"ชีวิตของผมตอนนี้ คือ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้วครับ" ตั้ม-ชยพล ล้วนเส้ง พูดขึ้นในช่วงตอนหนึ่งของบทสนทนา โดยมี สบาย-เรนิษรา ลีประโคน นั่งอยู่เคียงข้าง
เบื้องหน้าท่ามกลางสปอร์ตไลต์ ทั้งคู่เป็นที่รู้จักในฐานะ เรนิษรา ศิลปินดูโอ้ที่ควบตำแหน่งคู่รักและเจ้าของเพลงฮิตอย่าง ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง ด้วยทำนองฟังสบายและเนื้อหาโดนใจ ชวนให้ผู้ฟังท่องไปในความทรงจำ ความรัก และความเจ็บปวดส่วนตัว เพลงนี้จึงขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในทุกช่องทางสตรีมมิ่งนานหลายสัปดาห์ จนเรียกได้ว่า นี่เป็นการแจ้งเกิดที่พลิกชีวิตของทั้งคู่จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ขณะที่เบื้องหลังในบ้านเดี่ยวขนาดอบอุ่น พวกเขาเป็นเพียงวัยรุ่นอายุยี่สิบปีต้นๆ ที่ต่างก็เคยมีช่วงเวลายากลำบากและผิดหวัง ก่อนเก็บเกี่ยวความรู้สึกและเรื่องราวรอบตัวมาสร้างสรรค์ผลงานเพลงจากห้องเล็กๆ นั้น ออกมาให้แฟนเพลงได้รับฟังอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสองสามเดือนมานี้ พวกเขาเพิ่งปล่อยเพลงช้าส่งท้ายความเศร้าอย่าง ขอให้ความเสียใจฉันหายไปกับฝน หรือเพลงรักจังหวะเร็วอย่าง ไม่ต้องมีนาซ่า มีแค่เธอกับฉัน ตลอดจนเพลงใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า วันนี้เธอเก่งมากแล้ว บทเพลงที่วงแต่งขึ้นเพื่อให้กำลังใจ และเป็นตัวแทนที่บอกให้แฟนเพลงรู้ว่าวงเรนิษราได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
บทสนทนาครั้งนี้ จะพาทุกคนไปสัมผัสตัวตน ทัศนคติ และชีวิตที่ผ่านของวงเรนิษรา ที่ตั้มและสบายเปิดเปลือยทุกความรู้สึกในแต่ละช่วงวัย จากชีวิตที่เคยเอ่ยปากว่าเกลียดผู้คนและจมอยู่กับความผิดหวัง จนวันที่ทั้งคู่แชร์ความเจ็บปวดของกันและกัน นำไปสู่การเป็นศิลปินที่ทำเพลงเพื่อคอยเป็นเพื่อนปลอบใจ ในวันที่คนผู้คนต้องเผชิญกับเรื่องราวโชคร้ายตามลำพัง
และนี่คือเรื่องราวของ เรนิษรา วงดนตรีที่เก็บเกี่ยวความเจ็บปวด ความผิดหวัง และช่วงเวลาที่ได้มีกันและกันในชีวิต มาบันทึกเป็นเสียงเพลง
ในวัย 22 ปี อะไรเป็นสิ่งที่จัดการยากในชีวิตของพวกคุณ
ตั้ม: ความคิดครับ
สบาย: กำลังจะพูดคำนี้เลย
ตั้ม: วัยนี้ เราแคร์คำพูดของคนอื่นเยอะครับ ผมคิดว่าคนวัยใกล้ๆ กันน่าจะเคยเป็นนะ เคยกังวลว่าคนจะคิดยังไงกับเรา เขาจะชอบเราไหม เคยคิดว่าต้องมีงานดีๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องดูแย่ในสายตาคนอื่น เพื่อบอกคนอื่นว่า กูมีบ้าน กูมีรถ แต่เรามีสิ่งเหล่านี้เพื่อคนอื่นรึเปล่า
สบาย: ทั้งๆ ที่กลับบ้านมาก็นอนตัวเปล่าเหมือนเดิม เราแค่โฟกัสสายตาคนอื่นมากเกินไป
ตั้ม: ช่วงแรกมันจัดการยากนะครับ แต่พอช่วงหลังมานี้ เราเริ่มมองตัวเองมากขึ้น จริงๆ ไม่มีใครสนใจเราเลย ทุกอย่างที่เราจะซื้อ ทุกอย่างที่เราจะทำ เราพยายามถามตัวเองก่อนว่า มันคือความสุขของใคร คนที่เราควรแคร์มากที่สุด คือ คนที่เรารักและครอบครัว แต่มันเป็นสิ่งที่จัดการยากครับ ยังเป็นเรื่องที่ตีกันในหัวตัวเองตลอดเวลา อย่างล่าสุด อยากได้กีตาร์ใหม่เพราะมันเท่
สบาย: จริงๆ แค่ปรับเสียงตัวเก่าก็ใช้ได้แล้ว
มีความเชื่อที่ตอนเด็กๆ เคยเชื่อ พอโตมาพบว่ามันไม่เป็นแบบนั้นไหม
ตั้ม: ตอนเด็กๆ เคยคิดว่าผู้ใหญ่ต้องเข้มแข็ง ผู้ใหญ่ไม่มีเรื่องเครียด ผู้ใหญ่ร้องไห้ไม่ได้ ผู้ใหญ่ไม่เสียใจเรื่องความรัก ผู้ใหญ่จะไม่เศร้ากับเรื่องเล็กๆ เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุด คือ งานและเงิน แต่พอโตขึ้นมา เราพบว่าผู้ใหญ่ก็ร้องไห้กับเรื่องเล็กๆ ได้ บางคนเขากลั้นน้ำตาไว้เท่านั้นเอง เราเคยเห็นพ่อแค่มุมเดียว พ่อเป็นพ่อ แม่เป็นแม่ เราไม่เคยรู้ว่า จริงๆ เขาก็มีเรื่องทุกข์ใจ เขาก็ทะเลาะกัน เขาก็ตีกันเหมือนตอนที่เขาเป็นแฟนกัน เอ๊ะ พูดเข้าใจไหมนะ?
