โลกสีน้ำเงินของ SAMMii เด็กสาวที่เชื่อว่าศิลปินคือผู้กล้า

    นิ่ง เรียบ ราวกับคลื่นที่สงบ แต่อุดมไปด้วยความอบอุ่น คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อได้ฟังเพลง 'ทานตะวัน' ซิงเกิ้ลแรกจาก แซมมี่-ภัคธีมา ชิลเลอร์ หรือ SAMMii ศิลปินน้องใหม่จาก Universal Music Thailand ผู้มาพร้อมกับเสียง Low Tone Voice ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล และแนวเพลงที่ผสมผสานกลิ่นอาย Bedroom Pop ในแบบฉบับของตัวเอง

    เรียบง่าย เป็นกันเอง แต่อุดมไปด้วยความมุ่งมั่น คือ ตัวตนที่เราสัมผัสได้จากการสนทนากับเธอ

    "แซมว่าตัวแซมเหมือนสีน้ำเงินค่ะ" แซมมี่ในวัย 18 ปีบอกเล่าสีสันที่แต่งแต้มตัวตนของเธอด้วยรอยยิ้ม

    เด็กสาวเติบโตมากับเพลงฮิตยุค 90s จากเพลย์ลิสต์ระหว่างขับรถของครอบครัว เห็นภาพวาดจากงานอดิเรกของคุณพ่อประดับอยู่ทั่วทุกมุมบ้าน มีคุณลุงเป็นนักดนตรีแจ๊สอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตัวเธอเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และมักใช้เวลาว่างเรียบเรียงความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นงานเขียนอยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจเลยหากเธอจะหลงใหลในโลกแห่งศิลปะตั้งแต่เด็ก

    "แซมเริ่มต้นจากการชอบเขียนนิยาย บทความสั้นๆ แต่ไม่ได้เอาไปเผยแพร่ที่ไหนนะ เราเขียนแล้วก็เก็บเอาไว้อ่านเอง จำได้ว่าช่วงนั้นเราตื่นนอนขึ้นมาก็เขียนอะไรไปเรื่อยจนเข้านอน แล้วก็ตื่นมาเขียนอีก เราชอบการเขียนควบคู่มากับการเล่นดนตรี แซมเป็นคนฟังเพลงลึกมากๆ ขนาดที่ฟังเพลงไปทำงานไปไม่ได้ เพราะแซมจะจดจ่ออยู่กับเพลงนั้น"

    เมื่อเข้าสู่วัยมัธยม แซมมี่เริ่มทำวงดนตรีกับกลุ่มเพื่อน ก่อนจะค้นพบว่าเธอชอบฟังดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ และเริ่มฝึกแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ 13 ปี ก่อนจะปล่อยเพลงที่แต่งสั้นๆ ให้ผู้ติดตามได้ฟังผ่านแอคเคาท์อินสตาแกรมที่มีชื่อว่า xamiliel

    "พอฟังเพลงถึงจุดหนึ่งเราก็อยากจะลองแต่งเพลงเองดูบ้าง แซมเริ่มจากการหาบีตฟรีที่ชอบ ตอนนั้นอยากทำเพลงแนวโซลฮิปฮอป พอได้บีตแล้วเราก็ฮัมทำนองไปกับเพลง แล้วใช้โทรศัพท์อัดเสียงไว้ หลังจากนั้นค่อยนำมาเรียบเรียงเนื้อร้อง จำได้ว่าเพลงนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอบายมุขค่ะ" เธอหยุดหัวเราะ แล้วพูดต่อ "มันน่าจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเรา แต่พอย้อนกลับไปคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวเราเลย"

    เธอบอกว่าตัวเองโชคดีที่พบเจอความชอบของตัวเองตั้งแต่เด็ก เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน "แซมรู้สึกว่าเรารู้ว่าตัวเองชอบอะไรค่อนข้างเร็ว แซมเคยคุยกับเพื่อนๆ หลายคนยังอยู่ในช่วงค้นหาตัวเองอยู่ อย่างแซมชอบดนตรีและงานศิลปะเพราะมันเป็นตัวแซมไปแล้ว เราโตมากับสิ่งเหล่านี้ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะไม่ชอบมันได้ เพราะมันเป็นตัวเราไปแล้ว"

