ช่วงเช้าของเมืองไทย คือเวลาค่ำของรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เรานัดคุยกับ Nattia.c หรือ แป้ง-ณัฐิญาพร ชื่นตา มิทเชลทรี ศิลปินนัดวาดภาพบ้าน ดอกไม้ และช่อดอกไม้เจ้าสาว ผ่านวีดีโอคอล เบื้องหลังรอยยิ้มหวานของเธอ โอบล้อมไปด้วยห้องสีขาวอันอบอุ่น มีภาพดอกไม้สีหวานติดเต็มผนัง ประดับด้วยไฟตกแต่ง แป้งบอกว่า นี่คือห้องใต้หลังคาที่มีกระจกบานใหญ่คอยเปิดรับแสงธรรมชาติ เธอจึงเนรมิตให้กลายเป็นสตูดิโอในฝันนับจากนั้น
หลายคนหลงรักงานของเธอ หลังเห็นภาพ Wedding Bouquet หรือช่อดอกไม้งานแต่งงานไว้ในทวิตเตอร์ @c_nattia เธอไม่ได้ลงรูปภาพงานในโซเชียลมีเดียบ่อยนัก แต่ภาพช่อดอกไม้สีหวานๆ ก็ทำให้คนเห็นผลงานใจเต้นตึกตัก อย่างไรก็ตาม เราไม่เคยเห็นคนไทยส่งรูปดอกไม้งานแต่งไปให้ศิลปินวาดรูปเท่าไร ทว่าแป้งบอกว่า นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับที่สหรัฐอเมริกาที่คนรักมอบให้กันและกันเป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงาน หรือหลายครั้งลูกหลานของพวกเขาก็มอบให้เป็นของขวัญพ่อแม่ ซึ่งรูปภาพเดียวเรียกน้ำตาในคืนวันแห่งความสุขกลับมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์นัก
ทุกวันนี้แป้งนั่งอยู่หลังโต๊ะสีขาว รับงานผ่านเว็บไซต์ Etsy ตลาดอีคอมเมิร์ซด้านศิลปะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยรับวาดภาพบ้าน ช่อดอกไม้เจ้าสาว และสัตว์เลี้ยง ซึ่งช่วยสร้างรายได้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด และสามารถทำงานศิลปะหล่อเลี้ยงชีวิตตามความตั้งใจของตัวเอง หลังต้องละทิ้งศิลปะจากเหตุผลด้านการเรียนและการทำงานนานถึง 7 ปี ส่งผลให้เธอมีอาการอิมโพสเตอร์ซินโดรม หรือความคิดแง่ลบต่อตัวเอง รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกตัวเองไม่เก่ง ไม่คู่ควร ดังนั้นการจับพู่กันมาตวัดลวดลายนุ่มละมุนอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย
การสนทนาในวันนี้จึงอบอวลไปด้วยกลิ่นความสุขของการทำงานศิลปะที่เธอรัก ขณะเดียวกันก็เผยแง่มุมความเจ็บปวดทางจิตใจที่มีต่อประโยชน์ต่อคนทำงานศิลปะมากทีเดียว
เพราะมีพ่อจึงมีเธอที่ชอบศิลปะ
"ตั้งแต่เด็กชอบวาดรูป เพราะว่าพ่อวาดรูปเก่งมาก" แป้งเล่าย้อนถึงช่วงเวลาวัยเด็กให้ฟัง ตั้งแต่จำความได้ ทุกครั้งที่เดินทางไปบ้านย่า เธอเห็นภาพวาดของพ่อแปะอยู่ตามผนัง แล้วอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมที่บ้านถึงไม่มีรูปวาดของพ่อติดอยู่เลย แถมยังไม่เคยเห็นพ่อวาดรูปเลยสักครั้ง