สบาย: เข้าใจ... นึกภาพตอนเขาอายุ 18 หรือตอบคบกันใหม่ๆ วันนี้พวกเขาก็คือคนนั้นแหล่ะ เขาแค่แก่ขึ้น รูปลักษณ์ภายนอกไม่เหมือนเดิม
ตั้ม: ใช่ๆ เขาแค่เป็นผู้ใหญ่ในสายตาเรา พอโตมาก็เห็นว่า อ้าว พ่อกูก็เด็กเหมือนกันนี่หว่า พ่อกูก็ทะเลาะกับแม่เรื่องไร้สาระนี่หว่า ทุกคนมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอ เราแค่อายุมากขึ้นเท่านั้นเอง
ย้อนกลับไป วัยเด็กของทั้งคู่เติบโตมากับความทรงจำแบบไหน
ตั้ม: บ้านผมค่อนข้างให้อิสระ ใครอยากทำอะไรก็ได้ทำ ตอนเด็กๆ เราก็ขลุกอยู่กับของเล่น อยู่กับเครื่องดนตรีของพี่ชาย เพราะพี่ชายเล่นดนตรี ตอนเด็กๆ ผมตัวเล็กก็เลยโดนแกล้งบ่อย เคยโดนล้อว่าเตี้ยบ้าง แกล้งแหย่บ้าง แต่แม่จะบอกเสมอว่าให้สู้กลับ ผมว่าตัวเองในตอนนั้นนิสัยไม่ค่อยดีนะ ใครมาแกล้ง เราก็เอาคืนตลอด แต่ขณะเดียวกัน เราก็เล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก ชิ้นแรกเป็นกีต้าร์หกสายตัวเล็กๆ จำได้ว่าตัวละหนึ่งพันบาท ขอพ่อแทบตายกว่าพ่อจะซื้อให้
พอช่วงมัธยม ทางบ้านเริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน เราก็ออกไปรับงานเล่นดนตรีเพื่อหาเงินมาดูแลตัวเอง ผมว่ามันเป็นชีวิตที่ขาดวัยเด็กเหมือนกัน เด็กคนอื่นอาจจะไปเรียนแล้วกลับบ้าน แต่ผมต้องไปทำงาน ไปเล่นดนตรีด้วย มันไม่ได้เหนื่อยกว่าคนอื่นมาก แต่เราแค่รู้สึกเสียช่วงเวลาวัยเด็กไป รู้สึกขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่นิดหน่อย
สบาย: จริงๆ เราไม่ค่อยชอบพูดถึงวัยเด็กของตัวเองเท่าไหร่ เราเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มันทำให้เรารู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ จำได้ว่าตอนเด็ก เราชอบวิ่งสี่ขา เรารู้สึกว่ามันสนุก เรามีความสุขเวลาได้วิ่งเร็วๆ แบบนั้นกับเพื่อน แต่พอเข้ามัธยมก็เริ่มมีคนมองว่าเราแปลก มันทำให้เรากลายเป็นตัวตลกในสายตาเพื่อน จริงๆ ตอนนั้นเราก็มีกลุ่มเพื่อนที่นิสัยดีนะ แต่พวกเพื่อนที่นิสัยไม่ดีก็จะชอบอัดคลิปเราไว้แกล้ง มันส่งผลให้เรากลายเป็นคนที่อยู่กับใครไม่ได้นาน สนิทใจกับคนยาก อย่างบางครั้งคนที่บ้านหรือเพื่อนหายไปหลายวัน พอเขากลับมา เราก็รู้สึกไม่ค่อยสนิทใจกับเขาแล้ว
ตั้ม: ผมเข้าใจเขานะ มันเป็นช่วงเวลาที่สบายถูกคนตัดสินเยอะ ตอนเด็กๆ เราทุกคนก็อยากมีเพื่อน แต่พอเราเป็นตัวเองแล้วคนไม่ชอบ เราก็ต้องยอมกดตัวเองไว้
สบาย: เราพยายามมองข้ามมันไปและกลับมาโฟกัสชีวิตตัวเองมากขึ้น ช่วงมัธยมปลาย ด้วยความที่เราเรียน English Program ก็เริ่มสนใจวัฒนธรรมของฝรั่ง ฟังเพลงภาษาอังกฤษ แล้วเราก็เริ่มแต่งเพลงภาษาอังกฤษ เพราะเราชอบเวลาเห็นนักร้องต่างประเทศขึ้นแสดงบนเวที เขาจะใส่ชุดสวยๆ ทุกครั้ง
ใช่ จริงๆ แล้วเราก็แค่อยากใส่ชุดเหมือนเขา (หัวเราะ) เราก็เลยแต่งเพลง เพื่อที่จะพาตัวเองไปอยู่ตรงจุดนั้น