    เมื่อความฝันของเธอชัดเจนขึ้น เธอจึงตัดสินใจเรียนต่อมัธยมปลายด้านสายศิลป์ดนตรี เธอเล่าติดตลกว่า ในเวลานั้นมีเธอเลือกเรียนอยู่คนเดียว "จำได้ว่าตอนสมัครเรียน เขาถามเราว่าถ้าเรียนคนเดียวจะไหวไหม (หัวเราะ) เราเรียนคนเดียวอยู่หนึ่งปี หลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องเข้ามาเพิ่ม ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่แซมอยู่กับรุ่นพี่มหาวิทยาลัยที่เป็นนักดนตรี และมีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ต งานดนตรีอยู่บ่อยๆ มันยิ่งทำให้เราชอบดนตรีมากขึ้นเรื่อยๆ"

    หลังจากที่เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการแต่งเพลงด้วยตัวเองอยู่พักใหญ่ จนมีโอกาสได้มาเป็นส่วนหนึ่งของ Universal Music Thailand นั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่เธอเติบโตทั้งมุมมองความคิดและศักยภาพในฐานะคนทำงานเพลง

    "จากที่เคยทำเพลงคนเดียวในห้องนอน พอมาทำงานกับพี่ๆ ในค่าย มันมีหลายอย่างที่เราต้องทำความเข้าใจกัน แซมเรียนรู้ว่า เราต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและรู้สึกจริงๆ เพราะนี่เป็นผลงานของเรา มันเป็นงานอาร์ตที่ต้องถ่ายทอดตัวตนของเราออกมา เมื่อก่อนเราจะกลัวว่าสิ่งที่พูดจะส่งผลกับคนอื่นยังไงบ้าง แต่ถ้าเราไม่พูดคนอื่นจะไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร"

    เธอไม่เพียงเรียนรู้การทำงานที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น แต่เธอเองก็ค่อยๆ ค้นพบแนวเพลงที่ถ่ายทอดตัวตนได้ชัดเจนขึ้นด้วย "แซมรู้สึกว่าตัวเองยังมีประสบการณ์ด้านการเขียนเพลงน้อยมาก เพราะเราเขียนจริงจังยังไม่ถึง 4 ปีเลย เราเริ่มจากการชอบเขียนเพลงฮิปฮอป เพราะชื่นชอบศิลปินที่ชื่อว่า Rush เขาเป็นศิลปินอีกหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้แซมอยากเขียนเพลง นอกจาก Melanie Martinez พอเริ่มโตขึ้น แซมก็พยายามหาว่าแนวดนตรีของเราคืออะไร แซมอยากทำเพลงที่มันเป็นธรรมชาติของเรามากที่สุด เล่นกีต้าร์ไปเรื่อยๆ ฮัมเป็นทำนอง จนเรียบเรียงออกมาเป็นเพลง เราก็ไม่รู้ว่าในอนาคต เพลงเราจะเปลี่ยนไปทางไหนเหมือนกันนะ"

    แล้วเพลง 'ทานตะวัน' ก็เกิดขึ้น เพื่อถ่ายทอดตัวตน ความฝัน ความตั้งใจในฐานะศิลปินของแซมมี่ให้ผู้ฟังได้ทำความรู้จักเธออย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง

    "แซมชอบเปรียบเทียบความรู้สึกเป็นสิ่งของหรือคำพูดบางคำ อย่างเพลงทานตะวัน เราก็เปรียบเทียบคนๆ หนึ่งเป็นดอกทานตะวัน มันเริ่มมาจากการที่แซมได้อ่านหนังสือ 'ทานตะวันบนดวงจันทร์' ของนักเขียนที่ชื่อว่า อะตอม ปกรณ์ แซมรู้สึกชอบความหมายของดอกทานตะวันที่หมายถึงรักที่บริสุทธิ์และความจงรักภักดีมากๆ เลยหยิบมาเล่าเป็นเพลงค่ะ"

    "แซมไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนที่เข้ามาฟังจะชอบเพลงของเรา ขอแค่มีหนึ่งหรือสองคนที่รู้สึกถึงเรื่องราวในเพลง มันก็มีความหมายมากแล้ว แซมอยากส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้คนได้สัมผัสผ่านเพลงที่เราเขียน แซมอยากเป็นศิลปินที่คนมองว่านี่คือธรรมชาติของแซม ไม่ใช่สิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้นมา บางทีแซมก็รู้สึกว่าตัวเองคงไม่เข้าใจเพลงได้เท่ากับคนที่ฟัง พอได้อ่านคอมเมนต์ก็รู้สึกเหมือนได้เรียนรู้เพลงของตัวเองไปพร้อมกับคนฟัง เราได้เห็นมุมมองอื่นๆ มากขึ้นในเพลงที่เราเขียน มันทำให้เรารู้สึกดีมากๆ" เธอเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่เพลงถูกปล่อยออกมา 

