วาฬและโลมาไม่ใช่ปลา แต่เป็นได้ทั้งสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร และเป็นได้ทั้งวงดนตรีขวัญใจกลุ่มคนฟังในยุคใหม่วัย Gen Z ติดอันดับ 1 ใน 5 ศิลปินที่ถูกค้นหามากที่สุดบนโลกออนไลน์ วงดนตรีที่มีคนกดฟังในสตรีมมิ่งอย่าง Spotify ตลอดปีสูงถึง 18.2 ล้านครั้ง และยังได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเวที Guitar Mag Awards ในปี 2562 ที่ผ่านมา
ปอ-กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ คือโลมา และ น้ำวน-วนนท์ กุลวรรธไพสิฐ เป็นวาฬ เพื่อนซี้ทั้งสองเริ่มต้นสร้างวงดนตรีนี้ขึ้นมาเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ตอนนี้พวกเขาทำผลงานออกมาหนึ่งอีพีและหนึ่งอัลบั้มเต็ม พร้อมด้วยการผ่านคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของพวกเขาที่บัตร Sold out ทั้งสองรอบการแสดง ถือเป็นวงดนตรีของยุคสมัยที่น่าจับตามองไว้ดีๆ อย่าให้คลาดสายตา
พวกเขาจะกลายเป็นวงดนตรีแห่งยุคตามที่ทั้งสองตั้งใจปักธงร่วมกันไว้ได้ไหม สิ่งนี้ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ๆ ชื่อวงดนตรีของพวกเขา น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก
นัดพบครั้งนี้ที่ วอท เดอะ ดัก (What The Duck) หรือบ้านเป็ด สถานที่ซึ่งเป็นต้นสังกัดวงดนตรีของพวกเขา ผมเตรียมเรื่องของความรักมาคุยกับทั้งคู่ แต่ความรักช่างกว้างใหญ่หลากหลายเกินกว่าจะพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง บ่ายวันนั้นผมจึงหยิบความรัก 8 ฉบับ ซึ่งในแต่ละฉบับล้วนมีความหมายแตกต่างกันติดมือไป เพื่อใช้เป็นหัวข้อสำหรับชวนวาฬและโลมาสนทนา หากอยากรู้แล้วว่าในแต่ละฉบับจะเป็นเรื่องอะไร และเพื่อนซี้ทั้งสองให้คำตอบอะไรบ้าง กระโดดน้ำลงไปแหวกว่ายในทะเลความรักกับ Whal & Dolph พร้อมๆ กัน
ความรักในช่วงแรกเริ่มของความสัมพันธ์ เช่น การพบกัน ตกหลุมรัก อาการใจสั่น รู้สึกหวือหวาหรือว่าตื่นเต้น
ความรู้สึกอยากเล่นดนตรีของพวกคุณเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ปอ: ผมน่าจะเป็นตอนช่วง ป.4-5 ผมได้เริ่มเล่นขลุ่ยรีคอร์เดอร์ในวิชาเรียน แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้มีความสุข ทำให้อยากไปเล่นเครื่องดนตรีอย่างอื่นเพิ่ม จากนั้นจึงไปสมัครเข้าวงโยธวาทิต คิดว่าการได้ตกหลุมรักเสียงดนตรีครั้งแรก น่าจะมาจากช่วงนั้น
น้ำวน: ของผมถ้าเริ่มจริงๆ เลยน่าจะเป็นช่วง ม.4 ตอนนั้นที่โรงเรียนมีการแข่งขันประกวดดนตรี ผมไปยืนดูเพื่อนๆ เล่น แล้วก็จินตนาการว่า ตัวเองอยากขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นได้บ้างจัง จากนั้นมาประมาณ ม.5 จึงเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่นั้นมา
ตอนที่พวกคุณรู้ว่าจะได้มีฝันร่วมกัน รู้สึกตื่นเต้นแค่ไหน
น้ำวน: เรารู้จักกันมาก่อนประมาณหนึ่ง เราไม่ได้คิดว่าจะทำวงด้วยกันเพื่อประสบความสำเร็จ แค่มีเพลงหนึ่งที่เราอยากทำด้วยกันเฉยๆ แค่นั้นเลย ถามว่าตื่นเต้นไหม เรียกว่าเป็นความสนุกมากกว่าที่เราจะได้ทำงานร่วมกันหนึ่งเพลงในนามวงใหม่และก็ปล่อยให้ทุกคนได้ฟัง
ปอ: มันเป็นความรู้สึกดีนะ แต่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย
ทุกวันนี้การเล่นดนตรีกลายเป็นอาชีพของพวกคุณไปแล้ว ตอนนี้เมื่ออยู่บนเวที ความรู้สึกของพวกคุณเป็นยังไง
ปอ: ไม่ได้รู้สึกเหมือนตอนแรกๆ แล้ว แต่สนุกไปอีกแบบหนึ่ง มันเป็นการท้าทายอีกอย่าง เวลาเราขึ้นไปเล่น ตอนแรกๆ มันตื่นเต้นที่จะมีคนฟังเพลงเราหรือร้องเพลงเราได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า เราขึ้นไปแล้วจะเป็นยังไงนะ วันนี้จะมีความสุข หรือวันนี้คนจะงงๆ หรือเปล่า ถ้าเราเล่นเพลงแรกขึ้นมาแล้วคนร้องได้ จะรู้กันเลยว่าวันนี้จะเป็นวันที่สนุกมากๆ ของพวกเรา ก็เป็นความท้าทายในแต่ละครั้ง มันไม่ได้เล่นไปวันๆ แต่เป็นเหมือนการชาเลนจ์ตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าเราจะไปเจองานแบบไหนมากกว่า