พอแต่งเพลงแรกได้ครึ่งเพลง เราก็มานั่งคิดว่า แล้วเราจะทำดนตรียังไง แล้วหน้าแบบเราจะขายได้ไหม ด้วยความที่ตอนนั้นเราไม่ได้มีหน้าตาตรงกับมาตรฐานของคนไทย ความคิดนั้นก็ทำให้เราหยุดการแต่งเพลงไว้
สบายในวันนั้นเลือกจะพับความฝันไว้ แล้วหันไปโฟกัสเรื่องอะไรต่อ
สบาย: หน้าตาค่ะ ด้วยค่านิยม ด้วยสิ่งที่เห็นในโทรทัศน์ ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าอยากจะยืนอยู่ตรงจุดนั้น เราก็ต้องสวย ช่วงขึ้นมหาวิทยาลัย เราพยายามแต่งหน้า ทำผม แต่งตัว แต่สุดท้ายแล้วเราเหนื่อย เพราะเราทำผิดช่วงเวลา จริงๆ ตอนไปเรียน เราก็แค่แต่งชุดสบายๆ ก็พอแล้ว ช่วงเวลาที่เราควรแต่งตัว คือ ตอนโพสต์รูปโพสต์คลิป ตอนเราทำงานมากกว่า พอเราทำมันตลอดเวลา มันก็ไม่ได้อะไร แถมเหนื่อยด้วย
ตอนนั้นเราเรียนคณะโบราณคดี เอกภาษาอังกฤษ ค่ะ คิดว่าเรียนจบแล้วจะไปเป็นแอร์โฮสเตส หลังจากนั้นก็จะย้ายออกจากประเทศไปค่ะ พอดีคณะจับคู่วิชาให้เรียนกับคณะดุริยางคศาสตร์ ก็เลยได้เจอตั้มก่อน
ตั้ม: จริงๆ สบายไม่ได้ออกจากประเทศเพราะมันไม่ดีนะ ออกเพราะรู้สึกว่าคนไม่ชอบเขาเฉยๆ
สบาย: เอาจริงๆ แอร์โฮสเตส มันเป็นเกราะป้องกันตัวของเรา เวลาคนถามว่าอยากเป็นอะไร เราไม่กล้าบอกว่า เราอยากเป็นนักร้อง เวลาบอกไปแล้ว บางคนจะมีรีแอคชั่นว่า "ห้ะ? แกเหนี่ยนะอยากเป็นนักร้อง" บางทีเราก็คิดไปก่อนว่า ถ้าเราพูดไปแล้วคนจะดูถูกเรา
แล้วตั้มล่ะ มาสนใจด้านดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่?
ตั้ม: ตอนแรกผมชอบเล่นดนตรี เพราะมันเท่ อย่างที่บอกว่าผมโดนแกล้งบ่อยเพราะตัวเล็ก ก็เลยชอบอยู่คนเดียว แล้วการเล่นดนตรี มันทำให้เราได้อยู่คนเดียวจริงๆ ตอนนั้นเราอยู่กับดนตรีตลอดเวลา อยู่โรงเรียนก็เล่นดนตรี อยู่บ้านก็เล่นดนตรี พอตกกลางคืนก็ออกไปเล่นดนตรีอีก
เรามีไปแข่งดนตรีบ้างนะครับแต่ก็เป็นตัวบ๊วยตลอด จนพลิกผันมาแข่งฮอตเวฟตอนมอหกก็ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อนะ เราเห็นเพื่อนได้เซ็นต์สัญญากับค่ายดัง เราไม่ได้โอกาสนั้น เราก็เลยออกมาทำเพลงเอง ยิ่งช่วงนั้น พี่ยังโอม (โอม-รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ หรือ Youngohm) เริ่มดังจากการทำเพลงเอง แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ เราก็ลองมาทำเอง ถึงจะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้ลองทำเพลงเองครับ
หลังจากนั้น ผมเรียนต่อในคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนจะเลือกมหาวิทยาลัยก็คิดว่า เราจะเรียนดนตรีแบบไหน จะเป็นสายเพอร์ฟอแมนซ์หรอ หรือจะไปเป็นครู ผมรู้สึกว่าตัวเองอยากเป็นศิลปิน ส่วนตัวรู้สึกว่ามีศิลปินระดับโลกหลายคนที่ไม่จำเป็นต้องจบตรงสายก็ทำงานนี้ได้ ผมก็เลยเรียนด้านธุรกิจดนตรีและบันเทิง ผมรู้สึกว่ามันครอบคลุมกว่า อย่างน้อยถ้าเราเข้าใจธุรกิจนี้ จะไปทำเบื้องหลังก็ได้ หรือทำอะไรก็ได้ที่ได้อยู่ในวงการดนตรี
แล้วมาทำเพลงด้วยกันตอนไหน
สบาย: มันเริ่มจากตั้มทำเพลงให้สบายก่อน เพราะตอนนั้นตั้มมีวงดนตรีอยู่แล้ว
ตั้ม: สบายชอบเล่าให้ฟังว่า เขาชอบร้องเพลง เขาอยากเป็นนักร้องนะ
สบาย: สบายไม่เคยพูดว่าชอบร้องเพลงนะ จริงๆ เราไม่ได้ชอบร้องเพลงขนาดนั้น แค่อยากอยู่บนเวที ใส่ชุดสวยๆ เอาเป็นว่าอยากเป็นเพอร์ฟอเมอร์ที่แต่งเพลงได้แล้วกัน (ยิ้ม)
ตั้ม: แต่มันก็ต้องร้องเพลงนั่นแหล่ะ! (หัวเราะ) อ๋อ เพลงนั้นเป็นเพลงภาษาอังกฤษสุดลึกลับครับ
บอกได้ไหมว่าชื่อเพลงอะไร
สบาย: ไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ)
ตั้ม: ให้ไปสืบเอาเองครับ เพลงนี้ยังอยู่ในสตรีมมิ่งนะ ถ้าคนสืบจริงๆ น่าจะรู้นะ ใบ้ว่าชื่อคล้ายๆ กับเรนิษรานี่แหล่ะ เป็นภาษาอังกฤษครับ
แล้ววง 'เรนิษรา' เกิดขึ้นตอนไหน
สบาย: ตอนแรกวงชื่อ Winterberry ก่อนค่ะ ตอนนั้นเราทั้งคู่มีความเกลียดคน แล้วผลไม้นี้นกกินจะไม่ตาย แต่คนกินจะตาย แต่เพลงที่ทำออกมามุ้งมิ้งมากเลยนะ นึกถึงเมื่อก่อน เราซื้ออุปกรณ์กันเองหมดเลย เอ็มวีก็ทำเอง ให้รุ่นพี่อีกคนถ่ายให้ แต่พอจะปล่อยเพลง เราอัปโหลดไม่เป็น โลวเท็กมากๆ ก็เลยปล่อยผ่านช่องทางของพี่คนหนึ่ง เพราะตอนนั้นเขามีค่ายเพลง มีอุปกรณ์พร้อม แต่ช่วงหลัง เรารู้สึกว่าฐานคนฟังไม่ตรงกัน เพราะคนตามช่องพี่เขาชอบฟังเพลงร็อก งั้นเราลองทำเองดีกว่า ถึงจะเสี่ยงแต่ก็เป็นช่องของเราเอง
ตั้ม: ดนตรีช่วงแรกก็เหมือนกับเรนิษราตอนนี้ แต่มันจะฟุ้งกว่า เนื้อเพลงจะเปรียบเปรยมากกว่า ไม่ได้ตรงไปตรงมาเท่าเรนิษรา หลังจากคิดว่าจะสร้างช่องเอง ก็พบว่าชื่อเดิมมันซ้ำกับศิลปินต่างประเทศ ไม่ค่อยมีเอกลักษณ์ เราอยากได้ชื่อของเราเอง แล้วชื่อสบายก็ไม่เหมือนใครนี่นา ก็เลยเอามาใช้เป็นชื่อวง
สบาย: เรนิษรา มาจากการที่เราชอบเล่นไอจี (อินสตาแกรม) มากๆ เราชอบเห็นคนตั้งชื่อด้วยชื่อตัวเองสั้นๆ เราก็อยากใช้บ้าง แต่ชื่อจริงของเราตอนนั้นมันยาว เลยไปลองหาชื่อที่เหมาะกับตัวเอง พอนั่งหาไปมาก็เจอชื่อภาษาละตินว่า เรนิตรา แล้วเราก็เลยเอามายำมั่วเอง จนได้คำว่า เรนิษรา เราเริ่มจากเปลี่ยนชื่อในไอจีก่อนจะไปเปลี่ยนเป็นชื่อจริงที่ใช้มาจนถึงวันนี้
เพลงแรกที่ปล่อยคือเพลงอะไร
ตั้ม: ผมเป็นของผมอย่างนี้ เพลงจะออกแนวละตินหน่อย ต่างจากตอนนี้เลย
สบาย: เอ็มวีก็ถ่ายหน้าบ้าน (หัวเราะ)
ตั้ม: ส่วนตัวมองว่า เราไม่ได้ทำแค่เพลง แต่เพลงต้องการมิวสิกวิดีโอ คนต้องได้ดูวิดีโอด้วย เพราะมนุษย์เราไม่ได้มีแค่หู มนุษย์เราใช้ประสาทสัมผัสรวมๆ ด้วย เลยพยายามทำวิดีโอประกอบเพลงทุกเพลง
เรนิษรา เหมือนวงที่เราเอาสิ่งที่เรียนมาทดลอง เพลงแรกๆ เราเคยยิงแอดด้วยนะ แต่มันก็ไม่ได้เวิร์กมาก จริงๆ ทุกอย่างมันควรเกิดจากออแกนิก เราไม่สามารถบังคับให้คนฟังได้ บางทีมันน่าเบื่อ อย่างผมชอบดูช่อง ต้ายัด ไชโสโร มาก มีคลิปหนึ่ง เขาสอนทำยูทูป เขาบอกว่า ยุคนี้มันต้องถี่ ทำอะไรก็ได้ แต่เราต้องขยัน เขาเปิดตารางให้ดูว่า เขามีคอนเทนต์ลงทุกสัปดาห์ ยังไงก็ต้องมีคนเห็น เราก็เอามาปรับใช้กับเพลงของเรา
