15 ร้านที่เราขอเอ่ยถึง เป็น 15 ร้านในดวงใจของชาว happening ที่เราชื่นชมทั้งในแง่ตัวตนและสไตล์ แต่ละร้านก่อตั้งโดยคนที่มีหัวใจรักใคร่ในศิลปะและปรารถนาจะให้ชุมชนแบริ่งน่ารักและน่าอยู่มากขึ้น ...และเราก็เชื่อว่า ไม่ว่าใครที่ได้ไปเยือนร้านเหล่านี้ก็จะสัมผัสได้ถึงความปรารถนาข้อนี้ของพวกเขาได้ไม่ยากนัก
1. Billybillies Cafe & Workshop Studio
ต้องขอยกให้เป็นคาเฟ่ที่มีมู้ดแอนด์โทนน่ารักกุ๊กกิ๊กที่สุดแห่งหนึ่งในย่าน เพราะคาเฟ่แห่งนี้ได้รวมนิทรรศการศิลปะ เวิร์กช็อป และคาเฟ่ขนาดกะทัดรัดเอาไว้ในที่เดียวกัน โดยในส่วนนิทรรศการจะเป็นการสนับสนุนให้ศิลปินหน้าใหม่ได้มีพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายชิ้นงานโดยไม่ต้องเสียค่าพื้นที่ มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนผลงานที่จัดแสดงเป็นประจำทุกเดือน และส่วนเวิร์กช็อปก็มีให้เลือกหลายแขนง ตั้งแต่เวิร์กช็อปการดริปกาแฟ เบลนด์ชา วาดภาพสีน้ำมัน สีน้ำ ฯลฯ ซึ่งมีการสอนเป็นภาษาไทยสำหรับคนไทยและภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติด้วย
ภายในร้านให้บริการทั้งชา กาแฟ โกโก้ เครื่องดื่มโซดา และเบเกอรี่ มีเบเกิลที่ลูกค้าสามารถออกแบบรสชาติสีสันเองได้ และมีขนมที่จัดเสิร์ฟต่างเมนูกันไปในแต่ละสัปดาห์ เรียกได้ว่ามาร้านนี้บ่อยๆ ได้เลย ไม่ต้องกลัวเบื่อ สำหรับเมนูเครื่องดื่มก็มีให้เลือกเพียบ แถมยังน่าเอ็นดูตรงที่จะมีชาเบลนด์สูตรพิเศษๆ อยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับกาแฟที่นอกจากจะมีเมนูมาตรฐานแล้ว ก็ยังมีเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้านอย่าง Billy's Coffee ให้เลือกลิ้มชิมรสชาติกาแฟเอสเพรสโซ่ผสานกับรสเปรี้ยวของน้ำส้มยูสุ น้ำเสาวรส และโซดา
เมนูแนะนำ: Billy's Coffee, Billy Special Blended Tea
Facebook: billybilliesworkshop
Instagram: billybillies
2. XXXYYY
ร้าน XXXYYY ของ ไนน์–กชพร เปี่ยมราศี และ หลิง–อรวรรณ กอเสรีกุล สองพาร์ทเนอร์นักออกแบบผู้ริเริ่มไอเดียเปิดพื้นที่สร้างสรรค์บริเวณย่านแบริ่งแห่งนี้ ด้วยแนวคิดที่นำเอาสมการ X และสมการ Y มาเจอกัน แทนค่าได้เท่ากับการมารวมกันของ Cafe และ Project Space อันเป็นความชื่นชอบของทั้งสองคน และเมื่อสองสมการมาอยู่ด้วยกัน คำตอบที่ได้จึงแปรผัน ไม่หยุดนิ่ง และไม่ตายตัว ในร้าน XXXYYY จึงเป็นพื้นที่ที่เขาทั้งสองคนอยากจะทำให้คนที่แวะเข้ามามีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ
ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในร้าน ก็สามารถเห็นรูปทรง X และ Y ที่อยู่ในการออกแบบของร้านได้แล้ว ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่มีรูปตัว X การจัดวางที่นั่ง ทางเดินบนแกลเลอรี่บนชั้นสอง ไปจนถึงไฟติดเพดาน โดยพื้นที่ภายในร้านจะแบ่งเป็นสองส่วน ชั้นล่างเป็นพื้นที่สำหรับนั่งจิบกาแฟ และชั้นบนเป็น Project Space ที่ทางร้านนำเอาผลงานการออกแบบมาจัดแสดง ซึ่งส่วนมากจะเป็นงานออกแบบของกลุ่มเพื่อน ศิลปิน คนรู้จัก หรือลูกค้าที่สนใจอยากนำผลงานการออกแบบของตัวเองมาจัดแสดงที่ร้านก็มี
นอกจากนี้ยังเห็นถึงความใส่ใจในการสร้างบรรยากาศภายในร้าน อันเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความรู้สึกประทับใจให้แก่ผู้ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น การใช้โทนสีสบายตาตกแต่งร้านตัดกับสีปฐมภูมิของเฟอร์นิเจอร์อย่างโต๊ะเก้าอี้ สีบนผนังที่แบ่งพื้นที่สองพื้นที่ออกจากกันระหว่างผนังลอฟท์สีเทาของชั้นล่างและผนังสีขาวของแกลเลอรี่ชั้นบน ที่นอกจากจะเป็นการสร้างบรรยากาศภายในร้านแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงแนวคิดหรือที่มาที่ไปของร้านด้วยสมการ X – Y ที่ต่างกันอีกด้วย
สำหรับเมนูอาหาร เครื่องดื่ม และกาแฟที่ทางร้านตั้งใจทำออกมาก็ไม่แพ้งานดีไซน์เลย มีทั้งเมนูพิเศษที่ทำร่วมกับร้านอื่นในย่าน ขนมจากเพื่อนๆ และเครื่องดื่มซิกเนเจอร์จากทางร้านเอง ทางร้านมีเมล็ดกาแฟหลากหลายสายพันธุ์ และมีความตั้งใจในการใช้ผลิตภัณฑ์โฮมเมด ด้วยแนวคิด 'Quality Coffee, Homemade Bakery' ให้ได้เลือกอร่อยไปกับหลากเมนูสุดสร้างสรรค์และมั่นใจในความดีงามของคุณภาพ
นอกจากอาหารเครื่องดื่มแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งของเครื่องใช้และงานดีไซน์เก๋ๆ จากทางร้านและเพื่อนๆ มาวางจำหน่ายอีกด้วย
เมนูแนะนำ: Milky Wayyy กาแฟนมจากเมล็ดกาแฟคั่วกลางบวกกับพานาคอตตา เหมาะกับการเริ่มต้นวัน, Calamansi Soda ที่มีไซรัปส้มจี๊ด เปรี้ยวซ่าสดชื่น, Lemon Pound Cake ที่ใช้เลม่อนเต็มผลสร้างสรรค์เป็นเนื้อเค้ก เกลสซิ่งแต่งหน้า ไปจนถึงเลม่อนแคนดี้ด้านบน
Facebook: xxxyyy.official
Instagram: x___y.official
3. Kepler BKK และ Rice Room Canteen
เท่ สนุก อบอุ่น! คือคำจำกัดความรู้สึกที่เราขอยกให้ร้านนี้ที่มีพิกัดอยู่ที่ลาซาล ซอย 8 ส่วนผสมพิเศษของที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน เพราะไปที่เดียวคือได้ทั้งคาเฟ่และร้านอาหารใต้รสจัดจ้านในครั้งเดียว!
