2 Days Ago Kids เรื่องวัยเด็กของวงดนตรีที่อยากโตไปเป็นเด็ก

    ขอพื้นที่เล็กๆ ให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหม? แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ แต่เราเชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความทรงจำวัยเด็กที่ยังคงชัดเจนในใจเสมอ

    เป็นอีกครั้งที่ทีม happening มีโอกาสได้พูดคุยกับ 2 Days Ago Kids วงดนตรีอารมณ์ดีที่ประกอบไปด้วยเพื่อนนักดนตรี อย่าง เจอรี่-ศศิศ มิลินทวานิช โปรดิวเซอร์ผู้ควบตำแหน่งสมาชิกวง P.O.P, บอย-ตรัย ภูมิรัตน และ ดุลย์-อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ จากวง Friday, โป้-ปิยะ ศาสตรวาหา ผู้เป็นที่รู้จักในนามโยคีเพลย์บอย และ ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ จากวง Groove Riders

    หลังจากที่พวกเขากลับมารวมตัวทำเพลงและปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่สอง  TODAY'S A GOLD KISS (2566) ซึ่งเป็นภาคต่อจาก Time Machine (2544) ให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกันไปบ้างแล้ว พวกเขาขอนัดหมายให้แฟนเพลงได้กลับมาพบกันอีกครั้งในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่สองในรอบ 24 ปี อย่าง โตไปเป็นเด็ก คอนเสิร์ตที่จะพาทุกคนนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลา กลับไปสนุกกับบทเพลงในวันวานอีกครั้ง ไล่เรียงตั้งแต่เพลงในอัลบั้มและโปรเจกต์ส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคน จนถึงบทเพลงฮิตในยุคเดียวกันอีกมากมาย เพื่อเปลี่ยนค่ำคืนวันที่ 16 มีนาคม 2567 ให้เป็นค่ำคืนที่ผู้ชมใน BCC Hall เซ็นทรัล ลาดพร้าว จะจดจำไปอีกนานทีเดียว

    แต่ก่อนที่พวกเขาจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ยังคงมีไฟทำเพลงต่อเนื่องได้อย่างทุกวันนี้ เชื่อว่าแต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์วัยเด็กที่แตกต่างกันไป บทสนทนาครั้งนี้ เราจึงขอพาทุกคนไปเปิดกล่องความทรงจำวัยเด็กของสมาชิกวง 2 Days Ago Kids เจาะลึกตั้งแต่นิสัยใจคอ สิ่งที่ชอบ บาดแผลในใจ ตลอดจนไอดอลในวัยเด็ก ที่ประกอบให้พวกเขากลายเป็นศิลปินและนักดนตรีระดับปรมจารย์แห่งยุค พร้อมพูดคุยถึง โตไปเป็นเด็ก คอนเสิร์ตในรอบ 24 ปีที่ไม่ว่าจะโตแค่ไหน พวกเขาก็จะพาทุกคนกลับไปสนุกเหมือนวัยเด็กอีกครั้ง

    หนังสือที่ยังไม่จบของแต่ละคนจะอุดมไปด้วยเรื่องราวแบบไหน พวกเขาจะพาทุกคนเปิดย้อนกลับไปอ่านพร้อมกันตั้งแต่หน้าแรกของชีวิต

หนังสือบทแรกกับความแตกต่างที่ลงตัวของเหล่าสมาชิก

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก แต่ละคนผ่านช่วงเวลาแบบไหนกันมาบ้าง

ก้อ : ผมเป็นเด็กที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย เรียนหนังสือก็ห่วย เล่นดนตรีก็ไม่เท่าไหร่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เก่งคือ ปากจัด มาก กวนตีนเป็นอันดับหนึ่งเลย

บอย : เขาถามว่าตอนเด็กเป็นยังไงไม่ใช่ตอนนี้ จริงๆ ทั้งอดุลย์และก้อ เขาเป็นคนมีระเบียบครับ เห็นเล่นๆ แบบนี้ เขาจริงจังและเนี๊ยบมาก ทั้งในชีวิตและการทำงาน

ก้อ : แต่ก่อนเวลาไปสังสรรค์กัน สนุกกันอยู่ดีๆ พอห้าทุ่มเป๊ะ อดุลย์เขาจะกลับบ้านปั๊บ เป็นแบบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยเกินเวลาเลย

อดุลย์ : ทุกคนพูดถึงเรื่องนี้ได้นะ ยกเว้นมันเพราะมันกลับสามทุ่ม ...จริงๆ ผมเป็นเด็กเรียบร้อยที่รายล้อมไปด้วยอันธพาลครับ (หัวเราะ)

โป้ : ส่วนชีวิตผมผูกพันกับเจอรี่มาก เล่นดนตรีก็เพราะเขา ขับรถเป็นก็เพราะเขา จำได้ว่าเราใช้โทรศัพท์บ้านโทรคุยกันบ่อยมาก มีวันหนึ่งเจอรี่บอกให้ผมเอารถพ่อออกมาเลย จะได้ขนแอมป์ไปเล่นดนตรีกัน ออกมาไม่ชนเลยนะครับ มาขูดตอนเอารถเข้าบ้าน (หัวเราะ)

เจอรี่ : โป้เขาเป็นคนมีความรับผิดชอบครับ ตอนเด็กๆ เราจะมีสมุดจดการบ้านที่ต้องให้ผู้กครองเซ็นต์ ปีหลังๆ เราก็จะส่งบ้างไม่ส่งบ้าง แต่โป้เขาส่งครบจนถึงมอหกเลย

โป้ : แล้วพูดซะรู้สึกผิดเลย ทั้งๆ ที่ทำถูกต้อง ผมว่าผมเป็นเด็กแก่แดดครับ รักอิสระด้วย

อดุลย์ : ถ้าเป็นไพ่สำรับ โป้คือไพ่โจ๊กเกอร์ครับ เป็นคนที่มีความสุขกับเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา เพราะจำอะไรไม่ได้ เดินออกจากห้องก็ลืมแล้ว (หัวเราะ)

บอย: อดุลย์เขาโตมากับอันธพาล แต่เจอรี่คืออันธพาลตัวจริงครับ (หัวเราะ) เขาเหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ ใครเคยพูดอะไรไว้ เขาจำได้หมด เรียกได้ว่า เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ที่เขาซี้กับโป้ เพราะ เจอรี่จำได้ทุกอย่าง ส่วนโป้จำไม่ได้สักอย่าง

เจอรี่ : ส่วนบอยเขาจะเป็นคนเซนซิทีฟ ขี้น้อยใจ

อดุลย์ : บอยชอบสังเกตการณ์ครับ ถ้าเป็นนักฟุตบอลคือแถวสอง รอซ้ำ (หัวเราะ)

บอย : ผมก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นตั้งแต่เด็กจนโตแหล่ะครับ

โป้ : เราก็เป็นเราเหมือนเดิมครับ แค่อายุมากขึ้น

นิสัยเหล่านี้ ส่งผลต่อการทำงานเพลงของเราไหม

บอย : จริงๆ สมาชิกในวงก็เหมือนภาพสะท้อนของกันและกันนะ เราทำวงส่วนตัวก็มีบรรยากาศที่ต่างกันไป แต่พอมารวมตัวกันในฐานะ 2 Days Ago Kids มันก็มีความเฉพาะตัวของมัน ปีแรกๆ อาจจะมีแรงเสียดทานเยอะ

อดุลย์ : เหมือนเราเอาสิ่งที่ตัวเองอยากทำมาใส่ไว้ในวงนี้ อย่างก้อจะเนี๊ยบมากเวลาทำเพลง

ก้อ : อาจจะเพราะผมเรียนสาย Music Production มา เลยได้รับการถ่ายทอดว่ามันควรจะเป็นแบบไหนครับ

อดุลย์ : เคยทำเพลงกันแล้วเขาขอเอาลงแค่ 1 dB (Decibel, เดซิเบล หน่วยวัดความเข้มของเสียง) ผมแบบ โอ้ย! คือผมกับบอยไม่ได้เรียนด้านนี้มา ก็ต้องปรับตัวหากันครับ ก็มีเถียงกันบ้างเป็นเรื่องปกติ

บอย : เคยถามก้อว่า เปลี่ยนเสียงสแนร์ได้ไหม เขาก็ทำหน้าเครียดบอกว่าได้ แต่กลายเป็นว่า เราต้องรื้อใหม่ทั้งหมด เพราะเขารู้สึกว่าภาพรวมมันไม่ได้

เจอรี่ : ก็มันไม่ได้ไง

ก้อ : เห็นไหมล่ะ คนเรียนเขารู้กัน

อดุลย์ : เออ ผมไม่ได้เรียนไง

โป้ : เถียงกันแล้วเห็นไหม ส่วนผมชอบดูภาพรวมครับ ก็ปล่อยให้เขาลงดีเทลกันไป แค่งานออกมาได้ก็โอเคครับ

เปิดเก๊ะความทรงจำ กับการนั่ง Time Machine ไปสู่ความสนุกในวันวาน

แต่ละคนมีสิ่งที่ชอบทำในวัยเด็กและยังคงชอบมาจนถึงตอนนี้บ้างไหม

เจอรี่ : ตอบได้ทันทีเลยครับว่า อ่านการ์ตูน

โป้ : ช่วงนี้วงก็มีขอการ์ตูน คอบร้า เห่าไฟสายฟ้า (2521, บูอิจิ เทราซาวะ) จากเจอรี่มาอ่านอยู่ครับ แล้วลูกสาวผมเขามีงานอดิเรกเป็นการเขียนการ์ตูน ผมก็เลยเป็นแฟนการ์ตูนของลูกสาวตัวเองด้วย

ก้อ : เราชอบซื้อการ์ตูนที่ตอนเด็กๆ ชอบอ่าน กลับมาอ่านใหม่ มันไม่สนุกเหมือนเดิมนะ แต่เราก็อ่านมันอยู่

อดุลย์ : เดี๋ยวนี้ผมเริ่มดูการ์ตูนไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนะ ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน อย่างผมจะชอบการ์ตูนที่ฉายทางโทรทัศน์ ไดมอส ยอดขุนพล (2521, ผลิตโดยบริษัท โตเอะ)

บอย : จริงๆ มันมีเหตุผลที่เป็นแบบนั้นอยู่ ไม่อยากจะพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจนะ เพราะเราแก่กันแล้วไง ตัวผมก็ยังชอบอ่านการ์ตูนเหมือนเดิมนะ พอลูกเริ่มโตก็มีเวลากลับมาดู อุลตร้าแมน (2509, สึบุรายะ โปรดักชั่น) มีดูการ์ตูนใหม่ๆ บ้าง เดี๋ยวนี้การ์ตูนเด็กถูกควบคุมเนื้อหามากขึ้นนะ จะไม่ค่อยมีเรื่องที่ดาร์กๆ แบบตัวเอกพ่อตาย แม่ตาย เหมือนยุคเรา

ก้อ : พอย้อนกลับไปดู การ์ตูนที่เราอ่านมักจะเป็นการ์ตูนดาร์กๆ นะ อย่าง ต้องรอด (2519, ทาคาโอะ ไซโต) นี่หม่นมากเลยนะ อีกเรื่องที่อยากหามาอ่านคือ จูโอมารู (หรือ ซันชิโร่ นักสู้คอมพิวเตอร์, 2521, คิว จิโร่) เป็นเรื่องที่คนใช้คอมพิวเตอร์บังคับหุ่นสู้กัน

ไอดอลในวัยเด็กที่ส่งผลต่อการทำเพลงของแต่ละคน

ก้อ : ผมรู้ตัวว่าอยากเป็นนักดนตรีตั้งแต่เด็ก แล้วก็ชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก จำได้ว่า เราชอบ บรูซ สปริงทีนส์ (Bruce Springsteen) มาก เขาเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงที่มีงานเพลงออกมาเยอะมากจนถึงวันนี้ เวลาไปตามร้านขายเทปก็จะไปถามหาอัลบั้มของเขาตลอด

เจอรี่ : ตอนเด็กๆ ชอบพี่ป้อม-อัสนี โชติกุล (ศิลปินจากวงอัสนี-วสันต์) มากเลยครับ แต่ก่อนเราไปดูคอนเสิร์ตใหญ่ของเขาทุกชุดเลยครับ ตั้งแต่ บ้าหอบฟาง (2529) จำได้ว่าไปดูแล้วเซอร์ไพร์สมาก เพราะพี่แอ๊ด คาราบาวมา คนลุกขึ้นมายืนบนเก้าอี้กันหมดเลย

