เรียบง่าย เป็นกันเอง แต่อุดมไปด้วยความมุ่งมั่น คือ ตัวตนที่เราสัมผัสได้จากการสนทนากับเธอ
เด็กสาวเติบโตมากับเพลงฮิตยุค 90s จากเพลย์ลิสต์ระหว่างขับรถของครอบครัว เห็นภาพวาดจากงานอดิเรกของคุณพ่อประดับอยู่ทั่วทุกมุมบ้าน มีคุณลุงเป็นนักดนตรีแจ๊สอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตัวเธอเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และมักใช้เวลาว่างเรียบเรียงความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นงานเขียนอยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจเลยหากเธอจะหลงใหลในโลกแห่งศิลปะตั้งแต่เด็ก
"แซมเริ่มต้นจากการชอบเขียนนิยาย บทความสั้นๆ แต่ไม่ได้เอาไปเผยแพร่ที่ไหนนะ เราเขียนแล้วก็เก็บเอาไว้อ่านเอง จำได้ว่าช่วงนั้นเราตื่นนอนขึ้นมาก็เขียนอะไรไปเรื่อยจนเข้านอน แล้วก็ตื่นมาเขียนอีก เราชอบการเขียนควบคู่มากับการเล่นดนตรี แซมเป็นคนฟังเพลงลึกมากๆ ขนาดที่ฟังเพลงไปทำงานไปไม่ได้ เพราะแซมจะจดจ่ออยู่กับเพลงนั้น"
เมื่อเข้าสู่วัยมัธยม แซมมี่เริ่มทำวงดนตรีกับกลุ่มเพื่อน ก่อนจะค้นพบว่าเธอชอบฟังดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ และเริ่มฝึกแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ 13 ปี ก่อนจะปล่อยเพลงที่แต่งสั้นๆ ให้ผู้ติดตามได้ฟังผ่านแอคเคาท์อินสตาแกรมที่มีชื่อว่า xamiliel
"พอฟังเพลงถึงจุดหนึ่งเราก็อยากจะลองแต่งเพลงเองดูบ้าง แซมเริ่มจากการหาบีตฟรีที่ชอบ ตอนนั้นอยากทำเพลงแนวโซลฮิปฮอป พอได้บีตแล้วเราก็ฮัมทำนองไปกับเพลง แล้วใช้โทรศัพท์อัดเสียงไว้ หลังจากนั้นค่อยนำมาเรียบเรียงเนื้อร้อง จำได้ว่าเพลงนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอบายมุขค่ะ" เธอหยุดหัวเราะ แล้วพูดต่อ "มันน่าจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเรา แต่พอย้อนกลับไปคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวเราเลย"
เธอบอกว่าตัวเองโชคดีที่พบเจอความชอบของตัวเองตั้งแต่เด็ก เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน "แซมรู้สึกว่าเรารู้ว่าตัวเองชอบอะไรค่อนข้างเร็ว แซมเคยคุยกับเพื่อนๆ หลายคนยังอยู่ในช่วงค้นหาตัวเองอยู่ อย่างแซมชอบดนตรีและงานศิลปะเพราะมันเป็นตัวแซมไปแล้ว เราโตมากับสิ่งเหล่านี้ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะไม่ชอบมันได้ เพราะมันเป็นตัวเราไปแล้ว"
เมื่อความฝันของเธอชัดเจนขึ้น เธอจึงตัดสินใจเรียนต่อมัธยมปลายด้านสายศิลป์ดนตรี เธอเล่าติดตลกว่า ในเวลานั้นมีเธอเลือกเรียนอยู่คนเดียว "จำได้ว่าตอนสมัครเรียน เขาถามเราว่าถ้าเรียนคนเดียวจะไหวไหม (หัวเราะ) เราเรียนคนเดียวอยู่หนึ่งปี หลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องเข้ามาเพิ่ม ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่แซมอยู่กับรุ่นพี่มหาวิทยาลัยที่เป็นนักดนตรี และมีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ต งานดนตรีอยู่บ่อยๆ มันยิ่งทำให้เราชอบดนตรีมากขึ้นเรื่อยๆ"
"จากที่เคยทำเพลงคนเดียวในห้องนอน พอมาทำงานกับพี่ๆ ในค่าย มันมีหลายอย่างที่เราต้องทำความเข้าใจกัน แซมเรียนรู้ว่า เราต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกจริงๆ เพราะนี่เป็นผลงานของเรา มันเป็นงานอาร์ตที่ต้องถ่ายทอดตัวตนของเราออกมา เมื่อก่อนเราจะกลัวว่าสิ่งที่พูดจะส่งผลกับคนอื่นยังไงบ้าง แต่ถ้าเราไม่พูดคนอื่นจะไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร"