หนึ่ง–กรวุฒิ หนีพาล ตัดสินใจจับมือกับ มิ้น–มานิตา บุญภาณุวิจิตร เปิดร้านขนาดกำลังน่ารักชื่อ Kepler BKK กับ Rice Room Canteen ขึ้นเพื่อเสิร์ฟทั้งกาแฟและอาหารใต้ในพื้นที่เดียวกัน ที่ต้องเป็นอาหารใต้ก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน นั่นก็เพราะครอบครัวของมิ้นเป็นคนสุราษฎร์ และครอบครัวของมิ้นทำแกงใต้อร่อย! จากที่ทำทานกันเองในบ้านก็มีอันเลยเถิดมาเปิดเป็นร้าน เมนูอาหารใต้ของร้านนี้ครอบคลุมตั้งแต่แกงไตปลา แกงเหลือง หมูหวานปักใต้ ไข่เจียวชะอม ลัดเลาะไปถึงเมนูอาหารจานเดียว และน้ำพริกปลาทูที่ลูกค้าสามารถตักผักสดเองได้ตามใจนึก
ตัวหนึ่งเองเป็นช่างภาพมืออาชีพที่รักการดื่มและชงกาแฟ สไตล์ภาพของเขาบอกเล่าอะไรหลายอย่าง ไม่แพ้ภาพบรรยากาศภายในร้านที่สะท้อนความเป็นตัวเองออกมาอย่างชัดเจน หนังสือภาพและพ็อกเก็ตบุ๊กที่ถูกคัดสรรแล้วจำนวนหนึ่งถูกบรรจุไว้ตามชั้นวางระหว่างพื้นที่ ใครชอบอ่านและดูหนังสือภาพน่าจะมานั่งเล่นอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน (หนังสือภาพบางเล่มเจ๋งมากๆ) เครื่องเล่นแผ่นเสียงถูกเปิดบรรเลง ภาพถ่ายและโปสเตอร์ดีไซน์สวยถูกติดผนึกไว้บนผนัง ต้นไม้เล็กๆ และเสียงดนตรีทำให้ที่นี่มีมวลอากาศพิเศษบางประการ จนทำให้ร้านนี้กลายเป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่ชอบมานั่งคุยงานและพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ถือเป็นอีกร้านที่เพิ่มสีสันและทำให้พื้นที่ย่านแบริ่ง-ลาซาลน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมไปอีก
สำหรับคอกาแฟ Kepler BKK เขามีสูตรลับหลายเมนู เมล็ดกาแฟที่นี่เป็นเกรดคุณภาพท่ีรับรองได้ว่าชิมแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน
เมนูแนะนำ: Kepler Flower (Espresso บวกกับเลมอนไซรัปที่ทางร้านหมักเอง), Kepler Orange, Dirty โรยเกล็ดช็อกโกแลต, Matcha Latte
Instagram: keplerbkk , riceroomcanteen
4. The Black Forest
ด้วยความที่พวกเราชาว happening คุ้นเคยกับ เบส–ยอดยุทธ ฉายสุวรรณ์ เจ้าของร้าน The Black Forest อยู่ก่อนแล้ว การแนะนำร้านนี้ก็เลยเหมือนการแนะนำร้านของเพื่อนเราให้ทุกคนได้รู้จัก เบสเคยทำทั้งงานเขียน จนกระทั่งมีหนังสือของตัวเองกับสำนักพิมพ์อะบุ๊ก และรักงาน Digital Paint เป็นชีวิตจิตใจ เราคงสามารถพูดได้ว่า The Black Forest เป็นภาพผลงานชิ้นสำคัญของเขาด้วย ที่นี่เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่เขาดูแลเอง โดยมีแมวอ้วนชื่อเจ้า 'กามู' อยู่เป็นเพื่อนซี้ (ชื่อกามู มาจากชื่อนักเขียนคนโปรดของเบส คือ อัลแบร์ กามู)
The Black Forest เป็นคาเฟ่สองสามชั้นริมถนนตรงข้ามซอยแบริ่ง 16 ที่มีบุคลิกแบบเดียวกับงานที่เบสวาด และใช่เลย เขาวาดภาพออกแบบคาเฟ่นี้ด้วยตัวเอง เบสวาดโครงสร้างเหล็กที่โอบล้อมคาเฟ่แห่งนี้ให้มีความโค้งมนแบบเดียวกับกิ่งก้านและลำต้นของต้นไม้ในป่า โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก 'ป่าดำ' ในประเทศเยอรมัน อาจเพราะรู้สึกผูกพันกับเรื่องราวของสองพี่น้องตระกูลกริมม์เป็นพิเศษ เบสบอกกับเราว่า เขาตั้งใจให้คาเฟ่แห่งนี้เป็นเสมือนผืนป่าเล็กๆ ที่หลายชีวิตได้มาใช้พื้นที่และใช้เวลาร่วมกัน
บรรยากาศในร้านเกิดจากการทำงานร่วมกันของแสงกับเงา จึงให้มิติที่น่าสนใจ เงาที่ทอดลงภายในพื้นที่ให้ความรู้สึกคล้ายเงาไม้ รู้มาว่าในฤดูหนาวแสงจะส่องเข้ามาทางทิศด้านหน้าของร้าน ส่วนในฤดูร้อน แสงจะลอดผ่านช่องตรงกลางร้านลงมามากเป็นพิเศษ เราคิดว่าคนที่ชอบนั่งทำงานในคาเฟ่น่าจะถูกใจสเปซที่นี่ เพราะมีความเงียบสงบ มีแสงสว่างที่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา มีชีวิตชีวา ทว่าเป็นส่วนตัว
เมนูอาหารและเครื่องดื่มของร้านนี้จะเป็นสไตล์ยุโรป ซึ่งเป็นสูตรที่ทำทานกันภายในครอบครัว และภาพกับลายเส้นสวยๆ ในเมนูอาหารวาดโดยฝีมือของเจ้าของร้านเอง ที่บริเวณชั้นล่างของร้านนอกจากส่วนคาเฟ่ที่เปิดให้บริการแล้ว ยังมีโซนจำหน่ายช้ินงานสวยๆ จำพวก หมอน เสื้อผ้า ฯลฯ แทรกตัวอยู่ด้วย ใครแวะเวียนไปที่นี่สามารถช้อปปิ้งของติดมือกลับบ้านได้อีก
เมนูแนะนำ: Forest ชอกโกแลตปั่นเบอร์รี่รวม มีความขมแน่นกับความเปรี้ยวหวานของผลไม้, Apollo กาแฟส้มสดใส มีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลเขียวและสัปปะรดเนื้อแน่นๆ เผากับน้ำตาลทรายแดง, Vanillatte มิลค์เชคกาแฟปั่นไอศกรีมวานิลลา พร้อมสกู๊ปไอศกรีมท็อปด้านบน
Facebook: blackforestbkk
Instagram: blackforestbkk
5. Roastery at Home
'คั่วกาแฟที่บ้าน' น่าจะเป็นวลีที่ตรงตัวที่สุดสำหรับร้านนี้เลย เพราะที่นี่เป็นทั้งบ้าน ทั้งโรงคั่ว และคาเฟ่เล็กๆ จบในตัว ตั้ม–ธเนศ อาจจินดา กับ เจน–จีรนันท์ สังข์สินชัย สองสามีภรรยาเจ้าของร้านตัดสินใจเปิดบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดแห่งนี้เป็นคาเฟ่ในช่วงที่โควิด-19 มาเยือนเมืองไทย ด้วยความเชื่อมั่นว่าร้านที่มี 'ราก' ที่แข็งแรงจะเป็นแต้มต่อ และทำเลที่ตั้งของร้านอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่กำหนดความสุขสำเร็จ
พิกัดในซอยเล็กแบบลึกสุดใจของ Roastery at Home กลายเป็นจุดอ่อนที่ไม่อ่อนสักเท่าไหร่ เพราะคนที่แวะเวียนมาจิบกาแฟคั่วอ่อนที่ร้านนี้หลายคนตั้งใจเดินทางมาไกลแบบไกลมาก (เราเองเคยเจอะเจอคอกาแฟจากเมืองเชียงใหม่ขับรถแวะมาที่นี่เพื่อซื้อกาแฟด้วยเหอะ!) เรียกได้ว่าลูกค้าบุกเมืองฝ่าซอยมาอุดหนุนกันอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ
ตั้มเล่าว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนทำงานสายกราฟิก แต่มีความสนใจในเรื่องกาแฟเป็นการส่วนตัว จากความชอบก็กลายเป็นการศึกษาเรียนรู้จนมาคั่วกาแฟเองและหลงใหลใน Sensory ที่เกิดขึ้น ณ ขณะคั่ว ตั้มยังขยายความว่าตัวเองชอบไปหอศิลปกรุงเทพฯ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และร้านกาแฟที่ช่วยเปิดมิติในการดื่มกาแฟให้เขาก็คือ ร้านแกลเลอรี กาแฟดริป จากเดิมที่ไม่กินกาแฟดำ ปัจจุบันเขากลายเป็นคนที่หมกมุ่นกับเมล็ดกาแฟประเภทต่างๆ รวมทั้งพยายามคิดค้นวิธีที่พอเหมาะพอดีในการคั่วเมล็ดกาแฟให้ไม่เกิดผลเสียกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจนเกินไปอีกด้วย
เมนูกาแฟที่ Roastery at Home นั้นเรียบง่าย แต่ทางร้านจะเน้นว่ามีเมล็ดให้เลือกเยอะ แถมยังใช้วิธีเบลนด์ที่น่าสนใจ เราสามารถพบเมล็ดที่มีกลิ่นและรสซับซ้อนลี้ลับได้ที่นี่ บางตัวมีกลิ่นเหมือนเค้กบลูเบอร์รี่ บางตัวให้รสสัมผัสที่ไม่เหมือนกาแฟที่เราเคยลิ้มลองในร้านทั่วไป จุดเด่นของที่นี่คือจะมีการหมุนเวียนเมล็ดกาแฟไปเรื่อยๆ แต่ก็มีเมล็ดแบบ Roastery Blend เบสิกๆ ติดร้านไว้เสมอ และราคาที่จำหน่ายก็ย่อมเยาทีเดียว ส่วนเมนูของหวานจะอินดี้พอสมควร เพราะจะทำแบบตามใจเจ้าของร้านฝ่ายหญิงคือคุณเจนแบบสุดๆ เจนบอกกับเราว่า การทำขนมสำหรับเธอคือการผ่อนคลาย ดังนั้นเธอจะทำมันเพื่อให้เกิดความสุขทั้งกับคนทำและคนทาน ขนมของเจนจะไม่เน้นแป้ง ไม่เน้นหวาน และไม่ทำทิ้งไว้ข้ามวัน ถ้าขายไม่หมดก็จะเน้นแจกจ่ายให้เพื่อนๆ (แต่มักไม่ค่อยเหลือหรอก ถ้ามาสายหน่อย ก็อดกินแหละ)
ร้านนี้เปิดเพลงแบบ Lo-fi และเพลงที่เป็นลูปวนๆ มีพวกเพลงฮิปฮอปและแจ๊ซบ้าง ภายในร้านมีหน้าจอที่เปิดภาพกราฟิกดูเพลินๆ ไว้ให้อวลในบรรยากาศ สำหรับเราชาว happening แล้ว มันดีมากเลย ในแง่มวลความรู้สึก แม้ร้านแห่งนี้จะมีขนาดเล็ก นั่งได้ประมาณ 10 กว่าที่นั่ง แต่ต้องบอกว่ามีเสน่ห์อย่างยิ่งยวด และที่สำคัญทีมงานในร้านก็น่ารัก เป็นมิตร และอัธยาศัยดี
เมนูแนะนำ: เมล็ดกาแฟ Lampang Banpamiang ที่มีกลิ่นหอมเหมือนบลูเบอร์รีชีสเค้ก, เมล็ดกาแฟ Mae Buh Yah x Brazil สูตร House Blend ประจำร้าน
Facebook: RoasteryAtHome
Instagram: roasteryathome
6. เจนลูกสาวป้าดำ - Runaway from Home
มาย้ำกันอีกทีว่าคุณเจนแห่งร้าน Roastery at Home นั้นเธอเป็นอินดี้ตัวแม่ตัวจริง เพราะหลังจากเปิดร้านแรกแล้ว เธอก็มีภารกิจหนีออกจากบ้านมาเปิดอีกร้านเพื่อต่อยอดให้พื้นที่ใหม่กลายเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนทุกวัย ที่ร้านแห่งที่สองซึ่งมีพื้นที่ส่วนเอาต์ดอร์ด้วยนี้ เจนเสิร์ฟเมนูหลากหลายขึ้น มีทั้งกาแฟ เบเกอรี่ อาหาร เบียร์ และหมูกระทะ! แถมยังมีไลฟ์มิวสิกเป็นระยะ ภารกิจนี้ของเจนทำให้ชาวแบริ่งหลายปากท้องถึงกับยิ้มแก้มปริ เพราะในพื้นที่ใหม่มีที่จอดรถสะดวกสบาย แล้วยังมีเมนูสุดครีเอทีฟหลายต่อหลายเมนูผุดขึ้นมาให้ชิมกัน
สำหรับเมล็ดกาแฟ ด้วยความที่มีโรงคั่วของตัวเองที่ Roastery at Home อยู่แล้ว เรื่องคุณภาพของกาแฟเลยเป็นอันหายห่วง ทางร้านยังเลือกใช้ชื่อเมนูเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม คือ Black (อเมริกาโน่), White (ลาเต้) และ Brown (กาแฟนมที่เน้นปริมาณกาแฟมากกว่านมสด) หนำซ้ำทางร้านยังมีเมนูพิเศษชื่อ Cheech & Chong (อ่านว่า 'ชีชแอนด์ชอง') ที่เสิร์ฟทั้ง Black และ White มาคู่กันในเมนูเดียวอีกด้วย
เรื่องอาหารและเบเกอรี่ที่นี่ก็ไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะในแง่ความคิดสร้างสรรค์ เพราะทีมเจนจับคู่จับรสเด่นๆ มาทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างน่าสนใจ มีการหยิบเอาเนยถั่วมาเสิร์ฟคู่กับเอสเพรสโซ่ มีเบคอนโรลที่อร่อยสุดๆ มีข้าวแกงกะหรี่ที่ทางร้านเคี่ยวแกงเอง และยังมีหมูเกาหลีเสิร์พบนกระทะร้อนฉ่าน่ากินมาก ขนมปังซาวโดวจ์สูตรของเจนหมักด้วยยีสต์จากธรรมชาติและมีให้เลือกตั้ง 5 รสชาติ …เรียกได้ว่าถ้าเขียนเล่าต่อไปก็คงจะยืดยาวและวนเวียนอยู่ในความอร่อยที่ไม่รู้จักจบสิ้น!
เมนูแนะนำ: Runaway from Home เครื่องดื่มประจำร้าน, Green Yuzu, ไอศกรีม Monkey Chubby, Shrimp Katsu Curry, Sourdough ทุกเมนู
Facebook: JaneLuksawPaDam
Instagram: janeluksawpadam.bkk
7. Gooseberry Coffee
ต้องยกให้เป็นหนึ่งในคาเฟ่ที่ดูสวยน่ารักที่สุดในย่านแบริ่ง-ลาซาลเลยสำหรับร้านนี้ และยิ่งได้ทราบที่มาก็ยิ่งไม่แปลกใจ เพราะ Gooseberry Coffee ถูกก่อตั้งขึ้นโดยทีมสถาปนิกและเหล่าอินทีเรียดีไซเนอร์ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ นอกจากกาแฟ ที่มีรสชาติดีแล้ว พวกเขายังเพิ่มความใส่ใจในรายละเอียดและเสิร์ฟบรรยากาศที่สวยงามให้กับนักดื่มอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการ 'ออกแบบประสบการณ์การดื่มกาแฟ' แบบเดียวกับที่พวกเขาออกแบบพื้นที่ ตึกราม หรือบ้านสวยๆ สักหลัง
Gooseberry Coffee เน้นการสร้างสมดุลทางความรู้สึก ตั้งแต่การเลือกใช้สีโทนขาวดำซึ่งเป็นสีคู่ตรงข้ามที่ให้น้ำหนักเรียบง่าย การจัดให้มีทั้งส่วน Speed Bar และ Slow Bar ไปจนถึงการเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้งแบบ Coffee และ Non Coffee และด้วยบรรยากาศแบบเรียบนิ่งแต่ดูสบาย ทำให้ใครหลายคนที่ขับรถผ่านร้านจะต้องเหลียวมองด้วยความสนอกสนใจ จุดเด่นของร้านนี้คือที่บริเวณด้านหน้าร้านมีต้นมะกอกทรงน่ารักให้สีเขียวเย็นใจ แถมยังมีที่นั่งในส่วนกลางแจ้งหน้าตาเหมือนอัฒจันทร์ขั้นบันไดเปิดให้บริการด้วย ซึ่งโซนหน้าร้านตรงนี้มีพลังดึงดูดกล้องถ่ายรูปสุดๆ …บอกได้เลยว่าในวันแสงสวย การถ่ายรูปเล่นที่นี่คือสวรรค์ของช่างภาพและเหล่าโมเดลสายฮิปเลยทีเดียวเชียว
เมนูแนะนำ: Gooseberry Coffee, Kyoto Matcha Affogato, Lemon Cake
Facebook: gooseberrycoffeebearing
Instagram: gooseberrycoffee.bl
8. Roots at Lasalle
ถือเป็นแบรนด์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและเรื่องราวจริงๆ เมื่อเอ่ยถึง Roots ผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟที่ขับเคลื่อนทีมด้วยใจรักและความเชื่อที่ว่า "กาแฟที่ดีนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่ยังต้องสามารถสะท้อนไปถึงความตั้งใจและเจตนาดีที่อัดแน่นอยู่ภายในกาแฟแต่ละแก้วได้ด้วย" แนวคิดเรื่อง Cup to Farm ที่ทางร้านใช้ในการทำธุรกิจถูกถ่ายทอดให้เป็นรูปธรรมด้วยการนำรายได้ส่วนหนึ่งไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางก่อนจะมาเป็นกาแฟพิเศษสักแก้ว
Roots at Lasalle นับเป็นร้านสาขาลำดับที่ 4 ที่เปิดให้บริการ จากทั้งหมดรวม 11 สาขา ตัวร้านตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ Summer Lasalle มองเห็นชัดเจนจากริมถนน บรรยากาศภายในให้ความรู้สึกโฮมมี่ มีการใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แสงสว่างภายในร้านกำลังพอเหมาะ ชวนให้รู้สึกตื่นตัวและกระฉับกระเฉง
เมนูที่ทางร้านเสิร์ฟมีให้เลือกหลากหลาย นับตั้งแต่ Expresso Brew, Filter Brew, Cold Brew & Kombucha, Coffee Float & Shake ไปจนถึงเครื่องดื่ม Non Coffee อย่างชาและสมูทตี้ผลไม้ หนำซ้ำยังมีเมนู Barista's Choice ประจำแต่ละเดือนอีกแน่ะ (แต่ละเมนูหน้าตาดีและครีเอทีฟมาก) ที่พิเศษมากอีกประการก็คือ สาขานี้ถือเป็นสาขาขนาดใหญ่ที่มีโรงคั่วและครัวกลางสำหรับทำขนมเพื่อส่งตรงไปยังสาขาอื่นๆ ด้วยนะ จุดนี้คือของขวัญพิเศษของชาวแบริ่ง-ลาซาลที่จะสามารถมาเยือนได้แต่เช้าตรู่เพื่อจะได้ทานขนมที่อบใหม่สดก่อนใคร
นอกจากขนมรสชาติดีและสดสุดๆ แล้ว ที่นี่ยังมีจำหน่ายเมล็ดกาแฟและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ อาทิ ถ้วยเซรามิก แก้วกาแฟ กระติกแบบ Limited Edition อีกด้วย ถือเป็นอีกร้านที่น่ารักครบครัน
เมนูแนะนำ: Orange Tonic, Chocolate Cruffin, Carrot Cake, Salted Caramel Cookie, Cretzel (Pretzel ที่มีเนื้อแป้งแบบเดียวกับ Croissant)
Facebook: rootsatlasalle
Instagram: rootsbkk
9. Lapinta Cafe & Roastery
