เคน ธีรเดช: ซุป'ตาร์ ละครไทย ผู้กำกับหน้าใหม่ และภาพถ่ายจากกล้องฟิล์ม

    ในประเทศไทย มีใครไม่รู้จัก เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ บ้าง?

    ช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ ขณะที่เรากำลังเดินไปยังจุดที่ช่างภาพตั้งใจใช้เป็นจุดบันทึกภาพนิ่ง เคน ธีรเดช เปรยกับเราทีเล่นทีจริงว่า "เดี๋ยวนี้เด็กๆ บางคนก็ไม่รู้จักผมแล้วครับ"

    สำหรับคนที่ติดตามวงการบันเทิงไทยมาหลายปีหน่อย ประโยคนี้ดูไม่น่าเชื่อนัก เพราะ เคน ธีรเดช เป็นพระเอกในวงการละครไทยมามากกว่า 20 ปี มีละครดังหลายต่อหลายเรื่อง เคยเป็นพระเอกภาพยนตร์ระดับร้อยล้านอย่าง รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (.. 2552) และยังเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าอีกนานาชนิด จนทุกวันนี้ยังมีภาพของเขาอยู่บนบิลบอร์ดขนาดยักษ์อยู่เลย

    แต่จะว่าไป หากมองตามจริงก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะยุคสมัยได้เดินทางมาถึงวันคืนที่ความสนใจของผู้คนไปอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กมากกว่าจอทีวีเสียแล้ว หลายคนก้มมองโทรศัพท์มือถือมากกว่าเงยหน้ามองป้ายบิลบอร์ด นี่คือห้วงเวลาที่คนดังระดับประเทศไม่ได้มีแต่ดารา หากแต่รวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์และยูทูบเบอร์ที่บางคนอาจโด่งดังยิ่งกว่าดาราก็มี

    เคน ธีรเดช กำลังจะมีผลงานละครเรื่องใหม่ในชื่อเรื่อง ซุปตาร์ 2550' ...ตัวเลขปี พ..บนชื่อละครนั้นสื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่เคยโด่งดังระดับประเทศเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งไม่มากก็น้อย เพียงเห็นแวบแรกก็พอเข้าใจได้ว่าเคนน่าจะเล่นล้อกับตัวเอง 

    แต่ไม่ใช่แค่เพราะเขากำลังจะมีละครเรื่องใหม่เท่านั้นที่ทำให้เราอยากได้โอกาสคุยยาวๆ กับนักแสดงคนนี้สักครั้ง หากเป็นเพราะงานนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เคนรับหน้าที่ผู้กำกับควบไปกับการรับบทแสดงนำอีกด้วย และเป็นเพราะช่วงหลังๆ เรายังแอบไปเห็นแอคเคาท์อินสตาแกรมที่เคนใช้โพสต์รูปถ่ายส่วนตัวซึ่งปรากฏว่าเขามีฝีมือในการถ่ายภาพเลยล่ะ

    การได้สนทนากับนักแสดงชื่อดังมากประสบการณ์ที่อยากเป็นผู้กำกับในละครที่หยอกล้อตัวเองแถมเขายังเป็นช่างภาพที่ถ่ายรูปได้น่าสนใจมากๆ ในวันเวลาที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งและโซเชียลเน็ตเวิร์กกำลังครอบครองความคิดและความเห็นของผู้คน เราก็น่าจะได้ฟังและได้เห็น 'มุมมอง' ที่น่าสนใจไม่น้อย

    เคน ธีรเดช รับนัดหมายพูดคุยกับเราที่ร้านกาแฟหน้าหมู่บ้าน เขาปรากฎตัวตรงเวลาในชุดสบายๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา นักแสดงหนุ่มใหญ่วัย 44 ปีนั่งลงพร้อมรอยยิ้ม แล้วเริ่มต้นตอบคำถามอย่างเป็นกันเอง เขาดื่มเพียงน้ำเปล่า แต่ก็ตอบรวดเร็ว หัวเราะสนุกสนาน และตั้งใจตอบกับทุกคำถาม

    "นี่ผมเพิ่งคุยกับพี่เป็นสื่อที่สองเอง" เคนบอกกับเราอย่างนี้ ไม่แน่ใจว่าเขาถ่อมตัวว่ายังไม่มีใครสนใจสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับละครเรื่องนี้มากนักหรือเป็นเพราะเรานัดเขาได้เร็วกันแน่ แต่ที่เราแน่ใจก็คือ บทสนทนานี้ ทำให้เราได้ 'รู้จัก' เคน ธีรเดช มากขึ้นแน่นอน

โควิด 19 มีผลอะไรกับชีวิตของ เคน ธีรเดช บ้าง?

    ผมว่ามันมีผลกระทบทุกคนแหละ ทั้งเรื่องงานเรื่องอะไร ยิ่งตอนช่วงแรกๆ งานกองถ่ายนี่มันลำบากมากเลยฮะ แต่แง่ดีก็คือมันทำให้ผมมีเวลา ที่ผมมาทำละครเรื่องนี้ได้ก็เพราะว่าผมได้อยู่เฉยๆ เยอะเหมือนกัน ก็เลยมีไอเดียขึ้นมา ซึ่งจริงๆ สมัยก่อนผมก็มีนะ แต่มีแล้วก็ทิ้งไป ทิ้งไป เพราะเราก็เป็นนักแสดงอยู่ แล้วก็มีอะไรให้ทำเรื่อยๆ แต่ลึกๆ แล้วผมเป็นคนชอบคิดฝันอะไรแบบนี้ ชอบคิดนู่นคิดนี่ขึ้นมา แล้วก็ทิ้งๆ ไป (หัวเราะ) แต่พอมีเวลาว่างตอนโควิด 19 แล้วมีไอเดียนี้ขึ้นมาก็เลยลองทำดู ลองไปคุยกับพี่ที่เขียนบท แต่ปกติแพทเทิร์นของละครคือ มันต้องเอานิยายมา หรือไม่ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ให้เรายึดเกาะได้ก่อน แล้วค่อยไปขยายเรื่องจากตรงนั้นออกมา แต่ไอเดียนี้ของผมมันแทบไม่มีเรื่องเลย (หัวเราะ) มันมีอยู่แค่นิดเดียว จริงๆ ถ้ามันเป็นไปได้ผมอยากให้มันเป็นหนัง แต่ผมก็ยังไม่ได้มีคอนเนกชั่นตรงนั้นด้วย ก็เลยคุยกับพี่ที่เคยเขียนบทละคร เออ..ก็ลองคุยๆ กันเรื่อยๆ แล้วกัน ว่าเราจะถูไถมันไปได้ถึงไหน

ไอเดียที่บอกว่ามีนิดเดียวของคุณคืออะไร?

    เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง ที่..ก็คือ 'ซุปตาร์ 2550' น่ะครับ คือในปี 2550 นี่ผู้ชายคนนี้ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทย แต่ ณ วันนี้เขาไม่ได้เป็นคนคนนั้นแล้ว เรื่องเริ่มจากตัวละครตัวนี้ที่ชื่อ ริว ธีรเดช (หัวเราะ) ก็เหมือนล้อๆ ตัวเองด้วยนะ คือผมเป็นคนชอบญี่ปุ่น แล้วชื่อ ริว มันก็มีความเป็นญี่ปุ่นเหมือนกัน แล้วก็เอาชื่อจริงตัวเองไปใส่ คืออยากให้ทุกคนไม่แน่ใจว่า ตกลงไอ้ตัวละครตัวนี้มันคือตัวผมหรือเปล่า ก็เบลนด์ๆ มันไป (หัวเราะ) แล้วไอ้ริวนี่มันก็เหมือนกับว่าจริงๆ ชีวิตเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก แต่แค่ไม่ได้ดังเหมือนเดิมแล้วอะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็เลยมีความรู้สึกอยากจะประสบความสำเร็จอีกครั้ง อยากจะทำอะไรสักอย่างอะไรอย่างนี้ แต่ว่าไม่ใช่ฐานะนักแสดง ก็คือเขาจะเป็นผู้กำกับ

ฟังดูเหมือนเป็นตัวคุณมากๆ เพราะละครเรื่องนี้คุณก็เป็นผู้กำกับด้วย

    ก็เหมือนกับว่าผมเอาไอ้สิ่งนี้แหละ เอาสิ่งที่ผมจะทำ มันก็ล้อไปกับสิ่งที่มันเป็นในละครด้วยอะไรอย่างนี้ครับ

แล้วบทมันพัฒนาต่อมาอย่างไร มีอะไรที่ถูกเติมเข้ามาอีกบ้าง?

    พอตัวละครตัวนี้เขาจะกลับมาในฐานะผู้กำกับ แต่ด้วยสถานการณ์ของทีวีตอนนี้ คือทางช่องเองก็แย่ คนก็ไปเสพอย่างอื่นแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ...คือผมก็ต้องทำเรื่องที่ผมรู้สึก สัมผัสง่าย เพราะว่าไม่งั้นผมก็ไม่อิน (หัวเราะ) ผมก็พยายามทำเรื่องจากมุมที่ตัวเองเห็น อย่างช่วงนี้ผมเห็นว่าโลกปัจจุบันทุกคนก็คือมีสื่อในมือแล้ว นักแสดงเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นละครก็ได้ ทุกวันนี้ก็คือคุณมีคอนเทนต์คุณก็ดังได้แล้ว คุณแค่สร้างแชแนลของตัวเองได้จากโซเชียลมีเดียให้ได้ หรือนักแสดงเองก็ไม่ต้องเซ็นสัญญาก็อยู่ได้ แต่ต้องสร้างคอนเทนต์รอไว้ งานมันก็เข้าจากทางนี้แหละ ไอ้ตัวแชแนลที่มันมาโฆษณามันก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ตรงนั้นแล้ว คนก็มาเสพตรงนี้แล้วก็เชื่อด้วยว่าดูจริงกว่าโฆษณาที่ออกในทีวีซะอีก อันนี้คือสถานการณ์โดยรวมก่อน ช่องทีวีเองก็ลำบาก พอตอนที่ริว ธีรเดช เข้าไปคุยกับช่อง ช่องก็เลยมีข้อแม้ว่า ถ้าคุณอยากทำละครเรื่องนี้จะต้องเอานักแสดงอีกคน ก็คือในเรื่องชื่อ แคท น้ำฟ้า ซึ่งก็คือ แอน ทองประสม มาเล่นให้ได้ แล้วเรื่องเราก็จะปูว่าสมัยก่อน ริว กับ แคท เคยรักกันแต่ไม่มีใครรู้ แล้วทุกวันนี้แคทก็มีแฟนแล้ว เป็นไฮโซ (หัวเราะ) ส่วนตัวริวก็มีเมียอยู่แล้วด้วย นี่ก็คือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด แล้วคนดูก็จะเห็นว่าพอมันต้องกลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ไปจนถึงจุดสุดท้าย ว่าแล้วเรื่องงานกับเรื่องความรักจะเป็นอย่างไร

ในละคร ริว จะเป็นผู้กำกับด้วย ส่วนในเรื่องจริงเคนก็เป็นผู้กำกับละครเรื่องนี้ด้วย อยากรู้ว่าอะไรมาก่อนกัน ใครเป็นผู้กำกับก่อน?

    ในละครน่าจะมาก่อน (หัวเราะ) เพราะตอนแรกผมแค่เป็นคนคิดเรื่อง เพราะผมรู้ว่าถ้าผมเล่นเองผมน่าจะกำกับด้วยไม่ไหว แต่ก็มาคิดสะระตะว่า เอ๊ะ! แล้วใครจะเข้าใจเรื่องนี้เท่าตัวผม คือถ้าละครมันมาจากนิยาย แล้วทุกคนไปอ่านนิยาย แล้วก็มาแตกความคิดกันได้ แต่นี่มันไม่มีนิยาย ทุกอย่างมันคือสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาอะไรอย่างนี้ ก็พยายามหาผู้กำกับนะครับ แต่สุดท้ายพอใกล้ๆ เวลาก็เปลี่ยนใจ ก็บอกคุณหน่อย (บุษกร พรวรรณะศิริเวช - ภรรยา) ว่า 'พ่อทำเองก็ได้' (หัวเราะ)

การเป็นผู้กำกับครั้งแรกเป็นอย่างไงบ้าง?

    ก็เหนื่อยดี (หัวเราะ) แต่ว่ามันก็สนุก มันก็เดินไปด้วยกัน คือเรามีฝันกับแรงบันดาลใจเยอะมาก แล้วก็ได้น้องๆ ที่มาร่วมงานเป็นเด็กรุ่นใหม่อะไรอย่างนี้ จริงๆ มีผู้กำกับสองคน มีน้องอีกคนนึงที่ผมชวนมา เขาทำโฆษณามา เขาก็มาเป็นผู้กำกับร่วมกับผม แล้วก็มีน้องที่มาเป็นเหมือน DP (Director of Photography) อีกคน คือปกติละครจะไม่มี DP เท่าไหร่ แต่ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องภาพอยู่แล้วโดยส่วนตัว ก็เลยอยากให้มีตำแหน่งนี้ครับ

บรรยากาศในกองถ่ายที่คุณเป็นทั้งผู้กำกับ และเป็นทั้งดารานำแสดงด้วย มันวุ่นวายแค่ไหน?

    ก็ต้องทำทุกอย่างจริงๆ (หัวเราะ) แล้วผมก็จะเห็นไปหมด ปกติจริงๆ สมัยก่อนในฐานะนักแสดงผมก็เห็นนะ อยู่ในกองถ่ายเราก็จะเห็นปัญหา เห็นอะไร ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะ แต่มันอาจไม่ใช่หน้าที่ของผมที่ต้องดูแลแก้ไข ผมก็แค่เห็น (หัวเราะเบาๆ) แต่พอวันนี้ผมเป็นผู้กำกับด้วย แล้วคุณหน่อยคือผู้จัด มันก็หลายหน้าที่ พอมีอะไรบางอย่างเข้ามา ผมก็จะต้องรู้สึกว่าต้องเข้าไปเคลียร์ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น

พอถึงวันนี้ละครปิดกล้องไปแล้ว คุณพอใจกับมันแค่ไหน?

    ก็โอเคนะ คือจริงๆ ตอนแรกๆ ก็ยังบอกกับน้องอยู่ ...อย่างน้องที่ทำโฆษณาก็ไม่เคยทำละครมาก่อน แล้วน้องอีกคนจริงๆ เขาเคยทำละครมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครให้หน้าที่เขาเป็น DP แล้วตัวผมก็เป็นนักแสดง ก็ไม่เคยทำละครจริงๆ เหมือนกัน มีคนเขียนบท (เอกลิขิต) คนเดียวที่เคยเขียนเรื่อง อุ้มรัก (.. 2549) หัวใจหลักก็คือผมกับน้องๆ อีกสองคน ที่เรามีแต่สิ่งที่เราอยากนำเสนอในแบบของเราว่าเราอยากจะทำแบบนี้ ก็มันดีครับ ตอนแรกๆ ผมก็ยังบอกน้องๆ ว่า 'ใจเย็นๆ นะ เพราะว่าพี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน' ด้วยความที่สุดท้ายแล้วละครมันจะมีเงื่อนไขของงบประมาณ เรื่องเวลาในแต่ละวันต้องถ่ายได้กี่ฉากด้วย นี่เรื่องธุรกิจ ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับส่วนของผมนะครับ แต่ว่าผมก็ต้องเคารพตรงนั้น ยังบอกน้องว่า 'เออ ลองดูแล้วกันนะ คือไอ้สิ่งที่เราอยากได้ พี่ก็อยากได้ อยากได้หมด แต่ว่าเราต้องทำให้มันอยู่ในเวลาด้วย' แต่สุดท้ายก็ทำได้อยู่นะ บางทีก็ทำได้ 80% หรือบางทีก็ดีกว่าที่ผมคิดไว้อีก

มาถึงวันนี้ คุณมองเห็นความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาอะไรในวงการละครไทยบ้าง?

    มันก็แยกเป็นหลายส่วนนะ จริงๆ ปัญหามันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่ผมนำเสนอแหละ โอเค เรายังไม่พูดเรื่องคุณภาพของละคร ไทย-เกาหลี ใครดีกว่าใครหรือว่าอะไรอย่างนั้นก่อนนะ อันนี้เราพูดถึงเรื่องแบบว่า พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปก่อน พอพฤติกรรมในการเสพละครของคนที่เปลี่ยนไปเป็นแบบทุกวันนี้ คือดูสตรีมมิ่งเยอะขึ้น ดูโซเชียลเน็ตเวิร์กเยอะขึ้น ผมว่าปัญหามันอยู่ที่ว่า ทำยังไงมากกว่าที่จะให้คนยังได้รับรู้ว่ามันยังมีละครอยู่นะ โอเค มันอาจจะไม่ได้ดีเท่าละครเกาหลีก็ได้ แต่มันก็มีอยู่นะ เขาอาจจะอยากเปิดใจลองดูหรือเปล่า อันนี้คือปัญหาหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าถ้าลำพังละครโปรโมทอยู่แต่ในทีวีคนอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ถ้าละครไม่ได้ออกมาอยู่ในโซเชียลฯ ไม่ได้มาเป็นประเด็น ไม่ได้มาอยู่ในที่ที่คนรุ่นใหม่ๆ จับต้องได้ หรือไม่ได้มาถูกตีแผ่อยู่ใน TikTok หรืออะไรก็ตาม มันก็จะทำให้การรับรู้ของคนมันเหือดหายไปเรื่อยๆ คือเอาจริงๆ ฐานแฟนละครของช่องสามก็คือคนที่อยู่ในเมืองนี่แหละ แล้วคนเมืองก็จะถูกแชร์ความสนใจออกไปเรื่อยๆ มากกว่าคนต่างจังหวัดอยู่แล้ว มันก็จะมีสิ่งบันเทิงที่เร้าใจใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำอย่างไรที่เราจะตามเรื่องนี้ให้ทัน อันนี้ในแง่ของการรับรู้ของคนดูนะครับ

    ทีนี้ถ้าเรามาพูดเรื่องว่าใครดีกว่าใคร คือตัวผมไม่ได้เป็นแฟนละครเกาหลี พูดตรงๆ ผมก็ดูหนังดูละครอะไรบ้าง แต่ไม่ได้เป็นแฟนละครเกาหลีโดยตรง ก็มีเรื่องที่ดี ที่ผมชอบ แต่ผมก็ไม่ได้ติดพันอะไรกับความเป็นเกาหลี ผมก็เฉยๆ แต่ผมรู้สึกว่าเขามีมาตรฐานของเขาที่แข็งแรงมาก คือสุดท้ายแล้วเกาหลีเขาไม่ได้แค่ทำหนังทำละครน่ะ สำหรับผมเกาหลีคือเขาสร้างประเทศเขาผ่านหนังด้วยซ้ำ ถูกไหมฮะ เพราะฉะนั้นสเกลมันผิดกัน คืออย่างของเรา เราเคยมีหลายๆ อย่างที่เฟื่องฟู แต่ว่าเราไม่ได้มองให้มันเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างประเทศได้ คือมันทำให้จากประเทศที่ไม่ค่อยมีใครสนใจกลายเป็นว่าทุกวันนี้อะไรๆ ก็เกาหลีได้เลยนะ มันมาจากภาพยนตร์ จากซีรีส์ เพลง มันมาจากทุกอย่างที่เราดู ซึ่งรัฐบาลเขาเป็นคนสนับสนุนสิ่งเหล่านั้นแล้วก็ผลักดัน

    ผมว่ามันน่าจะรูปแบบเดียวกับฮอลลีวู้ด ที่เราดูหนังอเมริกัน เราจะรู้สึกว่าอเมริกันเป็นฮีโร่ เหมือนเป็นใจความที่สอดแทรกเข้ามาให้เราจำได้อยู่เสมอว่า 'โห คนอเมริกันแม่งเท่ว่ะ' ซึ่งจริงๆ ผมว่าตรงนี้มันก็คือการเมือง มันคือทุกอย่างที่ถูกสอดแทรกเข้าไปให้เกิดการรับรู้ของคน มันก็จะฝังรากลึกไปเอง ซึ่งเกาหลีเองเขาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เรื่องอาหารการกินเราดู เราเห็น โอ้โห เขาเปิดโซจู เราก็อยากกินแล้ว เรื่องนี้ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้น ถ้าเราพูดอย่างนี้ยังไงเราก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว เป้าหมายมันต่างกัน มันเกิดจากความร่วมมือของคนในชาติก่อน ที่จะนำเสนอประเทศให้คนข้างนอกดูยังไง แต่ตอนนี้วงการบันเทิงของเราก็ต่างคนต่างทำ ผมก็ทำของผม คนอื่นก็ทำของเขาไป เราแข่งกันเอง แต่มันไม่ได้มีองค์รวมใหญ่ว่า 'เฮ้ย อันนี้คือความครีเอทีฟของประเทศไทยว่ะ อันนี้คือด้านของคนไทยที่เราอยากให้ชาวโลกได้รับรู้ว่ะ' หรืออะไรอย่างนี้ มันไม่มีตรงนั้นฮะ เพราะฉะนั้นยังไงสเกลมันเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว

ในฐานะที่คุณอยู่ในวงการละครไทยมานาน เป็นพระเอกมาก็ 20 กว่าปีแล้ว คุณเห็นอะไรที่เป็นจุดแข็งของวงการละครไทยบ้าง​?

    (หัวเราะเบาๆ) ประเด็นหนึ่งของละครเรื่องนี้ ที่ผมไม่แน่ใจว่าคนดูจะจับได้หรือเปล่านะ แต่ก็มีสิ่งที่ผมสอดแทรกอยู่ คือเรื่องของเจเนอเรชั่นด้วย ในเรื่องนี้มันก็มีนักแสดงรุ่นใหม่ ที่มาร่วมอยู่กับพวกผมด้วย ผมก็อยากเห็นถึงความต่างของนักแสดงรุ่นใหม่กับรุ่นเก่าด้วย แต่สุดท้ายเขามาร่วมงานกัน ไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ ทุกคนอาจจะต่างที่มา มีทัศนคติคนละแบบ ตอนแรกอาจจะมีการแข่งกันไม่ชอบกันหรืออะไร แต่สุดท้ายแล้วคนที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นเป็นคนเลวอะไร คือทุกคนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ แล้วก็มีความสามัคคีต่อกันได้ 