"ผลงานที่เขาวาดตอนหนุ่มๆ จะเป็นภาพวาดพอร์เทรต (Portrait) พอมีหน้าที่การงานเขาก็หยุดวาดไป ตั้งแต่แป้งโตมาไม่เคยเห็นพ่อวาดรูปเลย แต่พอเราเห็นงานก็รู้สึกประทับใจไม่ลืม ไปบ้านย่าก็เจอ แต่บ้านตัวเอง พ่อไม่ได้ติดไว้ เขาเก็บไว้ในลิ้นชัก แป้งเข้าไปรื้อเจอสมุดสเก็ตซ์ก็อยากจะวาดได้แบบเขาบ้าง จะให้พ่อสอน เขาก็ไม่มีเวลา บอกให้ลองฝึกเอง เราเลยนั่งวาดการ์ตูนข้างๆ สมุดที่เขาวาด" พ่ออาจไม่รู้ตัว แต่ภาพวาดของพ่อก็ทำให้เธอชอบศิลปะนับจากนั้น
แป้งเป็นลูกสาวที่ใกล้ชิดกับพ่อไม่น้อย เธอตามพ่อไปอยู่ไซต์งาน จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของคุณอาที่พ่อทำงานด้วย แม้พ่อไม่ได้จบสถาปัตยกรรม แต่ความเชี่ยวชาญก็ทำให้เขารับเขียนแบบในสมัยนั้นได้
"นี่คือที่มาของการเรียนสถาปัตย์เลยค่ะ มันมีหลายหน้าที่ในไซต์งาน เราเห็นสถาปนิกก็เลยถามพ่อว่า คนนี้มีหน้าที่เป็นอะไร พ่อเล่าว่าคนนี้เป็นสถาปนิกออกแบบตึก เรารู้สึกว่าอยากจะเป็นบ้างจัง แต่เราโฟกัสจริงๆ ว่าควรเรียนอะไรก็ตอน ม.ปลาย เราชอบวาดรูป อยากเรียนคณะศิลปะ แต่สมัยนั้นยังไม่มีใครมาแนะแนวว่าเรียนศิลปะจะทำงานอะไรได้บ้าง ถ้าอยากมีอาชีพมั่นคงเลยลองเรียนสถาปัตยกรรม"
เธอสอบตรงติดสถาปัตยกรรมภายใน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งช่วงเวลานั้นแป้งมองว่าการได้เรียนออกแบบภายในใกล้เคียงความฝันที่จะได้วาดรูปมากที่สุด พร้อมสามารถทำเป็นอาชีพมั่นคงเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้ อย่างไรก็ตามความจริงกับความฝันแตกต่างกัน แป้งเผชิญวันคืนที่รวดร้าวกับการเรียนจนกลายเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ส่งผลกับตัวตนของเธอ
7 ปีที่สูญเสียความเป็นตัวเอง
"เรารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าเราชอบวาดรูปที่สุด แต่เราฐานะไม่ดีก็อยากจะมีอาชีพมั่นคง ช่วยเหลือตัวเอง และครอบครัวได้ ผู้ใหญ่ชอบพูดว่าเรียนศิลปะไส้แห้ง เราก็หนีความไส้แห้งไปเรียนสถาปัตย์" แป้งเอ่ยพูดน้ำเสียงติดตลก แต่คนฟังรับรู้ความรู้สึกได้ว่าคืนวันเหล่านั้นทำเธอทุกข์ใจ "พอไปเรียนปุ๊บไม่ใช่อย่างที่คิด แป้งรู้สึกดีกับตัวเองแค่ตอนเรียนวาดรูปเทอมแรกเท่านั้น ได้เกรดดี ได้โชว์ผลงานในชั้นตลอด แต่พอขึ้นเทอมใหม่เป็นงานเขียนแบบและใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ซึ่งแป้งไม่ถนัดงานคอมพิวเตอร์ เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกตัวเองไม่เก่ง เสียใจที่คิดว่าตัวเองจะได้วาดรูปมากกว่านี้ พอมันเหนื่อย เรียนหนัก ก็ห่างหายจากการวาดรูปไป"
