เรามาร้องเพลงกัญ: 10 บทเพลงสายเขียวผ่านพ้นยุคสมัย

"คราบรอยยิ้มยังแต้มเติมตามใบหน้า กลิ่นกัญชาโชยมาแต่ไกล"
    เสียงร้องอันทรงพลังของ ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ได้ครวญคร่ำถึงสภาวะแห่งห้วงอารมณ์อันเป็นผลจากพืชพรรณที่ถูกประทับตราความอันตรายเอาไว้ เมื่อ 4 ทศวรรษก่อน ท่ามกลางการปราบปรามขบวนการยาเสพติดอย่างเข้มข้นของภาครัฐ
    ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น วงดนตรีที่เป็นผู้บุกเบิกวงการเพลงเฮฟวี่ภาคภาษาไทยอย่าง เนื้อกับหนัง ก็ได้เริ่มต้นบทเพลง ฆาตกัญชา อันเป็นเพลงเปิดหัวของอัลบั้มชื่อเดียวกันของวงว่า...
"อยากจะไปนครพนม เขาลือกันว่ามีกัญชา..."
    ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะ 'ต้องห้าม' ของกัญชาที่มิอาจเปิดเผยได้เช่นสินค้าหรือเวชภัณฑ์ปกติ ขณะที่ชื่อเพลงก็เป็นการสมาสคำระหว่าง 'ฆาต' ที่แปลว่าความตาย กับ 'กัญชา' เข้าด้วยกัน ก็เป็นการสื่อความหมายถึงอันตรายของพืช (ที่เคย) ผิดกฎหมายสายพันธุ์นี้อย่างจะแจ้ง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงปี 2565 นี้... เนื้อสารที่แฝงอยู่ในคำร้องของหลายบทเพลงของเหล่าศิลปินที่เรียกตัวเองว่าเป็น 'สายเขียว' นั้นก็มีท่าทีที่ผิดแผกออกไปจากเมื่อกว่า 40 ปีก่อนหน้านั้น อย่างเพลง ยากัญชา ของ จ๊อบ บรรจบ  ที่ระบุว่า 

"ไม่มีพาราซาร่าทิฟฟี่ มีแต่กัญชาอย่างดีที่เป็นพันธุ์ไทย รักษามะเร็ง หลายโรคช่วยได้" 


    เป็นการชี้แจงถึงสรรพคุณของสมุนไพรโบราณชนิดนี้ว่าควรค่าแก่การปลดล็อกออกจาก 'สภาวะต้องห้าม' ซึ่ง ณ ห้วงเวลานั้นได้มีความเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันอย่างต่อเนื่อง จนปี 2562 มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 ที่กัญชายังคงเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 อยู่ แต่อนุญาตให้ใช้กัญชาสำหรับการแพทย์ การรักษา การศึกษาวิจัย หรือการพาณิชย์ได้เป็นครั้งแรก กระทั่งเริ่มประสบผล เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2565 รัฐบาลได้ประกาศปลดกัญชาออกจากยาเสพติด หมายถึงเปิดให้มีการใช้กัญชาได้อย่างเสรี ทำให้มีการปลูกและผลิตอย่างกว้างขวาง เข้าถึงง่าย แต่ในทางกลับกัน การปล่อยกัญชาเสรีโดยไม่มีมาตรการควบคุมทำให้เห็นข่าวกรณีที่มีเด็กและเยาวชนใช้กัญชา พบผู้มีอาการแพ้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และสุขภาพจิต จึงนำมาสู่คำถามถึงมาตรการและกฎหมายในการควบคุมกัญชาของไทย

    ทั้งหมดเป็นเช่นบทบันทึกสังคม ผ่านคำร้องที่ถ่ายทอดออกมากับเสียงเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยมีตัวละครเอกคือ 'กัญชา' ซึ่งหากเปรียบเป็นคน ก็ถือว่ามีเส้นทางชีวิตที่แสนโลดโผน ผ่านการใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืด ก่อนจะลงเอยด้วยการก้าวออกมาสู่แสงสว่างของโลกภายนอกอย่างภาคภูมิได้ในที่สุด 

    และ 10 บทเพลงต่อไปนี้ ก็คือ บทบันทึกถึงเส้นทางของกัญชาที่แวดล้อมอยู่ในสังคมไทย ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา

1. คนบ้ากัญชา / คำรณ สัมบุณณานนท์ (ประมาณปี 2495)
    ย้อนกลับไปในปี 2477 รัฐบาลไทยได้ออกพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 กำหนดให้การครอบครอง ขายและใช้กัญชาเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งเพลง โบราณว่า ของ คาราบาว ได้เคยกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ในอีก 80 กว่าปีหลังจากนั้นว่า เป็นผลพวงของการทำสงครามเย็นของชาติมหาอำนาจที่กำหนดขึ้นเพื่อบังคับโลกที่สามอย่างประเทศไทย ลาว หรือกัมพูชา เพื่อแลกกับการซื้อขายหรือนำเข้าสินค้าราคาสูงต่างๆ แต่กระนั้นสำหรับประชาชนจำนวนไม่น้อยกลับไม่มองว่ากัญชาคือสิ่งต้องห้ามของชีวิต เช่นเดียวกับ ดอกดิน กัญญามาลย์ นักแสดงตลกและผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้แต่งเพลง คนบ้ากัญชา ขึ้นแล้วนำใช้ไปในการประกวดร้องเพลงต่างๆ ก่อนหน้าที่บทเพลงนี้จะก้าวสู่วงกว้าง เมื่อ คำรณ สัมบุณณานนท์ ได้ขอเพลงนี้จาก ดอกดิน มาขับร้องและอัดลงแผ่นเสียง และกลายเป็น 'เพลงกัญชา' เพลงแรกของประเทศไทย จากการบันทึกของ เจนภพ จบกระบวนวรรณ 
    และหลังจากที่เปิดตัวด้วย คนบ้ากัญชา คำรณ ก็มีเพลงที่เกี่ยวข้องกับกัญชาออกติดตามมาอีก 3 เพลงคือ กระท่อมกัญชา, บ้านยายหอม และ ชีวิตคำรณ 
2. คาราบาว / กัญชา (พ.ศ. 2525)
    นับเป็นหนึ่งในเพลงที่ว่าด้วยเรื่องกัญชาซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดเพลงหนึ่งของไทย ฝีมือการประพันธ์และถ่ายทอดโดย แอ๊ด คาราบาว ถ่ายทอดรายละเอียดของอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเสพกัญชาออกมาอย่างเห็นภาพ ไม่ว่าจะเป็น "คราบรอยยิ้มยังแต้มเติมตามใบหน้า" "ความเลื่อนลอย" "จิตเสื่อมถอย" และ "หมดเรี่ยวแรงท้อใจท้อกาย" ก่อนที่จะระบุถึงจุดจบสุดท้ายของการเสพเอาไว้ว่า "นอนตายใต้ต้นกัญชา" สร้างภาพจำอันน่าหวาดกลัวให้กับผู้ฟังผู้ชมในยุคนั้นได้อย่างน่าสะพรึง... ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายต่อต้านยาเสพติดอย่างจริงจังของภาครัฐในช่วงเวลานั้น 
    ขณะที่ได้กลายมาเป็นประเด็นที่ผู้ประพันธ์ได้นำมาใช้ในการสร้างถ้อยแถลงในอีกหลายทศวรรษหลังจากนั้น
3. ควันสีขาว / ดิ อินโนเซ้นท์ (พ.ศ. 2525)

    ดิ อินโนเซ้นท์ เป็นวงดนตรีที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์วงโฟล์กซองขวัญใจวัยรุ่น ที่มีเพลงฮิตเป็นเพลงรักเนื้อหาสดใสมากำนัลแฟนเพลงอย่างต่อเนื่อง จวบกระทั่งเมื่อถึงอัลบั้มชุด อยู่หอ ดิ อินโนเซ้นท์ ก็ได้ โอม-ชาตรี คงสุวรรณ มาร่วมวงและทำดนตรี ส่งผลให้งานเพลงขยับขยายแนวทางดนตรีออกไปสู่แนวสตริง/ป๊อปร็อก ขณะที่เนื้อหาเพลงก็มีที่เข้มข้นมากขึ้น อย่างเช่นเพลง ควันสีขาว ที่มาในแนวฮาร์ดร็อก ส่วนเนื้อหาก็กล่าวถึงการเสพกัญชาแบบตรงไปตรงมา "หั่นๆๆ เข้าไป เอาเนื้อมาหั่นๆๆ เข้าไป" หรือ "ดูดๆๆ เข้าไป เอาซิเพื่อน ดูดๆๆ เข้าไป" และกล่าวถึงเจตนารมย์ของการเสพกัญชาเอาไว้ชัดเจนว่า "พ้นโลกที่หลอกลวงสู่ห้วงนิรันดร์ควันสีขาว" ก่อนจะลงท้ายด้วยผลพวงจากการเสพที่ว่า "เราต้องเข้าตาราง มันเป็นความซวยจนต้องเข้าตาราง" พร้อมขมวดสอนใจเอาไว้เป็นคติว่า "เราบันเทิงผิดทาง เขาถึงจับเราเข้าในตาราง" และ "กัญชายาเสพติด เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม"

4. ฆาต-กัญชา (ฆาตกรรมกัญชา) / เนื้อกับหนัง (พ.ศ. 2526)

    วง เนื้อกับหนัง หรือ Flesh&Skin ที่ก้าวสู่วงการดนตรีภายใต้การผลักดันของดีเจสายร็อกชื่อก้องอย่าง วิฑูร วทัญญู ได้ออกงานเพลงสไตล์เฮฟวี่เมทัลชุดแรกในชื่อ ฆาต-กัญชา โดยมีเพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มที่สื่อถึงเรื่องราวภัยร้ายของกัญชากันตั้งแต่ชื่อเพลง เรื่อยไปจนถึงเนื้อหาของเพลง ที่บอกเล่าเรื่องราวผู้เสพยาที่อยู่ในสภาวะ "อยากจะได้ยา ไม่ได้มาข้าต้องตาย" โดยเกริ่นนำเรื่องถึงตัวเอกของเรื่องที่มีความต้องการไปตามหาแหล่งกัญชา โดยมีเบาะแสว่าน่าจะเป็นที่นครพนม เพื่อจะได้เข้าสู่ห้วงแห่งหฤหรรษ์ในสายควัน ที่พรรณนาเอาไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น "บ้องที่หนึ่งก็ไม่เป็นไร คราวต่อไปถึงทีเพื่อนกัน / บ้องที่สองก็ชักจะมัน ตาของมันก็เริ่มจะลาย / บ้องที่สามชักลำบากกาย สนุกเหลือใจที่ได้ดูดกัน / บ้องที่สี่เหมือนดั่งฝัน ตัวฉันนั้นลอยตามลม" ซึ่งอาจลงเอยด้วยความตาย อันสะท้อนถึงชื่อของเพลงที่เป็นการผสานกันระหว่าง 'ฆาต' และ 'กัญชา'

5. ปู๊น ปู๊น / O Modelling (พ.ศ 2545)

    หลังจากที่นโยบายการปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ก่อนที่จะยิ่งทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นกับนโยบาย 'ทำสงครามกับยาเสพติด' ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กระนั้นเรื่องของยาเสพติด รวมถึงกัญชาก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มผู้ค้าและผู้เสพอยู่ดี ขณะที่ยังมีการสืบสานในเรื่องงานดนตรีสายเขียว เพียงแค่ต้องถ่ายทอดในเชิงสัญลักษณ์ไม่โจ่งแจ้งเท่านั้น ดังตัวอย่างเพลง ปู๊น ปู๊น ของศิลปินที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความขบถในแนวคิด และสะท้อนออกมาในงานเพลงของเขาเสมอ คือ โอ๋-เจษฎา สุขทรามร แห่งวงซีเปีย ที่ครั้งหนึ่งเคยออกงานเดี่ยวในนาม O Modelling ที่มีเพลงดังที่ถูกนำไปแสดงสดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่ B-Day ของ Bakery Music ด้วย แม้จะมีคำร้องคาบลูกคาบดอกทว่าชัดเจนอย่าง "พกเนื้อมาสี่ห่อใหญ่" "หยิบเนื้อมาหั่นๆๆ" "ลองแล้วจะอยากกินหนม ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง" หรือกระทั่งชื่อเพลงในท่อนฮุก ที่เป็นคำเรียกหนึ่งถึงกัญชา

6. พรรคเขียว (จรรโลงโลก) / นิว เกี่ยวกื๋อ (พ.ศ. 2557)

    แม้ด้วยนโยบายการปราบปรามแบบเด็ดขาดของภาครัฐ จะส่งผลให้มีผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหา และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปัญหายาเสพติดในภาพรวมจะดูเบาบางลงบ้าง ทว่าก็ไม่อาจหายไปโดยดุษณีได้ ขณะเดียวกันก็ขบวนการเรียกร้องเรื่องกัญชาเสรีที่เคยเป็นกระแสน้ำนิ่งไหลลึกในสังคมมาโดยตลอด ก็เริ่มไหลตื้นขึ้นมาเป็นลำดับ โดยมีหนึ่งในแกนนำสำคัญคือ ประกาศ เดชมาก ณ พัทลุง หรือที่รู้จักกันในนาม ด.เดียว ผู้ก่อตั้งพรรคเขียว และหนึ่งในผู้รณรงค์กัญชาเสรีมาเป็นเวลายาวนาน ก็ได้นำเสนอทั้งกิจกรรมและงานศิลป์ที่เรียกร้องเรื่องกัญชาเสรีออกมาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเพลง พรรคเขียว (จรรโลงโลก) ออกมาในนาม นิว เกี่ยวกื๋อ ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มคอเพลงเร็กเก้ และพลพรรคสายเขียวเป็นอย่างมาก โดยเนื้อหาเป็นเหมือนประกาศเจตนารมณ์พรรคเขียว ที่อาสามาสร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน ด้วยแนวทางพรรคที่รณรงค์ให้ "มาร่วมรักกัญชา เอ่ชา แล้วปัญหาจะไม่มี" พร้อมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและสุขภาพใจด้วยการ "ปลูกกัญชาครัวละต้น เป็นยาธรรมชาติประจำบ้าน" น่าเสียดายที่ ด.เดียว ได้จากไปในช่วงปลายปี 2564 เพียงไม่นานก่อนประกาศปลดล็อกกัญชาจะเกิดขึ้น 

7. GANJA [กัญชา] / Srirajah Rockers (พ.ศ. 2558)
    Srirajah Rockers นับเป็นอีกหนึ่งวงดนตรีที่เป็นกระบอกเสียงหนึ่งที่เรียกร้องเรื่องกัญชาเสรีมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเจตนารมณ์เพื่อปลดแอกกฎหมายและการพะหน้าว่าเป็น สิ่งต้องห้าม ออกจากกัญชา โดยมี GANJA [กัญชา] เป็นดั่งหัวหอกหรือนายทัพแห่งขบวนการ ซึ่งแม้ชื่อเพลงจะเป็นการระบุโต้งๆ ถึงความตั้งใจหรือสิ่งที่พยายามนำเสนอ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะแฝงนัยผ่านคำร้องแห่งความกังวลถึงกรอบของกฎหมายที่อาจทำให้การสื่อสารครั้งนี้ไปไม่ถึงวงกว้างอย่างที่ตั้งใจ นับตั้งแต่คำร้องท่อนแรกที่ว่า "ฉันพะวงอยู่กับเนื้อเพลง ก็ไม่รู้ผิดกฎหมายรึปล่าว ขอแค่เพียงปรุงแต่งเรื่องราวไปตามสายลมบอก" ขณะที่เนื้อหาต่อจากนั้นเป็นการแฝงนัยถึงการรณรงค์ให้ร่วมกันเรียกร้อง และเผยแพร่เจตนารมณ์แห่งสายเขียวออกไป "ส่งมันไปทางซ้าย ส่งมันไปทางขวา ส่งมันไปข้างและก็ส่งมันไปข้างหลัง" เพื่อที่สุดท้าย "เราจะยิ้มไปพร้อมๆ กัน" 
    ซึ่งความตั้งใจของ Srirajah Rockers และผู้ร่วมอุดมการณ์ก็เริ่มมีความหวังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเกิดเป็นเพลง ดงกัญชาบาน ขึ้นในอีกราว 4 ปีหลังจากนั้น
8. สายเขียว / Twin T feat. Codeine420 [Westtown] (2561)

    แม้นเวลาผันผ่าน กลุ่มคนรักกัญชา ซึ่งจำนวนมากอยู่ในแวดวงศิลปินสกาและเร็กเก้ ก็ยังคงมีผลงานเพลงที่นำเสนอเรื่องราวของการเรียกร้องกัญชาเสรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในโลกจริงและโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายเพลงของหลายศิลปินได้สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนของผู้ร่วมอุดมการณ์และเจตนารมณ์อยากให้เกิดเสรีภาพให้เกิดกับสมุนไพรชนิดนี้ในสังคมไทย ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เล็กจ้อยน้อยเลยสักนิด ยอดวิวในระดับตัวเลข 7-8 หลักของแต่ละคลิปในสื่อ Youtube ได้บ่งบอกอะไรหลายอย่างเอาไว้ได้อย่างชัดเจน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ เพลง สายเขียว ของ Twin T ที่มีเนื้อหาแสดงตัวตนของคนสายเขียวว่า แม้พวกเขาจะ "อะไรเหนียวๆ เอามายำให้หมด" และแม้ว่ากัญชาจะส่งผลให้ "หัวสมองกูเริ่มจะประสาท จิตมันหลุดเหมือนลอยอยู่ในอากาศ" รวมถึงรู้ดีแก่ใจว่า "กัญชามันไม่ใช่เรื่องประหลาดรัฐบาลเขาต้องใช้อำนาจ" แต่พวกเขาก็ยังอดที่จะพร่ำถามไม่ได้ว่า "ผลวิจัยเขาบอกว่าดี แล้วทำไมถึงยังไม่เสรี เพราะอะไร เพราะทำไม เพราะว่าสีนั้นใช่ไหม ที่มันจะทำให้เธอผิดกฎหมาย" โดยไม่รู้เลยว่า ในที่สุดสิ่งที่พวกเขากังขา กำลังจะถึงวันที่คลี่คลายได้ในที่สุด... หลังจากนั้นไม่นาน

9. กัญชาคอมมิชชั่น (Cannabis Commission) / คาราบาว (พ.ศ. 2562)
    ท่ามกลางการเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง กระทั่งใกล้ถึงวันฟ้าเปิด วงดนตรีที่เคยกล่าวหากัญชาเอาไว้อย่างย่ำแย่ เช่น คาราบาว ก็ได้กลับลำ และกลับมาพร้อมกับงานเพลงที่กล่าวถึงกัญชาด้วยอัลบั้ม มหัศจรรย์กัญชา ในปี 2562 ซึ่งเพลงใหม่ 8 จาก 13 เพลงต่างมีเนื้อหาที่สดุดีกัญชาในแง่มุมต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้ม ที่แก้เกี้ยวประเด็นที่เคยถ่ายทอดเอาไว้ในเพลง กัญชา เมื่อกว่า 30 ปีก่อนหน้านั้น ว่า "ผมเองก็เคยผิดพลาด ร้องเพลง 'นอนตายใต้ต้นกัญชา' / แต่วันนี้ตาสว่างแล้ว พี่เอยน้องแก้ว ผมกราบขอขมา" เรื่อยมาจนถึงเพลงต่อๆ มา ทั้ง กัญชาคอมมิชชั่น (Cannabis Commission), กัญชามาแล้ว, หนูกัญชา, กัญชาสมุนไพรเทวดา, กัญชาพระเอกในคราบผู้ร้าย, โบราณว่า และ พญาศวร
    โดยหนึ่งในเพลงที่โดดเด่นมากจากชุดนี้ก็คือ กัญชาคอมมิชชั่น (Cannabis Commission) ที่แต่งโดย แอ๊ด คาราบาว ที่ร่ายยาวตั้งแต่ต้นเหตุที่ประเทศมหาอำนาจได้บีบบังคับประเทศโลกที่สามให้ผลักดันกัญชาให้เข้าไปสู่ฝั่งตรงข้ามของกฎหมาย พวกเขาจึงขอเรียกร้องภาครัฐให้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้ซะใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ปลดล็อกกัญชาจากสภาวะต้องห้ามเสียที
    "ขอสิทธิ์คนไทยเข้าถึงกัญชาบ้างหนอ / ขอแก้กฎหมาย ปลดล็อกออกจากยาเสพติด / แล้วก็ช่วยกันคุม ไม่ให้ใช้กันผิดๆ ดีกว่าคอยรอนริด สิทธิ์เสรีภาพประชาชน"
10. กัญชา (ซุปตาร์กัญชา) / Sitta (พ.ศ. 2564)

    จวบจนปี 2564 กระแสเรื่องกัญชาเสรีได้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวขวัญในสังคม และมีแรงกระเพื่อมมากขึ้นและแรงขึ้นทุกที กระทั่งเกิดงานมิวสิกเฟสติวัลอย่าง พันธุ์บุรีรัมย์ ขึ้นมาในปี 2562 รวมถึงมีการนำเสนอบทเพลงเรียกร้องในกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากหน้าหลายตา หนึ่งในบทเพลงที่โดดเด่นและได้รับความสนใจทั้งในกลุ่มแฟนเพลง คนรักกัญชา ไปจนถึงคนรักดนตรีเร็กเก้ ก็คือบทเพลง กัญชา (ซุปตาร์กัญชา) โดย Sitta หรือ สิทธา นิยมเหมาะ ที่แม้นัยหนึ่งจะแฝงสารถึงบรรดาผู้เสพว่า "หากคุณเสพเกินขนาด คุณจะเป็นคนบ้าในซุ้มหญ้าคา / ถ้าหากคุณยังเสพเกินขนาด คุณอาจนอนตายใต้ต้นกัญชา" แต่อีกนัยก็เป็นการพุ่งเป้าไปถึงผู้มีอำนาจโดยตรงว่า "หากคุณเปิดให้เป็นเสรี เราชาวฮิปปี้จะชื่นชม / เต้นรำบรรเลงให้รื่นรมย์ และคุณจะเป็นฮีโร่ การเมืองไทย"

    และเมื่อการต่อสู้ทั้งผ่านผลงานเพลง ผลงานศิลปะ ไปจนถึงความเคลื่อนไหวในภาคของการรวมตัวเรียกร้องรณรงค์มาเป็นเวลานานหลายต่อหลายทศวรรษ ในที่สุดรัฐบาลก็ได้ประกาศปลดล็อกกัญชาออกมาจากยาเสพติด และยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออก มีไว้ในครอบครอง จำหน่ายมีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ หรือเสพพืชกัญชา ตั้งแต่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป... อันหมายความว่า การต่อสู้เพื่อกัญชาเสรีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว...
    ขณะที่ความเคลื่อนไหวขององคาพยพทั้งภาครัฐ และประชาชนก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อให้เกิดการใช้กัญชาที่ถูกวิธี ปลอดภัย และเป็นไปตามเป้าประสงค์ของแนวทางกัญชาเพื่อการแพทย์ได้อย่างแท้จริง 
    ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อให้ 'เสรี' ที่เกิดขึ้น สามารถตั้งอยู่อย่างมั่นคงและถาวรได้ในที่สุด

พีรภัทร โพธิสารัตนะ

คนรักดนตรีที่เริ่มต้นชีวิตนัก(อยาก)เขียนด้วยการเป็นนักวิจารณ์ดนตรีอิสระที่มีผลงานลงในนิตยสาร a day, Hamburger, Esquire และอีกมากมาย รวมถึงเคยถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตคนดังออกมาเป็นหนังสืออัตชีวประวัติมาแล้วหลายคนในหลายเล่ม อันมี Bakery & I ของ สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์ เป็นอาทิ ผ่านทั้งชื่อจริงและนามปากกาอย่าง ภัทรภี พุทธวัณณ นิทาน สรรพสิริ และวรวิทย์ เต็มวุฒิการ ก่อนหน้าที่จะผันตัวเองเป็น "บรรณาธิการตัวเล็ก" ให้กับนิตยสาร DDT ซึ่งมี "บรรณาธิการตัวใหญ่" ที่ชื่อ "ยุทธนา บุญอ้อม" หรือ "ป๋าเต็ด" ของใครต่อใคร
แล้วนับจากนั้นบรรณาธิการตัวเล็กคนนี้ก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากมนต์เสน่ห์ของงานหนังสือได้อีกเลย ...และยังคงฟังเพลง เขียนหนังสือ และเสาะหาเรื่องดีๆ มาประดับความคิดอ่านอยู่เสมอ

จิรัญญา ปรียาโชติ

พนักงานทำงานอาร์ตที่กำลังเดินเรื่อยๆ ไปหาความฝัน บางทีก็หยุดพักหาแรงบันดาลใจจากการมองพัดลมหมุน บ้างก็มีแรงวิ่งจากมวลความสุขเล็กๆ ของสีดำ หมา และกาแฟ