น้ำวน: ผมก็ไม่ได้เบื่อกับการได้เล่นบ่อยๆ ผมรู้สึกสนุกดีที่ได้ไปเจอแฟนเพลงที่เปลี่ยนไปในทุกๆ วัน
ในส่วนเพลงฮิตของพวกคุณที่ต้องเล่นบ่อยๆ ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มตัวจนไม่อยากเล่นแล้วบ้างไหม
ปอ: จะตอบว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากขนาดที่ทำให้เราไม่อยากเล่นเพลงตัวเอง เปรียบเหมือนเรามีแฟนแล้วคบกับแฟนผ่านเวลามาเนิ่นนาน ก็จะไม่เหมือนตอนแรกๆ แต่ถามว่าเรายังรักเพลงพวกนั้นไหม เรายังรักเป็นปกติ
น้ำวน: ผมว่าสนุกดี เวลาเราเล่นเพลงไหนก็อยากดูการตอบรับจากคนที่มาดู ว่าเขาจะรู้สึกกับเพลงเหล่านั้นยังไงบ้าง ก็น่าจะยังไม่มีเพลงไหนที่ไม่อยากเล่นเลยในตอนนี้
ความรักที่ประทับใจ ความทรงจำแสนงดงาม ช่วงเวลาที่อกหักปวดร้าว หรืออื่นๆ ต่างเป็นความรักที่ช่วยขับเคลื่อนการมีอยู่ของชีวิตในวันข้างหน้า ความรักในแบบหนุ่มสาวช่วยขับเคลื่อนบทเพลงของ Whal & Dolph ยังไงบ้าง
ปอ: จริงๆ ผมว่ามากเลยนะ เพราะช่วงทำวงตอนแรกๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราก็มีความเป็นหนุ่มเป็นสาว เหมือนได้แรงบันดาลใจมาจากความรักหนุ่มสาวซะส่วนใหญ่เยอะมากๆ ด้วยซ้ำ ตอนนั้นทั้งอัลบั้มเป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับหนุ่มสาวทั้งนั้นเลย ตอนนี้เราเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มพบเจอกับเรื่องราวมากขึ้น เราก็เริ่มอยากเขียนเพลงหลายๆ แบบ หลายๆ มุมมอง
ตอนนี้เราก็ยังวัยรุ่นอยู่นะ แต่เป็นวัยรุ่นที่มีมุมที่อยากจะทำอย่างอื่นด้วย อยากเล่าเรื่องอื่นบ้าง อย่างเช่น เราเจอคนเศร้า เราเจอคนรู้สึกไม่ดีอยู่ เราก็อยากปลอบใจด้วยบทเพลงของพวกเราให้ช่วยเยียวยาพวกเขา หรือจะเล่าเกี่ยวกับความฝัน ความรู้สึก เล่าเกี่ยวกับอารมณ์มากขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างเดียว ซึ่งตอนนี้ก็มีความคิดอะไรพวกนี้เข้ามา อยากนำมาเขียนเพลงเหมือนกัน คิดว่าในอัลบั้มที่สองน่าจะมีอะไรต่างๆ ที่บอกเยอะขึ้น แต่ก็คงไม่ทิ้งเรื่องราวความรักหนุ่มสาวไปแน่นอน
ทำไมพวกคุณถึงเลือกที่จะเล่าเรื่องความรักผ่านบทเพลง
น้ำวน: ส่วนตัวคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อความรู้สึกถึงคนหมู่มากได้ เหมือนความรักถูกมองเห็นได้ในหลายรูปแบบ เข้าใจง่ายกว่าเรื่องอื่น ก็เลยเอาเรื่องพวกนี้มาเขียนได้ และมันทำให้เกิดเป็นความหลากหลาย
ปอ: ผมไม่มั่นใจว่าคนอื่นคิดยังไง แต่สำหรับพวกผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองหรือคนรอบตัว แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่อง ความรัก ความผูกพัน ความสัมพันธ์ จริงๆ แล้วเพลงรักมันไม่ได้แค่บอกว่า เรารักกัน เราเลิกกันแค่นั้นนะ แต่มันสามารถฉีกได้หลายมุมมองมากกว่านั้น ทำไมเราถึงหมดรักคนคนหนึ่ง ทำไมเราถึงไปถูกใจคนคนหนึ่งทั้งที่เรามีแฟนอยู่แล้ว ผมว่าในความรักสามารถตีแผ่ได้เยอะ ก็เลยมีคนเลือกจะเอามาเล่าเยอะ
ความรักที่หมายถึงการเห็นคุณค่าในตัวเอง ดั่งคำพูดที่ว่า "ถ้าจะแข็งแรงขึ้น จงรักตัวเองให้ได้ก่อน และสิ่งนี้จะส่งผลให้เราทำเพื่อคนอื่นได้ต่อไป
เรื่องของความรักดูเป็นเรื่องส่วนตัวและดูเป็นความลับ ทำไมถึงเลือกจะหยิบมาเล่าให้คนหมู่มากได้ฟัง
ปอ: ผมคิดว่าการเป็นศิลปิน ควรที่จะแสดงตัวตนว่าเราเป็นยังไง ไม่ใช่เราสร้างภาพลักษณ์สมมติขึ้นมา ซึ่งแบบนั้นมันไม่ใช่คำว่าศิลปินในความคิดของผม ของผมมันควรเล่าเรื่องที่เป็นตัวเองที่สุด ผมเลยคิดว่าเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องที่ดี เราก็ควรเล่าให้เขาฟังตรงๆ
น้ำวน: จะมีบางพาร์ตที่เราพอจะเล่าได้ ผมคิดว่าเราคงไม่ได้เล่าทุกอย่างทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์