ช่วงเวลาเรียนสถาปัตยกรรม 5 ปี และทำงานอีก 2 ปี คือช่วงเวลาที่แป้งบอกว่า 'ไม่มีความสุข' เธอยกตัวอย่างการโดนคอมเมนต์งานที่ใช้คำวิจารณ์อย่างรุนแรงในช่วงตรวจแบบ บางคนเคยโดนฉีกงาน โยนงานทิ้ง รวมถึงสายตาของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่คอยมองเวลาโดนตำหนิ
"เข้าใจว่าอยากให้เก่ง เขาวิจารณ์ก็เพราะอยากให้งานออกมาดี แต่มันสะเทือนความรู้สึกของเรา เหมือนมันแย่ที่สุด ส่วนใหญ่เป็นคำวิจารณ์ที่แรงมากๆ แป้งรู้สึกไม่ดี" เธอเงียบไปพักหนึ่ง "เป็นช่วงเวลาที่แย่มากเลยนะ ชีวิตการเรียนออกแบบ มันมีล้มแบบ การเปลี่ยนแบบ เลยรู้สึกว่าถูกเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ มันไม่ดีเลยเหรอ ยิ่ง 2 ปีที่ทำงานเป็นอินทีเรียดีไซเนอร์ มันยิ่งตอกย้ำกับเราว่ามันไม่ใช่ พอเราเข้าสู่การทำงาน มันมีผู้คนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ รู้สึกเหนื่อยเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คน ช่วงนั้นเราชอบเปิดดูพินเทอเรส ดูภาพวาดวาด ดูงานคุณฝ้าย Freya.art คุณปั๋น Riety เรารู้สึกเสียดาย อยากทำแบบนี้ได้บ้าง แล้วช่วงนั้นเฟซบุ๊กแฟนเพจบูม คนสามารถแสดงศักยภาพทางเฟซบุ๊กได้ เราก็อยากทำบ้าง จึงเก็บความรู้สึกอยากทำมาตลอด"
จุดเปลี่ยนสำคัญของแป้งเกิดจากคนรักชาวอเมริกันขอแต่งงาน เธอยิ้มเขินเปล่งออร่าแห่งความสุขอีกครั้ง เมื่อถามถึงความประทับใจในตัวเขา "เราคุยกันทางอินเทอร์เน็ตตั้งแต่สมัยแป้งเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงนั้นมีเว็บไซต์ interpals (เว็บไซต์ยอดฮิตในกลุ่มคนที่อยากฝึกภาษา) เจอกัน คุยกัน แล้วเขาเรียนวิชากราฟิกดีไซน์ ก็มาปรึกษาการบ้าน แป้งช่วยเขาคิด ช่วยเลือกสีนั้นสีนี้ พอรู้สึกชอบกัน เขามาหาที่เมืองไทย เราเลยคบกัน ปกติแป้งชอบวาดรูปให้คนอื่น แต่แฟนเขาวาดรูปให้ ยิ่งรู้สึกว่าใช่แล้วผู้คนชายนี้ เกิดมาไม่มีผู้ชายคนไหนวาดรูปให้เลยนะ เคยวาดให้แต่ผู้ชาย" แป้งหัวเราะอย่างมีความสุข พอเหลือบมองไปเห็นภาพถ่ายที่เธอถ่ายคู่กับคนรัก จึงอดยิ้มกว้างตามไม่ได้
เมื่อต้องเดินทางมาอยู่อเมริกา แม้แป้งพอรู้อยู่แล้วว่าคนให้ความสำคัญกับศิลปะเเละคนทุกวัยสามารถเข้าถึงศิลปะได้ง่าย แต่ความไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกตัวเองไม่เก่ง ทำให้เธอหวาดหวั่นว่าจะกลับมาทำงานศิลปะดีไหม "แป้งเป็นอิมโพสเตอร์ซินโดรม โรคขาดความภูมิใจในตัวเอง เป็นหนักมาก รู้สึกตัวเองไม่เก่ง ต้องมีคนคอยสนับสนุน พูดให้กำลังใจ ทุกวันนี้ยังคิดอยู่นะ เพื่อนกับแฟนจะคอยบอกว่า 'เฮ้ย...ดีแล้ว' ด้วยความที่อยู่ในคณะ 5 ปี เกรดเราก็ไม่ดี ทำงานไม่ถึงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เรารู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ ตอนเราทำงานก็จะคอยประเมินตัวเองตลอดว่าเราเก่งด้านไหน คิดถึงศิลปะตลอด สมัยเรียนมัธยม ประถม เวลาประกวดวาดภาพ เราได้ที่ 1 เสมอนะ แต่ทำไมเราอยู่ตรงนี้ ทำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เก็บความสงสัยไว้ตลอดว่าถ้าเราเรียนศิลปะ ชีวิตเราจะไปทางไหน ถ้าเราวาดรูปอยู่ เราจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นไหม" แป้งเผยความรู้สึกในช่วงที่สับสน ความอยากทำงานศิลปะติดข้างอยู่ในใจ จนกระทั่งย้ายมาใช้ชีวิตที่อเมริกา ทำให้เธอลุกขึ้นมาทำบางสิ่งที่ช่วยปลดล็อกความรู้สึกในหัวใจตัวเอง
ตลาดศิลปะออนไลน์ที่ช่วยเลี้ยงชีวิตและความภูมิใจ
โดยพื้นฐานแป้งเป็นคนชอบดอกไม้ พืชพันธุ์ ชอบวาดสีน้ำ ทว่าช่วงเวลา 7 ปีที่หายไป ทำให้เธอไม่รู้สไตล์ของตัวเองแน่ชัด จึงใช้เวลาว่างช่วงเริ่มต้นชีวิตใหม่ วาดภาพดอกไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบที่สุด โดยมีหนังสือพืชพันธุ์ที่ได้จากร้านขายของวินเทจเป็นครูฝึกวิชา เริ่มต้นจากการฝึกวาดตามแบบในหนังสือเพื่อสังเกตการลงสีแสงเงา จากนั้นก็ค้นหาสไตล์ของตัวเอง แล้ววาดให้สนุก "มีอยู่วันหนึ่ง วันเกิดคุณป้าของสามี แป้งวาดภาพบ้านให้ เขาประทับใจมาก บอกเราว่า ลองเอาไปขายสิ คนที่นี่ชอบแบบนี้นะ คุณทำได้สวยมาก ให้ลองไปโพสต์ในเว็บไซต์ Etsy หรือไม่ก็ไปขายในอาร์ตสตรีท ตลาดงานศิลปะสำหรับศิลปินท้องถิ่นดูสิ แป้งเลยลองลงงานใน Etsy แต่ช่วงแรกแป้งไม่มีความมั่นใจ ก็เลยหนีไปทำงานร้านอาหาร ทำแค่ 2 วัน แล้วลาออกเลยเพราะมันไม่ใช่ งานมันหนักมาก จากนั้นไม่กี่อาทิตย์ก็เริ่มมีออเดอร์ใน Etsy เข้ามา"
Nattia.c คือชื่อที่แป้งใช้ใน Etsy โดยนัทเทียเป็นชื่อที่ชาวต่างประเทศเรียกแทนตัวเธอ แป้งเปิดรับงานวาดภาพบ้าน ช่อดอกไม้งานแต่งงาน และสัตว์เลี้ยง พร้อมทั้งขายงานอาร์ตปริ้นได้ไม่ถึง 1 ปี แต่กลับมีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ ทุกเดือนไม่หยุด
"เริ่มแรกแป้งรับวาดบ้านก่อนค่ะ ส่วนใหญ่คนมาซื้อจะชอบภาพขาวดำ (pen and ink) มากกว่าสีน้ำ พอเห็นฝรั่งเขานิยม wedding bouquet ช่อดอกไม้ในวันแต่งงาน แป้งเลยถือเป็นโอกาสวาดดอกไม้ด้วย ดูเป็นของขวัญที่คนน่าจะต้องการก็มีคนมาจ้างเราเรื่อยๆ"
แป้งอธิบายต่อว่า ถ้าดูงานในเว็บไซต์ Etsy จะเห็นว่ามีศิลปินวาดภาพบ้าน และช่อดอกไม้กันอยู่หลายคน เพราะสิ่งนี้เป็นวัฒนธรรมที่คนในครอบครัวมอบเป็นของขวัญให้กันและกัน เธอเองไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่เมื่อลองไปอ่านรีวิวที่คนซื้อเขียนถึงจะเห็นว่าทุกคนชื่นชมที่เธอใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในภาพถ่าย
"อย่างการวาดบ้าน ภาพที่เขาส่งมามันไม่เฟอร์เฟกต์ เขาจะถ่ายภาพในช่วงเวลานั้น บางทีมันเป็นฤดูหนาว แป้งก็เห็นว่ามันไม่มีต้นไม้ ใบไม้ เลยถามว่าคุณอยากได้ฤดูร้อนไหม เขาก็บอกว่าใช่อยากได้ แป้งเลยขอที่อยู่มาหาใน Google Maps เพื่อดูว่าต้นไม้ต้นนั้นมันมีลักษณะแบบไหน พื้นดิน ต้นหญ้า รูปปั้นหน้าบ้าน ใส่ทุกดีเทลเลยค่ะ" แป้งพูดไปหัวเราะไป พร้อมแซวตัวเองด้วยว่าปกติไม่ใช่คนสะอาดเรียบร้อย แต่ถ้าเป็นงานวาดภาพจะขอเก็บรายละเอียดให้ครบตลอด
"แป้งสังเกตด้วยว่าหลังคาบ้านใช้วัสดุอะไร จะเก็บยันรายละเอียดแพทเทิร์นหลังคา ซึ่งลูกค้าจะประทับใจมาก ทำไมคุณถึงวาดวัสดุหลังคาให้เลยล่ะ อาจเพราะเราเรียนสถาปัตย์มา ก็เลยเห็นดีเทลที่คนอื่นไม่เห็น บ้านที่อเมริกากระเบื้องสวยมาก แป้งเลยอยากให้ทุกคนเห็นพื้นผิวของมันเสมอ ถ้าเป็นอิฐก็วาดอิฐทีละเส้น แป้งเคยลองขีดน้อยๆ แต่ทำต่อไม่ได้ มันเหมือนงานไม่เสร็จ" ความสวยงามนี้ เธอบอกว่าแลกมากับอาการปวดหลังก็ยอมแหละ
ความใส่ใจในรายละเอียดนี้เอง ทำให้มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งมองเห็นความงดงามในชิ้นงาน จึงติดต่อมาคุยงานกันระยะยาว ซึ่งทุกครั้งที่ลูกค้ากู้ซื้อบ้านผ่านก็จะให้แป้งวาดรูปบ้านหลังนั้นเป็นของขวัญให้ผู้ซื้อ "เขามาเห็นผลงานเราทาง Etsy ก็ชอบมาก อยากให้เราวาดตลอด มันเหมือนเป็นของขวัญวันรับกุญแจบ้านค่ะ นี่เป็นวัฒนธรรมของเขาที่จะมอบของขวัญให้กันและกัน เวลาซื้อบ้านใหม่ก็อยากมอบภาพให้เป็นความทรงจำเก็บไว้ แป้งเลยได้รายได้หลักจากตรงนี้"
แป้งเล่าเสริมว่า นอกจากการวาดภาพบ้านจะสร้างรายได้ให้เธอแล้ว ยังช่วยต่อเติมความภาคภูมิใจของพ่อด้วย "พ่อเขาขออย่างเดียวก่อนแป้งจะย้ายมาว่าอย่าทิ้งในสิ่งที่เรียนได้ไหม แป้งก็คิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรดีนะ มันเป็นความภาคภูมิใจของพ่อที่เราเรียนจบคณะนี้ ไม่อยากให้เราทิ้งมันไป แต่เราอยากวาดรูปมาก ก็เลยวาดบ้านนี่แหละ ทำให้พ่อดีใจได้ เราใช้สกิลสถาปัตย์ที่เรียนมา สามารถวาดรูปบ้านได้เร็วมากๆ อาจเพราะเคยต้องไปสเก็ตซ์นอกสถานที่ซึ่งใช้เวลาจำกัด ทำให้แป้งวาดรูปบ้านได้เร็ว" เธอกระซิบต่อว่าปกติพ่อเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยกล้าชมลูกต่อหน้า จึงมีแม่คอยเป็นสื่อกลางบอกต่อว่าพ่อพูดอะไรบ้าง และคุณพ่อคอยแอบยิ้มหน้าบานอยู่นะ
วาดบ้านเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต วาดดอกไม้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ
หลังคุยกันมาสักพักใหญ่ แป้งถามความคิดเห็นว่า รู้สึกไหมว่าภาพบ้านกับภาพดอกไม้เหมือนคนละคนวาด มีเพื่อนของแป้งสังเกตว่างานวาดบ้านจะดูเส้นมั่นคง แข็งแรง แต่งานดอกไม้จะดูนุ่มละมุน
"เราพยายามวาดดอกไม้ให้ได้มากกว่านี้ เพราะตั้งแต่วาดบ้าน ทุกคนก็ออเดอร์บ้านอย่างเดียว แป้งเลยขอทำตามใจตัวเองบ้าง ตอบสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ แป้งเคยทวิตไว้ว่าวาดบ้านเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต วาดดอกไม้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ" แป้งยิ้มกว้าง การวาดช่อดอกไม้งานแต่งงานก็เป็นหนึ่งในสิ่งชุบชูใจให้เธอมีความสุข
"ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันที่สั่งไปเพื่อเซอร์ไพรส์ภรรยา น่ารักโรแมนติกมาก" แป้งส่งภาพช่อดอกไม้เจ้าสาวอีกชิ้นให้ดู "อันนี้ลูกสาวอยากให้คุณแม่เป็นของขวัญช่วงคริสต์มาส เขาเอาภาพถ่ายตอนพ่อแม่แต่งงานยุค 70 มาให้เราวาด แป้งชอบชิ้นนี้มาก เพราะได้ถ่ายทอดความทรงจำความรักผ่านรูปวาดสีน้ำ"
เมื่อถามว่าลูกค้าตามหางานของแป้งใน Etsy เจอได้อย่างไร แป้งจึงบอกเคล็ดลับให้ฟังว่า "แป้งชอบใส่คีย์เวิร์ดในชื่องาน เช่น Christmas gift เวลามีงานเทศกาลอะไร แป้งจะเอาชื่อไปใส่ เขาจะได้ค้นเจอง่าย เพราะบางคนไม่มีไอเดียว่าอยากให้ของขวัญครอบครัวอย่างไรดี พอมาเจอก็เกิดไอเดีย อันนี้คิดมาจากตัวเรา เวลาซื้อของขวัญให้ใครสักคน ไม่รู้จะซื้ออะไรให้ใครก็ชอบหาคำว่า Christmas gift หรือ birthday gift ตลอด"
เราสังเกตงานวาดภาพวาดช่อดอกไม้เจ้าสาว แล้วแอบเห็นเธอวาดล็อกเก็ตมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของช่อดอกไม้ด้วย แป้งบอกว่า เธอใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ อย่างภาพครอบครัว และริ้วของริบบิ้นมาก "บางคนมีภาพครอบครัวอยู่ในช่อดอกไม้ แป้งก็จะวาดทุกอย่างที่ตาเห็นเลยค่ะ พอแป้งใช้เทคนิคหลักคือสีน้ำ หลายคนอาจบอกว่าสีน้ำคุมยาก แต่พอเราชิน เรารู้สึกว่าสีน้ำเป็นสิ่งที่เราคุมได้อย่างเดียวในชีวิต นอกนั้นไม่มีอะไรควบคุมได้เลย" เธอหัวเราะแล้วส่งรอยยิ้มหวานให้เราอีกครั้ง