บอย : ผมชอบพี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ (นักเขียนและศิลปินวงเฉลียง) เพลงของเขาทำให้เราคิดต่อไปได้เรื่อยๆ มันเจ๋งดีครับ มันมีการเข้ารหัสไว้ในเพลง  

โป้ : ผมมีเจอรี่เป็นไอดอลครับ เรื่องจริงนะ ตอนเด็กๆ เวลาเราหัดเล่นกีตาร์กัน มันโซโล่เพลงยากๆ ได้ทุกเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงของคาราบาว ไมโครก็ได้ อัสนี-วสันต์ ก็ได้ ผมจะโดนเขาชวนไปฟังเพลงตลอด มีครั้งหนึ่ง เขาพาผมไปมาบุญครอง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น MBK) ด้วยกัน ไปยืนฟังเพลงหน้าร้านขายเพลง พอกลับมาไม่นาน เขาก็มาเล่นให้ดู ตั้งแต่นั้นมา ผมก็หัดเล่นกีตาร์มาเรื่อยๆ

อดุลย์ : ผมเริ่มเล่นกีต้าร์ไฟฟ้า ผมจำได้ว่าผมไปซื้ออัลบั้มมา 2 ชุด เป็นของ อิงเว มาล์มสทีน (Yngwie Malmsteen, นักดนตรีชาวสวีเดนผู้เป็นเจ้าพ่อนีโอ-คลาสสิก) และ สตีฟ วาย (Steve Vai, มือกีตาร์ฮีโร่ระดับตำนานจากนิวยอร์ก) ผมชอบฟังมาก แต่ไม่เคยเล่นได้นะ พอถึงวันเกิดของเขา ผมเคยส่งโปสการ์ดไปหาเขา แล้วเขาก็ส่งกลับมา มันเป็นความประทับใจของผมมากๆ

เช็ดน้ำตาให้บาดแผลและวันเวลาในความทรงจำ

บาดแผลในความทรงจำที่ยังส่งผลกระทบมาถึงวันนี้

โป้ : ผมมีแผลเป็นอยู่สองจุดในตัวครับ แผลแรกเราเป็นคนทำเอง มันเกิดขึ้นจากการที่เราขับจักรยานกับเพื่อน แล้วเสียหลักเข้าพุ่มไม้ ส่วนตรงหางตาเพื่อนเป็นคนทำ เราเล่นกัน แล้วเพื่อนกระโดดเตะ ดีที่ตาไม่บอด

เจอรี่ : เห้ย ไม่ใช่ผมนะ

ก้อ : เขาให้เล่าถึงแผลในใจหรือเปล่า จะได้เรื่องไหมเหนี่ย

โป้ : ก็เป็นแผลที่ติดตัวมาจนถึงวันนี้ไง อ่ะ คนต่อไปเลย

อดุลย์ : สมัยวัยรุ่น ผมขับรถเร็วและชอบขับซิกแซกไปมา มีวันหนึ่งขับไปกับเพื่อนๆ ผ่านทางโค้งที่เราไม่ควรจะขับแซงคันอื่น จริงๆ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ทุกวันนี้เวลาคุยกับเพื่อนๆ เรารู้สึกว่า วันนั้นเราทำไปได้ยังไง ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา คงไม่มีเราในวันนี้ มันเป็นเรื่องที่เราจำได้ขึ้นใจและทำให้ไม่ประมาทเวลาขับรถ

บอย : ส่วนผมคงเป็นประโยคสุดท้ายที่คุยกับพ่อ จำได้ว่าวันนั้นเรากลับมานอนบ้าน พอเช้าเขาขับรถไปซื้อก๋วยเตี๋ยว แล้วถามว่าเราจะเอาอะไรไหม ผมตอบไปว่า "ไม่เอา กินไปเลย" นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่พ่อผมจะเสีย พอหลังจากผ่านเหตุการณ์มากมายในการยื้อชีวิตเขามา จนกลับมาบ้าน โดยที่พ่อไม่กลับมาด้วย แล้วเราเห็นก๋วยเตี๋ยวถุงนั้นวางอยู่

อดุลย์ : เอาไงต่อล่ะทีนี้ เล่นฉีกเลยไหมก้อ ไปทางนี้มันจะเศร้าเกินไป พูดเรื่องเลโก้ไหม ซื้อมายังไม่ทันได้ต่อ ลูกเอาไปเล่นพังหมด อะไรแบบนั้น

ก้อ : โชคดีที่ลูกไม่ค่อยชอบเล่นของเล่นแล้ว ...เลโก้ผมเลยปลอดภัยแล้ว (หัวเราะ) อ่ะ เอาจริงแล้ว จากที่เคยบอกว่า ผมเป็นเด็กกวนตีนมาก ร่าเริงมาก เราเป็นคนชิวๆ ไม่คิดมาก จุดเปลี่ยนของชีวิตคือ ตอนที่เราต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนั้นไม่อยากไปเลย เพราะเราติดเพื่อนมาก แต่พ่อบังคับ พอไปถึงนู่น เราไม่รู้จักใครเลย จากคนเพื่อนเยอะกลายเป็นต้องอยู่คนเดียว ต้องสู้คนเดียว มันพลิกชีวิตเลยนะ จากเด็กเรียนห่วย กลายเป็นเด็กเรียนดี มันแปลกมากเลยนะ ถ้ามาวิเคราะห์ตอนนี้ เหตุการณ์นั้นมันทำให้เราเกิดสภาวะซึมเศร้า กลายเป็นคนเสียใจง่าย เศร้าง่ายขึ้น แต่อีกมุมมันก็ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้นเหมือนกัน

เจอรี่ : จริงๆ วงเราเองก็มีรอยร้าวเล็กๆ บ้าง ในช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจกันบ้างนะ แต่เวลาก็ทำให้เรากลับมาดีกัน

บอย : มีช่วงที่เหม็นขี้หน้ากันบ้าง

ก้อ : มีใครเหม็นขี้หน้าใครด้วยหรอ

บอย : อาจจะเป็นกูคนเดียวก็ได้มั้ง (หัวเราะ)

แล้วความยากในวัยนี้ของทุกคนคืออะไร

ทุกคน : เวลาครับ

ก้อ : จำได้ว่าแต่ก่อนเราแฮงค์เอาท์กันได้ทั้งวันเลยนะ พอจบวันไม่ได้เพลงเลย (หัวเราะ) มัวแต่คุยเรื่องเกม เรื่องบอล เรื่องการ์ตูน พอเริ่มวันใหม่ก็มาเจอกันใหม่ แต่เดี๋ยวนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว

โป้ : เพราะต้องเลี้ยงลูกด้วย เราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ามากขึ้น

บอย : แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเนอะ เพราะวงเราเป็นวงที่มากับยานเวลาอยู่แล้ว เป็นไงล่ะ เข้าเพลงได้ด้วย

หนังสือที่ยังไม่จบ กับตอนจบที่ยังไม่ได้เขียน

ในคอนเสิร์ต โตไปเป็นเด็ก ผู้ชมจะได้รับประสบการณ์แบบไหน

บอย : นี่ถือเป็นคอนเสิร์ตของตัวเองในรอบ 24 ปี จากปีแรก สำหรับในคอนเสิร์ตนี้ เราจะเตรียมเพลงของเรามาเรียบเรียง และทำโชว์ให้สนุกมากขึ้น นอกจากเพลงในอัลบั้มแล้ว เราก็จะมีเพลงใหม่สำหรับคอนเสิร์ตนี้ด้วย นอกจากนี้ก็จะมีเพลงในโปรเจกต์ส่วนตัวของเราแต่ละคน รวมถึงเพลงที่ดังในยุคสมัยของพวกเราด้วย บอกเลยว่าคุ้ม มันจะเป็นบรรยากาศที่หลายๆ คนคิดถึง

อดุลย์ : เพราะที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตใหญ่ทีไร เป็นได้แค่แขกรับเชิญ

ก้อ : แถมยังเป็นแขกรับเชิญของกันและกันอีกด้วย เพราะไม่มีคนอื่นเชิญ เราก็เลยต้องเชิญกันไปกันมา (หัวเราะ)

บอย : ใช่ ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา เรายังมีโอกาสได้โชว์ร่วมกันอยู่เรื่อยๆ ทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้ เราไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก

โป้ : นอกจากพวกเราทั้ง 5 คนแล้ว ทุกคนจะได้เจอกับ โมเดิร์นด็อก เพื่อนร่วมรุ่นที่โด่งดังของพวกเราด้วย แต่ไม่รู้ว่าหน้างานจะได้เจอกับศิลปินคนไหนอีกไหมนะ

บอย : จริงๆ เราก็มีแขกรับเชิญคนอื่นๆ ที่รับปากจะมา ซึ่งถ้าเขาไม่มา เราก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ (หัวเราะ) หรือ ถ้าเจอเพื่อนๆ ที่มาดูคอนเสิร์ต เราก็อาจจะเรียกเขาขึ้นมา ก็เป็นไปได้นะ

ได้ชื่อคอนเสิร์ต โตไปเป็นเด็ก มาอย่างไร

โป้ : จริงๆ เราก็เลยความเป็นเด็กมาไกลพอสมควรแล้ว และเราไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกับแฟนๆ เท่าไหร่ มันจึงเป็นเหมือนหมุดหมายเล็กๆ ที่ให้เรากลับมาเจอกัน มาปลดปล่อยความสนุก ความเป็นเด็กอีกครั้ง ก่อนที่เราจะลอกคราบจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้อ

อดุลย์ : ที่ผ่านมายังไม่ลอกคราบอีกเหรอ

ก้อ : จริงๆ ชื่อนี้มาจากการเจอหน้าพี่อดุลย์ เพราะเขาเด็กลงทุกครั้ง

เจอรี่ : เรามาตอบให้ตรงคำถามกันดีกว่า

บอย : สรุปคือ โตไปเป็นเด็ก มันมาจากเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เราอยากเป็นผู้ใหญ่ที่สดใส อ่อนเยาว์เหมือนเด็กครับ

การทำงานรอบนี้แตกต่างจากการทำคอนเสิร์ตครั้งแรกไหม

โป้ : แตกต่างกันตรงที่บอยจะถอดเสื้อบนเวทีครับ

บอย : มึงเลย มึงบอกเมื่อวานว่าจะถอด

อดุลย์ : เอาใหม่ๆ แตกต่างกันยังไง!

ก้อ : มันตอบยากเหมือนกันนะ เพราะคราวที่แล้วมันจำไม่ค่อยได้ มันเลยตอบเฉไฉกันไปเรื่อย (หัวเราะ) แต่สิ่งหนึ่งที่จะบอกเราได้ว่า มันแตกต่างกันตรงไหน คือ เสียงสะท้อนจากคนดูแหล่ะครับ

อดุลย์ : เมื่อก่อนเราไม่ได้ขายโชว์ตามผับเป็นหลักเนอะ 2 Days Ago Kids ได้เล่นเปิดในโรงเรียนเล็กๆ และมีโอกาสได้เล่นกับวงพรูบ้าง ผับกลางวันบ้าง เรามีประสบการณ์น้อยมากก่อนจะไปเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรก

เจอรี่ : ถอดเสื้อเหมือนจะเป็นมุกนะ แต่เอาจริงๆ คือ เราทำโชว์อย่างสบายใจมากขึ้น เรามีประสบการณ์มากขึ้น ไม่เครียดเท่าตอนทำคอนเสิร์ตครั้งแรก อีกอย่างคือ วันนั้นเรามีเพลงให้เลือกเล่นน้อย ตอนนี้เรามีเพลงเยอะมาก จำได้ว่า ตอนคอนเสิร์ตครั้งแรก เราได้เห็นบอยเต้นด้วย เพราะเราขอเสียงจากคนดูที่อยากเห็นบอยเต้น คือมันต้องเต้นแล้วตอนนั้น

โป้ : ผมว่าแต่ละคนได้ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเยอะแล้ว แน่นอนว่า เพลงก็ยังเป็นเพลงเดิมครับ แต่บรรยากาศ ความสนุก หรือ ประสบการณ์ที่ผู้ชมจะได้รับ มันคงแตกต่างกันไม่น้อย

โชว์ในฐานะวง 2 Days Ago Kids แตกต่างจากโปรเจกต์ส่วนตัวของแต่ละคนไหม

ก้อ: ต่างครับ เอาจริงๆ ผมชอบเล่นดนตรีกับวง 2 Days Ago Kids นะ ถ้าเป็น P.O.P กับ Groove Rider ผมต้องทำอะไรหลายอย่าง ผมต้องคิดเพลง ต้องคิดโชว์ คิดเยอะมาก แต่พอทำกับวงนี้ แรกๆ ผมทำแค่เล่นเบสเท่านั้น ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย เอนจอยมาก เราสามารถกวนเพื่อนๆ ไปได้เรื่อยๆ (หัวเราะ)

บอย : ผมว่าเราเล่นดนตรีด้วยความสนุกครับ เวลาเห็นใครสักคนในวงสนุก เราก็อยากสนุกไปกับเขาด้วย เราเห็นเขาเต็มที่ เราก็เต็มที่ด้วย อย่างเจอรี่เขาขี้อาย ทุกวันนี้เขาก็ออกมาเล่นด้านหน้ามากขึ้นนะ ส่วนก้อเขาครองไมค์อยู่แล้ว อยู่เฉยๆ คนก็กรี๊ดแล้ว

อดุลย์ : มันเป็นเหมือนโดมิโน่นะ ถ้าเราเห็นคนหนึ่งกระโดดหน้าผาแล้ว เราต้องกระโดดด้วย ถ้าคนสู้ เราต้องสู้ เราไม่ควรจะแพ้กลับบ้าน แต่ถ้าวันนั้นมีคนไม่พร้อม เราก็เอาแค่เสมอพอ (หัวเราะ)

ก้อ : แรกๆ เราพยายามเตี๊ยมกันด้วย อย่างเสื้อผ้า เราก็พยายามกันหลายรอบมาก นัดสีกันอย่างดี หรือวันนี้อยากเท่หน่อย เราใส่แจ็กเก็ตกันดีไหม แต่พอถึงหน้างาน ทุกคนมาคนละแนวกันหมดเลย

บอย : ความแตกต่างมันก็เป็นเอกลักษณ์ของเราเหมือนกันนะ

มีประสบการณ์ขึ้นคอนเสิร์ตมาหลายเวทีแล้ว ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไหม

เจอรี่ : เรายังตื่นเต้นเหมือนวันแรกที่โชว์ครับ

ก้อ : เราคงต้องซ้อมกันไปเรื่อยๆ ครับ ซ้อมไปจนถึงจุดที่จะไม่รู้สึกตื่นเต้นแล้ว เพราะว่าเราพร้อมมากแล้ว แต่จุดหนึ่ง เราต้องหยุดเหมือนกันนะ ถ้าเราซ้อมจนมันกลายเป็นความเคยชินก็ไม่ดีเหมือนกัน

บอย : ผมว่าถ้าเราขึ้นคอนเสิร์ตแล้วรู้สึกเฉยๆ น่าจะไม่ดีเหมือนกันนะ

อดุลย์ : จริงๆ ความตื่นเต้นเป็นเหมือนพลังนะ ยิ่งตอนนี้เป็นยุคของน้องๆ เราเหมือนวงหน้าใหม่ที่ต้องไปแนะนำตัวให้เด็กๆ รู้จัก เราก็ตื่นเต้นไปอีกแบบ

    จากเด็กที่เติบโตมาสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ถูกเสียงดนตรีพัดพาให้มาพบและสร้างสรรค์งานเพลงร่วมกัน และกลายเป็นนักดนตรีแห่งยุคสมัยที่ฝากผลงานเพลงไว้มากมาย บทสนทนาในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงไม่สามารถเล่าถึงประสบการณ์และความทรงจำที่พวกเขามีต่อกันตลอด 24 ปีที่ผ่านมาได้ แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า เพราะอะไรสมาชิกวงดนตรี 2 Days Ago Kids กลายเป็นวงดนตรีที่ยังสร้างหนังสือบทใหม่ที่มีส่วนผสมเป็นความสนุกและความเป็นเด็กได้ทุกครั้งเช่นนี้

นิษณาต นิลทองคำ

กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา

นภัส วิบูลย์พนธ์

ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว