อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวข้ามกาลเวลามาจนถึงปี 2565 นี้... เนื้อสารที่แฝงอยู่ในคำร้องของหลายบทเพลงของเหล่าศิลปินที่เรียกตัวเองว่าเป็น 'สายเขียว' นั้นก็มีท่าทีที่ผิดแผกออกไปจากเมื่อกว่า 40 ปีก่อนหน้านั้น อย่างเพลง ยากัญชา ของ จ๊อบ บรรจบ ที่ระบุว่า
"ไม่มีพาราซาร่าทิฟฟี่ มีแต่กัญชาอย่างดีที่เป็นพันธุ์ไทย รักษามะเร็ง หลายโรคช่วยได้"
เป็นการชี้แจงถึงสรรพคุณของสมุนไพรโบราณชนิดนี้ว่าควรค่าแก่การปลดล็อกออกจาก 'สภาวะต้องห้าม' ซึ่ง ณ ห้วงเวลานั้นได้มีความเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันอย่างต่อเนื่อง จนปี 2562 มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 ที่กัญชายังคงเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 อยู่ แต่อนุญาตให้ใช้กัญชาสำหรับการแพทย์ การรักษา การศึกษาวิจัย หรือการพาณิชย์ได้เป็นครั้งแรก กระทั่งเริ่มประสบผล เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2565 รัฐบาลได้ประกาศปลดกัญชาออกจากยาเสพติด หมายถึงเปิดให้มีการใช้กัญชาได้อย่างเสรี ทำให้มีการปลูกและผลิตอย่างกว้างขวาง เข้าถึงง่าย แต่ในทางกลับกัน การปล่อยกัญชาเสรีโดยไม่มีมาตรการควบคุมทำให้เห็นข่าวกรณีที่มีเด็กและเยาวชนใช้กัญชา พบผู้มีอาการแพ้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และสุขภาพจิต จึงนำมาสู่คำถามถึงมาตรการและกฎหมายในการควบคุมกัญชาของไทย
ทั้งหมดเป็นเช่นบทบันทึกสังคม ผ่านคำร้องที่ถ่ายทอดออกมากับเสียงเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยมีตัวละครเอกคือ 'กัญชา' ซึ่งหากเปรียบเป็นคน ก็ถือว่ามีเส้นทางชีวิตที่แสนโลดโผน ผ่านการใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืด ก่อนจะลงเอยด้วยการก้าวออกมาสู่แสงสว่างของโลกภายนอกอย่างภาคภูมิได้ในที่สุด
และ 10 บทเพลงต่อไปนี้ ก็คือ บทบันทึกถึงเส้นทางของกัญชาที่แวดล้อมอยู่ในสังคมไทย ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา



ดิ อินโนเซ้นท์ เป็นวงดนตรีที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์วงโฟล์กซองขวัญใจวัยรุ่น ที่มีเพลงฮิตเป็นเพลงรักเนื้อหาสดใสมากำนัลแฟนเพลงอย่างต่อเนื่อง จวบกระทั่งเมื่อถึงอัลบั้มชุด อยู่หอ ดิ อินโนเซ้นท์ ก็ได้ โอม-ชาตรี คงสุวรรณ มาร่วมวงและทำดนตรี ส่งผลให้งานเพลงขยับขยายแนวทางดนตรีออกไปสู่แนวสตริง/ป๊อปร็อก ขณะที่เนื้อหาเพลงก็มีที่เข้มข้นมากขึ้น อย่างเช่นเพลง ควันสีขาว ที่มาในแนวฮาร์ดร็อก ส่วนเนื้อหาก็กล่าวถึงการเสพกัญชาแบบตรงไปตรงมา "หั่นๆๆ เข้าไป เอาเนื้อมาหั่นๆๆ เข้าไป" หรือ "ดูดๆๆ เข้าไป เอาซิเพื่อน ดูดๆๆ เข้าไป" และกล่าวถึงเจตนารมย์ของการเสพกัญชาเอาไว้ชัดเจนว่า "พ้นโลกที่หลอกลวงสู่ห้วงนิรันดร์ควันสีขาว" ก่อนจะลงท้ายด้วยผลพวงจากการเสพที่ว่า "เราต้องเข้าตาราง มันเป็นความซวยจนต้องเข้าตาราง" พร้อมขมวดสอนใจเอาไว้เป็นคติว่า "เราบันเทิงผิดทาง เขาถึงจับเราเข้าในตาราง" และ "กัญชายาเสพติด เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม"

วง เนื้อกับหนัง หรือ Flesh&Skin ที่ก้าวสู่วงการดนตรีภายใต้การผลักดันของดีเจสายร็อกชื่อก้องอย่าง วิฑูร วทัญญู ได้ออกงานเพลงสไตล์เฮฟวี่เมทัลชุดแรกในชื่อ ฆาต-กัญชา โดยมีเพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มที่สื่อถึงเรื่องราวภัยร้ายของกัญชากันตั้งแต่ชื่อเพลง เรื่อยไปจนถึงเนื้อหาของเพลง ที่บอกเล่าเรื่องราวผู้เสพยาที่อยู่ในสภาวะ "อยากจะได้ยา ไม่ได้มาข้าต้องตาย" โดยเกริ่นนำเรื่องถึงตัวเอกของเรื่องที่มีความต้องการไปตามหาแหล่งกัญชา โดยมีเบาะแสว่าน่าจะเป็นที่นครพนม เพื่อจะได้เข้าสู่ห้วงแห่งหฤหรรษ์ในสายควัน ที่พรรณนาเอาไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น "บ้องที่หนึ่งก็ไม่เป็นไร คราวต่อไปถึงทีเพื่อนกัน / บ้องที่สองก็ชักจะมัน ตาของมันก็เริ่มจะลาย / บ้องที่สามชักลำบากกาย สนุกเหลือใจที่ได้ดูดกัน / บ้องที่สี่เหมือนดั่งฝัน ตัวฉันนั้นลอยตามลม" ซึ่งอาจลงเอยด้วยความตาย อันสะท้อนถึงชื่อของเพลงที่เป็นการผสานกันระหว่าง 'ฆาต' และ 'กัญชา'

หลังจากที่นโยบายการปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ก่อนที่จะยิ่งทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นกับนโยบาย 'ทำสงครามกับยาเสพติด' ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กระนั้นเรื่องของยาเสพติด รวมถึงกัญชาก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มผู้ค้าและผู้เสพอยู่ดี ขณะที่ยังมีการสืบสานในเรื่องงานดนตรีสายเขียว เพียงแค่ต้องถ่ายทอดในเชิงสัญลักษณ์ไม่โจ่งแจ้งเท่านั้น ดังตัวอย่างเพลง ปู๊น ปู๊น ของศิลปินที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความขบถในแนวคิด และสะท้อนออกมาในงานเพลงของเขาเสมอ คือ โอ๋-เจษฎา สุขทรามร แห่งวงซีเปีย ที่ครั้งหนึ่งเคยออกงานเดี่ยวในนาม O Modelling ที่มีเพลงดังที่ถูกนำไปแสดงสดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่ B-Day ของ Bakery Music ด้วย แม้จะมีคำร้องคาบลูกคาบดอกทว่าชัดเจนอย่าง "พกเนื้อมาสี่ห่อใหญ่" "หยิบเนื้อมาหั่นๆๆ" "ลองแล้วจะอยากกินหนม ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง" หรือกระทั่งชื่อเพลงในท่อนฮุก ที่เป็นคำเรียกหนึ่งถึงกัญชา

แม้ด้วยนโยบายการปราบปรามแบบเด็ดขาดของภาครัฐ จะส่งผลให้มีผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหา และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปัญหายาเสพติดในภาพรวมจะดูเบาบางลงบ้าง ทว่าก็ไม่อาจหายไปโดยดุษณีได้ ขณะเดียวกันก็ขบวนการเรียกร้องเรื่องกัญชาเสรีที่เคยเป็นกระแสน้ำนิ่งไหลลึกในสังคมมาโดยตลอด ก็เริ่มไหลตื้นขึ้นมาเป็นลำดับ โดยมีหนึ่งในแกนนำสำคัญคือ ประกาศ เดชมาก ณ พัทลุง หรือที่รู้จักกันในนาม ด.เดียว ผู้ก่อตั้งพรรคเขียว และหนึ่งในผู้รณรงค์กัญชาเสรีมาเป็นเวลายาวนาน ก็ได้นำเสนอทั้งกิจกรรมและงานศิลป์ที่เรียกร้องเรื่องกัญชาเสรีออกมาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเพลง พรรคเขียว (จรรโลงโลก) ออกมาในนาม นิว เกี่ยวกื๋อ ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มคอเพลงเร็กเก้ และพลพรรคสายเขียวเป็นอย่างมาก โดยเนื้อหาเป็นเหมือนประกาศเจตนารมณ์พรรคเขียว ที่อาสามาสร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน ด้วยแนวทางพรรคที่รณรงค์ให้ "มาร่วมรักกัญชา เอ่ชา แล้วปัญหาจะไม่มี" พร้อมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและสุขภาพใจด้วยการ "ปลูกกัญชาครัวละต้น เป็นยาธรรมชาติประจำบ้าน" น่าเสียดายที่ ด.เดียว ได้จากไปในช่วงปลายปี 2564 เพียงไม่นานก่อนประกาศปลดล็อกกัญชาจะเกิดขึ้น


แม้นเวลาผันผ่าน กลุ่มคนรักกัญชา ซึ่งจำนวนมากอยู่ในแวดวงศิลปินสกาและเร็กเก้ ก็ยังคงมีผลงานเพลงที่นำเสนอเรื่องราวของการเรียกร้องกัญชาเสรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในโลกจริงและโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายเพลงของหลายศิลปินได้สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนของผู้ร่วมอุดมการณ์และเจตนารมณ์อยากให้เกิดเสรีภาพให้เกิดกับสมุนไพรชนิดนี้ในสังคมไทย ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เล็กจ้อยน้อยเลยสักนิด ยอดวิวในระดับตัวเลข 7-8 หลักของแต่ละคลิปในสื่อ Youtube ได้บ่งบอกอะไรหลายอย่างเอาไว้ได้อย่างชัดเจน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ เพลง สายเขียว ของ Twin T ที่มีเนื้อหาแสดงตัวตนของคนสายเขียวว่า แม้พวกเขาจะ "อะไรเหนียวๆ เอามายำให้หมด" และแม้ว่ากัญชาจะส่งผลให้ "หัวสมองกูเริ่มจะประสาท จิตมันหลุดเหมือนลอยอยู่ในอากาศ" รวมถึงรู้ดีแก่ใจว่า "กัญชามันไม่ใช่เรื่องประหลาดรัฐบาลเขาต้องใช้อำนาจ" แต่พวกเขาก็ยังอดที่จะพร่ำถามไม่ได้ว่า "ผลวิจัยเขาบอกว่าดี แล้วทำไมถึงยังไม่เสรี เพราะอะไร เพราะทำไม เพราะว่าสีนั้นใช่ไหม ที่มันจะทำให้เธอผิดกฎหมาย" โดยไม่รู้เลยว่า ในที่สุดสิ่งที่พวกเขากังขา กำลังจะถึงวันที่คลี่คลายได้ในที่สุด... หลังจากนั้นไม่นาน


จวบจนปี 2564 กระแสเรื่องกัญชาเสรีได้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวขวัญในสังคม และมีแรงกระเพื่อมมากขึ้นและแรงขึ้นทุกที กระทั่งเกิดงานมิวสิกเฟสติวัลอย่าง พันธุ์บุรีรัมย์ ขึ้นมาในปี 2562 รวมถึงมีการนำเสนอบทเพลงเรียกร้องในกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากหน้าหลายตา หนึ่งในบทเพลงที่โดดเด่นและได้รับความสนใจทั้งในกลุ่มแฟนเพลง คนรักกัญชา ไปจนถึงคนรักดนตรีเร็กเก้ ก็คือบทเพลง กัญชา (ซุปตาร์กัญชา) โดย Sitta หรือ สิทธา นิยมเหมาะ ที่แม้นัยหนึ่งจะแฝงสารถึงบรรดาผู้เสพว่า "หากคุณเสพเกินขนาด คุณจะเป็นคนบ้าในซุ้มหญ้าคา / ถ้าหากคุณยังเสพเกินขนาด คุณอาจนอนตายใต้ต้นกัญชา" แต่อีกนัยก็เป็นการพุ่งเป้าไปถึงผู้มีอำนาจโดยตรงว่า "หากคุณเปิดให้เป็นเสรี เราชาวฮิปปี้จะชื่นชม / เต้นรำบรรเลงให้รื่นรมย์ และคุณจะเป็นฮีโร่ การเมืองไทย"

11329 VIEWS |
คนรักดนตรีที่เริ่มต้นชีวิตนัก(อยาก)เขียนด้วยการเป็นนักวิจารณ์ดนตรีอิสระที่มีผลงานลงในนิตยสาร a day, Hamburger, Esquire และอีกมากมาย รวมถึงเคยถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตคนดังออกมาเป็นหนังสืออัตชีวประวัติมาแล้วหลายคนในหลายเล่ม อันมี Bakery & I ของ สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์ เป็นอาทิ ผ่านทั้งชื่อจริงและนามปากกาอย่าง ภัทรภี พุทธวัณณ นิทาน สรรพสิริ และวรวิทย์ เต็มวุฒิการ ก่อนหน้าที่จะผันตัวเองเป็น "บรรณาธิการตัวเล็ก" ให้กับนิตยสาร DDT ซึ่งมี "บรรณาธิการตัวใหญ่" ที่ชื่อ "ยุทธนา บุญอ้อม" หรือ "ป๋าเต็ด" ของใครต่อใคร
แล้วนับจากนั้นบรรณาธิการตัวเล็กคนนี้ก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากมนต์เสน่ห์ของงานหนังสือได้อีกเลย ...และยังคงฟังเพลง เขียนหนังสือ และเสาะหาเรื่องดีๆ มาประดับความคิดอ่านอยู่เสมอ
พนักงานทำงานอาร์ตที่กำลังเดินเรื่อยๆ ไปหาความฝัน บางทีก็หยุดพักหาแรงบันดาลใจจากการมองพัดลมหมุน บ้างก็มีแรงวิ่งจากมวลความสุขเล็กๆ ของสีดำ หมา และกาแฟ