บางความรักที่พวกคุณเล่าผ่านบทเพลง ทำให้ผู้ฟังบางคนรับไม่ได้กับสิ่งที่เล่า พวกคุณจัดการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังไง เช่นเรื่องเพลง มีความจริงบางอย่างที่เธอไม่ควรรู้
ปอ: ผมว่าถูกต้องแล้วที่เขาจะมาคอมเมนต์อะไรที่เขาคิดว่าเรื่องเล่าแบบนั้นมันคือการนอกใจกัน วันในอดีตที่ผ่านมาผมก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ผมก็เล่าออกมาแค่ในมุมหนึ่ง ซึ่งคนอื่นก็ไม่ได้รู้ลึกว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้
สำหรับเพลง มีความจริงบางอย่างที่เธอไม่ควรรู้ คือการที่เราจะไปเริ่มต้นใหม่กับคนที่กำลังจะคบกันเป็นแฟน แต่เราดันกลับไปเจอรักเก่าที่รู้สึกต่อกันมานานถึง 7-8 ปี ซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกว่าเรากลับไปตกหลุมรักคนคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว เพราะคนที่คุยอยู่เราเพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งความรู้สึกกับคนรักเก่ามันมากกว่าอยู่แล้ว สิ่งนี้ก็ทำให้เราเผลอใจไปกับคนในอดีตที่ได้กลับมาเจอกันตรงหน้า จริงๆ มันมากมาย มีรายละเอียดมากกว่าที่เล่าไปในเพลง หลายคนก็ตีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งมันก็ไม่ผิดเพราะผมเล่าด้วยความจริง เรื่องพวกนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผม ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ระหว่างผลงานกับศิลปิน พวกคุณคิดว่าแฟนคลับควรจะเลือกชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน
น้ำวน: ถ้าชอบที่ตัวผลงานเราจะดีใจกว่ามากเพราะเราเป็นคนทำงาน เราอยากให้คนเห็นคุณค่าในงานของเรามากกว่ารูปลักษณ์ แต่คนที่ชอบศิลปินมากกว่าก็ไม่ได้ผิด เหมือนเขาทำงานกันคนละแบบ เป็นความชอบของใครของมัน ก็พูดแบบนั้นได้
บทเพลงของ Whal & Dolph ทำให้คนเศร้าได้รู้ว่าเขามีเพื่อน สิ่งนี้คือความตั้งใจของพวกคุณหรือเปล่า
ปอ: เราไม่ได้คิดว่าจะทำให้มันเป็นอย่างนั้น แค่สิ่งที่เราเล่าหรือการสื่อสารต่างๆ มันอาจจะทำให้หลายคนคิดแบบนั้นเหมือนกัน ซึ่งส่วนตัวก็มองว่าเป็นเรื่องดี
ดีในแง่ไหนบ้าง
ปอ: ในแง่ที่ว่า เพลงของเราถ้าช่วยให้ใครสักคนได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ไปได้ก็คือความยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว มันมีคุณค่า มันมีความหมายต่อแฟนเพลง ต่อคนที่เขาฟังเพลงของเรา เวลามีคนทักมาในไอจีหรือเมสเสจว่าเพลงพี่มันช่วยเหลือผมมาก มันอยู่เป็นเพื่อนผมหรือทำให้ผมผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่า มีความหมายต่อโลก ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง แม่งเจ๋ง (หัวเราะ)
น้ำวน: ดีนะ เหมือนเราไม่ต้องพูด ไม่ต้องมาเล่ามาบอกเพื่อจะให้เข้าใจกัน คิดดูว่าถ้าเราเป็นคนที่มีปีก แต่เป็นเราคนเดียวที่มี เราก็จะกลายเป็นตัวประหลาดของสังคมนั้นก็จะไม่มีใครเข้าใจเขา อยู่มาวันหนึ่งมีคนที่มีปีกเหมือนกันผ่านมา พอเจอกันไม่ต้องพูดต้องคุย แต่เราจะรู้ในกันและกันว่าคนนี้จะเป็นคนที่เข้าใจ ทำให้เราต่างก็รู้สึกดีต่อกัน
ในฐานะผู้ผลิต การได้เล่าหรือระบายความเศร้าออกไป สิ่งนี้ช่วยเยียวยาอะไรพวกคุณบ้าง
ปอ: สำหรับผมช่วยเยียวยาบางส่วนในเรื่องที่เคยเจอมา แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น ผมว่าสุดท้ายยังไงก็ต้องผ่านเรื่องพวกนั้นด้วยตัวเอง ผมไม่สามารถเขียนเพลงออกมาแล้วบอกว่าผมไม่เศร้าแล้วนะ ทำแบบนั้นไม่ได้ ผมก็ยังรู้สึกกับเรื่องพวกนั้นอยู่ แต่ผมแค่รู้สึกว่าได้เล่าเรื่องพวกนั้นออกมาให้คนอื่นฟัง แล้วบางทีไปอ่านคอมเมนต์ของแฟนเพลงดูก็พบว่า มีคนที่เป็นเหมือนเราอยู่เยอะเหมือนกัน สิ่งนี้ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เศร้าคนเดียว มีคนอื่นที่เขาก็เป็นแบบเรา
ความรักประเภทนี้ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่น มีความผูกพันซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ เป็นความรักแบบมิตรภาพ
