทำค่ะ แต่บางครั้งจะออกมาในรูปแบบไลฟ์มากกว่า ที่ผ่านมาเราทำหลายอย่างมากมันเลยไม่งอกออกมาสักที แต่อันนี้ไทม์มิ่งมันเหมาะเจาะ แป้งเลยรู้สึกว่าเอาโปรเจกต์ที่เราคุยไว้ตั้งนานแล้วขึ้นมาทำดีกว่า
ตอนนั้นเราดีดกีตาร์เองแล้วก็ไร้ทิศทาง ไร้การควบคุมมาก เวลาร้องไปเราก็กังวลว่าเราดีดถูกไหม เพราะเราไม่ใช่คนที่เล่นเก่งอะไรใช่ไหมคะ แต่ครั้งนี้ได้ทำงานกับพี่แทน ลิปตา (ธารณ ลิปตพัลลภ) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ทำให้มีไอเดียในการทำดนตรีด้วยค่ะ เรารู้สึกเหมือนสามารถใส่ตัวตนของเราเข้าไปได้มากกว่าเดิม
ของเดิมเราก็อยากใส่นะ แต่ฝีมือด้านดนตรียังไม่ถึง อาจจะกังวลด้วย เราไม่รู้ว่าจะเล่นออกมายังไงให้มันรู้สึกเศร้า แต่ครั้งนี้พอมีโปรดิวเซอร์ มีการทำดนตรีจริงจังแล้ว มันใส่ความเป็นตัวเองไปได้ทุกเม็ดเลย รวมถึงการร้องก็ง่ายกว่า ตรงที่เราสื่อออกมาได้เต็มที่โดยไม่ต้องพะวงอะไรด้วย
ใช่ คือเมื่อก่อนตอนเด็กๆ ความฝันก็คืออยากเป็นนักร้องแหละ แต่จริงๆ เรารู้สึกว่า เฮ้ย! เราได้ทำความฝันไปแล้ว เหมือนมิชชั่นคอมพลีต แต่มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะไปทำอะไรก็ตาม สุดท้ายเราก็อยากจะวกมาทำ เหมือนกับว่าก็อยากมีเวลาให้กับสิ่งนี้อยู่ดี
ใช่ เหมือนแบบนั้นเลย มันเป็นความชอบ มีช่วงที่แป้งทำงานเยอะๆ ค่ะ อย่างเราเรียนจบกราฟิกมา เราชอบวาดรูป เราก็จะอยากกลับมานั่งวาดรูปเล่นอยู่เสมอๆ ถ้าเรามีเวลา เพลงก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นงานที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เราไม่ต้องคาดหวังว่าเพลงจะดังไหมหรืออะไร เพราะเราเข้ามาทำด้วยความรู้สึกว่า แค่เราอยากทำความฝันให้เป็นจริงประมาณนึง ดังนั้นแป้งก็เลยรู้สึกว่าเวลาเราออกไปทำงานอย่างอื่น เช่น งานละคร เราก็ชอบนะ ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ว่ามันมีความคาดหวังของคนอื่น ของผู้กำกับ ของทีมงาน ของคนดู และอะไรมากมาย จริงๆ เพลงมันก็มีความคาดหวังของทีมงานนะ แต่ก็โชคดีที่ค่ายเขานั่งคุยกันแบบเข้าใจ สนิทกัน ดังนั้นพอกลับมาที่เพลง แป้งรู้สึกว่ามันไม่กดดัน เป็นงานที่ทำให้เรารู้สึกสบาย
จริงๆ แป้งไม่ได้มองไกลมาก คือมองว่าอยากทำเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากทำให้เป็นตัวเองที่สุด แป้งคิดว่ามันก็มีคนฟังอยู่บ้างล่ะมั้ง คือแค่อยากทำไปเรื่อยๆ จนวันนึงที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย! มันไม่เวิร์ก ไม่เวิร์กในลักษณะที่ว่าเราอาจจะอยากนั่งเล่นให้ตัวเองฟังแล้ว
ใช่ บางครั้งแป้งยังมีความรู้สึกว่าไม่อยากขึ้นคอนเสิร์ต อยากไปเล่นข้างถนนมากกว่าก็มี ดังนั้นแป้งเลยมองว่าสุดท้ายถ้าเป็นดนตรีจริงๆ ตอนนั้นมันจะอยู่ในรูปแบบไหน เช่น เป็นอัลบั้ม เป็นแค่คลิปคัฟเวอร์ หรือเราอาจจะออกไปเล่นร้าน มันก็เป็นสิ่งที่เราอยากกลับไปอยู่เรื่อยๆ
ชอบดูคลิปเวลาที่มีสตรีทอาร์ติสต์แล้วมีคนไปถ่าย แป้งรู้สึกว่าเขาเจ๋งมากเลย เหมือนคนแถวนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาดู แค่เดินผ่านแล้วเขาหยุดฟัง แสดงว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เขามาหยุดฟังเรา เพราะบางทีเราเดินผ่านนักดนตรี ถ้าเราไม่ชอบ เราแค่รู้ว่าเขายืนเล่นอยู่ตรงนั้น แล้วเราก็ผ่านไปไม่ได้สนใจเขา มีครั้งนึงที่แป้งไปเกาหลีแล้วมีศิลปินเล่นอยู่ เขาร้องเพราะมาก คนดูเยอะมาก เราเองก็ไปยืนดู อัดคลิป ซึ่งแป้งมองว่าความรู้สึกแบบนั้น บางทีการที่มีคนรู้จักเรา เขาอาจจะหยุดยืนดูเพราะเขารู้จักเราก็ได้ ซึ่งมันก็ดีนะที่มีคนรู้จัก รู้สึกขอบคุณที่มาฟังเพลงเรา แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักกันเลยอย่างนั้น แป้งว่ามันน่าจะเป็นความดีใจอีกรูปแบบนึงว่า เพลงที่เราร้องไปโอเคนะ
น่าจะเป็นเรื่องการเปิดใจให้กับหลายๆ อย่างมากขึ้นค่ะ เมื่อก่อนแป้งจะเป็นคนที่หวงความเป็นตัวเองมาก อย่างเราเคยจะไม่รับเล่นละคร ไม่แต่งตัวแบบที่เราไม่ชอบ ไม่ทำตัวแบบที่เราไม่อยากทำ เมื่อก่อนเป็นคนแบบนั้น แป้งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติกับการที่เราโอเคแบบนี้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้แป้งรู้สึกว่าการที่เราค่อยๆ เปิดใจ บางอย่างมันก็ไม่แย่อย่างที่เราคิด บางอย่างก็ดีกว่าที่เราคิด หรือถ้ามีบางอย่างที่แย่กว่าที่เราคิด เราก็โอเค ไม่ต้องไปทำอีก แป้งก็เลยรู้สึกว่าชอบที่ตัวเองเปิดใจกับหลายๆ อย่างได้มากขึ้น เหมือนเราก็ได้เรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้โลกด้วย ไม่งั้นเราก็จะอยู่ที่เดิม หยุดนิ่งไม่ไปไหน อยู่กับตัวเองไปอีกสิบปี แต่ว่าไม่เคยลองอะไรใหม่ๆ เลย
ใช่ คือเยอะมากที่แป้งเจอตัวเองในแบบอื่นๆ อย่างเช่น มีช่วงที่เราต้องไปทำพิธีกรค่ะ ไม่รู้ทำไมถึงสนใจอยากทำ จำไม่ได้ พอไปลองปุ๊บก็รู้สึกว่า เฮ้ย! จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่มีความจำที่ดีมาก แป้งไม่เคยรู้เลย ในรายการทีวีเขาจะมีโค้ดมาให้ว่าเราต้องพูดชื่อรายการ พูดเวลา แป้งทำได้ทีเดียวผ่านเลย เราก็รู้สึกว่าสมองโอเคเหมือนกัน คือพอเราไปทำปุ๊บ เราก็รู้ว่าเราทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เวลาเราไปร้องเพลงละครหรือเพลงอื่นๆ เราไม่จำเป็นต้องเป็นตัวของตัวเองที่สุด เหมือนเราก็ต้องตามไดเร็กชันของเขาด้วย ทำให้รู้ว่าจริงๆ เราก็ร้องเพลงแบบนี้ได้นะ อย่างล่าสุดเพลงละครช่อง 3 มีท่อนที่เป็นแร็ปนิดนึง เราก็ไม่เคยลอง แต่พอไปลองปุ๊บ มันก็ เออ...ทำได้ มันไม่ได้ยากแบบที่เราคิด หรือว่างานละคร เมื่อก่อนแป้งก็รู้สึกว่า ถ้าแป้งไปเป็นนางเอกแล้วต้องทำตัวเรียบร้อย เจี๋ยมเจี้ยม ซึ่งคนภายนอกมองว่าเราต้องเป็นแบบนั้น แต่เราไม่ใช่ เราจะต้องรู้สึกอึดอัด ต้องไม่สนุกแน่เลย มันต้องไปใส่ชุดน่ารัก ต้องรำคาญแน่เลย แต่ว่าพอเราเปลี่ยนวิธีการมองว่า เฮ้ย! เราก็ได้ลองใช้ชีวิตอีกแบบนึง ได้ลองอยู่ในชุดฟรุ้งฟริ้ง เป็นคนคนนั้นที่ใส่รองเท้าส้นสูงถือกระเป๋าแบรนด์เนม เออ มันก็สนุกดีที่เราได้เรียนรู้ว่ามันมีคนแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ นะ อย่างล่าสุดที่แป้งไปเล่น นางสาวไม่จำกัดนามสกุล เป็นคุณหนู มันก็จะมีความร้ายๆ หน่อย เออ...มันสนุกดี คือเราเอาแต่ใจมากในเรื่อง เราก็คิดว่าเออมันเอาแต่ใจได้นะ แต่ไม่ได้เอากลับมาใช้ในชีวิตเรา พอมันอินมากๆ เราก็โกรธเขาจริงๆ แปลว่าเราก็มีอารมณ์นี้อยู่ในตัวด้วยเหรอ แป้งว่ามันเป็นการเรียนรู้ตัวเองผ่านตัวละคร แล้วคือโล่งมาก เหมือนได้ระบายความอัดอั้นบางอย่างในชีวิตด้วย
2173 VIEWS |
นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