    เพลงทานตะวันไม่เพียงถ่ายทอดแนวดนตรีที่ชอบ แต่ยังก็แอบซ่อนตัวตนของเธอไว้ในบทเพลงอีกด้วย "เพลงทานตะวันเป็นเหมือนตัวแทนของแซมค่ะ แซมเป็นคนที่เรียบง่าย เป็นคนที่เหมือนกับเส้นตรง ในเพลงได้ซ่อนความเซนซิทีฟและความอ่อนไหวในตัวเราไว้ แซมเชื่อว่าที่แซมโตมาแบบนี้ แต่งเพลงแบบนี้ มันเป็นเพราะอิทธิพลจากเพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่าน ศิลปะทุกอย่างมันหล่อหลอมให้เราเป็นเราแบบนี้ ถ้าเพลงทานตะวันกลายเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของใครสักคนก็คงดีเหมือนกันนะ"

    "ศิลปินเป็นผู้กล้า การที่คนๆ หนึ่งกล้าถ่ายทอดความรู้สึกในหัวออกมาเป็นผลงาน สำหรับแซมมันเป็นเรื่องที่กล้าหาญมากเลยค่ะ" แซมมี่บอกกับเราในช่วงหนึ่งในการสนทนา "แซมเองก็อยากเป็นผู้กล้าค่ะ เพลงของแซมเป็นเหมือนบันทึกความทรงจำว่าเราเคยผ่านมาอะไรบ้าง อย่างเพลงหนึ่งที่แซมแต่งไว้ชื่อว่า Why Says Why เป็นเพลงที่แซมเล่าถึง LGBTQ+ มันทำให้เรานึกย้อนไปถึงรักแรกตอนเด็กๆ เขาเป็นรุ่นน้องผู้หญิง จำได้ว่าช่วงเวลาที่ชอบเขามันสดใสมากเลย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเราเป็นเด็กเทาๆ คนหนึ่ง ประมาณว่า Let's falling in love, Just a day, Just a night, Just a moment."

    นอกเหนือจากงานเขียนและการทำเพลง แซมมี่ยังชื่นชอบการวาดรูปและสมสมหินเป็นงานอดิเรกอีกด้วย

    "เราเพิ่งรู้ตัวว่าหลังๆ ไม่ค่อยได้วาดภาพเลย ปกติแล้วแซมจะชอบวาดเวลาว่าง ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพ abstract แซมจะชอบป้ายสีที่แทนความรู้สึกในวันนั้น เวลาวาดเสร็จแล้วมองดู มันทำให้เรารู้ว่าวันนี้เราเป็นยังไง รู้สึกอะไรบ้าง บางทีเอาไปให้คุณพ่อดู พ่อก็จะพูดว่า 'เอ๊ะ ช่วงนี้มีความรักใช่ไหม วันนี้มาโทนหวานเชียว'

    อีกอย่างแซมชอบสะสมหินเป็นงานอดิเรก มีเยอะมาก อยู่แทบทุกมุมห้องเลย แซมชอบความหมายของหิน ชอบนั่งสมาธิแล้วเอาหินพวกนี้มากำไว้ในมือ มันเป็นวิธีสะกดจิตตัวเองแบบหนึ่งเหมือนกัน อย่างหินนี้สื่อถึงความรัก ความเมตตา มันทำให้เราได้คิดว่า ฉันได้รับความเมตตาและฉันจะมอบความรักให้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา"

    ก่อนบทสนทนาจะจบลง แซมมี่เล่าถึงภาพฝันในอนาคตของเธอไว้ว่า "วันหนึ่งคงได้เจอความชอบที่เราไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน แซมอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แฮปปี้ไปกับมัน ดูแลคนรอบข้างได้ และตัวเองก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำค่ะ"

    แม้ไม่อาจรู้ว่าในอนาคต เสียงเพลงจะพาแซมมี่เติบโตไปในทิศทางไหน และโลกสีน้ำเงินของเธอจะมีสีสันอะไรเข้ามาแต่งแต้มอีกบ้าง แต่บทสนทนาครั้งนี้ก็ทำให้เราเห็นถึงความมุ่งมั่นและความจริงใจในบทเพลงของศิลปินสาวคนนี้เป็นอย่างดี
Favorite Something
  •   Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)
  •   Prateek Kuhad - Tune Kaha, Aurora - Exist for love
  •   Rupi Kaur - Milk and honey
  •   Melanie Martinez

นิษณาต นิลทองคำ

กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา