อาจไม่คล้ายกอนโดลาของเวนิส ประเทศอิตาลี แต่เรือคลองแสนแสบบ้านเราก็มีสไตล์เฉพาะให้ลองนั่ง มองในแง่ดี นอกจากเราจะได้ชมชีวิตริมชลธารของผู้คนต่างๆ แล้ว คลองแสนแสบยังไม่มีการจราจรติดขัดให้เราเสียอารมณ์และเสียค่าน้ำมันจำนวนมาก ที่สำคัญนี่ยังเป็นอีกวิธีการเดินทางให้เราสามารถไปเที่ยวชมอาร์ตแกลเลอรีดีๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ได้ในราคาประหยัดสุดๆ
สุดสัปดาห์นี้ เราจึงขอชวนคุณก้าวเท้าลงเรือ เปลี่ยนฟีลเที่ยว แล้วมาลองล่องเรือชมงานศิลปะไปด้วยกัน!
1. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre)
เริ่มต้นขึ้นจากเรือมากันที่ท่าเรือสะพานหัวช้าง ท่าเรือที่ตั้งอยู่ใกล้กับสยาม ย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ หากเดินจากท่าเรือขึ้นมาตามถนนไม่ไกลนัก คุณจะพบกับหอศิลปกรุงเทพฯ
หอศิลป์แห่งนี้เกิดขึ้นจากการผลักดันของกลุ่มศิลปิน สื่อมวลชน และภาคประชาชน ที่ต้องการให้เกิดพื้นที่แสดงงานศิลปะใจกลางเมือง ให้สังคมได้มีแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม สามารถพัฒนาองค์ความรู้ทางศิลปะให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศ
ตลอดทั้ง 9 ชั้น กับอีก 2 ชั้นใต้ดินภายในหอศิลปกรุงเทพฯ มีการแสดงงานศิลปะแขนงต่างๆ หมุนเวียนตลอดทั้งปี มีห้องสมุด มีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ และร้านค้าเจ๋งๆ ที่ต่างก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ ซึ่งร้าน happening shop สาขาแรกของเรา ก็ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของที่นี่ด้วยนะ
จากท่าเรือสะพานหัวช้าง หากเราเลือกที่จะเดินเลียบเลาะมาตามทางเดินริมคลองแสนแสบ เพียงไม่กี่นาทีก็จะพบกับอาคารขนาดกะทัดรัด ที่เกิดจากการแปลงโรงพิมพ์เก่าแก่ให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ที่ชื่อ Yelo House
สถานที่ตั้งของ Yelo House นั้นอยู่ภายในซอย ไม่มีที่จอดรถ การนั่งเรือและเดินมาจึงสะดวกที่สุดในการมาที่นี่ ภายในของ Yelo House ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองชั้น และมีการแบ่งส่วนต่างๆ ให้เป็นทั้งแกลเลอรีจัดแสดงงาน พื้นที่จัดกิจกรรมหรือเวิร์กช็อป พื้นที่สำหรับเป็นห้องสำนักงานให้เช่า ห้องประชุม และยังมีส่วนของร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้รองรับผู้ที่มาสถานที่แห่งนี้อีกด้วย
แม้จะเป็นน้องใหม่ที่เปิดได้ไม่นาน แต่กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ Yelo House ก็กลายเป็นที่พูดถึง และชวนให้เราได้แวะมาที่แห่งนี้อีกหลายๆ ครั้ง
3. Jim Thompson Art Center
เดินถัดจาก Yelo House ลัดเลาะตามทางเดินริมคลองแสนแสบมาอีกไม่กี่ร้อยเมตร คุณจะพบกับเรือนไม้ทรงไทยโบราณ ซึ่งเป็นบ้านของอดีตนายทหารชาวอเมริกัน เจมส์ เอช.ดับเบิลยู.ทอมป์สัน ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมไหมไทยให้โด่งดังไปทั่วโลก ภายในพื้นที่แห่งนี้มีทั้งส่วนพิพิธภัณฑ์ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแวะชมทุกวันไม่ขาดสาย มีส่วนของหอศิลป์ที่เป็นอาคารไม้สองชั้น ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งใช้จัดนิทรรศการศิลปะจากศิลปินที่มีผลงานระดับโลก อีกทั้งยังมีงานบรรยายและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมอีกจำนวนมาก เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้าร่วม
เมื่อชมงานศิลปะต่างๆ เสร็จ กลับมาที่ท่าเรือสะพานหัวช้าง จากตรงนี้เราสามารถแบ่งการเดินทางด้วยเรือออกเป็น 2 สาย คือ เส้นปลายทางเป็นท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ กับเส้นปลายทางเป็นท่าวัดศรีบุญเรือง ซึ่งเราจะนั่งเรือไปสุดสายที่ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศกันก่อน
4. หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