    ผมรู้สึกว่าเวลาที่มีคนทำละครเกี่ยวกับคนอยู่ในวงการบันเทิง ที่เห็นมามันจะเป็นเรื่องแบบตบตีแย่งชิงกัน ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่อะไรหรอก เพราะว่าสำหรับคนไทย ถ้าเราไปทำละครพูดถึงอาชีพอื่นมากๆ ก็อาจจะมีหน่วยงานออกมาประท้วงได้ (หัวเราะ) ตัวแทนอาชีพนั้นจะมาทันที แต่เราไม่ได้บอกว่าทุกคนที่ใส่เครื่องแบบหรือทำงานอาชีพไหนต้องเป็นคนดีหรือเลว คนเรามีสองด้านอยู่แล้ว ถูกไหม แต่พอทำละครขึ้นมาก็เลยทำเรื่องชีวิตดาราแล้วกัน ตบตีกันได้ แก่งแย่งกันได้ แต่ผมอยากจะบอกว่าเราอยู่ตรงนี้เราก็รักกันนะ แล้วจริงๆ แล้วพอผมทำเรื่องนี้ ผมก็ได้เห็นเรื่องแบบนั้นจริงๆ คือกลายเป็นว่าน้องๆ
ที่อยู่ในวงการ บางคนผมอาจจะสนิทเป็นการส่วนตัว แต่บางคนผมไม่ได้สนิท เขาก็มาให้ความร่วมมือกับผม
'ได้พี่ เดี๋ยวผมมาเล่นให้นิดนึง เดี๋ยวผมมาโผล่หน้าให้' อะไรอย่างนี้ เหมือนเราไปบอกความฝันกับคนอื่น มันไม่น่าเชื่อเลยว่า มีคนที่เขาอยากจะมาเติมเต็มฝันให้เราเยอะมาก ทั้งๆ ที่แบบว่าเราอาจจะไม่เคยคุยกัน หรือแค่เจอกันตามงาน ซึ่งตรงนี้ผมว่าสุดท้ายแล้วคนไทยยังมีการช่วยเหลือกัน มันเป็นสิ่งใหญ่ของบ้านเราในความรู้สึกผมนะ

คุณคาดหวังอย่างไรกับละครเรื่องแรกที่เป็นผู้กำกับเองบ้าง?

    (หัวเราะ) ก็เป็นเรื่องที่คิดหลายตลบอยู่เหมือนกันนะครับ ก็อย่างที่บอกว่า ...ผมก็อยู่เฉยๆ ก็ดีแล้ว (หัวเราะ) จะหาเรื่องทำไม แต่ถ้าเราไม่ลองก็ไม่รู้ สุดท้ายแล้วมันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าความกลัวมั้ง มันเหมือนกับว่าสิ่งนี้มันน่าจะอยู่ที่ตัวผมแหละ แต่ผมยังไม่เคยเปิดเผยมันออกมา อาจจะด้วยความกลัว กลัวคำวิจารณ์ เพราะตอนนี้ถ้าพูดตามตรงในฐานะผู้กำกับมันเหมือนว่าผมมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต่อให้ผมเป็นนักแสดงมา 20 ปี มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะกำกับละครได้ หรือกำกับหนังได้อยู่ดี มันคนละประเด็นกัน แต่อยู่ๆ วันหนึ่งผมจะลุกขึ้นมาแล้วบอกผมจะเป็นผู้กำกับ มันก็คือเริ่มจากศูนย์อยู่ดี เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงนั่นแหละ ถ้าดีมันก็คงไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าไม่ดีนี่ผมว่า (หัวเราะ) ทุกคนก็พร้อมที่จะถล่ม แต่ก็ต้องเสี่ยงแหละ

ช่วงที่ทำละครน่าจะทำให้บทบาทการเป็นแฟมิลี่แมนของคุณมีเวลาน้อยลงไหม

    ก็อาจจะน้อยลงนะ แต่ก็โอเคเพราะว่า น้องคุณ (คุนนธรรม วงศ์พัวพันธ์) ก็ 14 จุน (ธิปไตย วงศ์พัวพันธ์) ก็ 12 แล้ว มันก็พอดีแหละ ตัวเขาก็ต้องการเวลาส่วนตัวมากขึ้นด้วย แต่จริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกเลยนะ เพราะช่วงตอนที่เขาเด็กๆ ผมก็เต็มที่กับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เขาก็โอเค ตอนนี้ก็เหมือนเป็นเพื่อนกันละครับ

คุณเป็นคุณพ่อแบบไหน สนิทกับลูกแค่ไหน

    พูดถึงในแนวทางที่ผมอยากเป็นดีกว่า ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นได้มากน้อยแค่ไหนนะ แต่พูดในสิ่งที่ผมรู้สึก ก็คือผมอยากสนิทกับลูก คือเหมือนกับว่ายิ่งโตขึ้นผมยิ่งรู้สึกว่า เออ มันดีเนอะ ที่เราใช้เวลากับเขาแล้วเราให้อิสระเขาด้วย เขาก็จะเดินมาบอกผมเรื่องต่างๆ ของเขาได้ เขามาเล่าให้ฟังได้ถ้าเขาสบายใจนะ ผมก็จะรู้สึกเหมือน ถ้าเป็นฝูงหมาป่า เราก็อยู่ในฝูงของสองคนนี้อยู่ อะไรอย่างนี้ ก็อยากให้มันเป็นอย่างนี้ คือผมเองจริงๆ ตอนเด็กๆ ก็สนิทกับครอบครัว แต่พอผมเริ่มเป็นวัยรุ่นปุ๊บ พอมันห่างแล้วมันห่างไปเลย มันเหมือนว่าวันนึงที่เราจะกลับมาต่อจุดเดิมเหมือนมันไม่ติดแล้ว ก็เลยไม่อยากให้ตรงนี้มันหายไป แต่ก็ไม่รู้จะได้นานแค่ไหน แต่ก็พยายามอยู่

คุณเป็นห่วงเรื่องการศึกษาไทย หรือเรื่องการแข่งขันที่มากขึ้นของคนรุ่นหลังบ้างไหม

    ไม่ถึงกับวอรี่นะครับ แต่เราก็ดูแหละ อะไรที่เราว่าดี แต่สุดท้ายแล้วมันไม่มีดีที่สุดหรอก ผมก็ว่า เอ๊ะ ตอนเด็กๆ เราก็เรียนโรงเรียนธรรมดานี่แหละ เราก็โตมาได้นะ ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรอย่างนี้ ทีนี่ผมก็เชื่อว่า ยังไงรุ่นลูกเราก็น่าจะมีโอกาสในชีวิตดีกว่าสมัยตอนที่ผมเด็กๆ อยู่แล้ว อันนี้ผมนึกเอานะ คือลูกๆ ผมเขาก็เรียนโรงเรียนไทย ที่สาธิตพัฒนา ก็เรียนอยู่ใกล้บ้านตรงนี้แหละ หลายๆ คนก็จะแบบว่า 'มีเงินทำไมไม่เอาลูกไปเรียนอินเตอร์' ผมก็เฉยๆ เอาจริงๆ สำหรับผม คือเดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปมาก คือมันไม่เหมือนสมัยตอนที่ผมยังเด็ก เห็นฝรั่งแล้วกลัวอะไรแบบนี้ เดี๋ยวนี้มันก็เฉยๆ ดูยูทูบจนชิน ภาษาอังกฤษมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ก็แล้วแต่ว่าสุดท้ายกลายเป็นว่า วันหนึ่ง พอน้องคุณเขาอยู่ประมาณ ป.5 เขาก็เดินมาบอกเองว่า เขาอยากไปเรียนอินเตอร์ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องภาษานะ เขาบอกว่าอยากไปเล่นกีฬา เขาได้ยินว่าเรื่องกีฬามีเยอะ อันนี้ผมก็รู้สึกว่าลูกเราก็ดูมีเป้าหมาย ผมก็ย้ายเขามาเรียนอินเตอร์

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความผูกพันในครอบครัวของคุณได้ดี ก็คือภาพถ่ายที่คุณลงในอินสตาแกรม อยากให้คุณเล่าเรื่องความชอบถ่ายภาพของตัวเองให้ฟังหน่อย

    คือเวลาไปเปิดดูรูปเก่าตอนผมเด็กๆ ก็คือแบบนี้เลย  มันก็อาจจะซึมซับมาด้วยมั้งครับ แล้วก็ผมเป็นคนบ้าแสงแดด (หัวเราะ) ผมชอบแสงแดดช่วงเช้ากับช่วงบ่าย ช่วงเช้าแบบตอนแดดอุ่นๆ พระอาทิตย์ขึ้นอะไรอย่างนี้ ตอนที่แสงมันเอียงๆ หรือช่วงพระอาทิตย์ที่มันแบบบ่ายๆ สำหรับผมมันให้มู้ด ให้ความรู้สึกที่เติมเต็มเราได้ดี...สมัยก่อนผมไม่ได้ชอบถ่ายคนหรอก จะชอบถ่ายแสงกับสถานที่นู่นนี่นั่นอะไรไปเรื่อย แต่พอเรามีครอบครัวแล้ว ซับเจกต์มันก็เลยเปลี่ยน เราก็เลยเอาลูกไปอยู่กับแสง (หัวเราะชอบใจ) จริงๆ ก็เหมือนหยุดเวลา หยุดโมเมนต์ตรงนั้นไว้แหละ  เพราะผมรู้สึกว่ามันสวย แต่สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดหรอก แต่เราก็แค่ ...เออ ณ วินาทีนั้นมันเป็นแบบนั้น เราก็บันทึกมันเอาไว้ อาจเป็นการพยายามสร้างโลกของเราขึ้นมามั้ง ว่านี่มันคือโลกที่เราอยากเห็น อยากจะให้มันเป็น อะไรอย่างนี้

    ผมเป็นคนชอบแสงธรรมชาติ กับงานละครก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน คือผมพยายามจะให้ทุกอย่างต้องมีที่มา ต้องมีแหล่งกำเนิดแสง (light source) หน้าต่างอยู่ทางนี้นะ หรือถ้ากลางคืนผมก็จะต้องมีดวงไฟที่แท้จริงก่อน ว่าแสงหลักอยู่ตรงไหน แล้วผมก็จะค่อยๆ เติมตรงนั้นตรงนี้อะไรอย่างนี้ ไม่งั้นถ้ามันจะกลายเป็นว่าออกกองกลางคืนแล้วหน้าขาวใสผ่องเท่ากันตลอดเวลา มันก็จะไม่ใช่แบบนั้นครับ

                                     ภาพจาก Instagram: mi_familia_fotos

อยากรู้พฤติกรรมในการถ่ายรูปของคุณ เช่น ถ่ายบ่อยแค่ไหน ก่อนโพสต์ต้องแต่งภาพไหม

    ไม่แต่งภาพเลยครับ เวลาไปเที่ยวผมจะถ่ายรูปทุกวันเลย คือจริงๆ ตอนที่ออกไปถ่ายรูปมันก็เหมือนเป็นการเติมเต็มอะไรบางอย่าง เหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่ผมอยู่คนเดียวได้ เหมือนกับได้ดื่มด่ำกับสิ่งรอบข้าง พอเราได้ไปอยู่ในที่ตรงนั้นที่เราอยากอยู่ ผมก็จะไปซึมซับมัน (หัวเราะ) มันดูเพ้อๆ หน่อย แต่ว่าก็ประมาณนั้น ซึมซับมัน แล้วก็เก็บโมเมนต์ตรงนั้นไว้ แต่ความสนุกอีกอย่างมันก็อาจจะเกิดตรงที่บางทีสิ่งที่เราคิดกับไอ้ตอนที่เรากดชัตเตอร์มันก็ต่างกันเหมือนกัน บางทีสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะดี ก็ดันดีก็มี หรือสิ่งที่เราคาดหวังไว้เยอะ ก็อาจจะออกมางั้นๆ ก็ได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ไอ้โมเมนต์ที่เราได้ออกไปถ่ายรูปมันก็เติมเต็มเรามาแล้วแหละ บางทีก็มีเหมือนกันที่วันนั้นรู้สึกมันดีมาก (เน้นเสียง) โอ้โห แสงแดด ทุกอย่าง ให้ความร่วมมือดีมาก แต่ปรากฏว่าออกมา เอ้า! ใส่ฟิล์ม แล้วมันเลื่อนไม่สุด ฟิล์มยังไม่เลื่อนเลย มันก็จะมีอะไรแบบนี้เหมือนกัน มันก็จะต้องเตือนตัวเองว่าเรารีบไปหน่อย ใส่ฟิล์มทุกวัน เราพลาดได้ไงวะ ก็กลายเป็นแค่ความทรงจำจริงๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูป ก็จะต้องจำมันให้ได้ ว่าโมเมนต์นั้นมันเป็นยังไง

คุณชอบกล้องฟิล์ม?

    ก็ขี้เกียจตามเทคโนโลยีด้วยแหละมั้ง ถ้ามีคนถามว่า  'เล่นกล้องหรือเปล่า?' ผมก็จะตอบว่า 'อ๋อ ไม่เล่นละ' ใช้กล้องตัวเดิมๆ แล้วก็ถ่ายเลย คือจริงๆ ก็มีหลายตัวแหละ แต่ว่าสองตัวที่ใช้บ่อยๆ ก็คือ Contax กับ Leica ครับ

จากการตั้งชื่ออินสตาแกรม mi_familia_fotos ดูเหมือนว่าไม่อยากบอกว่าเป็นภาพของ เคน ธีรเดช หรือเปล่า

    ใช่ครับ พยายามให้มันดูงงๆ หน่อย (หัวเราะ) แต่คนก็พอรู้แหละ เห็นลงภาพคุณหน่อยบ่อยๆ เขาก็คงรู้แล้ว คงไม่มีใครน่าจะมีภาพแบบนี้นอกจากผมนะ แต่ก็ไม่ได้บอกตรงๆ ...คิดไปเองนั่นแหละว่าอยากให้มันดูเป็นงานศิลปะหน่อย ไม่งั้นก็คงจะทำชัดเจนไปเลยว่านี่คือไอจีที่ เคน ธีรเดช ถ่ายรูปนะ แต่ก็มีแฟนคลับมาถามว่า 'นี่พี่เคนหรือเปล่า ถ้าไม่ตอบไม่ตามแล้วนะ ไม่ใช่ใช่ไหม'ผมก็จะเฉยๆ นะ แต่ก็คิดในใจว่า ถ้าไม่ใช่ผม แล้วใครจะมีรูปอยู่กับลูกกับเมียผมได้ตลอดเวลาเลย (หัวเราะ)

ทุกวันนี้คุณรับสื่ออะไรบ้าง ดูหนัง ฟังเพลง อ่านข่าวแค่ไหน

    ผมคือเป็นคนที่แทบไม่เสพข่าวเลย ก็อาจจะเป็นข้อด้อยอย่างหนึ่งนะ เพราะรู้สึกว่าบางทีข้อมูลมันเยอะไปสำหรับผม แล้วข่าวโดยทั่วไปมันก็เป็นเรื่องดราม่าเสียเยอะ แต่จะเป็นคนดูหนัง ผมก็จะหาหนังดู ช่วงหลังๆ ก็ดูหนังได้หลายแบบมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ พอเราโตขึ้นบางทีก็กลับไปดูอะไรที่ตอนเด็กๆ เราดูไม่ได้ ก็เข้าใจมากขึ้น พวกหนังที่มันช้าๆ นิ่งๆ หรือพูดเยอะๆ สมัยก่อนเราก็อาจจะดูแล้วหลับ (หัวเราะ) เหมือนกับว่าบางทีเราเข้าใจความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น เพราะว่าเราถึงวัยของมัน หรือเราเข้าใจโลกมากขึ้น เราเริ่มสัมผัสได้ว่า เออว่ะ เราก็เคยมีความรู้สึกที่ตัวละครรู้สึกเหมือนกัน หรืออะไรที่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวผมก็จะเข้าใจมากขึ้น อะไรที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ลูก คนในครอบครัว ความไม่ลงรอยกัน

    ล่าสุดก็เพิ่งได้ดูเรื่อง The Lobster (2015) ของผู้กำกับที่เป็นคนกรีซ (ยอร์กอส ลานธิมอส - Yorgos Lanthimos) แล้วเลยไปดูอีกเรื่องนึงของเขาเหมือนกัน ก็อยู่ใน Netflix ทั้งคู่ อีกเรื่องชื่อ The Killing of a Sacred Deer (2017) ก็ชอบทั้งสองเรื่องเลยนะ ผมก็ไม่ได้เข้าใจเขาทุกอย่างนะครับ แต่ผมสนใจรูปแบบวิธีคิด อยากจะรู้ว่ามุมมองเขาคืออะไร ทำไมเขาถึงนำเสนอสิ่งนี้ออกมาได้แบบนี้

    อ้อ! อยากแนะนำเรื่อง The Lost Daughter (2021) ด้วยครับ เป็นหนังของ แม็กกี้ จิลเลียนฮาล (Maggie Gyllenhaal) เขาเป็นนักแสดงแล้วก็เป็นผู้กำกับด้วย หนังดีมากเลย สกอร์ก็ดี เท่มากเลย

                                     ภาพจาก Instagram: mi_familia_fotos

แล้วคุณฟังเพลงแบบไหนบ้าง?

    ก็จะไปตามมู้ดเหมือนกัน ก็จะฟังเพลงแบบหลากหลายอะไรอย่างนี้ เพลงแบบเพลงในลิฟต์ หรือเพลงคลาสสิกผมก็ฟัง เพลงฮิปฮอปผมก็ฟัง เพลงแจ๊ซเพลงป็อปก็ฟัง ยิ่งเราทำงานตรงนี้ด้วยมั้ง เราไม่ควรจะเลือกลักษณะของเพลง แต่มันอยู่ที่มู้ดของมันมากกว่า ว่าเพลงนี้มันเสริมอะไรให้กับสิ่งที่เรารู้สึก

    บางทีเพื่อนมาที่บ้าน ผมก็ชัฟเฟิลเพลย์ลิสต์ของผม ตอนแรกอาจจะฮิปฮอปอยู่ดีๆ มันอาจจะต่อด้วยเพลงของ ระวี แชงการ์ (Ravi Shankar) ที่เขาเล่นซีตาร์ก็ได้ (หัวเราะ) ผมก็จะบอกว่า'โทษทีๆ อันนี้ไว้เปิดตอนอยู่คนเดียว เดี๋ยวเปลี่ยนให้นะ' อะไรอย่างนี้ หรือบางทีก็จะเป็นแทร็กจากในหนังที่ผมชอบ ผมก็จะเซฟเก็บไว้เพื่อสร้างอะไรของผม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีประโยชน์อะไร แต่ว่าผมก็เอามันมาเก็บไว้นะ

คุณเป็นคนอ่านหนังสือเยอะไหม?