ช่วงนั้นผมตื่นเก้าโมงเช้าก็เปิดคอมทำเพลงเลย ลุกแค่ตอนไปกินข้าว ทำเพลงจนแทบไม่สนใจเรียน โดนอาจารย์บ่นตลอด พอออกจากคลาส ผมก็รีบกลับมาทำเพลง มันไม่ได้มีตารางนะครับ แต่เราเร่งตัวเอง ช่วงนั้นผมก็นั่งมิกซ์เพลง นั่งมาสเตอร์เองที่บ้าน ถึงตีสามตีสี่ทุกวันเลย ตอนนั้นยังไม่มีคนฟังด้วยนะ แต่เราคิดว่า ไม่ได้ เราต้องลง! แล้วเราก็ปล่อยเพลงจนมันมีคนฟัง
สบาย: ช่วงนั้นตั้มจะทำเพลงเป็นหลัก ส่วนสบายก็จะช่วยตัดเอ็มวี สมัยที่ยังไม่ได้จ้างคนตัดต่อ หรือช่วงขึ้นเพลงใหม่ เราก็จะช่วยกันแต่งเนื้อเพลง แล้วก็ให้ตั้มทำเมโลดี้ต่อ เสร็จแล้วก็ถ่ายเอ็มวี แต่เวลานอกจากนั้น เราก็ไปเรียน ใช้ชีวิตทั่วไป
ตั้ม: ผมเป็นพวกชอบเร่งตัวเอง ส่วนสบายจะเป็นคนชิวๆ หน่อย ผมเข้าใจเขานะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องเร่งเลย แต่ตอนนั้นคิดว่า เรากำลังจะเรียนจบแล้ว เดี๋ยวเราก็ต้องออกไปทำงาน ผมมองมันเป็นโค้งสุดท้ายในการทำเพลง ถ้าเราไม่สู้ตอนนี้ เราก็ต้องออกไปทำงานอื่นที่เราไม่ชอบ งั้นไม่เอาแล้วเรียน ทำเพลงเลยแล้วกัน จริงๆ เหมือนทุบหม้อข้าวตัวเองอยู่นะ
สบาย: มาคิดดู ถ้าตอนนั้นเรียนไม่จบ แล้วเพลงก็ไม่มีคนฟังจะทำยังไง
ตั้ม: แต่โชคดีที่เราทำแล้วมันคุ้มเนอะ
วิธีการทำงานเพลงในแบบของเรนิษราเป็นอย่างไร
ตั้ม: ส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับเนื้อร้องมากกว่าดนตรี เพราะผมเชื่อว่าเนื้อเพลงเป็นใจความสำคัญ มันตรงใจคน ส่วนดนตรีผมใช้สำหรับสร้างบรรยากาศ เพื่อให้รู้ว่าเพลงนั้นอยู่ในช่วงเวลาแบบไหน ถ้าเพลงไหนเนื้อเพลงแรง ดนตรีก็จะแรง ถ้าเพลงไหนเศร้า ดนตรีก็จะเศร้า อย่างผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง เรานึกถึงหน้าหนาว มันเป็นฤดูที่ดูอบอุ่น ในขณะที่ทุกคนอยู่กับครอบครัว มันอาจจะมีคนที่อยู่กับความเหงาในอากาศหนาว ผมก็พยายามทำดนตรีที่รู้สึกหน้าหนาว'ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง' เกิดขึ้นในวันที่ผมหมดคอนเทนต์ในการเขียนเพลง เราเคยทำเพลงหนักๆ แล้วก็ไม่ดัง เพลงน่ารักๆ อย่าง 'เธอคือจักรวาลของฉันก็ไม่ดัง' หรือ 'เหตุการณ์บังเอิญ' เมื่อก่อนไม่มีคนฟังเลย ยอมรับว่าช่วงนั้นท้อครับ พอทำเพลงใหม่ก็มานึกว่า เรามีเรื่องอะไรที่เป็นตัวเราจริงๆ ผมถามสบายว่า เขามีอะไรที่ผิดหวังในชีวิตแล้วอยากเล่าไหม สบายก็เล่าเรื่องตอนเด็กให้ฟัง ประกอบกับเลื่อนทวิตเตอร์ไปเจอคำว่า ความผิดหวังมักเลือกฉันเสมอ ก็เลยได้เพลงนี้มา
วันที่ 'ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง' เป็นที่รู้จัก ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?
