แพร่พิทยา แด่ความทรงจำของร้านหนังสือที่ทันสมัยที่สุดในพระนคร

    เพลินพิศ แพร่พานิช ยืนอยู่ภายในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นย่านวังบูรพา เธอเดินไปเปิดพัดลมเพิ่มอากาศหมุนเวียนและจัดแจงที่นั่งไว้สำหรับพวกเรา ข้างพัดลมมีปฏิทินที่เปิดค้างถึงเดือนธันวาคม 2561 แขวนไว้ ผนังมีร่องรอยของชั้นหนังสือที่เคยมีอยู่โดยรอบ เหนือขึ้นไปมีป้ายระบุประเภทหนังสือ คู่มือ/ประถม/มัธยม/ทั่วไป ดิกชันนารี/พจนานุกรม นวนิยาย ฯลฯ บนพื้นไม้ปาร์เกต์มีภาพวาดด้วยสีชอล์กของนักประพันธ์พร้อมลายเซ็นวางเรียงไว้เตรียมสำหรับขนย้าย

    วันที่เรานั่งล้อมวงสนทนากัน เป็นวันสุดท้ายก่อนที่ป้ายร้านแพร่พิทยาจะถูกปลดลงมา

    ในย่านการค้าวังบูรพา ซึ่งขณะนั้นเพิ่งถูกพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์การค้าที่รวบรวมเอาร้านค้าทันสมัยมารวมไว้ด้วยกัน จิตต์ แพร่พานิช เปิดกิจการร้านหนังสือ แพร่พิทยา และจดทะเบียนพาณิชย์เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2496 โดยมีเพื่อนนักเขียนและนักแปล อาษา ขอจิตต์เมตต์ ช่วยติดต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อเชิญ ดร. เดล คาเนกี ให้มาเป็นเกียรติและตัดริบบิ้น ในงานเปิดร้านวันที่ 1 สิงหาคม 2496

ดร. เดล คาเนกี นักเขียนเจ้าของผลงาน วิธีชนะมิตรและจูงใจคน (How to Win Friends and Influence People) และหนังสืออีกหลายเล่มของเขาที่แปลเป็นภาษาไทยโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์ ได้รับความนิยมจากผู้อ่านคนไทยเป็นอย่างมาก


จากร้านขายหนังสือพิมพ์สู่แพร่พิทยา

    "คุณพ่อเริ่มต้นชีวิตตั้งแต่ขายหนังสือพิมพ์ ขายทอฟฟี่หน้าโรงหนัง ตอนหลังได้ทุนแล้วก็ไปเซ้งร้านเล็กๆ แถวหน้าโรงหนังโอเดียน นอกจากขายหนังสือพิมพ์แล้วแกก็ไปหาซื้อหนังสือเก่าจากเรือที่มาเทียบท่า เป็นหนังสือฝรั่งที่ข้าราชการและเจ้านายส่วนใหญ่ที่จบจากต่างประเทศหาซื้ออ่านไม่ได้ เริ่มจากตรงนั้น"

    อาจารย์โอสถ โกศิน ได้ซื้อวังบูรพาภิรมย์จากทายาท มาพัฒนาให้เป็นศูนย์รวมห้างร้าน จำหน่ายสินค้าชั้นนำที่มีสินค้าทันสมัย และรวมโรงภาพยนตร์ถึงสามโรง จึงทำให้วังบูรพากลายเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศไทย อาจารย์จึงได้ชวนจิตต์ให้มาเปิดร้านหนังสือที่วังบูรพาด้วย

    "กรุงเทพฯ สมัยก่อนไม่มีศูนย์การค้า เวลาซื้อของต้องถามว่าจะซื้ออะไร ถ้าซื้อผ้าต้องไปพาหุรัด ซื้อของขายส่งไปสำเพ็ง ซื้อเครื่องจักรก็ไปแถววรจักร อาจารย์โอสถมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์การค้า แล้วเห็นคุณพ่อเป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักก็พามาดูที่ เราได้ที่ดีมาก เป็นห้องแถวที่ลึกถึง 27 เมตร พื้นที่ตรงนี้ที่เรานั่งอยู่ 60.6 ตารางวา ถือว่าขนาดใหญ่พอสมควรทีเดียว"