จากท่าเรือเดินต่อไปเพียง 200 เมตร ก็จะถึงหอศิลป์ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีพระประสงค์ให้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะของศิลปินไทย ตั้งแต่รุ่นเยาว์ที่มีผลงานยังไม่เป็นที่รู้จักจนถึงศิลปินรุ่นอาวุโสที่ได้รับการยกย่อง
หอศิลป์แห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 5 ชั้น ซึ่งสี่ชั้นแรกจะเป็นส่วนแสดงนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนตลอดทั้งปี ส่วนชั้นที่ 5 บนสุด เป็นพื้นที่จัดงานกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ความรู้ด้านศิลปะให้กับสังคม
5. หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน
เราเดินต่อจากหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ไปประมาณ 300 เมตร ก็จะถึงหอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน อาคารประวัติศาสตร์อายุมากกว่า 80 ปี ที่สร้างขึ้นในช่วงยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ที่นี่ถูกปรับปรุงภายในใหม่ให้ ร่วมสมัย ทำเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย และจัดกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม โดยที่คงรูปลักษณ์ ภายนอกเดิมไว้ นอกจากนี้ยังมีส่วนของนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับประเทศในอาเซียนและการออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้ได้ชมกันอีกด้วย
กลับมาที่ท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศ คราวนี้เราจะนั่งย้อนกลับมาทางสายวัดศรีบุญเรือง นั่งชมวิวริมสองฝั่งคลองไปเพลินๆ แล้วมาขึ้นที่ท่าเรือนานาเหนือ
6. สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี
จากท่าเรือเดินไปไม่ไกลนัก จะพบกับตึก 5 ชั้น สูงเด่น นี่คือที่ตั้งของ สมบัติเพิ่มพูน แกลเลอรี (Sombatpermpoon Gallery)
อาคารแกลเลอรีที่เกิดขึ้นจากฝีมือของคุณสมบัติ วัฒนไทย หญิงนักจัดการศิลปะ (Art Dealer) และนักสะสมงานศิลปะ (Art Collector) ชื่อดังของไทยที่ผูกพันกับงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเดินเข้าไปในแกลเลอรี คุณจะพบกับงานศิลปะนับไม่ถ้วนถูกติดตั้งเป็นอย่างดี
ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปี เธอได้นำผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมจากศิลปินไทยจำนวนมาก ซึ่งเธอเป็นผู้คัดเลือกเอง มาจัดแสดง และขายภายในแกลเลอรีแห่งนี้ ขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจที่จะผลักดันให้ผู้คนได้หันมาสนใจศิลปะไทยกันมากขึ้น
นั่งเรือมาขึ้นที่ท่าเรือเพชรบุรี แล้วเดินข้ามสะพานมาทางฝั่งอโศก เลี้ยวเดินเข้ามาในซอยสุขุมวิท 23 จนพบกับอาคารนวัตกรรม ศ.ดร.สาโรช บัวศรี บริเวณชั้น 2 และ 3 ของที่แห่งนี้ คือที่ตั้งของ g23 ซึ่งดูแลโดยสถาบันด้านศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นิทรรศการศิลปะที่หอศิลป์แห่งนี้ถูกคัดสรรมาอย่างดีจากผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับศิลปินรุ่นใหม่ที่มีผลงานน่าสนใจ
นอกจากเดินจากท่าเรือเพชรบุรีแล้ว หากขึ้นที่ท่าเรือ มศว ประสานมิตร เดินลัดเลาะมหาวิทยาลัยมาเพียง 550 เมตรก็สามารถมาถึง หอศิลป์ g23 ได้ไม่ยากเช่นกัน
8. Ardel's Third Place Gallery
ปิดท้ายทริปนี้กันที่ท่าเรือทองหล่อ อีกหนึ่งย่านสุดขึ้นชื่อเรื่องรถติด เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าปากซอยทองหล่อซอย 10 ภายในอาคาร The Third Place Bangkok นี่คือที่ตั้งของหอศิลปะร่วมสมัยของเครือ Ardel Gallery of Modern Art สถานที่จัดนิทรรศการและกิจกรรมทางศิลปะมายาวนานกว่า 10 ปี โดยศาสตราจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะที่เปิดกว้างทางความคิด มีการนำเสนอผลงานศิลปะที่ไม่จำกัดรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผลงานของศิลปินมีชื่อเสียง หรือศิลปินรุ่นใหม่ไฟแรง เป็นศูนย์กลางความรู้และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันของหอศิลป์ ศิลปิน นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในงานศิลปะ ให้ได้ลองเดินเข้ามาเยี่ยมเยียนกัน