อย่างที่เธอเล่าข้างต้นว่าที่ผ่านมามีอาการอิมโพสเตอร์ซินโดรม ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง พอผ่านช่วงเวลา 1 ปีที่ได้ทำงานศิลปะ แป้งรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นบ้างไหม "ตอนนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการ คือหนึ่งมีอิสระ สองมีความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่รัก เป็นสิ่งที่เราคิดไว้ จะถือว่าประสบความสำเร็จไหม ก็ไม่ได้ประสบการณ์ความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่มันได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พอเราเจอคอมเมนต์ดีๆ เรารู้สึกดีกับตัวเองเยอะขึ้นมาก ลูกค้าบอกว่า เอารูปไปให้แม่ แล้วแม่เขาร้องไห้ แฟนเขาร้องไห้ มันเป็นน้ำตาแห่งความสุขค่ะ บางคนเคยจ้างไปครั้งหนึ่งก็กลับมาจ้างอีก 4 รอบแล้ว เขาให้น้องชายคนเล็ก น้องชายคนกลาง พยายามซื้อให้ครอบครัว"
แม้เธอจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่บาดแผลทางจิตใจที่เกิดในระยะเวลาเนิ่นนานก็ต้องใช้เวลาเยียวยา โดยมีกำลังใจจากครอบครัวเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เธอภูมิใจในตัวเอง "คุณแม่สามีชอบเอางานเราไปโชว์ให้เพื่อนบ้านดู นี่ของลูกสะใภ้นะ คุณป้าสามีก็บอกว่านี่ของหลานสะใภ้นะ ทุกคนดูภูมิใจกับเรามาก จากที่คิดว่าเราไม่เก่ง มันก็มีสิ่งที่เราทำได้เหมือนกันนะ ส่วนสามีคือคนที่คอยสนับสนุน ตอนเขาขอแต่งงานแป้งไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร แต่เขาบอกว่าย้ายมาอเมริกาสิ มาวาดรูปขาย มันขายได้จริงๆ เพราะที่บ้านเขาก็ซื้องานศิลปะกันตลอด"
ทุกวันนี้แม้แป้งยังไม่มั่นใจว่าจะเรียกตัวเองว่าศิลปินได้ไหม แต่คนรักก็ยืนยันกับเธอว่า ถ้าสามารถหารายได้ เลี้ยงตัวเองจากการวาดรูป ก็ถือเป็นศิลปินคนหนึ่ง "ความคิดของแป้ง ยังติดว่าศิลปินคือคนที่มีชื่อเสียง แต่ที่นี่คนที่เลี้ยงตัวเองจากศิลปะได้ ก็คือศิลปินแล้ว"