    เมื่อเปิดกิจการแล้วแพร่พิทยายังคงขายหนังสือพิมพ์ทุกหัว โดยสมัยก่อนเวลารับหนังสือพิมพ์มาขาย ต้องเดินทางไปรับมาจากโรงพิมพ์ด้วยตัวเอง อย่างกลุ่มโรงพิมพ์ประชาช่างที่ออกหนังสือพิมพ์ เดลิเมล์ บางกอกเดลิเมล์ ก่อนที่จะมาเป็นเดลินิวส์ที่ผู้อ่านรู้จักกันดี กลุ่มโรงพิมพ์ไทยที่ออกหนังสือพิมพ์สยามรัฐที่มีทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน นอกจากนั้นยังมีหนังสือพิมพ์ชาวกรุงที่มีข่าวความเคลื่อนไหวทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และความรู้ทั่วไป ซึ่งเพลินพิศอ่านเป็นประจำเมื่อครั้งยังเด็ก

    "คุณพ่อไปรับเองอยู่หลายปี รับหนังสือพิมพ์มาแล้วก็ต้องนั่งเย็บถุงใส่หนังสือพิมพ์เป็นซองๆ เอง กระทั่งต่อมาถึงจะมีสายส่ง"

    ส่วนหนังสือที่แพร่พิทยารับมาขาย เธอเรียกว่า 'หนังสือของชาวบ้าน' หมายถึงหนังสือที่คนทั่วไปพิมพ์ขาย โดยจิตต์จะอุ้มเธอขึ้นรถไปรับหนังสือตามร้านที่เวิ้งนาครเขษม มีทั้งหนังสือของสำนักพิมพ์และหนังสือของนักเขียนหลายประเภท เช่น นิยายรัก หนังสือตลก หนังสือบู๊ จนถึงหนังสือพยากรณ์ เรียกได้ว่าแพร่พิทยารับซื้อหนังสือทุกประเภทมาวางที่ร้าน ตราบใดที่ไม่ใช่หนังสือผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม

    "สมัยก่อนเขาพิมพ์เป็นหนังสือปกอ่อนเล็กๆ เล่มบางน่ารักนะคะ ราคา 1 บาท 6 สลึง 2 บาท ถ้าหนังสือบู๊ก็มี เสือใบ อินทรีแดง ส่วนเราเป็นแฟน ป. อินทรปาลิต อ่าน พล นิกร กิมหงวน เป็นประจำ พอไปถึง เขาก็ยื่นหนังสือให้ บอกว่า 'เอาไปเลยครับคุณหนู' แต่พ่อไม่ให้รับ บอกว่าให้เอาหนังสือของที่บ้านอ่าน"

    เมื่อนำหนังสือมาที่ร้านแล้วจึงจัดเข้าชั้นตามชื่อผู้ประพันธ์ ไม่เหมือนปัจจุบันที่จัดตามหมวดหรือประเภทหนังสือ เวลามีคนมาถามหาหนังสือเรื่อง เสือใบ ก็จะรู้ทันทีว่าต้องไปหาที่ชั้นของ ป. อินทรปาลิต การจัดร้านในอดีตนี้เองที่เธอเรียกว่า 'เป็นการจัดแบบไทยแท้ๆ'

    อีกหนึ่งกลยุทธ์ของแพร่พิทยาที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์หนังสือในร้านให้ลูกค้ารู้จักคือ ละครวิทยุ

    "เราจ้างให้คณะละครวิทยุเอาหนังสือนิยายที่มีอยู่ไปทำละครวิทยุ แล้วเราก็จะเปิดที่ร้านให้คนเข้ามาฟังได้ บางคนติดถึงขั้นว่าทุก 4 โมงเย็นเป๊ะจะมาฟัง จนจะครบเดือนอยู่แล้วเราถึงบอกว่าที่ร้านมีหนังสือเรื่องนี้ ซื้อไปอ่านที่บ้านดีไหม เป็นการจ้างโปรแกรมละครวิทยุโฆษณาให้คนซื้อหนังสือนิยายเข้าใจว่าเรื่องในหนังสือเกี่ยวกับอะไร แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์"