คำว่า 'Lapinta' หรือ ลาพินต้า ชื่อร้านแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อของเรือที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจทะเลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกใช้ท่องน่านน้ำออกไปเก็บวัตถุดิบดีๆ มาสะสมไว้ ลายเส้นรูปเรือใบ โลโก้ประจำคาเฟ่แห่งนี้ยังช่วยบอกเล่าว่า เจ้าของร้านลาพินต้าเป็นเสมือนนักสำรวจที่ชื่นชอบการเสาะหาเมล็ดกาแฟและวัตถุดิบดีๆ มาให้ผู้มาเยือนได้ลิ้มลองกัน
แนน–ธัชชนก พงศ์ประยูร หนึ่งในเจ้าของร้าน Lapinta Cafe & Roastery เล่าให้เราฟังว่า คุณพ่อของเธอเป็น Cafe Hopper ตัวจริง ท่านตระเวนชิมกาแฟทั้งในไทยและต่างประเทศ ไปชิมกาแฟทั้งในญี่ปุ่นและยุโรปอย่างประเทศสวีเดน อังกฤษ เยอรมัน อิตาลี ฯลฯ พอเจอะเจอว่าที่ไหนเมล็ดกาแฟอร่อยก็อุดหนุนกลับมาชงเองที่บ้าน และเพราะคุณพ่อกับน้องชายของแนนเป็นวิศวกร การปรุงกาแฟของครอบครัวเลยมีความเป็นวิทยาศาสตร์สูง มีการใช้อุณหภูมิ ความดัน และมีการเซตอัพสูตรเฉพาะมาช่วยดึงกลิ่นและรสชาติของเมล็ดกาแฟแต่ละแบบให้โดดเด่นขึ้น นอกจากการชงแล้ว คุณพ่อยังอินและศึกษาเรื่องการคั่วเมล็ดกาแฟด้วยตัวเองอีกด้วย ทางร้านใช้เมล็ดกาแฟจากทางภาคเหนือของไทยและจากต่างประเทศอย่างสายพันธุ์เอธิโอเปีย เคนย่า ฯลฯ ขนมที่เสิร์ฟที่ร้านเป็นสูตรเฉพาะของคุณย่า มีทั้งบราวนี่ คุกกี้มะม่วง-มะขาม ครัวซองต์ มัฟฟิน แถมยังมีไอศกรีมอร่อยๆ สูตรของทางร้านเองอีกด้วย
คาเฟ่โทนสีแดงอิฐแห่งนี้มีสองชั้น ออกแบบและตกแต่งโดยแนนและเพื่อนๆ ซึ่งมีอาชีพหลักในสายอินทีเรียดีไซน์ ทางร้านเลือกที่จะรีโนเวทตึกเก่าให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเลือกใช้สีเหลืองจากวัสดุไม้และสีเขียวจากต้นไม้ช่วยขับเน้นให้ภายในร้านมีสีสันน่าสนใจ บนผนังร้านติดตั้งภาพวาดขนาดใหญ่ฝีมือ หนู–อภิชัย ภักดีบุตร อดีตครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ Ogilvy เอาไว้หลายภาพ (คนเดียวกับที่วาดภาพลงในนิตยสาร MAD Magazine ฉบับภาษาเยอรมัน) แต่ละภาพบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรือลาพินต้าและสื่อสารความงามของพืชพันธุ์ที่มีเสน่ห์ลึกลับอย่างต้นกาแฟ ภายนอกร้านมีที่นั่งแบบไม่พึ่งเครื่องปรับอากาศอีกส่วนหนึ่ง
ตัวร้านอยู่ริมถนนในซอยสาซาล เยื้องกับโครงการ Summer Lasalle และอยู่ไม่ห่างจากโครงการดาดฟ้า ลาซาล 33 มากนัก
เมนูแนะนำ: กาแฟดริปสูตรของทางร้าน, Citrus Genmaicha (ชาข้าวคั่วผสมส้ม), Masala Chai Latte (ชาอินเดีย), Mexican Cocoa ที่มีส่วนผสมเป็นเครื่องเทศ ให้ความรู้สึกเผ็ดนิดๆ ในลำคอ
Facebook: lapintacoffee
10. Mother Roaster และ happening shop
คอกาแฟตัวจริงคงรู้จักแบรนด์ Mother Roaster กันอยู่ก่อนแล้ว เพราะเป็นร้านที่มีเมล็ดกาแฟให้เลือกมากที่สุดร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ จากร้านเริ่มแรกที่ย่านตลาดน้อย ขยับขยายไปที่ประตูผี แล้วจึงเริ่มมีสาขา 3 ที่สุทธิสาร และสาขาลำดับที่ 4 ที่โครงการดาดฟ้า ลาซาล 33 แห่งนี้
ส่วน Slow Bar ของ มาเธอร์ โรสเตอร์ เปิดให้บริการอยู่ภายใน happening shop ซีเลกต์ช็อปอันเป็นฐานทัพของเราชาว happening อีกทีหนึ่ง (สาขาแรกของเราอยู่ที่หอศิลปกรุงเทพฯ) จึงเป็นอันเข้าใจตรงกันว่าผู้ที่หลงใหลในกลิ่นและรสของกาแฟ รักการอ่าน และชื่นชอบชิ้นงานศิลปะเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างโปสการ์ด ภาพวาด เสื้อยืด กระเป๋าผ้า เทียนหอม ฯลฯ เมื่อมาเยือนที่นี่แล้วจะได้สัมผัสครบทั้งสามสิ่ง เพราะภายในร้านมีทั้งบาร์กาแฟ ขนม กองทัพข้าวของเครื่องใช้ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ไทย และโซนจำหน่ายหนังสือสำหรับนักอ่านทั้งวัยผู้ใหญ่และเด็กๆ
ป้าพิม–เพลินพิศ เรียนเมฆ เจ้าของร้านมาเธอร์ โรสเตอร์ ถือเป็นบาริสต้ารุ่น 'แม่' ที่มีประสบการณ์ในการชงกาแฟมายาวนาน เรียกได้ว่ารักการดื่มและชงกาแฟอยู่ก่อนเปิดร้านมาเนิ่นนานแล้ว ป้าพิมตัดสินใจลงหลักปักฐานเปิดร้านในรูปแบบสโลว์บาร์ให้ชาวแบริ่ง-ลาซาลได้ลองลิ้มชิมกาแฟในสูตรที่ตนเองคิดค้น โดยเน้นที่กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล โดยมีเมล็ดกาแฟให้เลือกกว่า 20 สายพันธุ์!
สำหรับคอกาแฟที่ยังไม่แน่ใจว่าจะดื่มอะไรดี ชาวมาเธอร์ฯ สามารถบอกเล่าและให้คำแนะนำในการเลือกเมล็ดกาแฟให้ถูกกับจริตของนักดื่มแต่ละคนได้อีกด้วย นอกจากกาแฟดำแล้ว กาแฟส้มและลาเต้ของ มาเธอร์ โรสเตอร์ ก็รสชาติดีมาก ถึงขนาดที่ต้องบอกต่อให้ใครต่อใครมาลอง สำหรับเมนูกาแฟเย็น ทางร้านเลือกดริปบนน้ำแข็งเลย โดยน้ำแข็งที่ใช้จะเป็นทรงกลมแบบโฮมเมดซึ่งมีมวลแน่น ละลายช้า ช่วยรักษารสชาติและบอดี้ของกาแฟไว้ได้อย่างดี
สำหรับคนรักกาแฟที่ไม่ชอบความพลุกพล่าน ขอชวนมาชิมกาแฟในวันธรรมดากันได้เลย ส่วนใครที่ชอบกาแฟด้วยชอบเดินตลาดชิลล์ๆ ด้วย ทีม happening ขอแนะนำให้แวะมาที่ร้านนี้ในช่วงวันเสาร์หรืออาทิตย์เลยนะ เพราะนอกจาก 'ดาดฟ้า' โครงการที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงแห่งนี้ จะมีร้านอาหารดีๆ หลายร้านแล้ว ยังจัดให้มีตลาดนัดและอาร์ตมาร์เก็ตขนาดย่อมเป็นประจำในช่วงสุดสัปดาห์ด้วย จะมีจำหน่ายทั้งของกิน ของใช้ และงานอาร์ตน่ารักๆ ท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้สีเขียว นอกจากนี้ในพื้นที่ส่วนกลางยังมีงานประติมากรรมชิ้นใหญ่สีสันสดใสผลงานของ Juli Baker and Summer จัดแสดงท้าแดดท้าลมอยู่ด้วยนะ มาเยือนแล้วอย่าลืมแวะถ่ายรูปเล่นกัน
เมนูแนะนำ: กาแฟดำ, กาแฟส้ม, ลาเต้
Facebook: motherroaster
Instagram: motherroaster
11. One Two Two
บ้านสีขาวหลังเล็กริมถนนปากซอยลาซาล 46 แห่งนี้เสิร์ฟทั้งขนม กาแฟ มัทฉะ และเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นต่างๆ แม้ว่าพื้นที่ในร้านจะมีขนาดย่อม แต่ความดีงามของ One Two Two สาขานี้คือตัวร้านตั้งอยู่ในเวิ้งเดียวกับร้านอาหารชาวชลและร้าน TUMMi Brunch Club ซึ่งมีพื้นที่ส่วนกลางแจ้งเป็นพื้นที่แชร์กัน พื้นที่ตรงนี้ดูร่มรื่นและมีต้นไม้เยอะ เหมาะกับการผ่อนคลายเป็นที่สุด
ลูกค้าที่ไปรับประทานอาหารสามารถสั่งอาหารจากสองร้านหลังทานคู่กับกาแฟและเครื่องดื่มของ One Two Two ได้สบายๆ แบบไม่เคอะเขิน เมล็ดกาแฟที่ให้บริการและจำหน่ายมีทั้งประเภท Thai House Blend (อาราบิก้าไทยคั่วกลาง-อ่อน), Special House Blend และ Single Origin จากต่างประเทศ
ที่มาชื่อร้าน One Two Two มาจากการหยิบเอาตัวเลขวันเกิดของเจ้าของร้านสองคนคือ หนึ่ง–กนกวรรณ วงศ์น้อมจิต และ ต่อ–เทวินทร์ ชาติสุวรรณ (นักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งทีมชาติ) มาวางเรียงกัน ในอดีตคุณพ่อของต่อเคยเป็นเจ้าของร้านกาแฟมาก่อน เมื่อถึงวันที่ต้องส่งไม้ให้กับลูกชาย ต่อจึงรับกิจการมาสืบทอดโดยเลือกพัฒนาให้รูปแบบของร้านเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ทั้งบรรยากาศ การตกแต่งร้าน และรายชื่อเมนูเครื่องดื่มที่ดูร่วมสมัยเปิดรับคนรุ่นใหม่
ในวันที่ทีม happening ไปเก็บภาพและข้อมูล เราได้พบกับมือกีตาร์ที่เล่นให้วง Stoondio อยู่เรื่อยๆ ทำหน้าที่เป็นบาริสต้าอยู่หลังเคาต์เตอร์ด้วย (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) เหล่าบาริสต้าบอกกับเราว่าช่วงเช้าลูกค้าจะมาที่ร้านมากเป็นพิเศษ และสำหรับคนที่ชอบทานขนมและยังไม่จุใจกับขนมที่ร้าน ใกล้กับ One Two Two ยังมีร้านเบเกอรี่ชื่อ Bakeyard. เปิดให้บริการอีกด้วย เรียกได้ว่ามาที่นี่ที่เดียวอิ่มไปเลยทั้งวัน
เมนูแนะนำ: เมล็ดกาแฟ Melbourne Blend เบลนด์พิเศษที่เหมาะสำหรับชงอเมริกาโน่หรือลาเต้, Sparkling Orange Coffee, Dirty Coffee, Crystals Coconut Cold Brew, Matcha Orange
Facebook: onetwotwo.lasalle
Instagram: onetwotwo.lasalle
12. Pet Shop Bar และ Animal People
เราก้าวเท้าเข้าร้านไปเพื่อเจอะเจอกับใบหน้าที่คุ้นเคย นพ–นพพร ทัตสิริวรวัฒน์ ครีเอทีฟผู้อยู่เบื้องหลังงาน Thailand Coffee Fest บัดนี้มาประจำอยู่เบื้องหลังบาร์กาแฟที่ Pet Shop Bar ภายในโครงการ Medova ลาซาล ในช่วงเสาร์อาทิตย์แบบเต็มตัว
บาริสต้าหน้าคุ้นคนนี้ชงกาแฟให้เราชิม พร้อมสำทับว่าเขาชอบกาแฟไทยมาก เพราะปัจจุบันเมล็ดไทยให้คุณภาพคับแก้วและมีรสชาติดีไม่แพ้ชาติอื่นเลย และด้วยตัวนพเองอยากสนับสนุนให้แวดวงเมล็ดกาแฟในประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะเลือกเมล็ดดีๆ หายากมาเสิร์ฟที่ร้านของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
นพเล่าว่าเขาและเพื่อนๆ อย่าง ป่าน–กรวัฒก์ แสงทวีป นักทดลองเรื่องกาแฟในแบบเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ กับเพื่อนๆ จากทีม Animal People นำโดย มิ้ว–กมลวรรณ ส่งสมบูรณ์ และ นับ–พิมพ์อร นทกุล สองคู่หูที่รักหมาแมวมากกว่าตัวเอง ร่วมด้วยช่วยกันลงไอเดียและก่อร่างสร้างพื้นที่แห่งนี้ขึ้นเพื่อสานฝันให้คนรักกาแฟและแมวหมา โดยการแชร์พื้นที่เดียวกันนี้เป็นสองฟังก์ชั่น กล่าวคือเป็นคาเฟ่ด้วย และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับสัตว์เลี้ยงด้วย
มิ้วเล่าเสริมว่าโดยส่วนตัวเธอเองเลี้ยงแมวอยู่แล้ว และเธอกับนับก็ชอบของเล่นดีไซน์สวย
สัญชาติอิตาลี คือ United Pets อยู่เป็นทุนเดิม จากความสุขส่วนตัว มิ้วและนับเลยเริ่มคิดการใหญ่ขึ้น จนตัดสินใจนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ทั้งคู่ชื่นชอบ ควบรวมกับของเล่นน่ารักๆ จากเกาหลี จีน ฯลฯ เข้ามาจำหน่ายในไทยโดยมีร้านนี้เป็นโชว์รูม ที่พิเศษกว่าโชว์รูมทั่วไปก็คือเจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถพาหมาแมวของตัวเองมาจับจ่ายเลือกซื้อของกิน ของใช้ ของเล่น พร้อมนั่งลงจิบกาแฟและทานขนมชิลล์ๆ ด้วยกันได้อีก บางคนที่อยากพาน้องหมามานั่งทำงานด้วยกันที่ร้านก็สามารถทำได้สบายๆ ให้อารมณ์เหมือนคาเฟ่สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงในอเมริกา
Pet Shop Bar ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ด้านนอกมีสนามหญ้าและชุดโต๊ะเก้าอี้ให้เหล่าหมา แมว และมนุษย์ได้แบ่งปันใช้พื้นที่ร่วมกัน และในบริเวณใกล้ๆ ยังมีร้านขายของมือสองจากญี่ปุ่นและร้าน 'เสียงเพลงของโมไร' ร้านขายแผ่นเสียงที่นักเล่นแผ่นน่าจะรู้จักกันดีเปิดให้บริการอีกต่างหาก เรียกได้ว่ามาทีเดียวได้เลือกของถูกใจกันหลายสถาน (กระเป๋าสตางค์ไหวพริ้วเลย) ที่สะดวกมากๆ ก็คือ ภายในโครงการ Medova ตรงข้ามโรงพยาบาลศิครินทร์แห่งนี้มีที่จอดรถขนาดใหญ่และให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวดีด้วย ใครขับรถมาที่ร้านขอให้มั่นใจได้ว่าจอดรถสบายและไม่ต้องเดินไกลแต่อย่างใด
เมนูแนะนำ: ขอชวนลองครัวซองต์ กับกาแฟฟิลเตอร์ดริปร้อน แม้อาจไม่สอดคล้องกับอากาศบ้านเรานัก แต่จะได้ดื่มด่ำกับรสชาติแท้ๆ จากเมล็ดกาแฟคั่วหอมกรุ่น ส่วนสำหรับน้องหมาแมว เราขอแนะนำบราวนี่ตับหมู เมนูที่เสิร์ฟแล้วไม่เคยเหลือ อร่อยจนน้องๆ ต้องเลียจาน
Instagram: petshopbar , animalpeopleth
13. Bougain Cafe & Crafts
Bougain หรือ เฟื่องฟ้า ชื่อของดอกไม้สีสันสดใสน่าจะช่วยสะท้อนภาพความรื่นรมย์ของคาเฟ่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว จากเดิมที่เป็นบ้านพักอาศัยทั่วไป โย–ชมนภัส พุทธสุวรรณ และ แมน–สาลเวท ทรัพย์ศิริ สองเจ้าของร้านได้รีโนเวทบ้านหลังเก่าให้กลายเป็นพื้นที่อรรถประโยชน์แห่งใหม่ โดยยังเลือกเก็บเอกลักษณ์ของที่นี่คือพุ่มเฟื่องฟ้าริมรั้วเอาไว้ บ้านสองชั้นหลังนี้มีทั้งส่วนคาเฟ่ในอาคารชั้นล่าง ส่วนใช้สอยสำหรับกิจกรรมเวิร์กช็อป มีตติ้ง ฯลฯ ที่ชั้นบน และส่วน Grill Bar หย่อนใจในบรรยากาศธรรมชาติๆ ด้านนอก ซึ่งมีวิวเป็นสนามหญ้าสีเขียวข้างบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีเหล่าเป็ด ไก่ และลูกเจี๊ยบตัวจิ๋วๆ มาอยู่อาศัยวิ่งเล่น
Bougain Cafe & Crafts ดูจะเหมาะกับคนรักธรรมชาติและชอบบรรยากาศสบายๆ แบบ 'บ้านบ้าน' เป็นที่สุด นอกจากโต๊ะเก้าอี้เป็นชุดๆ นั่งแยกกันแบบเป็นส่วนตัวแล้ว ภายในร้านยังจัดให้มีโต๊ะขนาดใหญ่ เรียงรอบด้วยเก้าอี้หลากหลายดีไซน์ ทำหน้าที่เป็นโต๊ะกลางให้ลูกค้าได้แชร์พื้นที่ร่วมกันอีกด้วย (ครอบครัวใหญ่มาร้านนี้ไม่ต้องกลัวที่นั่งไม่พอ!) และด้วยพิกัดที่ออกแนวปลีกวิเวกเล็กๆ ในซอยแบริ่ง 14 ก็ทำให้บรรยากาศโดยรวมที่นี่มีความเป็นส่วนตัวสูง สำหรับชาวกรุง ร้านนี้ถือเป็นคาเฟ่ในย่านชานเมืองที่ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
เมนูที่เสิร์ฟในร้านมีทั้งกาแฟ อาหาร และขนม โดยมีจุดเด่นที่ขนมเป็นสไตล์คาเฟ่ฝรั่งเศส มีทั้งครัวซองต์ กานาเล ขนมปังบรียอช หรือขนมหวานจำพวกทาร์ต ชูส์ เอแกลร์ ให้ได้เลือกทานกัน และอาหารหลายรายการก็หยิบเอาวัตถุดิบประจำจังหวัดมาสร้างสรรค์ซะจนเก๋ไก๋น่ากิน ทั้งไส้อั่วจากเชียงใหม่ ส้มโอนครปฐม ปลาทูสมุทรสาคร ปลาสลิดสมุทรปราการ ฯลฯ แถมยังพ่วงท้ายด้วยเมนูอาหารฝรั่งหน้าตาสวยสด ความพิเศษของที่นี่คือเมนูที่เสิร์ฟจะพัฒนาอยู่เสมอ จะมีเมนูครีเอทีฟๆ เข้ามาเติมอยู่ตลอด อย่างเมนูขนมก็จะออกมาตามฤดูกาลและผลัดเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ด้วย
เมนูแนะนำ: Earth (กาแฟที่ด้านล่างเป็นพุดดิ้ง ด้านบนเป็นเกล็ดน้ำแข็งของนมและกาแฟ), Torch (คล้าย Earth แต่เปลี่ยนสูตรเป็นชาไทย), Expresso Mojito (มีส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ มิ้น มะนาว และโทนิก)
Facebook: bougaincafe
Instagram: bougaincafe
14. Buna Organic Coffee
คาเฟ่แห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในความภูมิใจของชาวแบริ่ง เพราะมีพื้นที่สีเขียวให้พักผ่อนใจได้สบายๆ และแม้จะอยู่ติดถนนปากซอยแบริ่ง 21 แต่ในช่วงเช้าก็จะได้ยินเสียงนกร้องทักทายได้อยู่!
Buna Organic Coffee ออกแบบพื้นที่ด้วยโครงสร้างไม้และตู้คอนเทนเนอร์ แวดล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้าและสวนสีเขียว และเนื่องจากครอบครัวของเจ้าของร้านมีฟาร์มผักอยู่ที่จังหวัดนครนายก และมีไร่กาแฟอยู่ที่ดอยสะเก็ด เทพเสด็จ จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ทางร้านสามารถจำหน่ายและเสิร์ฟผักสด เมล็ดกาแฟ และเมนูกาแฟที่ควบคุมคุณภาพได้เองทั้งการปลูกและการคั่ว เมล็ดกาแฟของทางร้านปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่ในระดับความสูง 1,200-1,400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล โดยใช้ Washed Process เป็นหลัก กระบวนการเป็นแบบไร้สารเคมีและเป็นออร์แกนิก 100%
นอกจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติแล้ว ภายในร้านยังมีมุมจำหน่ายไอศกรีมและผักสด เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค บัตเตอร์เฮด คะน้าเคล อีกทั้งยังมีชั้นหนังสือที่จัดวางหนังสือในประเภทที่เกี่ยวกับศิลปะ การทำสวน และการทำอาหาร เอาไว้ให้ลูกค้าหยิบจับมาพลิกอ่านได้ตามอัธยาศัย นอกจากขนมและเครื่องดื่มแล้ว อาหารจานหลักของทางร้านก็มีให้เลือกหลายรายการ ซึ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษสำหรับเรา คือ สปาเกตตี้โบโลเนสแบบเส้นสดที่ทางร้านปั้นเส้นเอง ที่เส้นจะสั้นกว่าปกติ และตัวเส้นเลี้ยวยึกยักดูน่ารัก โดยที่ร้านจะเสิร์ฟเฉพาะสูตรโบโลเนสหมูในซอสชุ่มฉ่ำๆ หรือถ้าใครชอบเส้นแบบมาตรฐานก็สามารถสั่งเมนูสปาเกตตี้เส้นธรรมดาได้เหมือนกัน
เมนูแนะนำ: สปาเกตตี้เบค่อน, สปาเกตตี้โบโลเนส, สลัดซีซาร์ที่มีน้ำสลัดเป็นสูตรเฉพาะ
Facebook: bunaorganiccoffee
Instagram: buna_organiccoffee
15. Agalin Garden Room
ต้องออกตัวก่อนว่าร้านนี้อาจเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นคาเฟ่ เพราะมีอาหารแบบ Full Course เสิร์ฟอยู่หลายรายการ แต่เราต้องขอหยิบมาแนะนำและยกให้ร้านนี้เป็นร้านระดับ Epic ในย่านแบริ่งเลยทีเดียว เพราะ Agalin Garden Room ไม่ใช่แค่ร้านลับ แต่ผู้มาเยือนจะถูกโอบรับด้วยบรรยากาศบางประการที่ยากจะหาได้จากที่ไหนๆ แม้จะอยู่ห่างจากบีทีเอสแบริ่งแบบซ้อนท้ายวินฯ มาแค่ไม่กี่นาที แต่จังหวะที่เราก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้ กาลเวลากลับดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ขณะเคลื่อนตัวผ่านทางเดิน สะพาน บึงน้ำ กอต้นอ้อ และบรรดาพรรณพืชที่เติบโตอัดแน่นในสวนสวย เรารู้สึกคล้ายตกอยู่บนรอยต่อระหว่างความจริงกับความฝัน
'อกาลิน' มาจากภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า หยุดนิ่ง-ไร้กาลเวลา คุณอาอำนาจ คีตพรรณา สถาปนิกระดับครูผู้อยู่เบื้องหลังความเป็นธรรมชาติของอกาลิน เล่าให้เราฟังว่า จริงๆ แล้วเมื่อก่อนที่นี่เป็นบ้านของคุณแม่ บ้านนี้มีอายุกว่า 70 ปีแล้ว และเรือนหลักที่เปิดให้นั่งรับประทานอาหารกันในปัจจุบันเคยเป็นเรือนเพาะชำมาก่อน เจ้าของร้านนี้คือ คุณสุขสันต์ หมั่นดี การปรับพื้นที่ใหม่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้นไม้ถูกปลูกจากเล็กจนใหญ่โตตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว Agalin Garden Room ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2559 หากใครเคยไปเยือนร้านเทมพี เฟลิซี (Tempi Felici แปลว่า เวลาแห่งความสุข) ที่ Palio เขาใหญ่มาก่อน คงจะคุ้นเคยกับรสมือของแม่ครัวท่านเดียวกัน เพราะมีการย้ายทีมจากร้านแห่งนั้นมาเปิดร้านกันใหม่ ณ ที่แห่งนี้
เกี่ยวกับการตกแต่งที่เป็นสไตล์อังกฤษนั้น คุณอาบอกว่ากับเราว่า อันนี้จริงนี่ไม่ใช่การตกแต่ง แต่เป็น 'การอยู่อาศัย' มากกว่า บนพื้นที่ 2 ไร่ในซอยเล็กเร้นลับ นอกจากเหล่าต้นไม้และ Agalin Garden Room แล้ว ยังมีบ้านของครอบครัวคีตพรรณาตั้งอยู่ในรั้วเดียวกันด้วย ครอบครัวอยู่กันอย่างไร ผู้คนที่มาเยือนก็จะเห็นการตกแต่งในแบบเดียวกันนั้น การจัดวางสิ่งต่างๆ ดูเหมาะเจาะลงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ภายในร้านมีเปียโนวางอยู่หนึ่งหลัง คอยทำหน้าที่ต้อนรับและเปิดรับให้ผู้มาเยือนได้จรดปลายนิ้วบรรเลงเพลงในใจอย่างเป็นกันเอง ด้วยความรักในศิลปะและเสียงดนตรี ในบางวันพิเศษๆ จะมีการงานแสดงดนตรีในบ้าน มีการเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาที่กำลังเรียนดนตรีปีสุดท้ายจากหลากหลายสถาบันมาเล่นดนตรีเปิดหมวก สนทนาเพลงทั้งคลาสสิกทั้งป๊อป และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพลงไทยระหว่างกัน สำหรับลูกค้าของทางร้าน ในช่วงคริสต์มาสในบางปี ทางร้านจะเปิดให้จองที่นั่งเข้าฟังดนตรีพร้อมมื้ออาหารค่ำ
อาหาร ขนม และเครื่องดื่มของที่นี่สวยสดงดงามแบบเดียวกับงานศิลปะ แต่ละเมนูเหมือนถูกออกแบบมาอย่างครบมิติ ทั้งในมิติของรสชาติ ความสวยงาม แถมบางเมนูยังเปิดช่องว่างให้เล่นสนุกได้อีกด้วย อย่าง 'นิลมรกต' เครื่องดื่มโซดาไซรัปอัญชันของทางร้าน เวลาเสิร์ฟจะมาพร้อมกับก้อนน้ำแข็งรสเปรี้ยวสอดไส้เลมอน เวลารินไซรัปสีฟ้าลงในแก้วใส สีฟ้าของอัญชันจะค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงสด ถือเป็นเครื่องดื่มที่ทั้งมีรสชาติสดชื่น หน้าตาสวยงาม และชวนให้เรารู้สึกรื่นรมย์ราวกับมีเวทมนตร์ เค้กบางเมนูของทางร้านรังสรรค์โดยนักดนตรี มีเค้กบางรายการไม่ใส่ไข่แดง เลือกใช้แต่ไข่ขาว และไม่ใช้แป้ง ถ้าจะบอกว่าร้านนี้เหมือนร่ายเวทมนตร์ใส่เราก็คงจะไม่เกินเลยสักเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งที่ไปเยือน เรามักได้รับความรู้สึกพิเศษบางอย่างติดตัวกลับมาด้วยเสมอ
เมนูแนะนำ: นิลมรกต, เสาวรสมะม่วงโซดา, เค้กท็อฟฟี่อัลมอนด์, เค้กไวท์ชอกโกแลตแอปริคอต, เค้กหน้านิ่ม, ข้าวผัดกะปิซี่โครงหมูหวาน, แกงเนื้อใบยี่หร่าพริกขี้หนู ทานคู่กับข้าวกล้อง
Facebook: agalinth
Instagram: agalin_garden_room
28185 VIEWS |
ที่ปรึกษาทีม happening shop, เจ้าของเพจเฟซบุ๊กและหนังสือ 'ญี่ปุ่นอุ่นอุ่น', นักเขียน ช่างภาพโฟโต้บุ๊ก 'Nagasaki Light' และไกด์บุ๊ก 'Kagawa Memories' นอกจากภาพถ่ายและงานเขียน สิ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษคือการนั่งสมาธิและการโปรยมุขไม่ขำ