หากให้จินตนาการว่า กรุงเทพมหานครมีกลิ่นอย่างไร เราอาจจะนึกไปถึงกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในอาคารสำนักงาน กลิ่นผัดกะเพราเคล้าหนังสือพิมพ์ในร้านอาหารตามสั่งตอนพักเที่ยง กลิ่นเขม่าควันรถที่ปะปนกับน้ำในคลองแสนแสบ กลิ่นผ้าหอมแดดหลังเก็บผ้าที่ตากไว้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ฯลฯ สำหรับ Wax Valley Candle Co. เลือกนำเสนอกลิ่น Bangkok ผ่านความหอมอ่อนโยนของลาเวนเดอร์ พร้อมกระตุ้นความรู้สึกให้ตื่นตัวด้วยเครื่องเทศอย่างอบเชยไว้ในเทียนไขถั่วเหลือง เป็นการออกแบบกลิ่นที่สะท้อนความทันสมัยของเมืองหลวง ขณะเดียวกันเมื่อเปลวเทียนถูกจุดขึ้นเมื่อไร ก็มอบความผ่อนคลายที่ตัดขาดความวุ่นวายในเมืองได้ทุกครั้ง
หนึ่ง-อภิชาต คชพัฒน์ทรัพย์ เจ้าของแบรนด์เทียนไขถั่วเหลือง Wax Valley Candle Co. ทำสินค้าชุดแรกออกมาในปี 2560 ก่อน 6 กลิ่น ได้แก่ Bangkok, Roaster, Tender, Siam Disc,Delight และ Woodland ก่อนที่จะพร้อมขยับขยายมาเบลนด์เทียนไขถั่วเหลืองกลิ่นอื่นๆ ในคอนเซปต์ที่น่าสนใจ เช่น โชคดี, Library, Love Rosie ฯลฯ จนเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2562 เขาจึงแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าเป็นก้านไม้หอมน้ำมันธรรมชาติ (Diffuser) 4 กลิ่น ที่ได้แรงบันดาลใจจากความเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลที่มีผลต่อภาวะร่างกายและอารมณ์ของคน ออกมาเป็นชุด Winter, Autumn, Spring และ Summer รวมถึงมีบริการผลิตจำนวนมากและสามารถเบลนกลิ่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่ต้องการสินค้าในโอกาสพิเศษต่างๆ อีกด้วย
เขาแวะมาคุยกับเราที่ happening library ภายในโครงการดาดฟ้า พอได้กลิ่นกาแฟและวาฟเฟิลใบเตยที่อบอวลอยู่ในร้านก็บอกว่า "เร็วๆ นี้จะมีเทียนกลิ่นวาฟเฟิลใบเตยวางจำหน่ายที่นี่ที่เดียวด้วยนะครับ" หนึ่งพูดถึง Green Waffle เทียนไขถั่วเหลืองกลิ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นเพื่อวางจำหน่ายเฉพาะร้านสาขา happening library และสามารถหาซื้อได้แล้วตอนนี้
เราลองให้เขาทบทวนถึงจุดเริ่มต้นของ Wax Valley Candle Co. อีกครั้ง หนึ่งจึงเล่าถึงช่วงที่เดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่ประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะรู้จักกับเทียนไขถั่วเหลืองโดยบังเอิญแล้วนำกลับมาผลิตภายใต้แบรนด์ของตัวเองที่เมืองไทย
"ผมเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับการทำงานสายโลจิสติกก็เลยลาออกจากงานครับ ตอนนั้นที่ประเทศออสเตรเลียมีวีซ่าเวิร์กฮอลิเดย์ (Work Holiday Visa) พอยื่นเอกสารทุกอย่างผ่านเรียบร้อยก็ตั้งใจว่าจะไปทำงานร้านกาแฟที่นู่น ก่อนไปหนึ่งเดือน เราก็ไปเรียนบาริสต้า ฝึกแล้วทำเรซูเม่ไปยื่นหางานที่นู่นเลยได้ทำงานคาเฟ่ พอดีมีจังหวะที่ได้ไปเดินตลาดอาร์ตมาร์เก็ตที่เขาจัดในสวนพฤกษศาสตร์ เจอร้านนึงขายเกี่ยวกับเครื่องหอมคือเทียนนี่แหละ เราเลยเพิ่งรู้ว่ามีเทียนที่ทำจากไขถั่วเหลืองซึ่งเป็นวัตถุดิบทดแทนด้วย"
ผลิตภัณฑ์เทียนไขถั่วเหลืองมีคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จุดแล้วไม่เป็นเขม่าควันดำ รวมถึงน้ำตาเทียนไม่ร้อนจึงสามารถนำมาใช้นวดตัวได้ ไม่เหมือนพาราฟินที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เวลาจุดแล้วอาจจะมีเบนซินตกค้างอยู่ในอากาศ จากประสบการณ์ที่เคยทำงานด้านโลจิสติกทำให้เขาสนใจนำสินค้าชนิดนี้มาขายที่เมืองไทย แต่เมื่อสอบถามเจ้าของแบรนด์แล้วพบว่า ขั้นตอนการขนส่งที่มีอุณหภูมิสูงอาจทำให้สินค้าเสียหายได้ หนึ่งจึงคิดที่จะทดลองทำสินค้าด้วยตัวเอง เริ่มจากสั่งชุดสตาร์ทเตอร์มาทำเพื่อให้รู้กระบวนการผลิต แล้วใช้ช่วงวันหยุดจากการทำงานที่ร้านกาแฟมาเริ่มสร้างแบรนด์เทียนไขถั่วเหลืองของตัวเอง
"ตอนนั้นอากาศร้อนมากแล้วห้องสมุดของเมืองเป็นที่เดียวที่มีแอร์และสามารถใช้ wifi ได้ ผมก็เริ่มวางแบรนดิ้งตั้งแต่คิดชื่อแบรนด์ ทำโลโก้ เปิดเพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม แล้วก็เริ่มศึกษาโทนกลิ่นว่าจะมีกลิ่นไหนเข้ากันได้ ลิสต์มาเยอะๆ เพื่อที่กลับเมืองไทยแล้วจะได้ลองจับคู่กลิ่นผลิตดู"
หนึ่งเล่าให้ฟังว่าตอนแรกเกือบจะใช้ชื่อแบรนด์ว่า ฮุกกะ (Hygge หมายถึง ปรัชญาความสุขจากประเทศเดนมาร์กที่เป็นเทรนด์อยู่ช่วงหนึ่ง) แต่ถ้าหากใช้คำที่เป็นเทรนด์ ต่อไปอาจจะหลุดเทรนด์ได้จึงนึกถึงคำว่า Wax ซึ่งสื่อถึงไขโดยตรง ส่วนคำว่า Valley ที่แปลว่า หุบเขา ให้ความรู้สึกถึงความเป็นพื้นที่ นำมารวมเป็น Wax Valley เพื่อให้คนที่เห็นชื่อแบรนด์สามารถจำได้ว่านี่คือแบรนด์ที่ทำเทียนหอม
Wax Valley เดินทางออกจากห้องสมุดที่ออสเตรเลียกลับมาถึงเมืองไทย แล้วก็ย้ายเข้าครัวทันที เขาใช้เครื่องครัวที่มีอยู่ในบ้านเป็นอุปกรณ์สำหรับการทดลอง และการผลิตล็อตแรกเพื่อออกบูททดลองตลาด ซึ่งเขาเปิดเผยว่าต้องลุ้นพอสมควร
"ผมเตรียมเงินบางส่วนที่ทำงานได้จากที่ออสเตรเลียมาลงทุนตรงนี้ คิดว่ากรณีที่แย่ที่สุดคือไม่รอด แล้วค่อยกลับไปทำงานที่ออสเตรเลียใหม่ จังหวะที่กลับมาตอนนั้นเดือนพฤศจิกายน มันเป็นช่วงที่พบว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างของบ้านเราสำหรับนำมาประกอบเป็นเทียนมาจากแหล่งที่หลากหลายมาก เจ้านั้นทำไขถั่วเหลือง เจ้านี้ซัพพอร์ตตลับ อีกเจ้านึงทำสติกเกอร์ แล้วเราจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็เลยตั้งเดดไลน์ด้วยการจองบูทงาน K Village Christmas Market 2017 ไปเลย ตอนงานต้องมีของไปขายแล้วนะ หลังจากนั้นแทบจะนอนฝันถึงเรื่องนี้เลย ออกมางานแรกเลยเป็น 6 กลิ่น แต่ละกลิ่นมี 3 ไซส์"
Wax Valley Candle Co. มีแนวคิดในการทำแบรนด์เครื่องหอมจากเทียนไขถั่วเหลืองให้เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงคนทั่วไปให้นำไปใช้งานที่บ้านหรือพกพาติดตัวเวลาเดินทาง เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายเฉพาะสำหรับผู้ใช้ทุกครั้งที่จุด ตามสโลแกนของแบรนด์ที่ว่า Make Atmosphere Yours.