ร้านแพร่พิทยา จิตรกรมาวาดภาพนักเขียนไว้ วันเปิดร้านนักเขียนคนไหนมาร่วมงานจะมอบลายเซ็นบนภาพ และมีบางคนที่เซ็นให้หลังจากวันนั้น แล้วนำภาพเหล่านี้มาแขวนไว้ เพื่อให้รู้ว่าแถวไหนคือชั้นวางหนังสือของนักเขียนคนนั้น


สำนักพิมพ์แพร่พิทยา แหล่งชุมนุมเล็กๆ ของนักเขียน

    นอกจากจะเป็นร้านหนังสือที่รับหนังสือและหนังสือพิมพ์มาขายแล้ว แพร่พิทยายังจัดพิมพ์หนังสือด้วยตัวเองมากมายหลายเล่ม เพลินพิศเล่าว่าช่วงแรกคุณพ่อได้รับความเมตตาจากเจ้านายผู้ใหญ่ทำให้ได้พิมพ์หนังสือดีๆ และได้มีโอกาสตีพิมพ์ผลงานทั้งชุดของ หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์ เจ้าของนามปากกา 'ดอกไม้สด' และนักเขียนอีกหลายคน เนื่องจากมีเพื่อนช่วยแนะนำนักเขียนมาให้รู้จัก ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นสำนักพิมพ์เรื่อยมา

    เธอเองมีโอกาสติดตามคุณพ่อและคุณแม่เดินทางไปบ้านนักเขียนอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ผู้ใช้นามปากกา ว. ณ ประมวญมารค ผู้เขียน ปริศนา รัตนาวดี เจ้าสาวของอานนท์ ที่นักอ่านรู้จักกันดี เพื่อรับต้นฉบับและนำต้นฉบับไปส่งให้ท่านตรวจทานก่อนตีพิมพ์ ซึ่งความเมตตาและความเอ็นดูที่ได้รับกลายเป็นความทรงจำที่ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้

    "คุณพ่อเป็นคนได้เรียนน้อย แต่มีความสนใจใฝ่หาความรู้ค่ะ หนังสือที่คุณพ่อพิมพ์จึงค่อนข้างหลากหลาย เวลาเพื่อนไปค้นคว้าอะไรมาแล้วก็ขอให้ช่วยพิมพ์หน่อย อย่างเช่น นักเขียนบอกมาเลยว่า 'เรื่องนี้เอา 6,000 บาทนะ' หรือบางทีเพื่อนก็บอก 'จิตต์เอาเงินมาใช้ก่อน 3,000 เดี๋ยวเขียนเรื่องสั้นให้' คุณพ่อก็ให้เงินไป เขาไม่เรื่องมากหรอกค่ะ เป็นสังคมที่อบอุ่น บางทีเล่มไหนขายดี คนเขียนจะมาเตือนว่า 'คุณจิตต์เล่มนี้ขายดี' พ่อก็จะให้เงินไป นักเขียนจะเชื่อใจแกเพราะไม่เคยเอาเปรียบใคร"

    ความสัมพันธ์ของร้านแพร่พิทยาและนักเขียนจึงสนิทแน่นแฟ้น เหมือนเป็นแหล่งชุมนุมเล็กๆ ที่ตกเย็นแต่ละคนจะมานั่งพบปะสังสรรค์กัน ถึงขนาดเวลาสำนักพิมพ์หรือบรรณาธิการมีเรื่องด่วนจะติดต่อนักเขียนคนไหนก็มักจะโทรมาตามที่ร้าน เพราะมานั่งเล่นกันอยู่ตรงนี้

จิตต์ แพร่พานิช และเพื่อนในวงการหนังสือในวันเปิดร้านแพร่พิทยา

    สมัยนั้นหนังสือเล่มหนึ่งต้องพิมพ์จำนวนประมาณ 2,000 เล่ม แต่จะเข้าเล่มครั้งละ 300-500 เล่มเท่านั้น เพราะไม่มีเงินเข้าเล่มทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะเป็นเนื้อในหนังสือยกที่มัดเป็นห่อฝากไว้ที่ร้านทำปก "สมัยก่อนค่าเข้าเล่มทำปก 1 เล่มตกประมาณ 7 บาท เพราะเราทำปกแลคซีน หลังๆ มาพัฒนาเป็นกระดาษลายหนังก็ยังแพงเหมือนเดิม เข้าเล่มทีละเยอะๆ ไม่ได้ ต้นทุนทั้งค่ากระดาษ ค่าพิมพ์ เป็นเงินทั้งนั้น" เพราะฉะนั้นถ้าเคยเห็นหนังสือเก่าๆ ที่เข้าเล่มแล้วบางครั้งกลับหน้ากลับหลัง หรือหน้าหาย เพราะร้านเข้าปกที่เราฝากหนังสือยกไว้ เวลาเข้าเล่มทำปกอาจจัดเก็บเล่มผิดพลาดนั่นเอง

    "ตั้งแต่มาเปิดร้านที่นี่ คุณพ่อพิมพ์หนังสือมาตลอด พอหนังสือมาก็ขนขึ้นไปเก็บบนชั้น 2-3 เก็บจนถึงเพดาน เหลือทางเดินแค่ 80 เซนติเมตรเพื่อให้มีทางขนหนังสือเข้าไป โชคดีที่ตึกสมัยก่อนแข็งแรง เราก็ไม่มีความรู้เรื่องความปลอดภัยนะคะ ดีที่รับน้ำหนักได้"

    เมื่อถึงยุคที่กระดาษแพง ต้นทุนหนังสือมีราคาสูงขึ้น จำนวนเรื่องที่พิมพ์จึงน้อยลง ถึงกระนั้นแพร่พิทยาก็ยังเป็นสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือมากกว่า 1,300 เรื่องเลยทีเดียว

ห้องสต็อก ซึ่งปัจจุบันไม่มีหนังสือเหลืออยู่แล้ว


แพร่พิทยา หมายถึง กระจายความรู้

    หนังสือที่สำนักพิมพ์แพร่พิทยาตีพิมพ์นั้นมีความหลากหลาย โดยเฉพาะพจนานุกรมที่นอกจากจะมีหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นพจนานุกรม ไทย-อังกฤษ ไทย-ฝรั่งเศส ไทย-อิตาลี ซึ่งแม้พจนานุกรมจะไม่ใช่หนังสือขายดี แต่ถ้ามีคนเขียนขึ้นมาก็พร้อมที่จะตีพิมพ์ อย่าง พจนานุกรม New Standard German-Thai Dictionary โดย James McIntyre ซึ่งผู้เขียนคือพ่อของ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นต้น

    แพร่พิทยาตีพิมพ์พจนานุกรมประเภทอื่นอีกด้วย เช่น พจนานุกรมศัพท์แพทย์ อังกฤษ-ไทย พร้อมด้วยคำอ่าน : Medical Dictionary English-Thai จัดทำโดย ฝ่ายวิชาการ แพร่พิทยา และคณะแพทย์แห่งวชิรสาร ซึ่งเธอเคยเห็นอยู่บนชั้นในโรงพยาบาล แล้วอดภูมิใจไม่ได้ว่าแพทย์ยังคงใช้อยู่จนปัจจุบัน