ไม่เพียงแต่ครอบครัวเท่านั้นที่คอยอยู่เคียงข้าง เพื่อนสนิทคืออีกหนึ่งกำลังใจสำคัญที่ทำให้แป้งก้าวผ่านอุปสรรคในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตมาได้ "ในสมัยเรียนมีเพื่อนสนิทชื่อหวาน (syrup ai. ศิลปินที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น BKKIF ARTIST 2021) คอยช่วยพูดให้กำลังใจ เราต่อสู้มาด้วยกัน โดนคอมเมนต์หนักหน่วง โดนสายตาดูถูก ตอนนี้เขาผันตัวมาทำภาพประกอบไม่เป็นสถาปนิกแล้วเหมือนกันค่ะ ตอนปีหนึ่งเราเคยนั่งคุยกันว่าจะซิ่วไปเรียนนิเทศศิลป์ดีไหม แต่สุดท้ายสู้กันจนเรียนจบ แป้งเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ดีที่มีเขาผลักดันให้ฮึดสู้ พอแต่งงานก็มีสามีให้กำลังใจ เราคงผ่านมาไม่ได้ ถ้าไม่มีคนข้างๆ เพราะเราเป็นคนจิตใจอ่อนไหวมาก"
ปัจจุบันในทวิตเตอร์ ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สิ่งหนึ่งที่ดีมากๆ คือ พวกเขามีวัฒนธรรมการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ใช้สิ่งนี้มาช่วยผลักดันให้ศิลปินแต่ละคนก้าวไปข้างหน้า ซึ่งคนที่เป็นแรงผลักดัน คอยให้กำลังใจจนแป้งกล้าลงภาพในโซเชียลมีเดียคือเพื่อนที่รู้จักทางทวิตเตอร์ "คุณเจื้อย (Matt-Mek Studio ศิลปินวาดดอกไม้และแลนด์สเคป หนึ่งในผู้ก่อตั้งชมรมนักวาดออริใน Clubhouse) เป็นคนที่ทำให้มีคนติดตามแป้งในทวิตเตอร์เยอะมาก แป้งชอบงานคุณเจื้อยจึงกดติดตาม คุณเจื้อยก็มาดูงานแป้งกลับ ตอนนั้นแป้งลงรูปเดียวเอง เขาก็ส่งข้อความมาหาว่าชอบงานคุณมาก ทำไมไม่ลงภาพอีก แป้งเลยตัดสินใจว่าจะมาเล่นทวิตเตอร์ ขอบคุณคุณเจื้อยที่สนับสนุนให้ใช้แพลทฟอร์มนี้ มีคนเข้ามาแชร์ เข้าพูดคุยเรื่องศิลปะ แป้งรู้สึก ปลื้มปริ่มมาก"
สำหรับในอนาคต แป้งวางแผนว่าจะเริ่มนำงานศิลปะไปขายตามตลาดศิลปะท้องถิ่น เพราะหลังทุกคนฉีดวัคซีน COVID -19 กันครบหมดแล้วก็จะกลับมาใช้ชีวิตกันได้ปกติ รวมทั้งเธอจะทุ่มเทกับวาดรูปออริจินัลของตัวเองมากขึ้น จะได้นำภาพมาขายเป็นอาร์ตปริ้นต์ และเรียนรู้วิธีทำแพทเทิร์นดอกไม้ เพื่อหวังต่อยอดการขายออนไลน์
สำหรับแฟนชาวไทยที่อยากสนับสนุนงานของแป้ง เธอกำลังมองช่องทางขายภาพที่ไทยอยู่ ดังนั้นถ้าใครอยากให้แป้งวาดรูปช่อดอกไม้งานแต่งงาน หรือวาดภาพดอกไม้ สามารถติดต่อเธอได้โดยตรงเลยนะ แป้งแอบกระซิบมาว่าจะคิดราคาเรทคนไทยให้เลย
เรามองรอยยิ้มหวานของแป้งและภาพวาดละมุนละไมของเธอ ก็ยิ่งคิดว่าการให้กำลังใจกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากไม่มีครอบครัว และเพื่อนๆ ที่รักศิลปะคอยยืนเคียงข้าง แป้งอาจไม่ได้กลับมาวาดรูปอย่างมีความสุขได้เหมือนตอนนี้
หากคุณชอบศิลปินคนไหน คอมเมนต์บอกเขากันด้วยนะว่าชื่นชอบผลงาน เราคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นกำลังใจให้ศิลปินมีแรงวาดรูปต่อไปในทุกๆ วัน