"ผมว่ามันเหมือนเป็นการสร้างคอมฟอร์ตสเปซของตัวเองขึ้นมา นอกจากที่เราจะแต่งห้องให้เป็นรูปแบบที่เราชอบ เรื่องของกลิ่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราจะรับรู้ได้ อย่างที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ กลิ่นที่เรารับรู้คือวาฟเฟิลใบเตยเนอะ มันจะให้ความรู้สึกถึงความคุ้นเคย หรือมีลูกค้าบางคนที่เขาได้กลิ่นบางตัวแล้วเขาจะนึกถึงบ้านคุณยาย ผมก็เลยคิดว่าเรื่องของกลิ่นมันเป็นการสร้างคอมฟอร์ตสเปซ พอเรามีพื้นที่นี้เราจะรู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งแล้วมันคือความสบายใจ ก็เลยเป็นที่มาของแต่ละกลิ่นที่เราพยายามมาแมตชิ่งกับเรื่องราวที่นำเสนอในแต่ละกลิ่น ความสนุกท้าทายคือ เราจะเอากลิ่นและเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อเข้าหากันได้ยังไง"
ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากผลิตภัณฑ์ของ Wax Valley นอกจากกลิ่นที่เบลนด์ขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศพิเศษเฉพาะตัวแบบที่ชอบแล้ว ยังสร้างประสบการณ์มาส่งมอบให้ลูกค้าสัมผัสอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการแจกเพลย์ลิสต์เพลงที่เข้ากับกลิ่นเทียนที่ซื้อ หรือการเบลนด์กลิ่นสำหรับจำหน่ายเฉพาะสถานที่แบบไม่สามารถหาซื้อที่อื่นได้ เพื่อเวลาที่จุดเทียนกลิ่นนั้นเมื่อไรก็จะระลึกถึงประสบการณ์ครั้งนั้นเสมอ เช่น Chiangmai และ Green Waffle เป็นต้น
"เราสนุกกับการโลคัลไลซ์ แต่ถ้ามองในแง่ธุรกิจ ผมว่ามันต้องบาลานซ์ อย่างคนที่ทำธุรกิจอาจจะมองว่า ทำไมทำเทียนขึ้นมาสักกลิ่นแล้วถึงไม่ทำรุ่นที่ส่งวางได้หลายๆ แห่ง เรากลับทำเทียนที่ส่งได้แค่ที่หรือ 2 ที่ อย่างกลิ่น Chiangmai มีวางอยู่แค่ 3 ที่ในเชียงใหม่ แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นการสร้างประสบการณ์ว่าลูกค้าไปตรงนั้นแล้ว ถ้าไม่ซื้อกลิ่นนี้ที่นั่น ที่อื่นไม่มีขายนะ มันเป็นความสนุกที่เกิดขึ้นมา"
ตั้งแต่วันที่สินค้าของ Wax Valley ผลิตขึ้นจากห้องครัวในบ้าน ปัจจุบันหนึ่งสามารถขยับขยายพื้นที่มาสร้างสตูดิโอไว้ข้างบ้านสำหรับผลิตสินค้าเป็นสัดเป็นส่วน จุดเปลี่ยนของการทำสตูดิโอนี้เองที่เขารู้สึกว่าแบรนด์ของตัวเองเริ่มมีความมั่นคงและไปต่อได้ เพราะช่วงแรกทางครอบครัวยังคาดหวังว่าเขาจะหางานประจำที่มั่นคงกว่านี้ แล้วมองว่าการทำเทียนไขถั่วเหลืองเป็นงานคราฟต์ที่เป็นงานอดิเรกเท่านั้น
"คำที่เขาพูดวันนั้นกลายเป็นสิ่งท้าทายเรานะ เราน่าจะอยากพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำอยู่มันน่าจะไปได้ เลยพยายามทำให้เต็มที่ในจุดที่เราสามารถทำได้ อย่างตอนนี้ที่สตูดิโอเราจะมีบางวันที่จ้างให้ญาติหรือคนรู้จักเข้ามาช่วยงานจุกจิกทำมือเป็นพาร์ตไทม์แล้วแม่มีเพื่อนคุย ซึ่งเรารู้สึกแฮปปี้กับการเห็นภาพตรงนั้น เหมือนเป็นคอมมูนิตี้ขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็เหมือนเราได้ช่วยเขา แล้วเขาก็ได้ช่วยงานเราให้เสร็จไปด้วย มันมีความสุข"