    มุมมองในการเลือกทำหนังสือของสำนักพิมพ์ ไม่เพียงพิจารณาจากประโยชน์ที่ผู้อ่านได้รับเท่านั้น ยังมีความคิดในการออกแบบรูปเล่มให้เหมาะสมกับหนังสือแต่ละเรื่องอีกด้วย เมื่อได้เห็นต้นฉบับ เอกสารประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งของไทยยุคใหม่ ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ ศาสตราจารย์ ดิเรก ชัยนาม เขาบอกว่า 'ต้องทำให้หรู' จึงเป็นครั้งแรกที่ผลิตขึ้นในรูปแบบกล่องบรรจุหนังสือ รวมถึงหนังสือการ์ตูนเล่มแรกที่สำนักพิมพ์ตีพิมพ์ คือผลงานของ อาจารย์ประยูร จรรยาวงษ์ "อาจารย์ประยูร เอาต้นฉบับการ์ตูนเรื่อง หลวิชัย-คาวี มาปรึกษา บอกอยากพิมพ์รวมเล่มจะจัดการอย่างไรดี สมัยก่อนเวลาพิมพ์การ์ตูนให้เป็นเล่ม ราคาการจัดพิมพ์จะสูงมาก เพราะเท่ากับต้องจัดทำแม่พิมพ์ด้วยบล็อกตะกั่วทั้งเล่ม ไม่มีงานตัวเรียงเลย พ่อบอก 'ให้ผมคิดดูก่อน' อาจารย์ก็ทิ้งต้นฉบับไว้ รุ่งขึ้นพ่อก็เรียนอาจารย์ประยูรว่าหาทางได้แล้วครับ" โดยเขาใช้กระดาษสำหรับวาดภาพสีน้ำมาพิมพ์ แทนกระดาษปรู๊ฟที่เราใช้พิมพ์หนังสือกันอยู่ในขณะนั้น เพราะกระดาษปอนด์ยังไม่ค่อยมี กระดาษวาดรูปสีน้ำมีความหนาและขาว ทำให้ลายเส้นการ์ตูนดูชัดและหนังสือดูมีค่า กลายเป็นหนังสือการ์ตูนปกแข็งเล่มแรกของประเทศไทย

    แพร่พิทยายังถือเป็นสำนักพิมพ์ที่จัดทำหนังสือภาพที่สมัยนี้เรียกว่าโฟโต้บุ๊กเป็นเจ้าแรกอีกด้วย "การประกวดนางสาวไทยเป็นสิ่งบันเทิงที่ทุกคนในประเทศต้องพูดถึง ทุกจังหวัดอยากได้รูปคนที่จังหวัดของตัวเองส่งเข้ามา แล้วก็ต้องวิจารณ์ผู้เข้าประกวดทุกคน แต่เรายังไม่มีศักยภาพในการพิมพ์อัลบั้ม ก็เลยทำรูปเล่มแล้วอัดรูปจริงใส่มุมแล้วติดทีละรูป มีรูปทุกคนตั้งแต่การคัดตัวรอบที่ 1 จนถึงรอบสุดท้ายได้ตำแหน่งนางงาม แฮนด์เมดทุกเล่มนะคะ" แถมมีการสั่งล่วงหน้าหรือที่สมัยนี้มักจะมีการพรีออร์เดอร์กันทุกปี มีคนจองถึงปีละ 500-700 เล่ม

เพลินพิศเล่าถึงอดีตของสำนักพิมพ์แพร่พิทยาด้วยดวงตาเป็นประกาย


ร้านหนังสือขวัญใจเด็กนักเรียน

    เพลินพิศเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนรัฐบาลมีงบประมาณให้โรงเรียนซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด อีกทั้งร้านหนังสือเป็นผู้จัดหนังสือเรียนให้นักเรียน ที่ร้านจึงจำหน่ายหนังสือเรียนทุกรายวิชา ช่วงเปิดเทอมจะจัดหนังสือของทุกระดับชั้นเตรียมไว้เป็นชุด ใกล้เปิดเทอมผู้ปกครองจะพาเด็กๆ มาซื้อหนังสือ ห่อปก แล้วหิ้วกลับบ้าน

    ช่วงเปิดเทอมทางร้านก็มีคู่มือและแบบฝึกหัด อุปกรณ์สำหรับทำรายงาน โปสเตอร์ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วันสำคัญ แผนที่ประเทศไทย ฯลฯ มาขาย ทำให้นักเรียนเข้ามาอุดหนุนกันไม่ขาด

    โดยเฉพาะสาขาลาดพร้าวที่ตกเย็นนักเรียนจะแวะร้านหนังสือ วางกระเป๋าเรียงไว้เต็มหน้าร้าน ซึ่งทางร้านขอความร่วมมือให้นั่งเป็นระเบียบ กินขนมแล้วเก็บไปทิ้งถังขยะให้เรียบร้อย และห้ามขโมยหนังสือ ทำให้ร้านสาขานี้ผูกพันกับนักเรียนโรงเรียนหอวังเป็นพิเศษ "พนักงานที่ทำงานสาขานั้นร้องไห้ทุกปี เพราะเด็กๆ ที่หอวังจบไปจะมาไหว้ แล้วบอกข่าวว่าสอบได้ที่ไหนกันบ้าง ตั้งแต่เปิดสาขาที่นั่นไม่รู้จบไปแล้วกี่รุ่น"

    อีกทั้งร้านแพร่พิทยายังขึ้นชื่อว่าเป็นร้านหนังสือที่หลากหลายและครบครันที่สุด ถึงขั้นว่าแม้จะมีร้านหนังสือใหญ่ๆ เปิดในห้างสรรพสินค้าแล้ว แต่ถ้าหาหนังสือที่ต้องการจากร้านเหล่านั้นไม่ได้ ไม่มีในสต็อก ต้องมาหาที่ร้านนี้ เพราะแพร่พิทยารู้จักกับทุกสำนักพิมพ์ ถึงค้นหาแล้วไม่มีหนังสือในสต็อกของร้าน พนักงานร้านก็พร้อมขี่มอเตอร์ไซค์หรือนั่งรถเมล์ไปรับมาให้จากสำนักพิมพ์เลยทีเดียว

    "ขนาดว่าเปิดเทอมปีที่แล้วยังมีพ่อแม่เด็กโทรมาหาพนักงานเราที่นี่แต่เช้ามืด บอกว่าโรงเรียนจะเปิดแล้วแต่หาหนังสือไม่ได้เลย เราก็หาให้จนครบหมด แล้วส่งไปให้ที่บ้าน เขาดีใจมาก เพราะถ้าไม่ได้หนังสือครบ ลูกเขาเข้าโรงเรียนไม่ได้"

    ความตั้งใจในบริการนี้สร้างความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างลูกค้ากับร้านหนังสือ อย่างที่หาไม่ได้จากที่ไหน

ภาพสุดท้ายก่อนที่ป้ายร้านแพร่พิทยาจะถูกปลดลงในวันรุ่งขึ้น


จนกว่าจะพบกันใหม่

    ตลอดระยะเวลา 65 ปีที่จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือ เป็นการทำหน้าที่ 'กระจายความรู้' ได้สมกับความหมายของชื่อร้านที่จิตต์เป็นผู้ตั้งไว้ อีกทั้งบทบาทสำคัญอื่นๆ เช่น เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย กับ หม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย เป็นต้น

    จนถึงวันที่ร้านแพร่พิทยาที่วังบูรพาแห่งนี้ต้องปิดตัวลง เพลินพิศยังพอมีเวลาร่ำลาลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ร้านเป็นประจำอีกระยะหนึ่ง เพื่อเตรียมปรับปรุงพื้นที่สำหรับเจ้าของตึกคนใหม่ "ร้านเปิดวันสุดท้ายวันที่ 30 พฤศจิกายนค่ะ แต่ยังไม่ถึงกับปิดสนิท เราเริ่มเก็บของแล้วก็ลาลูกค้าประจำ เขาก็ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าแล้วจะไปหาที่ไหน เพราะอาทิตย์นึงต้องมานั่งคุยกัน 1 หน"

    แม้ที่วังบูรพานี้จะเป็นร้านแรกและต้องปิดตัวลง แต่แพร่พิทยายังมีสาขาสุดท้ายที่สุทธิสาร ตั้งอยู่ภายในซอยถนอมจิตร ถนนสุทธิสารวินิจฉัย ซึ่งใช้เป็นสถานที่ตั้งหลัก ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ดำรงอยู่ได้ต่อไป

ดุสิตา อิ่มอารมณ์

นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เดือนเพ็ญ จุ้ยประชา

นักเขียนและกองบรรณาธิการที่พบเจอตัวได้ตามหอศิลป์และร้านหนังสือ ชอบกินแซลมอนและชาบู อยากแก่ไปเป็นคุณป้าใจดีและมีฝูงแมวห้อมล้อม