เธอไม่เพียงเรียนรู้การทำงานที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น แต่เธอเองก็ค่อยๆ ค้นพบแนวเพลงที่ถ่ายทอดตัวตนได้ชัดเจนขึ้นด้วย "แซมรู้สึกว่าตัวเองยังมีประสบการณ์ด้านการเขียนเพลงน้อยมาก เพราะเราเขียนจริงจังยังไม่ถึง 4 ปีเลย เราเริ่มจากการชอบเขียนเพลงฮิปฮอป เพราะชื่นชอบศิลปินที่ชื่อว่า Rush เขาเป็นศิลปินอีกหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้แซมอยากเขียนเพลง นอกจาก Melanie Martinez พอเริ่มโตขึ้น แซมก็พยายามหาว่าแนวดนตรีของเราคืออะไร แซมอยากทำเพลงที่มันเป็นธรรมชาติของเรามากที่สุด เล่นกีต้าร์ไปเรื่อยๆ ฮัมเป็นทำนอง จนเรียบเรียงออกมาเป็นเพลง เราก็ไม่รู้ว่าในอนาคต เพลงเราจะเปลี่ยนไปทางไหนเหมือนกันนะ"
"แซมชอบเปรียบเทียบความรู้สึกเป็นสิ่งของหรือคำพูดบางคำ อย่างเพลงทานตะวัน เราก็เปรียบเทียบคนๆ หนึ่งเป็นดอกทานตะวัน มันเริ่มมาจากการที่แซมได้อ่านหนังสือ 'ทานตะวันบนดวงจันทร์' ของนักเขียนที่ชื่อว่า อะตอม ปกรณ์ แซมรู้สึกชอบความหมายของดอกทานตะวันที่หมายถึงรักที่บริสุทธิ์และความจงรักภักดีมากๆ เลยหยิบมาเล่าเป็นเพลงค่ะ"
"แซมไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนที่เข้ามาฟังจะชอบเพลงของเรา ขอแค่มีหนึ่งหรือสองคนที่รู้สึกถึงเรื่องราวในเพลง มันก็มีความหมายมากแล้ว แซมอยากส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้คนได้สัมผัสผ่านเพลงที่เราเขียน แซมอยากเป็นศิลปินที่คนมองว่านี่คือธรรมชาติของแซม ไม่ใช่สิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้นมา บางทีแซมก็รู้สึกว่าตัวเองคงไม่เข้าใจเพลงได้เท่ากับคนที่ฟัง พอได้อ่านคอมเมนต์ก็รู้สึกเหมือนได้เรียนรู้เพลงของตัวเองไปพร้อมกับคนฟัง เราได้เห็นมุมมองอื่นๆ มากขึ้นในเพลงที่เราเขียน มันทำให้เรารู้สึกดีมากๆ" เธอเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่เพลงถูกปล่อยออกมา
เพลงทานตะวันไม่เพียงถ่ายทอดแนวดนตรีที่ชอบ แต่ยังก็แอบซ่อนตัวตนของเธอไว้ในบทเพลงอีกด้วย "เพลงทานตะวันเป็นเหมือนตัวแทนของแซมค่ะ แซมเป็นคนที่เรียบง่าย เป็นคนที่เหมือนกับเส้นตรง ในเพลงได้ซ่อนความเซนซิทีฟและความอ่อนไหวในตัวเราไว้ แซมเชื่อว่าที่แซมโตมาแบบนี้ แต่งเพลงแบบนี้ มันเป็นเพราะอิทธิพลจากเพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน ศิลปะทุกอย่างมันหล่อหลอมให้เราเป็นเราแบบนี้ ถ้าเพลงทานตะวันกลายเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของใครสักคนก็คงดีเหมือนกันนะ"
นอกเหนือจากงานเขียนและการทำเพลง แซมมี่ยังชื่นชอบการวาดรูปและสมสมหินเป็นงานอดิเรกอีกด้วย
"เราเพิ่งรู้ตัวว่าหลังๆ ไม่ค่อยได้วาดภาพเลย ปกติแล้วแซมจะชอบวาดเวลาว่าง ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพ abstract แซมจะชอบป้ายสีที่แทนความรู้สึกในวันนั้น เวลาวาดเสร็จแล้วมองดู มันทำให้เรารู้ว่าวันนี้เราเป็นยังไง รู้สึกอะไรบ้าง บางทีเอาไปให้คุณพ่อดู พ่อก็จะพูดว่า 'เอ๊ะ ช่วงนี้มีความรักใช่ไหม วันนี้มาโทนหวานเชียว'
อีกอย่างแซมชอบสะสมหินเป็นงานอดิเรก มีเยอะมาก อยู่แทบทุกมุมห้องเลย แซมชอบความหมายของหิน ชอบนั่งสมาธิแล้วเอาหินพวกนี้มากำไว้ในมือ มันเป็นวิธีสะกดจิตตัวเองแบบหนึ่งเหมือนกัน อย่างหินนี้สื่อถึงความรัก ความเมตตา มันทำให้เราได้คิดว่า ฉันได้รับความเมตตาและฉันจะมอบความรักให้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา"
ก่อนบทสนทนาจะจบลง แซมมี่เล่าถึงภาพฝันในอนาคตของเธอไว้ว่า "วันหนึ่งคงได้เจอความชอบที่เราไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน แซมอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แฮปปี้ไปกับมัน ดูแลคนรอบข้างได้ และตัวเองก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำค่ะ"
2860 VIEWS |
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา