Show Me The Money Thailand เป็นรายการหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และมีรูปแบบรายการที่ดึงดูดให้ผู้ที่สนใจดนตรีแนวนี้เข้ามาร่วมประกวดประชันกันเป็นจำนวนมาก (ซีซั่นแรกมีผู้สมัครราวหนึ่ง 1,000 คน ส่วนปีที่สองราว 2,000 คน) ในจังหวะเวลาที่ลงตัว ทีม happening ได้มีโอกาสพูดคุยกับชายหนุ่ม 5 คนที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรายการนี้ และได้ถามความเห็นถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของวงการฮิปฮอปในปัจจุบัน
ผู้ที่ล้อมวงคุยกันเรื่องฮิปฮอปคือชายหนุ่ม 5 คน บอย-อภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ เจ ผู้ได้รับลิขสิทธิ์รายการ Show Me The Money Thailand ,จ๊อบ-ณฐกฤต วรรณภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต บริษัท ครีเอทิส มีเดีย จำกัด ผู้ผลิตรายการ, เดย์-จำรัส ทัศนละวาด (S.D.) แร็ปเปอร์รุ่นเก๋าแห่งไทเทเนี่ยม ที่อยู่กับรายการนี้ในฐานะ PD มาตั้งแต่ซีซั่นแรก, ปอนด์-วัชรินทร์ พึ่งสุข (P-Hot) แร็ปเปอร์มาแรง ที่มารับบทบาท PD ในซีซั่น 2 และ เต้-พัทธดนย์ วงษ์สมัย (K.Aglet) เด็กหนุ่มที่ฝ่าฟันผู้แข่งขันและกติกาในรอบต่างๆ มาจนกลายเป็นผู้ชนะในซีซั่นที่ 2
นี่อาจเป็นบทสัมภาษณ์ขนาดไม่ยาว แต่เชื่อว่าเป็นประโยชน์กับคนที่รักดนตรีฮิปฮอปแน่นอน

บอย: ก่อนทำรายการ SMTM เราทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับฮิปฮอป เราเจอว่าคอมมิวนิตี้ฮิปฮอปมันชัดเจนมาก เป็นคอมมิวนิตี้ที่เข้มแข็งนะครับ ผมมองว่า Rap Is Now อาจจะเป็นคนที่ทำให้เด็กที่ชื่นชอบสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นมา แต่เขาจะมีสไตล์ของเขาที่แข็งแรง ผมมองว่าถ้าเราไม่มีเวทีใหม่ ฮิปฮอปจะยังคงมีภาพจำแบบนั้น ผมพูดกับโปรดิวเซอร์ว่า ถ้าอยากจะทำรายการเหมือน Rap Is Now ให้ทำที่ Rap Is Now เพราะทุกเวทีมีกติกาของตัวเอง เราเองก็มีกติกาของเรา ผมไม่ได้บอกว่ารายการของเขามันไม่ดี แต่เราอยากเห็นอีกหนึ่งเวที เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
จ็อบ: ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับผู้ชมที่ชอบฮิปฮอปหรือเด็กรุ่นใหม่ เขามีเทสต์แบบไหน ปกติเราเป็นคนทำรายการโทรทัศน์ ถ้าเราเอาเทสต์ของเรามาตัดสินใจแทนไม่ได้ว่า มันใช่หรือไม่ใช่ ผมว่าทีมงานทุกคนที่ทำงานด้วยกัน ช่วยทำให้เราเข้าใจแพลตฟอร์มนี้มากขึ้น สิ่งที่ผมประทับใจคือความแข็งแรงของคัลเจอร์นี้ครับ ส่วนตัวเราทำรายการประกวดร้องเพลงมา เราเห็นว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งของคอนเทนต์ แต่มันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคัลเจอร์เท่านี้ ยกตัวอย่างเช่น เขามีชื่อเรียกวิธีการเดิน มีชื่อเรียกวิธีการตอบรับของคน มีภาษาที่ใช้เฉพาะของตัวเอง และมีความชอบที่คนกลุ่มนี้ชอบเหมือนกัน ก่อนเริ่มโปรเจกต์นี้ ผมบอกทีมงานทุกคนว่า เราต้องทำความเข้าใจคัลเจอร์นี้ อย่าให้ทีมงานคนอื่นด่าว่าเราเสล่อนะ ขอร้อง (หัวเราะ) เราต้องเรียนรู้ศัพท์ ต้องใช้ให้ถูก มันเป็นเหมือนการเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่แรก นี่คือสิ่งที่เราปรับเปลี่ยนทั้งหมด แต่จะว่าไป การทำงานกับนักร้องในสไตล์ฮิปฮอปก็ไม่ค่อยต่างกับแนวอื่นนะ เพราะทุกคนที่ขึ้นเวที ทุกคนมาด้วยเหตุผลที่ต้องการอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์อะไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มาเพื่อชนะ บางคนมาเพื่อพิสูจน์ บางคนแค่ต้องการเวทีแสดงออก ซึ่งหน้าที่ของโปรดิวเซอร์รายการต้องลงไปดูว่า ควรจะนำเสนออะไร ใครจะนำเสนอแบบไหน หรือช่วยแนะนำให้โปรดิวเซอร์ว่า ใครมีสไตล์แบบไหน เหมาะกับอะไร ควรจะทำโชว์แบบไหน
บอย: น้องๆ ทุกคนน่ารักนะ ถึงคนจะมีภาพจำว่าศิลปินฮิปฮอปน่ากลัว แต่ทุกคนนิสัยดีหมดเลย ร้องไห้กันทุก Ep. เลย (หัวเราะ) ผมมองว่าจุดเด่นมันคือฟอร์แมตรายการ มันโหดร้ายนะ อย่างรอบ Mic Selection ไม่มีใครอยากจะให้ไมค์ ไม่มีใครอยากเลือก
K-Aglet: มันโหดจริงๆ ครับ ขนาดผมเป็นคนนั่งดู ไม่ได้มีส่วนร่วมในการถูกเลือกยังรู้สึกเลยว่า ทำไมต้องทำแบบนี้กับลูกทีม แต่ผมชอบฟอร์แมตแบบนี้นะ มันทำให้การแข่งขันมันเข้มข้นมากๆ ในฐานะคนเข้าแข่งขัน เราอินกับเกมมากๆ ทำให้ในทุกรอบการแข่งขัน เราก็ต้องใส่เต็มที่ทุกครั้ง ความอินนั้นมันซัพพอร์ตเราไปเรื่อยๆ
เดย์: เกมนี้มันเรียลจริงๆ มันไม่มีอะไรเซ็ตเลย ร้องไห้ก็ร้องจริง เจ็บก็เจ็บจริง หลุดทีเดียวก็ไม่มีซ่อมแล้วนะ พลาดแล้วพลาดเลย
เดย์: จริงๆ แล้วทุกคนเก่งหมด แต่เฟลเวอร์ (flavor) และทาเลนต์ (talent) ของทุกคนมันแตกต่างกัน เราชอบทุกคนแหละ แต่มันเลือกทุกคนไม่ได้ เพราะยังไงแชมป์ก็ต้องมีแค่คนเดียว เราก็ต้องหยิบให้ถูกต้องและเอาพวกเขามาผสมผสานกันในทีมของเรา
บอย: บางคนอาจจะคิดว่าเราเซต อย่างฟีดแบ็คจากซีซั่นหนึ่งก็มีสงสัยเรื่องนี้ แต่มันไม่ใช่เลย เราไม่เคยเซตเลย เพราะฟอร์แมตรายการมันถูกคิดขึ้นมาจากพื้นฐานการใช้ชีวิตของคนที่ชอบฮิปฮอป ชีวิตคุณเลือกได้ ถ้าคุณมีโอกาสแล้วคุณไม่คว้ามัน แล้วปล่อยมันไป คุณเลือกได้ยังไง อย่างรอบ Face to Face บางคนผมก็อยากให้เข้า แต่โปรดิวเซอร์เขาไม่เลือก เราจะทำยังไงล่ะ ทุกคนก็ต้องมาลุ้นเอา จริงๆ โปรดิวเซอร์ไทยใจดีนะ" เขายิ้ม
K-Aglet: ใช่ครับ ทุกคนให้เกียรติผู้เข้าแข่งขันนะ อย่างน้อยยังยืนฟังเขาแร็ปจนจบ ถ้าเป็นเกาหลีนี่ขึ้นมาปุ๊บ ถ้าไม่ได้ เขาเดินไปเลยนะ