    ช่วงหลังอ่านน้อยลงครับ แต่ก็อยากอ่านเยอะขึ้นเหมือนกันนะ ผมชอบงานของคุณ'รงค์ วงษ์สวรรค์ ดูแกเจ๋งดี แกเป็นคนไทยที่ไปอยู่กับพวกฮิปปี้ในยุคนั้น งานของคุณ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ผมก็ชอบ อีกคนที่ชอบคือคุณมนตรี ศรียงค์ 'กวีหมี่เป็ด' ครับ เป็นคนที่ผมรู้สึกว่าบทกวีของเขาเหมือนภาพถ่ายเลย เขาจะเขียนถึงแสงแดดและพูดถึงเงาเยอะมาก แต่ว่าก็จะเป็นเรื่องที่เขาขายบะหมี่เป็ดนี่แหละ แล้วก็ความเป็นไปของโลกในถนนที่เขาอยู่ แต่ว่าวิธีที่เขาพูดถึงมันเหมือนกับ โอ้โห! นี่มันเหมือนกับที่ผมกดชัตเตอร์ถ่ายเฟรมนี้เลย อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยครับ

ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่คุณเริ่มกลับมาออกสื่อเยอะขึ้นๆ มันมีความรู้สึกแตกต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ที่คุณอยู่กับครอบครัวเยอะๆ ไหม?

    ก็ทำเพื่องานฮะ (หัวเราะ) เมื่อเรามีเป้าหมายแล้วเราก็จะออกจากคอมฟอร์ตโซนครับ โดยตัวตนแล้วอาจจะไม่ใช่คนที่อยากพูดอะไรเยอะๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เราทำเพื่อเป้าหมายของเราได้ (หัวเราะ) เพราะว่าอย่างที่บอก ตอนนี้การรับรู้ของคนมันน้อยลงด้วย คือตั้งแต่การคิดจะเสพละครแล้ว มันจะถูกลืมไปแล้ว ถ้าตัวผมมาอยู่ตรงนี้มากขึ้น อย่างน้อยมันอาจจะเป็นอีกกระบอกเสียงที่ช่วยบอกว่ามันจะมีละครเรื่องนี้นะ อย่างน้อยให้คนได้รู้ก่อน ดูไม่ดู ดีไม่ดี อันนั้นแล้วแต่คนดูจะตัดสินใจแล้ว แต่ถ้ากลุ่มคนที่เขาควรจะรู้แล้วเขาไม่รู้มันมากขึ้นเรื่อยๆ คนดูละครก็จะน้อยลงๆ เพราะว่ามันมีสิ่งใหม่ๆ มาตลอดเวลา จริงๆ ผมก็คุยกับหลายๆ คนเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้การทำข่าวหรือโปรโมตอะไรก็ตามมันเหมือนกับว่า สิ่งนี้ถ้าจะโปรโมตมันอยู่ มันจะมีช่วงเวลาของมันเลยนะ แล้วมันก็จะหมดภายใน ...บางทีอาจจะไม่ถึงวันด้วยซ้ำ ภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงมันอาจจะมีสิ่งใหม่มาแล้ว

ถ้าละครเรื่อง 'ซุปตาร์ 2550' ผ่านช่วงโปรโมตหรือว่าผ่านการออนแอร์ไปแล้ว คิดว่า เคน ธีรเดช จะทำอะไรต่อไป?

    ก็ยังไม่รู้นะว่ากระแสมันจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ถ้าถามผม ผมก็เริ่มๆ คิดๆ ไอเดียอะไรอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเกิดละครไม่ประสบความสำเร็จแล้วผมจะหมดกำลังใจกับไอเดียต่อไปหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ตอนนี้งานมันยังไม่เสร็จเสียทีเดียว ผมจะต้องดูตัดต่อด้วย แต่ระหว่างนี้บางทีผมออกกำลังหรือไปวิ่งมันก็เริ่มมีอะไรที่ผุดๆ ขึ้นมาอะไรอย่างนี้ แต่ก็แบบ ...เออไม่เป็นไร หรือเราต้องรอก่อนว่ะ (หัวเราะ) งานเราอาจจะห่วยก็ได้ เราอาจจะไม่มีการสร้างเรื่องต่อไป อย่าเพิ่งฝันไปไกล ก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันครับ แต่ที่แน่ๆ คือ ก็รู้สึกว่าเริ่มอยากไปเที่ยวด้วย เพราะจริงๆ ผมก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวเลยตั้งแต่ช่วงโควิด พอมาทำละครก็ตัดเรื่องเที่ยวไปก่อนด้วย หลังจากนี้ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะไปเที่ยว ไปถ่ายรูปอีกสักหน่อยนะ


ขอบคุณร้าน Diff Kafe สำหรับสถานที่ในการสัมภาษณ์

วิภว์ บูรพาเดชะ

ผู้ก่อตั้งนิตยสาร happening, บรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening, กรรมการบริหารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc), นักเขียน, นักแต่งเพลง, นักฟังเพลง และนักอ่านตัวยง

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพผู้ชื่นชอบการวาดรูปและรับงานวาดภาพประกอบบ้างประปราย เธอมีความตั้งใจกับตัวเองว่าจะออกไปเที่ยวนอกประเทศให้ได้ปีละครั้ง