ความสัมพันธ์ของพวกคุณกับเพื่อนเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงเวลาที่วงดนตรีของพวกคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ปอ: สำหรับผมค่อนข้างแย่เลยนะ ผมแทบไม่ได้เจอเพื่อนเลย ส่วนเพื่อนใหม่ๆ ก็มีน้อยมาก เพื่อนเก่าๆ บางคนก็หายไปเลย งานของผมทำให้มีเวลาในชีวิตน้อยลง ปฏิเสธไม่ได้ เพราะต้องเอาเวลาไปทุ่มเทกับการเล่นดนตรี กับการสร้างผลงานเพลงซะส่วนใหญ่ในชีวิต
ต้องบอกว่าเราก็มีงานมีชีวิตของเรา พอมองย้อนกลับไป เราเหมือนไม่ได้เป็นคนเดิมอีกแล้ว แต่เราไม่ได้หยิ่งนะ อีกอย่างพอยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งมีผล ด้วยการทำงานที่มากขึ้น สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนเราไปเหมือนกัน ทุกๆ อย่างเปลี่ยนตัวเราไปตามธรรมชาติ จะให้เรากลับไปเป็นเด็กคนเดิมที่ไปปาร์ตี้ก็ไม่ได้ เพราะทุกวันที่ไปเล่นดนตรี เราก็เหนื่อยกันมากๆ แล้ว ทำเพลง คิดงานก็เหนื่อยมากๆ ให้เราไปปาร์ตี้อีกก็คงไม่ไหว
ด้วยอาชีพทำให้ตัวพวกเราเปลี่ยนไป วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไป แต่ผมว่านิสัยหรือตัวตนเราไม่ได้เปลี่ยน เราก็เป็นเพื่อนคนเดิม ถ้ามีโอกาสสะดวก เรายังคุยได้ปกติเหมือนเดิม แต่ก็พยายามพัฒนาความสัมพันธ์ด้านนี้ให้ดี เพราะรู้สึกว่าเพื่อนเก่าๆ เราก็คิดถึงพวกมัน เพื่อนหายไปเยอะเลยนะ แต่ด้วยทุกๆ อย่างที่เข้ามา เราเองก็ต้องยอมแลกบางอย่างกลับไป เพื่อเดินไปข้างหน้า
น้ำวน: ปฏิเสธไม่ได้ถ้าใครจะบอกว่าเราเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งพวกเราก็เปลี่ยนไปจริงๆ ผมว่าเป็นกันทุกคนนะ เวลาต้องทำงาน เพื่อนเก่าๆ ก็จะไม่ได้เจอ แล้วเวลางานของเราก็ไม่เหมือนคนอื่นที่ต้องเข้าแปดโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น เรียกว่าเราทำงานกันแบบ 24 ชั่วโมง มันไม่มีเวลา ช่วงแรกๆ เพื่อนๆ เขาก็นัดผมนะ แต่พอปฏิเสธว่าไปไม่ได้บ่อยๆ เขาก็ไม่นัดแล้ว ถึงจะมานัดอีก ผมก็ไปไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าผมก็โอเค เพราะเราเอาเวลามาทุ่มเทให้กับสิ่งที่เราชอบอยู่ ไม่ได้รู้สึกเหงามาก
การมีแฟนเพลงที่มากขึ้น สิ่งนี้สอนอะไรพวกคุณบ้าง
ปอ: สอนว่าเราควรจะต้องซื่อสัตย์กับแฟนเพลงให้มากๆ ไม่ดูถูกแฟนเพลง และให้เกียรติแฟนเพลง เพราะถ้าเราไม่รักษาเขาไว้หรือทำอะไรโดยไม่คิดถึงพวกเขาเลย เขาก็คงจะเลิกสนใจ และไม่อยากติดตามเราได้เหมือนกัน พวกเราแคร์แฟนเพลงมากๆ
น้ำวน: ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษเหมือนกันนะ เพราะเราเป็นใครก็ไม่รู้ พวกเขาเป็นใครก็ไม่รู้ แต่วันหนึ่งเขาก็มาติดตามเรา หลายคนมาแล้วก็มาอีก มาซ้ำบ่อยๆ บางคนก็มาจนไม่ขอถ่ายรูปแล้ว แต่ขอแค่มาให้กำลังใจเฉยๆ เวลาเจออะไรแบบนั้นผมรู้สึกดีใจจัง
พวกคุณรับมือกับแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นมาเรื่อยๆ ยังไง
น้ำวน: จริงๆ ผมว่าวงเรามีความโชคดี เพราะแฟนเพลงวงเรามีนิสัยคล้ายๆ กัน คือจะเป็นคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย มีกาลเทศะ ซึ่งถ้ามีสองอย่างนี้อยู่ในตัวแฟนเพลงคนหนึ่ง เราก็ไม่ซีเรียส แล้วพวกเราก็ยังไม่ค่อยเจอคนที่มีความแปลกมากๆ เลยนะ
ปอ: พวกเราจะให้เกียรติแฟนเพลงเท่าๆ กัน เพราะคิดว่าเขาก็ให้เกียรติเรา เราก็ควรจะให้สิ่งนั้นกลับคืนไปหาพวกเขาเหมือนกันทุกคน ไม่มีใครมากกว่าหรือน้อยกว่า
ทำไมวงดนตรีของพวกคุณถึงเป็นขวัญใจของแฟนเพลง Gen Z
ปอ: เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ผมคิดว่าอาจจะด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ด้วยคาแรกเตอร์ของเพลง ด้วยเสียงของผม ด้วยดนตรีของพวกเราสองคน ด้วยเอ็มวีอาจจะมีส่วนที่ไปเข้าถึงอะไรสักอย่างของน้องๆ ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้น้องๆ สนับสนุนเรา ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะเพลงของพวกเราถ้ามองกันดีๆ แล้ว มันไม่ใช่เพลงที่แมสหรือเป็นเพลงที่ขายได้แน่ๆ เพราะผมไม่ได้ใช้ภาษาหรือดนตรีที่ฟังแล้วจะเข้าใจได้ง่ายขนาดนั้น ผมรู้สึกว่าพวกผมยังเป็นวงดนตรีที่ทำเพลงกันแบบมีความลึกซึ้ง มีความเข้าใจยากผสมอยู่ ไม่ใช่แบบเข้าใจได้ในนาทีที่ฟังเลย แต่น้องๆ พวกนี้เขาตั้งใจฟังเพลง ตั้งใจดูเอ็มวี หรือตั้งใจเสพผลงานของพวกเรา ผมคิดว่าเด็กๆ สมัยนี้เจ๋งมากเลยครับ
น้ำวน: ผมว่ามันเป็นเรื่องแบบปากต่อปาก คิดว่าพอเราอยู่ในช่วงวัยนั้น การมีเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญมากๆ กลุ่มนี้มีคนหนึ่งชอบเพลง แล้วพอไปบอกต่อเพื่อนที่เหลือในกลุ่ม ก็อาจจะชอบตามกันเลยอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการกระจายวงกว้างไปเรื่อยๆ
การออกไปพบเจอแฟนเพลงบ่อยๆ ส่งผลอะไรต่อวงดนตรีของพวกคุณ
น้ำวน: จริงๆ เราจะไปเจอแฟนเพลงช่วงหลังเล่นเสร็จ เราจะไปขอบคุณเขาที่มาดูเรา บางวันที่ไม่ได้รีบมากนักก็จะอยู่ถ่ายรูปด้วย บางวันมีงานต่อหรือไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็ได้ไปพูดคุยกับพวกเขา ผมว่าการได้เจอคนที่เราชอบหรือศิลปินที่เราติดตาม ด้วยเวลาสักนิดหน่อยก็ทำให้รู้สึกดีแล้ว
ปอ: พวกเราพยายามจัดงานที่ให้คนมารวมตัวกันได้บ่อยๆ เนื่องจากคิดว่าสิ่งนี้สร้างความสัมพันธ์ของวงดนตรีกับแฟนเพลงด้วย เหมือนแฟนเพลงคือลูกค้าชั้นดีของวง พอมีผลงานใหม่ๆ ออกมา ก็อยากให้เขาเป็นคนดูคนแรก เวลามีเพลงใหม่หรือมีงานเลี้ยงต่างๆ ก็จะชวนแฟนเพลงมาดูก่อน อย่างเช่น วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เราแค่อยากให้ทุกคนไม่รู้สึกเหงา แบบไม่มีใครชวนไปไหนในวันวาเลนไทน์เลย จึงชวนให้ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่ต้องเหงาคนเดียว
คิดว่าอะไรทำให้พวกคุณมีเพื่อนนักดนตรีเยอะ แล้วเพื่อนนักดนตรีเหล่านั้นช่วยผลักดันอะไรพวกคุณบ้าง
ปอ: เราโชคดีมั้งครับ (หัวเราะ) ที่ได้เจอกับบุคลากรที่ค่อนข้างมีฝีมือ ในวงเราก็จะมีพี่ท็อปมือเบสจากวงมหัศจรรย์ธรรมดา มีน้องเรมี่ที่เคยเล่นให้สครับบ์ มีน้องอ๋องที่เป็นแบ็กอัพให้หลายๆ วง ซึ่งเมื่อก่อนมือกลองจะเป็นน้องทัน Zweed n' Roll ที่คอยอัดเพลงให้พวกเราตลอด มีน้องบุ้งจาก The Toys เป็นมือคีย์บอร์ดที่มาช่วยเราอัดเพลงบ่อยๆ แล้วก็มีบุคลากรอีกมากมายที่ช่วยเหลือเรา
จริงๆ ผมคิดว่าเราสองคน (มองหน้าเพื่อน) ต้องให้เครดิตพวกเขาเยอะๆ เลยนะ เพราะจริงๆ เพลงที่เกิดขึ้นไม่ใช่มีแค่พวกเราที่ทำกันสองคน ต่อให้เราทำเนื้อร้อง อัดกีตาร์ หรือโปรดิวซ์ก็ตาม แต่เวลาต้องอัดเพลงก็จะมีเพื่อนๆ เหล่านี้ที่คอยมาช่วย คนพวกนี้เป็นคนที่เก่งแล้วพวกเราก็โชคดีมากๆ ที่พวกเขาดีกับเรา รวมไปถึงผู้กำกับที่ทำเอ็มวีให้เราด้วย แต่ละคนเขามีความสามารถ เรียกว่าเป็นอัจฉริยะของยุคเลย คือทุกคนพร้อมจะช่วยเรา ถือเป็นความโชคดีของวง
น้ำวน: ผมว่าสมัยนี้มาตรฐานในวงการเพลงค่อนข้างสูง ทั้งวงที่มีค่ายหรือไม่มีค่าย พวกเขาทำกันเองได้ดีหมดแล้ว ผมว่าเป็นเรื่องดีที่เพื่อนนักดนตรีออกเพลงเจ๋งๆ มา เราจะได้รู้สึกว่าในส่วนงานของเรามันจะมีทางไปต่อ ช่วยให้เรามองว่าเพลงของเราอาจจะยังสู้เขาไม่ได้ในแง่ของดนตรี เราก็จะยกให้เขาเป็นตัวอย่าง ในเมื่อมีคนทำแบบนี้ได้ เราเองก็จะทำให้ได้บ้าง
ในส่วนของพวกคุณ คิดว่าได้มอบอะไรให้กับเพื่อนนักดนตรีเหล่านั้นบ้าง
ปอ: ผมคิดว่าเราได้คำว่าครอบครัวนะ คนที่มาเล่นกับเราหรือแม้แต่ทีมงาน เทคนิเชียน รวมไปถึงซาวนด์เอนจิเนียร์ ทุกคนมีจุดมุ่งหมายร่วมกันว่า เราจะเป็นวงดนตรีที่โคตรเจ๋งแห่งยุคให้ได้ แล้วเวลาเรามาทำอะไรร่วมกัน เราจะช่วยกันอย่างสุดความสามารถ เวลาไปเล่นเราก็จะมาคุยกันหลังโชว์ว่า เราจะพัฒนาโชว์ในวันข้างหน้าให้ดีขึ้นได้ยังไง จะทำแบบไหนให้ไปได้ไกลกว่าเดิม มันมอบสิ่งที่เรียกว่า ลงเรือลำเดียวกัน มอบเป้าหมายให้ มากกว่าเงินทอง ชื่อเสียง ก็คงเป็นสิ่งต่างๆ พวกนี้ เหมือนเป็นแรงจูงใจในการใช้ชีวิต
ฉบับ-รักที่คุ้นเคย
ความรักที่บริสุทธิ์ ทรงพลัง ไม่หวังผลตอบแทนและไร้เงื่อนไขใด เหมือนเป็นความรักแบบที่พ่อแม่มีต่อลูก พลังจากครอบครัวส่งผลอะไรต่อการเล่นดนตรีของพวกคุณในวันนี้บ้าง
น้ำวน: ของผมน่าจะเป็นเรื่องอยากพิสูจน์ตัวเองนี่แหละ คือทางครอบครัวไม่ได้ขัดขวาง แต่บ้านผมก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย ซึ่งผมได้เลือกทางนี้แล้วก็เลยอยากทำให้เขารู้ว่า ผมจะอยู่ได้กับการทำอาชีพนี้ เพราะว่าที่บ้านก็ไม่ได้มีใครเล่นดนตรีหรือเป็นนักดนตรีเลย ตัวผมได้รับเรื่องดนตรีมาจากข้างนอกล้วนๆ สิ่งเดียวที่น่าจะทำให้เขาชื่นใจได้ น่าจะเป็นเรื่องที่เราเลี้ยงดูตัวเองได้จากอาชีพนักดนตรี ซึ่งตอนนี้ก็พอจะไปได้อยู่บ้างแล้ว
เหมือนเป็นความโชคดีที่ทางบ้านให้โอกาสได้ลองทำ ซึ่งผมก็ก้มหน้าก้มตาทำมาหลายปีเหมือนกัน กว่าจะทำได้แบบนี้ แต่สิ่งที่ดีอีกอย่างคือ เขาไม่ได้ว่าหรือห้ามไม่ให้เล่นดนตรีแล้วให้ไปทำอย่างอื่น ต้องขอบคุณที่บ้านเป็นอย่างมาก
ปอ: ของผมคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่เคยได้ฟังตอนเด็กๆ จะมีพี่สาวที่ชอบไรต์เพลงลงซีดีเพื่อฟังในรถ ผมก็จะได้ฟังเพลงเหล่านั้นของพี่ ก็รู้สึกว่าเพลงมันเจ๋งดี ได้ฟังเพลงต่างๆ มากมาย หรือตอนเด็กๆ พ่อจะชอบขึ้นไปร้องเพลงตามงานเลี้ยงรื่นเริง เขาก็จะร้องเพลงเก่าๆ ในรุ่นของเขา ผมก็จะได้ดูและฟังด้วย ก็คิดว่า สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนเกี่ยวข้องให้เราอยากเล่นดนตรี
ตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยง เขาก็จะส่งไปอยู่กับบ้านที่รับเลี้ยงเด็ก ที่บ้านนั้นเขาก็จะเล่นดนตรีกัน มีลุงคนหนึ่งเขาเป็นนักแต่งเพลงก็จะนั่งเล่นกีตาร์ มีซีดีเปิดเพลงฟัง ผมก็จะได้รับบรรยากาศตรงนั้นมาในช่วงเด็กๆ เป็นจุดที่ทำให้ผมชอบดนตรีมาตั้งแต่ตอนนั้น พอโตมาก็ได้เล่นดนตรีอย่างที่หวัง ผมว่าครอบครัวก็มีส่วนผลักดันเล็กๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเหมือนกัน
ฉบับ-รักมากไป
ความรักที่ค่อนข้างเรียกร้องการมีอยู่ของอีกฝ่าย หรือการรู้สึกอยากถูกรักเพื่อค้นหาคุณค่าในตัวเอง วันนี้วงดนตรีของพวกคุณเป็นที่รู้จักมากๆ แล้ว ตอนนี้ต้องทำเพลงตามคนอื่น ตามค่ายหรือตามใครบ้างหรือยัง
ปอ: ตามใจตัวเอง
น้ำวน: 100% เลยครับ
ปอ: ถ้ามีคนมาบอกว่าพวกคุณเปลี่ยนแปลงไปในด้านการทำเพลง ผมจะค้านเลย เพราะว่าเรายังทำเหมือนปกติ แค่ไม่ได้ทำเหมือนเพลงช่วงยุคแรกๆ เพราะถ้าเรากลับไปทำเหมือนเพลงแรกๆ เราก็จะเบื่อเอง เราอาจจะกลับไปทำอย่างนั้นก็ได้นะ แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้เป็นช่วงที่เรากำลังจะทำอะไรใหม่ๆ เพื่อให้เราสนุก เรายังไม่เคยทำตามใครเลย
มีใครเคยมาแนะนำให้เปลี่ยนบ้างไหม
ปอ: ไม่มีใครเคยมาแนะนำให้เราทำแบบนั้นแบบนี้เลย ถึงแม้จะเป็นค่าย What The Duck เองก็ตาม ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะพูดว่า ให้เราทำเพลงแบบนั้น พวกเราจะคุยกันว่าอยากทำเพลงแบบไหน แต่ไม่เคยมีใครมาบังคับให้เราทำ แล้วก็ไม่มีใครมาบังคับว่าตอนนี้ต้องปล่อยเพลงแบบนี้ พวกเราคือคนที่กำหนดทิศทางวงเองทั้งหมด แล้วเราก็จะรู้ว่าเพลงต่อไปจะทำยังไงดี
ทุกเพลงที่พวกคุณปล่อยออกไปค่อนข้างจะตรงเป้าและหวังผลได้เสมอ พวกคุณรู้สูตรการทำเพลงให้มันดังหรือเปล่า
ปอ: ผมคิดว่าสูตรนี้มันไม่มีจริง ยิ่งสมัยนี้ยิ่งยาก เพราะมันไม่มีคำว่ากรอกหูอีกต่อไปแล้ว เป็นยุคของคนเลือกฟัง พวกเขาจะฟังเพลงไหนอยู่ที่คนเลย เพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีสูตรไหนมาทำให้เพลงดังได้เลย
น้ำวน: ผมว่าเพลงของเราอาจจะดีขึ้นด้วยจากการที่เราทำงานกันมาสักระยะหนึ่ง จนเหมือนเริ่มเข้ามือพวกเราแล้ว ในพาร์ตดนตรี ผมอยากให้แนวทางแตกต่างกันออกไปในแต่ละเพลง คือไม่ได้อยากให้แนวดนตรีเหมือนๆ กัน ความตั้งใจของผมคือทำให้เพลงแต่ละเพลงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดแตกต่างกันออกไป
กดดันไหมในการปล่อยเพลงแต่ละเพลง ถ้าปล่อยไปแล้วไม่เปรี้ยงจะทำยังไง
ปอ: จริงๆ ก็มีความกดดันเหมือนกันนะครับ แต่ไม่ได้มีความคิดที่ว่า ถ้าเพลงไม่เปรี้ยง เราจะต้องทำยังไง แค่คิดว่า ถ้าไม่เปรี้ยงก็เศร้าไป แล้วก็กลับมาหาวิธีการกันใหม่ น่าจะเป็นอารมณ์ประมาณนี้มากกว่า ไม่ได้คิดอย่างเดียวว่าต้องทำเพลงยังไงถึงจะดัง เพราะเพลงทุกเพลงที่ปล่อยออกไป เราคิดว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว แต่ถ้าไม่เปรี้ยง เราก็อาจจะแอบเศร้านิดๆ เพราะเพลงนี้อาจจะไม่ได้ถูกเล่น เราก็คงต้องมานั่งทำเพลงกันใหม่ เราคิดว่าถ้าเพลงไหนไม่ดังก็ช่างมัน เพราะมันไม่ใช่เพลงที่ไม่ดี เราก็ทำงานกันต่อไป
เพลงล่าสุดชื่อ ใจสลาย มอบบทเรียนอะไรให้กับพวกคุณบ้าง
ปอ: มอบความขยันให้กับพวกเรา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พวกเราทัวร์กันหนักมาก อย่างวันที่ต้องไปมิกซ์เพลงก็เป็นวันที่เพิ่งทัวร์เล่นดนตรีกันสี่ห้าวันติดๆ เล่นเสร็จ พวกเราต้องไปมิกซ์เพลงกันต่อ ทำงานเสร็จเราถึงจะได้กลับบ้านนอนตอนตีสามตีสี่ แล้วทำโปรโมตก็เยอะมาก คิดกันเยอะมากๆ เหนื่อยมากและสนุกมากๆ ด้วย พอเพลงปล่อยออกมา มันก็ประสบผลสำเร็จในแบบของมัน ผมรู้สึกว่ามันมอบความรู้สึกที่ว่า ถ้าเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างให้ออกผลมา แล้วเราได้มานั่งเก็บเกี่ยวความสุขจากสิ่งนั้น ก็คงมอบอะไรแบบนั้นเป็นความเหนื่อยแต่สุขใจ แต่ในมุมคนฟัง ผมไม่รู้ว่าเพลงนี้จะมอบอะไรให้กับพวกเขาบ้าง อันนั้นต้องแล้วแต่คนตีความเลยครับ
ความรักที่มนุษย์ต่างตามหา เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ยืนระยะยาวนาน ผ่านกาลเวลามาด้วยกัน ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ อดทนและเรียนรู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน
กว่าจะเดินทางร่วมกันผ่านมาถึงตอนนี้ได้ สิ่งใดทำให้พวกคุณทั้งสองเชื่อมั่นในกันและกัน
น้ำวน: ถ้าเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิต ผมกับปอจะไม่เคยเอาความเครียดของชีวิตส่วนตัวมาคุยกัน และผมไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของเขาเท่าไหร่ด้วย เขามีชีวิตของเขา ผมก็มีชีวิตของผม วันไหนอยากเล่าเรื่องที่ลึกลงไปหน่อยของกันและกัน ถ้าใครอยากเล่าจะเล่าก่อน จะไม่ค่อยถาม ซึ่งผมก็เห็นว่าเพื่อนเครียดนะ แต่ก็ไม่ถาม เพราะถ้าอยากเล่าเดี๋ยวเพื่อนจะเล่าเอง
ผมว่าเรื่องไม่ก้าวก่ายกันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยบาดหมางในการทำงานด้วยกัน ส่วนเรื่องการทำงานดนตรีน่าจะเป็นด้วยความที่เคมีของเราใกล้ๆ กัน ทำงานได้อย่างรวดเร็วไม่ค่อยมีปัญหาในการทำงานร่วมกันเท่าไหร่ ถ้าทั้งสองพาร์ตนี้ไม่มีปัญหา ผมว่าก็ไหลลื่นดีนะ สำหรับความสัมพันธ์ของผมกับปอ
ปอ: ผมคิดว่าเรามีจุดมุ่งหมายที่ค่อนข้างตรงกัน อย่างตอนแรกที่เริ่มทำเพราะสนุก อยากทำเพลงให้ดี พอออกมาดี จนเริ่มทำเป็นอาชีพได้ อยากทำเป็นอาชีพเราก็คิดตรงกัน ก็มาคิดร่วมกันว่าเราจะทำยังไงให้สิ่งที่ทำด้วยกันไปถึงความเป็นวงที่ควรค่าแก่การจดจำของวงการดนตรีไทย ตอนนี้เรามองถึงจุดนั้น แล้วพอเรามองตรงกัน เราจะทำงานด้วยกันได้โดยมีเป้าหมายเดียวกัน เป้าหมายของพวกเราคือทำเพลงที่ดี ที่ควรค่าแก่การปล่อยออกไปในนามของเรา พอความคิดเห็นตรงกันมันก็ไม่มีปัญหา สิ่งนี้ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของวงหรือพวกผมสองคนมันเข้ากันได้ เพราะงั้นทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
ช่วงเวลาที่ท้อแท้ พวกคุณเยียวยากันและกันอย่างไร
ปอ: ก็แค่บอกว่า ต้องสู้ว่ะ เพราะวงเริ่มมาจากเราสองคน ถ้าเรายังนั่งขี้เกียจไม่ทำงานก็ไม่มีใครมาช่วยเรา ก็ไม่มีใครมายินดียินร้ายกับเราหรอก ไม่มีใครมาช่วยเราอยู่แล้ว มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่จะปลุกปลอบกันได้ แล้วลุกขึ้นมาทำงานให้มันเจ๋งเถอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราสองคนยังไม่มั่นคง และยังขี้เกียจกันอยู่ มันก็ไม่มีใครช่วยได้ ความขยัน ความซื่อสัตย์ในอาชีพนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
ทำไมคิดว่าดนตรีกลายเป็นอาชีพหลักของทั้งสองคนได้แล้วในตอนนี้
น้ำวน: จริงๆ อยู่ได้ไม่ได้ น่าจะอยู่ที่เรื่องของรายได้ ถ้าวันหนึ่งเราสามารถเริ่มเลี้ยงดูตัวเองได้ แล้ววันต่อมาก็เริ่มไปเลี้ยงดูคนข้างๆ หรือคนในครอบครัวได้บ้างแล้ว ผมว่าเท่านี้ก็น่าจะตอบโจทย์ผมแล้ว เพราะทุกคนที่ทำงานก็คงต้องเอาเงินไปทำอะไรบางอย่าง เก็บเงินไปลงทุน ดูแลครอบครัวตัวเองได้
จะไม่เบื่อเหรอ หากสิ่งที่รักจะอยู่ในชีวิตประจำวันทุกวัน
น้ำวน: เราก็ไม่ได้มองว่าเป็นงานขนาดนั้น ยังเป็นความสนุก เพราะทุกครั้งที่ได้เริ่มทำเพลงใหม่ ก็เหมือนการได้ทำโปรเจกต์ใหม่ มันไม่เดินเป็นเส้นตรงอย่างเดียว พอไม่น่าเบื่อ เราก็ไม่มีความเบื่อกับงานเรา
ปอ: อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำให้เป็นลูปว่า เราต้องทำเพลงทุกวัน จริงๆ จะทำอย่างนั้นก็ได้นะ แต่อาจจะไม่ดีเท่าไหร่สำหรับวงเรา แต่ก็มีวงที่ทำได้ สำหรับวงเราไม่น่าจะวิ่งบนเส้นทางแบบนั้น พวกเราน่าจะเป็นแบบค่อยๆ ทำไปมากกว่า อาจจะไม่ใช่คนที่ทำงานได้รวดเร็วที่สุด พวกเราค่อนข้างเอื่อยๆ ช้าๆ แต่เราไม่หยุดทำ
ความรักที่ไม่ใช่แค่รักของคนเพียงสองหรือสามคน แต่เป็นความรักที่ครอบคลุมไปถึงระดับสังคม คือความรักบริสุทธิ์ที่ต่างมีให้กับทุกสิ่ง รักที่พร้อมให้อภัย รักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี รักที่ไม่มีเงื่อนไขเพื่อผลประโยชน์หรือคาดหวังสิ่งใด
ในอนาคต Whal & Dolph จะมีบทเพลงที่มีเรื่องเล่าหลุดออกจากตัวเองบ้างไหม
ปอ: คิดว่ามีนะ จริงๆ ก็เริ่มมีบ้างแล้ว อย่างเพลง ใจสลาย ก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของผม แต่คิดว่าหลังจากนี้น่าจะมีมากขึ้น เพราะว่าผมก็ไม่มีทางเจอเรื่องเศร้าทุกวัน
บทเพลงของพวกคุณนอกจากการเป็นเพื่อนคนเศร้าแล้ว คิดว่ามอบอะไรอย่างอื่นให้กับพวกเขาอีกบ้าง
ปอ: คิดว่ามีนะ อย่างเพลงต่อไปก็ตั้งเป้าไว้ว่า พอคนได้ฟังแล้วจะรู้สึกว่าบทเพลงนั้นปลอบประโลมพวกเขา แล้วถ้าทำได้คิดว่าเขาก็น่าจะใช้ชีวิตในวันนั้นหรือช่วงนั้นได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สังคมเย็นขึ้นอะไรแบบนี้ (หัวเราะ)
ผมว่าบทเพลงของ Whal & Dolph มอบแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนะ บางคนเอาไปวาดรูป บางคนฟังเพลงแล้วไปถ่ายรูป บางคนฟังเพลงแล้วไปทำนั่นนี่ ผมคิดว่าเพลงเป็นส่วนช่วยในการสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะ
น้ำวน: เขาฟังแล้วอาจจะรู้สึกตัวได้ แล้วก็ไม่ไปทำอะไรแย่ๆ ใส่คนอื่น บางคนฟังเพลงแล้วอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เคยมีคนฟังเขียนมาบอกว่า ทุกวันนี้อยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อรอไปดูพวกเราเล่นดนตรี ผมดีใจมากเลยนะ เหมือนงานของเราได้ทำประโยชน์บางอย่างให้กับพวกเขาแล้ว
ทุกชีวิตล้วนมีความรักเป็นแรงขับเคลื่อน แต่หากจะบอกว่าความรักคืออะไร คำนิยามหรือความหมายของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป ไม่ต่างจากเพื่อนสนิททั้งสองอย่างปอและน้ำวน ที่ทำงานร่วมกันภายใต้สิ่งที่รักในชื่อ Whal & Dolph เพราะมีความรักเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต การได้พูดคุยกับพวกเขาโดยมีเรื่องความรักเป็นที่ตั้งในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เพื่อนสนิททั้งสองให้ค่าต่อการทำงานที่มีความหมายต่อหัวใจมากขนาดไหน และทั้งหมดนี้คือ 'ความรัก 8 ฉบับ ในแบบฉบับของ Whal & Dolph'