P-Hot: ผมน่าจะให้สร้อยเยอะที่สุดเลยครับ (หมายถึงการให้ผู้เข้าแข่งขันผ่านเข้ารอบ) ตอนแรกผมก็คิดว่าผมจะให้น้อยนะ แต่พอเราเห็นเขามาไกล ด้วยคัลเจอร์ไทยๆ เนอะ เราก็ติดว่าต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ซึ่งมันยากมาก อย่างผมถ้าเห็นเด็กๆ มา
K-Aglet: เข้าใจเลย อย่างผมมีโอกาสไปดูเด็กแข่งแร็ปแบทเทิลกัน เขาไม่ได้แร็ปดีขนาดนั้น แต่เราเห็นความตั้งใจที่เขาสื่อออกมา มันก็ทำให้เรามองข้ามคนแบบนั้นไม่ได้ เราอยากมอบโอกาสให้เขา
เดย์: จากซีซั่นแรกมาจนถึงซีซั่นสอง ซีซั่นแรกมันเป็นการเริ่มต้นของ Show Me The Money Thailand ซึ่งหลายคนยังไม่รู้จัก พอเกิดขึ้น ทุกคนก็กำลังเดาอยู่ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่พอคุณมาสัมผัสจะพบว่า รายการมันเรียลมากๆ และตอนนั้นมันเป็นจุดเริ่มต้นที่คนเข้ามาน้อย 800-1,000 คน แต่พอมาซีซั่นสอง คนเริ่มเข้าใจคัลเจอร์และกระแสฮิปฮอปมันก็กำลังมาแรงในประเทศไทย เราจะเห็นเลยว่า คนเข้าแข่งขันจะมีอายุน้อยลงมาก ถ้าเทียบกับซีซั่นหนึ่ง ผมมองว่าเขาเข้าใจคัลเจอร์มากขึ้น และซีซั่นสองนี้มันทำให้คนได้รู้จักความเป็นฮิปฮอปจริงๆ มันทำให้คนได้รู้จักว่ามันเรียลจริงๆ ตั้งแต่หนึ่งถึงสอง มันทำให้เราเสียใจก็เสียใจจริงๆ ตกใจก็ตกใจจริงๆ พูดอะไรก็ตรงไปตรงมา นั่นเป็นคัลเจอร์ของฮิปฮอปอยู่แล้ว เพราะฮิปฮอปมันต้องเล่าเรื่องที่เป็นตัวเอง เราต้องมั่นใจและนำเสนอความเป็นตัวเอง ผมดีใจมากที่เกิดซีซั่นสองขึ้นมา แล้วทำให้คนเข้าใจว่าซีซั่นหนึ่งมันเรียลจริงๆ ก็อยากฝากไว้ว่า ถ้าจะมารายการนี้ เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาแพ้นะ ถ้าเราไม่เตรียมตัวมาแพ้ เราไม่ชนะแน่นอน
P-Hot: ตอนที่มาทำหน้าที่นี้ก็หนักใจแน่นอนครับ เพราะเราไม่เคยเป็นคนตัดสิน พอเราได้มาอยู่ตรงนี้ มันเหมือนเราได้ฝึกตัวเองด้วย ได้มาดูหลายๆ คน ได้มาจับตามอง ซึ่งเด็กสมัยนี้เก่งมากๆ แต่ยังไม่มีโอกาส พอเขาได้มาโชว์ตรงนี้ เขาได้มาเจอเพื่อนๆ ได้มาแลกเปลี่ยนหลายๆ อย่าง มันทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมา และไปทำสิ่งอื่นๆ ต่อได้ ไม่จำเป็นว่าเราต้องเข้ารอบหรือเป็นแชมป์ แต่เราแค่มารวมตัวกัน มาเจอกับคนที่รักในสิ่งเดียวกัน แล้วหลายๆ อย่างมันทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้น
K-aglet: ผมขอเสริมจากพี่ปอนด์ว่า นี่เป็นข้อดีอีกอย่างของรายการเลย ปกติเราไปแข่งรายการไหน ลึกๆ เราต้องหวังชัยชนะอยู่แล้ว แต่พอเรามาแข่งขันรายการนี้ อย่างที่บอกว่าฮิปฮอปมันเป็น culture ที่แข็งแรง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแข็งแรงได้ยังไง คงเพราะทุกคนต่าง respect กันและกันมั้ง แทนที่เราจะได้คู่แข่ง เรากลับได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาแทน ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเข้าใจว่าเรามีฝันเดียวกัน และเราพร้อมสนับสนุนกันและกัน
P-Hot: บางคนอยู่ไกล ไม่มีเวทีให้เล่น แล้วเขาต้องนั่งรถเพื่อมาที่นี่ พอเขาได้มาทำในสิ่งที่เขาชอบ มันก็ต่อยอด
K-aglet: มันเติมเต็มฝันของเขาครับ
บอย: พอรายการจบทุกคนบอกว่า ไม่อยากให้จบเลย อยากมาเจอกันทุกสัปดาห์ (หัวเราะ)
K-aglet: พอดีตอนนั้นผมใกล้เรียนจบแล้ว ผมเลยคิดว่าไหนๆ เราก็อยากทำแร็ปให้เป็นอาชีพแล้ว ถ้าเราไปแข่งแล้วใช้รายการเป็นเส้นทางโปรโมทอีกทางหนึ่ง มันก็จะเป็นการปูทางให้กับอาชีพที่ดีขึ้น พอได้แชมปฺก็ยิ่งเหนือความคาดหมายไปอีก จากความตั้งใจแรกที่อยากมาสนุก มาร่วมซัพพอร์ตวงการด้วย กลายเป็นว่า เราเริ่มจริงจังในการแข่งขันแต่ละรอบมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วกลายเป็นว่า โอ้โห.. ได้เรียนรู้เยอะเลยครับ อย่างแรกคือ รายการทำให้เราเรียนรู้การเป็นศิลปินคนหนึ่งจริงๆ จากเดิมที่เป็นคนธรรมดา จะทำยังไงเราถึงจะเป็นศิลปินได้ เราต้องรู้และรับมือบนเวทีได้คลอบคลุมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบล็อกกิ้ง การเพอร์ฟอร์แมนซ์ การออกเสียงผ่านไมค์ ท่าทาง สีหน้า ผมได้เรียนรู้ความเป็นมืออาชีพจากรายการนี้เยอะขึ้นมาก จากสมัยก่อนที่เล่นไปตามความสนุก ไม่มีแบบแผน ไม่มีพื้นฐานความรู้ หรือการทำงานร่วมกับคนอื่น แต่ก่อนฮิปฮอปก็จะทำงานแค่ในแก๊งค์ของตัวเอง แต่พอเรามารายการ เราได้เจอแก๊งค์อื่นมากขึ้น ได้เจอพี่ๆ พีดีจากที่อื่น เวลาเราทำงานร่วมกัน เราก็ได้รับฟังความคิดเห็นของเขา มันก็ทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำเพลงมากขึ้น
บอย: มันเดินทางมาไกลจริงๆ ครับ จากรอบ Face to Face เราไม่รู้หรอกว่าใครจะได้เข้า เจอพีดีใจดีก็อาจจะได้ ใครเข้มหน่อยก็อาจจะตกรอบไป อย่างน้องผมมาสมัครยังตกรอบเลยครับ พอมารอบ Ring of Fire มันเป็นรอบที่คุณต้องแข่งกับตัวเอง พอตื่นเต้นแล้วมันพลาด บางคนขาสั่น หมดแรงก่อน พวกเราเองเสียดายเหมือนกัน พอเข้าทีมมา พีดีกลายเป็นพี่ที่ช่วยพัฒนาน้องๆ จนเทปสุดท้าย พวกเขาเติบโตจนแข็งแรง ทำโชว์จริงจัง มันไม่มีคำว่าซ้ำ มันมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราลุ้นเสมอ
K-aglet: เรียกได้ว่า ฟอร์แมตมันท้าทายผู้เข้าแข่งขันใหม่เรื่อยๆ มันเลยทำให้ผู้เข้าแข่งขันเก่งตามฟอร์แมตไปโดยอัตโนมัติ
เดย์: เราเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับน้องๆ มาก ส่วนใหญ่จะมาถามหลังแข่งเสร็จหรือตอนที่อยู่ในทีมมากกว่า ส่วนใหญ่เราจะให้ไอเดียมากกว่า เพราะทุกคนมีสไตล์ของตัวเองอยู่แล้ว เราก็จะดูว่าเขาน่าจะเข้ากับบีทแบบไหน เขาต้องการเล่าเรื่องอะไร และเราก็จะป้อนข้อมูลเข้าไป พอทำเพลงเสร็จ เราก็จะคิดเรื่องของโชว์ มันก็เป็นอะไรที่กดดันเหมือนกัน เพราะน้องๆ ต้องจำเนื้อเพลงภายใน 2-3 วัน และเราก็ต้องคิดโชว์ น้องก็ต้องจำบล็อกกิ้ง เราก็ได้แนะนำหลายอย่าง เพราะเราเองก็เคยอยู่ตรงจุดนั้น เคยพลาดมาก่อน เรารู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองยังไง
P-Hot: ส่วนใหญ่ผมจะเป็นสายให้กำลังใจมากกว่า อย่างตอนที่จะแข่ง เราบอกแค่ว่า 'เฮ้ย ไปสู้' เพราะผมไม่อยากกดดันลูกทีม เราไม่พยายามไปบรีฟเขาว่า ต้องทำแบบนั้นแบบนี้ เราแค่บอกให้ระวังจุดผิดพลาดของเขา แล้วก็ปล่อยให้เขาแก้ปัญหา ผมเชื่อมั่นในตัวเขา แล้วผมก็สนุกสนานเฮฮา (หัวเราะ) มันท้าทายดีครับ
บอย: รายการเรามันเป็นเวทีครับ สิ่งที่ผมชอบและรีเสิร์ชมาคือ ผมไปถามฮอค (ฮอคกี้-เดชาธร บำรุงเมือง AKA. hockhacker) ว่าคัลเจอร์นี้จริงๆ มันช่วยส่งเสริมสังคมหรือเปล่า ฮอคก็เล่าให้ฟังว่า เขามีรีเสิร์ชอยู่ในหลายๆ ประเทศว่า ฮิปฮอปมันช่วยส่งเสริมให้เด็กรู้จักคุณค่าในตัวเอง คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าจะประสบความสำเร็จ คนที่ไม่รู้จักคุณค่าในตัวเองก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง และทุกคนต่างก็ค้นหาสิ่งเหล่านั้น บางคนเล่นกีฬา มีเวลาออกไปตามหาสิ่งต่างๆ แต่กับบางคนเขาไม่ได้รับโอกาสเหล่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเท่ากันคือ ภาษาและตัวตนของคุณเอง ซึ่งมันคือฮิปฮอป มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเป็นได้หมด เขาแค่หาคำตอบในใจตัวเองแล้วพูดออกมา มันคือ R-Reallity E-Equality A-Attitude L-Learning พอผมอ่านรีเสิร์ชแล้ว นี่แหละ ซีซั่นสาม เพราะเรามี Respect และ Change แล้ว ซึ่งผมเห็นสิ่งนี้ในวงการฮิปฮอป
เดย์: เป็นตัวเองของตัวเองให้มากที่สุด มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูด และเล่าให้ถูกจังหวะ พยายามที่จะพูดความจริงให้มากที่สุด และทำการบ้านมาให้ดีๆ
จ็อบ: อย่างที่บอกว่า ฮิปฮอป เป็นคัลเจอร์ ตัวตนของน้องๆ จะถูกสื่อสารผ่านไรม์ (Rhyme) ของเขา มันทำให้เราได้รู้จักชีวิตหลายๆ ด้านของผู้เข้าแข็งขันเป็นร้อยเป็นพันคน ซึ่งถ้าเขารักฮิปฮอปผมอยากให้เขามาสมัครรายการนี้ ไม่ต้องคาดหวังว่าต้องชนะ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เขาจะได้จากที่นี่แน่ๆ คือ ความเข้าใจ เข้าใจเรื่องราวหลายๆ อย่างมากขึ้น ปกติน้องเขาเขียนเพลงอยู่บ้าน ไม่ได้สื่อสารกับคนอื่นมากมายนัก แต่อย่างน้อยการเดินเข้ามาในรายการนี้ เขาจะได้เจอคนมากมายที่อยากจะสื่อสารเรื่องอื่นๆ หรือบางทีเขาอาจจะได้เจอคนที่เหมือนเขามากๆ อย่างที่เต้ (K-aglet) บอกครับว่า มันมีมูลค่ามหาศาลแล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ง่ายๆ สั้นๆ ถ้ารักฮิปฮอป มาสมัครรายการนี้เถอะ
P-Hot: ตอนนี้แร็ปกลายเป็นกระแสหลักแล้ว สำหรับผมแร็ปไม่ใช่แค่การบ่นในบีต มันคือชีวิตครับ อยากเห็นน้องๆ ตั้งใจทำสิ่งที่รักจริงๆ แล้วคุณจะเจอคำตอบเองครับ ถ้าคุณรักมันจริงๆ
บอย: ทุกคนไม่เข้าใจว่าทำไมแข่งขันแร็ปต้องด่ากัน ผมก็ไม่อ่านรีเสิร์ชมาว่า การที่เราแร็ปกับตัวเอง มันก็มีสเตจของมัน การแบทเทิลมันเป็นการ Respect นะ มันคือการรับฟัง การเปิดใจที่จะรับคำติจากคนอื่น ถ้าคนเรารับคำติจากคนอื่นไม่เป็น เราจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร และเราต้องเอาจริงนะ จะมาแค่แหย่ๆ กันไม่ได้ อย่างเต้ก็เต็มที่มาก กติกามันคือ หลังจากที่แร็ปแบทเทิลจบ คุณต้องจับมือกัน คุณต้องยอมรับและให้อภัย มันก็เป็นกีฬาแบบหนึ่งเหมือนกัน
P-Hot: มันทำให้เรารักกันมากขึ้นไปอีกนะ มันฝึกให้เราคุมสติให้อยู่ จริงๆ มันสอนเรานะ ยิ่งกว่าการต่อมวยอีกนะ พอเราฟังแล้วเราต้องคิดว่าจะตอบกลับอะไรในเสี้ยววินาที
บอย: ผมก็จะขอแค่ว่า อย่าให้มันลงต่ำใต้สะดือ เพราะเด็กดูเยอะ เราไม่อยากให้เกิดการทำซ้ำในเรื่องพวกนี้

เดย์: มันต้องใช้สมองในการแร็ป คำหยาบใครๆ ก็พูดได้ แต่จะทำยังไงให้อีกฝ่ายเจ็บได้ โดยการใช้แร็ปของเรา มันอาจจะเป็นภาษาแสลงอะไรต่างๆ ผมพูดได้เลยว่า แร็ปแบทเทิลเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ในฮิปฮอป และดิสแบทเทิล (แร็ปด่าจุดอ่อนของอีกฝ่าย) มันมีมาตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้ว และอยากให้น้องๆ เข้าใจว่า แร็ปแบทเทิลไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบ เราใช้คำที่ทำให้เราเท่ขึ้นได้ ดูฉลาดขึ้นได้ เพราะแบทเทิลมันคือการมาโชว์ความฉลาดนะ ใครที่ควบคุมตัวเองได้ คุณก็ชนะ
K-aglet: ทุกการแข่งขันมันให้ทักษะกับเรา อย่างแร็ปแบทเทิลมันก็ให้เราฝึกสมาธิและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มันได้อะไรหลายอย่าง นอกจากการด่า แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับของคนว่า แค่ด่ากันก็น่าจะยอมรับได้
4496 VIEWS |
ผู้ก่อตั้งนิตยสาร happening, บรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening, กรรมการบริหารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc), นักเขียน, นักแต่งเพลง, นักฟังเพลง และนักอ่านตัวยง
กองบรรณาธิการที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ชอบคุยกับผู้คน ท้องฟ้า และเสียงดนตรี เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฟังเพลง ที่บางทีก็ปล่อยให้เพลงฟังเรา
อดีตช่างภาพนิตยสาร มาเปิดบริษัทของตัวเองได้สักพัก ยังสนุกกับงานถ่ายภาพอยู่เสมอ โดยเฉพาะการถ่ายภาพผู้คน ตอนว่างจะชอบหนีไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แก้เบื่อด้วยการถ่ายสถานที่และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