ตั้ม: ถ้าเป็นในพาร์ทของเพลง เรารับรู้ได้ว่าคนชอบครับ แต่ในมุมของตัวเรา อยู่ดีๆ ก็ได้รับความสนใจจากคนมากขึ้น มีคนตามหาว่าเราเป็นใคร จากที่เคยคิดว่าเพลงเป็นอาวุธเดียวที่เราใช้สื่อสารกับคน ทำให้เราไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลย จำได้ว่าช่วงแรกเราสนใจแต่คอมเมนต์ลบๆ เนอะ
สบาย: ถ้าเสิร์ชกูเกิ้ลจะเจออยู่คำเดียวว่า เรนิษรา เป็นเพศอะไร หรือบางคนเสิร์ชคำว่า นาย เรนิษรา เลยก็มี หรือเวลาแสดงสด เราเคยเห็นคนที่มองเราหัวจรดเท้า บางคนมองด้วยสายตาลวนลาม หรือบางคนมาเพราะอยากดูตั้ม แล้วมองเราไม่ค่อยดีก็มีเหมือนกันนะ พอเราเป็นคนคิดเยอะมันก็ส่งผลต่อสุขภาพจิตเยอะ
ตั้ม: เพราะส่วนใหญ่เราต้องเล่นดนตรีในร้านเหล้าด้วยครับ
สบาย: เราพยายามคิดว่า นี่เป็นงานของเรา ร้องเสร็จ รับเงิน กลับบ้านก็พอ
ตั้ม: สบายเป็นคนที่ต้องคิดแบบนี้จริงๆ ครับ มันอาจจะดูแรง ฟังดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่มันเป็นวิธีที่ทำให้เขาสบายใจและยังทำงานต่อไปได้ เขาต้องคิดแบบนี้ เพื่อเอาชนะความรู้สึกตัวเองและขึ้นไปร้องเพลงได้
เรารับมือกับสิ่งเหล่านี้ยังไง?
สบาย: เราโฟกัสที่ชีวิตจริงมากขึ้น เอาจริงๆ เวลาเราแสดงไม่เคยมีใครมาด่าเราตรงๆ เหมือนที่คอมเมนต์เลย กลับบ้านมาเราก็เข้านอน ตื่นมากินข้าวเป็นปกติ สบายจะนึกถึงตอนแก่หรือใกล้ตายเสมอว่า ทุกคนไม่สนใจเราหรอก เขาไม่สนใจว่าเรายังสวยอยู่ไหม สุดท้ายก็มีแค่คนแก่สองคนที่ยังอยู่ด้วยกัน
ตั้ม: เรากลับมานั่งคุยกันว่า ไม่ว่าใครจะมองเรายังไง เราเป็นคนแบบไหน สุดท้ายเราก็มีกันอยู่แค่สองคน ตอนนี้เราก็เลยสนใจโซเชียลน้อยลงมากๆ หรือถ้าผมเริ่มเครียด ผมจะเตือนตัวเองทันที ผมชอบย้อนคุยกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมแค่พยายามอยู่กับตัวเองให้มีความสุขและแคร์คนที่เรารักมากกว่า
นอกจากมุมมองในการใช้ชีวิตแล้ว มุมมองในการทำเพลงของคุณเปลี่ยนไปด้วยไหม
ตั้ม: หลังจากเพลงผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังดัง เราถึงรู้ว่าเพลงนี้มันส่งผลต่อคนจริงๆ บางคนโสด บางคนไม่มีเพื่อนคอยปลอบใจ แต่เพลงเราช่วยปลอบใจเขา งั้นเราจะทำเพลงที่อยู่เป็นเพื่อนทุกคนแล้วกัน เหมือนกับที่เราอยู่เป็นเพื่อนกันและกัน
อย่างเพลงก่อนหน้านี้ที่ชื่อว่า 'ขอให้ความเสียใจหายไปกับฝน' เราอยากส่งท้ายว่า หมดหน้าฝนนี้เรนิษราจะเลิกเศร้าแล้วนะ ความเสียใจนี้จะหายไปแล้ว เราทำดนตรีให้ความรู้สึกล่องลอยเหมือนฟังคนร้องเพลงในห้องน้ำ แล้วก็มีเสียงฝนอยู่ในเพลง คนด่าเยอะเหมือนกันนะว่าฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) แล้วก็ส่งเข้ามาเพลงต่อมาอย่าง 'ไม่ต้องมีนาซ่า แค่มีเธอกับฉัน' เป็นเพลงรักครับ หรือเพลงล่าสุดอย่าง วันนี้เธอเก่งมากแล้ว เราก็ใช้ความเป็นเรนิษราสื่อสารว่า เรากำลังปลอบใจคุณอยู่นะ
เอาจริงๆ เพลงมันเริ่มไม่ใช่ตัวเราขนาดนั้นแล้ว มันอาจจะมีความเป็นเรา เพราะเราสองคนก็มีปมในชีวิต ไม่สิ... ทุกคนก็มีปมเหมือนกัน เราจึงแต่งเพลงเพื่อเป็นเพื่อนของคนที่กำลังผิดหวัง ให้กำลังใจว่า เดี๋ยวพวกเขาก็ผ่านไปได้นะ