กว่าที่เขาจะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเข้มแข็งขึ้นได้ Wax Valley ต้องเดินขึ้นลงตามเส้นทางขรุขระในหุบเขาก่อนจะสูดอากาศสดชื่นได้อย่างทุกวันนี้ ระหว่างการคิดค้นและผลิตสินค้า เขาต้องเรียนรู้ถึงการควบคุมคุณภาพในการผลิตที่อัตราส่วนผสมค่อนข้างอ่อนไหว หรืออุณหภูมิขณะเทลงภาชนะการทำบัญชีที่มีระบบชัดเจน รวมถึงการจัดการสต็อกวัตถุดิบ การจัดเก็บสินค้า การกระจายสินค้า โดยเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้บริโภคแต่ละพื้นที่ และให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับลูกค้าในยุคนี้
แต่ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น สิ่งที่ทำให้เขาสามารถเผชิญกับอุปสรรคได้คือ เสียงตอบรับที่แปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจสำหรับคนทำแบรนด์
"บางทีเราไปออกอีเวนต์ปีแรกๆ เราพยายามดูว่ากลุ่มไหนคือตลาดที่ตรงกับสินค้าของเรา แล้วมีบางงานที่มันแป้ก พอแป้กต้นทุนค่าที่เป็นส่วนหนึ่ง แต่ต้นทุนทางใจผมว่าความรู้สึกของผมมันแพงมาก เพราะเราจะคอยถามตัวเองตลอดว่าสิ่งที่เราทำอยู่สามารถไปต่อได้ไหม หรือว่าสิ่งที่ทำอยู่ตรงกับตลาดหรือเปล่า มันคือการประคองใจ"
หากเริ่มทำความรู้จักกับแบรนด์ Wax Valley Candle Co. ครั้งแรก เราจะรับรู้ถึงกลิ่นที่มีตัวเลือกหลากหลาย ผ่านการนำเสนอคอนเซปต์ที่ตอบสนองบุคลิกและความชอบเฉพาะตัวได้อย่างน่าสนใจ แต่เมื่อลองใช้แล้วจะพบว่าคุณภาพของสินค้าคือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจและความใส่ใจที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าจริงๆ
ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นแบรนด์ใหม่และสินค้าที่แตกไลน์ออกมาเพื่อเติมช่องว่างทางการตลาดเครื่องหอมจากเขาอีก ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะยังใส่ใจในทุกรายละเอียดและขั้นตอนการผลิต เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าต่อไป
เมื่อเราถามถึงความสุขในการทำแบรนด์ของตัวเอง หนึ่งก็ตอบว่า "ถ้าใช้คำที่เขาพูดกันคือ เหมือนเราเป็นนายตัวเอง ควบคุมเวลาตัวเองได้ว่าวันไหนเราจะทำอะไร แต่ผมว่ามันหนักกว่างานประจำที่เราเคยทำอีกนะ ส่วนหนึ่งมันคืออิสระ แต่ในความอิสระต้องมีกรอบของมัน เหมือนแต่ละวันเราตื่นมาแล้วต้องขีดเส้นให้ตัวเองว่าวันนี้เราจะทำอะไรบ้าง คือเราจะไม่ทำอะไรก็ได้ แต่ปลายเดือนเราจะมีรายรับพอที่จะไปทำรายจ่ายหรือเปล่า ดังนั้นความสุขคืออิสระที่เราควบคุมในสิ่งที่เราต้องการทำได้ เราเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่พอไปได้ เติบโต เวลาที่ลูกค้าฟีดแบ็กมาว่าชอบ เวลาเราเห็นความสุขจากลูกค้า อันนี้เป็นความสุขอย่างนึงที่เรารับรู้ได้ว่าเขาแฮปปี้กับสิ่งที่เราตั้งใจทำออกไป"
การพูดคุยกับเขาในวันนี้ทำให้เราค้นพบว่า การจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องรู้จักใช้ความอิสระความคิดสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจ ควบคู่ไปกับความมีวินัยให้เป็น
ลองเข้ามาทำความรู้จักกับสินค้าของแบรนด์เพิ่มเติมได้ที่ Wax Valley Candle Co. หรือ หากสนใจสั่งซื้อเป็นจำนวนมากสามารถคลิกสอบถามข้อมูลได้ที่ happening Wholesale
4356 VIEWS |
นักเขียน ผู้ใช้พื้นที่ในเวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ขี่จักรยาน อ่านการ์ตูน เล่นเลโก้ ฯลฯ โดยเชื่อเต็มหัวใจว่าเวลาที่หมดไปกับความรื่นเริงนี้สามารถเติมเต็มชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