สบาย: สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ เราไม่ได้ทำเพลงที่พูดถึงตัวเองอย่างเดียว แต่เราทำเพลงเพื่อคนอื่นมากขึ้น
ตั้ม: เพราะจริงๆ เรนิษราเป็นวงที่เกิดมาเพื่อทำตามความฝันของตัวเองครับ สบายอาจจะทำเพราะอยากแต่งตัวสวยๆ ขึ้นเวที ส่วนผมก็อยากมีเพลงฮิตอมตะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพลงของเราจะเป็นไปได้ไหม อย่างตอนนี้มีเพลงฮิตมาบ้างก็รู้สึกว่า ตัวเองโตมาอีกเสต็ปแล้ว
ในฐานะศิลปิน อยากให้คนมองภาพเราเป็นแบบไหน
ตั้ม: ผมรู้สึกว่าศิลปินคือกระจกที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุดแล้ว เพราะเราทำงานตามใจ ไม่มีใครมาสั่ง ไม่ได้มีนายจ้าง มันคือเราในแบบที่เป็นเราจริงๆ เราอยากให้คนมองศิลปินเป็นมนุษย์บ้าง ไม่ต้องมองว่า เขาต้องเป๊ะ ต้องสวยตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องตามค่านิยมเสมอไป ชีวิตของทุกคนไม่ได้มีวันดีๆ อย่างเดียว บางวันหมาเราเพิ่งตาย แต่เราต้องมาร้องเพลงบอกให้ทุกคนมีความสุข เรายังฮีลใจตัวเองไม่ไหวเลย แต่เรารู้ว่าเราห้ามความคิดเขาไม่ได้นะ
อย่างบางคลิป เราร้องสดในร้าน แล้วร้านผัดกะเพรา ทำให้ผมไอทั้งโชว์เลย แล้วเสียงก็เพี้ยนไปเพี้ยนมา คนที่อยู่ตรงนั้นเขาก็ขำ เพราะเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งงานแบบนี้คนจะชอบอัดคลิปไปลง แล้วคนก็จะเข้ามาด่าวงเรา บางคนด่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างจับแว่น พิมพ์มาหยาบๆ เลย เอ้า! ก็ผมใส่แว่น แล้วมันจะหลุดนี่นา
สบาย: จริงๆ มนุษย์มันก็มีวันแบบนั้นทุกคนแหล่ะ
ประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตพาคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ตั้ม: ผมเคยเป็นพวกตัดสินคนอื่นไปก่อน อาจเพราะเราเคยถูกตัดสินมาก่อน มันเลยติดว่า เราต้องเล่นมันก่อนเลย (หัวเราะ) ช่วงแรกเราก็เผลอตัดสินสบายเหมือนกันนะ ไม่ใช่ตัดสินว่าเขาเป็นแบบนั้นไม่ได้นะ บางทีเราพูดจาตรงๆ พูดจาไม่ดีมากกว่า
สบาย: เหมือนตั้มจะชอบวิเคราะห์ว่า การที่สบายเป็นคนแบบนี้ เพราะเราเคยเจอเรื่องแบบนี้รึเปล่า เพราะเรามีปมรึเปล่า
ตั้ม: ทำไมอยู่ๆ ผมก็เลิกทำแบบนั้นนะ น่าจะเพราะผมมองมุมกลับมั้ง ช่วงที่เรียนและเล่นดนตรีกลางคืนไปด้วย ผมว่าผมมีอีโก้เยอะ เคยเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดเป็นสิ่งที่ถูก แต่พอเรียนธุรกิจดนตรี เรากลับมาเป็นคนเบื้องหลัง ต้องดูแลคนอื่นมากขึ้น มันก็คิดได้ว่า เออ เราก็เป็นแค่คนธรรมดา เราไม่ควรตัดสินใครเลย เขาเองก็มีเหตุผลของเขา
สบาย: ตั้มเป็นคนเปิดเผย ตั้มคิดอะไร เคยมีอดีตอะไร เขาพูดหมดเลย บางทีก็พูดเยอะไป จนสบายคิดว่า ถ้าตั้มพูดขนาดนี้ สบายพูดก็ได้มั้ง (หัวเราะ) พอเราเป็นคนไม่ค่อยพูด เราก็เตือนเขาเยอะว่าไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องก็ได้
ตั้ม: พูดเยอะไปก็ไม่ดีเนอะ แต่ก่อนผมไม่คิดว่าพูดแล้วใครจะทำร้ายเรา แต่พอเจอเหตุการณ์หลายๆ อย่าง ก็เริ่มระวังตัวมากขึ้น เราสองคนเหมือนคนละขั้วเลย สุดโต่งทั้งคู่แต่คนละด้าน
แล้วเป้าหมายในชีวิตของคุณตอนนี้คืออะไร
ตั้ม: ผมแค่อยากมีความสุข ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข แค่ตื่นมาแล้วล้างหน้าด้วยโฟมที่ชอบ ได้อาบน้ำกับฝักบัวเดิมๆ ได้เห็นท้องฟ้าที่ไม่มีฝน แค่นี้ก็มีความสุขแล้วนะ เราพยายามทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ตอนแก่เราสองคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขที่สุด มันทำให้เราแยกเรื่องงานออกจากชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น
สบาย: สบายเหมือนตั้มเลยค่ะ แค่มีความสุขกับเรื่องเล็กๆ ในแต่ละวันก็พอ แต่เราก็พยายามวางแผนในอนาคตไว้ เพื่อให้ได้อยู่อย่างมีความสุขในตอนแก่ด้วย เหมือนที่บอกว่า ยังไงตอนแก่เราก็อยู่กันสองคนอยู่ดี
คุยเรื่องความผิดหวังกันมาเยอะแล้ว ชีวิตวันนี้ของคุณถือว่าสมหวังแล้วหรือยัง
ตั้ม: ชีวิตผมมีความสุขที่สุดคือตอนนี้เลยครับ ถ้าตอบให้ชัดเจน คือ เรามีเงินเพียงพอในการใช้ชีวิต เราไม่ต้องกินอะไรประหยัด อยากกินอะไรก็ได้ แต่ก่อนแค่จะสั่งข้าวจานพิเศษยังคิดเลย แต่ตอนนี้เราสั่งพิเศษได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว เพลงที่เราตั้งใจเขียน ดนตรีที่เราชอบมานานแล้ว ในที่สุดมันก็มีคนชอบ มันดีที่สุดแล้ว
สบาย: เท่าที่จำได้ เราชอบช่วงที่เราอยู่ปีหนึ่งที่สุด เรายังไม่ได้หาเงินเอง เราก็ใช้เงินแบบไม่แคร์อะไรมาก ไปเรียน กลับมากินขนม ช่วงนั้นก็จะใช้เงินเยอะ เพราะกินเยอะ (หัวเราะ)
ตั้ม: ผมกับสบายจะต่างกัน เพราะที่บ้านสบายซัพพอร์ตดี ชีวิตที่มีความสุขที่สุด คือ วัยเรียน แต่ช่วงเรียนผมไม่ค่อยมีเงิน พอทำงานได้เงินก็เลยมีความสุข
แล้วใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพวกคุณ
ตั้ม: พ่อกับแม่ครับ โดยเฉพาะพ่อแม่ของสบายที่ซัพพอร์ตพวกเราทั้งคู่ แต่ก่อนผมอยู่อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่ทำอะไรนิดหน่อยก็เสียงดัง เราอัดเสียงไม่ได้ แล้วบ้านสบายก็มีห้องว่างเงียบๆ ที่ใช้อัดเพลงได้ พ่อกับแม่ก็เลยให้ผมมาอยู่ในบ้าน ทุกวันนี้เขาก็คอยขับรถไปรับไปส่ง ซัพพอร์ตเรื่องการกิน ยิ่งช่วงโควิด ผมอยู่ที่บ้านสบายเป็นปีเลย เราเหมือนเด็กคนหนึ่งที่เลี้ยงดูเรา ถ้าทางใจก็จะเป็นพ่อผมเอง เขาคอยให้กำลังใจเราตลอด บอกให้สู้นะ ทำได้อยู่แล้ว
สบาย: ชีวิตนี้เหมือนสบายโดนซัพพอร์ตตลอดเวลาอยู่แล้ว มีทั้งพ่อแม่ มีตั้มด้วย
ในเวลานี้ เรนิษรา ยังคงมีงานเพลงที่สะท้อนภาพความรู้สึกสมหวังและผิดหวังปล่อยมาให้เราฟังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเติมเต็มความฝันส่วนตัวที่เคยได้บอกกล่าวไว้ และหวังให้เพลงของพวกเขาส่งมอบกำลังใจให้คนที่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ และพาผู้คนก้าวผ่านความผิดหวังในชีวิตไปได้ เหมือนในวันที่พวกเขาผ่านมันไปเพราะมีกันและกันในชีวิต
5985 VIEWS |
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา
ช่างภาพและนักประสานงานเจ้าระเบียบที่อัพสกิลความละเอียดขึ้นทุกปี กำลังใช้เวลากับเพื่อนสนิทที่ชื่องานเขียนและภาพถ่ายไปพลางๆ ระหว่างรอแก่ไปเจอฝันเล็กจิ๋วอย่างการนั่งชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเองบนเก้าอี้โยกกับหมาซักหนึ่งตัว