ในบ่ายที่ร้อนจัดแดดเจิดจ้า ฉันนั่งวินมอเตอร์ไซค์จากที่ทำงานย่าน RCA ไปโครงการคอนโดแถวห้างสรรพสินค้า Show DC ที่ไม่ไกลกันนัก ในบรรดาร้านรวงที่ยังไม่เปิดให้บริการ มีห้องกระจกห้องหนึ่งที่เปิดไฟสีส้มอบอุ่น แปะป้าย Open ราวกับต้องการเชื้อเชิญให้คนข้างนอกเข้าไป
ขยับตัวเข้าใกล้ไปพิจารณาอีกนิด มองทะลุผ่านผนังกระจกที่มีภาพวาดตัวการ์ตูนผู้หญิงลายเส้นคุ้นตา ในนั้นมีโต๊ะทำงานตั้งกลางร้าน และมุมอื่นๆ ประกอบไปด้วยตู้ตั้งโชว์โปรดักต์ ต้นไม้ ราวแขวน และสารพัดของกระจุกกระจิก จะว่าเป็นสตูดิโอก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นร้านค้าก็ไม่เชิง
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาข้างใน ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ผิวหนังสัมผัสแอร์เย็นฉ่ำ เพลงแจ๊ซที่กำลังบรรเลงช่วยลดความหงุดหงิดจากความร้อนได้เป็นอย่างดี ราวกับเจอโอเอซิสท่ามกลางดินแดนแห้งแล้ง
ที่นี่คือ 'พื้นที่' ของแบรนด์ ease around ที่เพิ่งตั้งได้ไม่นาน ป้อ-ชัยวัฒน์ อุทัยกรณ์ และ ตาล-วริษฐา จงสวัสดิ์ สองหนุ่มสาวเจ้าของแบรนด์อายุเกือบสองปีตั้งใจจะให้ตรงนี้เป็นที่ทำงาน และในอนาคตหากเข้าที่เข้าทางอาจเปิดให้ลูกค้าที่สนใจแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนกัน
ในสายตาคนที่คลุกคลีกับวงการแบรนด์ดีไซน์อย่างฉัน ease around เริ่มต้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว จากโปสการ์ดกระดาษ โปสเตอร์ผ้า กระเป๋าผ้า มาจนถึงที่คั่นหนังสือ สบู่ และแก้ว ทั้งคู่สร้างฐานลูกค้าจากหลักสิบถึงหลักพันได้อย่างไร เรามาพูดคุยแบบอะราวนด์ๆ กับแบรนด์ ease around ไปพร้อมๆ กันดีกว่า
e – enjoy (VT) ทำให้เพลิดเพลิน, ทำให้สนุกสนาน, ทำให้พอใจ
แม้พวกเราจะรู้จักแบรนด์นี้เพราะลายเส้นน้อยๆ น่ารัก มีความแอบซุกซน แต่ถ้าย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2017 ที่ป้อกับตาลเริ่มทำแบรนด์ด้วยกัน ทั้งคู่ใช้วิธีการจัดวางวัตถุบนโปสการ์ดปฏิทินกระดาษ ที่มีฟังก์ชั่นเขียนนัดหมายได้นิดหน่อยก่อน เพราะยังไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือวาดภาพของตัวเองเท่าไหร่
ด้วยความคิดที่อยากทำของขายเล่นๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ทำงานประจำ และทำงานกับทีม happening shop อยู่แล้ว โปรดักต์แรกจึงมีที่ทางวางขายอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ทำปฏิทินผ้าปี 2018 ที่เริ่มเป็นงานวาด ซึ่งผลตอบรับก็ดีมากจนขายหมดเกลี้ยง เมื่อจะทำโปรดักต์ชิ้นต่อไป ป้อกับตาลจึงคิดวางแผนกันมากขึ้น
โปรดักต์ชิ้นนี้เองที่ทำให้ ease around เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
'Love Still' คือโปสการ์ดเซตที่ทั้งสองคนปล่อยออกมาในช่วงวาเลนไทน์ โดยมีคอนเซปต์เป็นหนังรักที่จบไม่แฮปปี้เอนดิ้ง
"อยากทำอะไรที่เป็นความรัก แต่เป็นความรักที่ต่างจากแบรนด์อื่น ป้อเลยคิดให้เป็นความรักที่ไม่สมหวัง ตอนแรกก็ลิสต์หนังไปเรื่อยๆ แล้วพบว่ามันไม่แฮปปี้ทุกเรื่องเลย" ตาลเล่าถึงไอเดีย ก่อนที่ป้อช่วยเสริม
"คีย์คือแค่ตอนจบสองตัวละครไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าคนเราจดจำหนังเศร้ามากกว่าหนังแฮปปี้ และหลายเรื่องก็เป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆ คน เลยคัดมาให้ลงตัวที่สุด"
นอกจากโปสการ์ดแล้ว ยังมีโปสเตอร์ผ้าลาย 'Love Still' ออกมาด้วยเช่นกัน และเมื่อมีโปรดักต์เยอะขึ้น มีคนเห็นและแชร์ในโลกออนไลน์ ทำให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้นทันที โดยวัดจากยอดผู้ติดตามที่เติบโตขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
a – aim [N] ความตั้งใจ
"เราเชื่อว่าต้องมีความชอบอันหนึ่งที่เป็นปัจเจก และมีความชอบที่รีเลตกับคนอื่น บวกกับการทำมาร์เก็ตติ้งที่พวกเราทำงานด้านแบรนด์และพีอาร์มา เลยรู้ว่าคนจะซื้ออะไร และต้องนำเสนอยังไงจึงจะเข้าถึงคนได้มากที่สุด"
เรานั่งฟังป้อพูดแล้วเห็นด้วย เพราะนอกจากความเรียบง่ายและเข้าถึงได้ทุกคนของโปรดักต์แล้ว การเข้าหากลุ่มเป้าหมายและการนำเสนอโปรดักต์ของ ease around ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จ เห็นได้จากการถ่ายภาพ วิดีโอ ภาพวาด และการเขียนอธิบายเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์อย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ยังไม่นับรวมการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ ของพวกเขาอยู่เสมอ
หลังจากวาเลนไทน์เข้าสู่ช่วงหน้าร้อน เกิดเป็นงานแรกที่ทั้งคู่ได้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ในแบบของตัวเองขึ้นมา นั่นคือ dear summer, I miss you สติกเกอร์และโปสการ์ดเซตรูปหญิงสาวผมสั้นสวมชุดว่ายน้ำทำท่านั่นนี่ ซึ่งวิธีการคิดการดีไซน์ของทั้งคู่น่าสนใจมากทีเดียว
"เราจะคิดถึงนิสัยมันก่อน เหมือนช่วงหนึ่งอินกับคาแรกเตอร์ตัวละคร เราดูคาแรกเตอร์ในหนังว่าตัวนี้เป็นยังไง คิดยังไง ทำไมถึงใส่เสื้อผ้าตัวนี้ แสดงออกอย่างนี้ ก็เอามาใช้กับการออกแบบ คิดกันว่าตัวคนที่แสดงออกถึง ease around ต้องเป็นคนประมาณไหน ก็โยนกันมาเรื่อยๆ เช่น โสด อายุยังบอกไม่ได้ แต่น่าจะประมาณเราๆ ที่ทำอะไรโก๊ะๆ เปิ่นๆ น่ารักน่าเอ็นดู ไม่แบ๊ว ไม่สวยเข้ม เพลนๆ อย่างอันปั่นจักรยาน ถ้าคนเปิ่นๆ ปั่นน่าจะทำยังไง เลยลองให้ปล่อยมือ หรือตัดหน้าม้าเอง เป็นต้น ลองนึกถึงว่าถ้าคนแบบนี้อยู่ในซัมเมอร์ที่ว่างมากๆ เขาจะทำอะไร"
ส่วนเหตุผลที่เราไม่ค่อยเห็นพวกเขาใช้สีฉูดฉาดมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทั้งสองคนใช้สีไม่เก่ง จึงใช้สีใดสีหนึ่งเป็นตัวแทน และทดแทนส่วนนั้นด้วยความครีเอทีฟ กับการเพิ่มกิมมิกอย่าง วงกลม เงา หรือข้อความบนสติกเกอร์ ให้ผู้ใช้ไปสร้างสรรค์ในแบบของตัวเองได้
s – special [N] สิ่งที่พิเศษ
หลังจากทำงานเกี่ยวกับกระดาษ สติกเกอร์ และผ้ามาตลอด ตาลกับป้อก็ท้าทายตัวเองขึ้นด้วยการทำที่คั่นหนังสือแม่เหล็กที่เราไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน
ปกติแล้ว ease around ออกโปรดักต์ใหม่ทุกๆ สองเดือน แต่กับโปรเจกต์นี้ ทั้งคู่ใช้เวลากว่า 4 เดือนในการศึกษา ออกแบบ หาวัสดุ คุยกับโรงงาน และทำแพ็กเกจจิ้ง โดยเฉพาะขั้นตอนลองผิดลองถูกที่ออกแบบทั้งหลายไซส์หลากความหนา หรือแม้แต่ดีเทลเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเสียบที่คั่นยังไงไม่ให้บังตัวหนังสือและทำหาย ก็ถูกรวมเป็นหนึ่งในกระบวนการนี้
หลังจากที่ทำโปรดักต์ออกมาได้จำนวนไม่น้อย และเป็นที่จดจำได้ของตลาดกลุ่มคนแนวนี้ ทั้งสองคนจำเป็นต้องแบ่งพาร์ตชีวิตมาให้แบรนด์ ease around มากขึ้น จากที่เคยใช้เวลาหลังเลิกงานจัดการออร์เดอร์ คุยกับลูกค้า ทำเอกสาร และแพ็กสินค้าจัดส่งก็เริ่มไม่เพียงพอ ตาลจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาดูแลจัดการแบรนด์เต็มตัวเมื่อปีที่แล้ว
และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ป้อก็ลาออกตามมาช่วยตาล เพราะความสำเร็จของโปรเจกต์โปสการ์ดใส 'Love Senses' ที่สามารถฉายบนผนังสร้างบรรยากาศในห้องได้
"ตอนแรกเราวนกลับมาเรื่องหนัง ยังมีหนังอีกหลายๆ เรื่องที่คนอยากให้ทำ อยากเห็นลายเส้นแบบนี้ แล้วพอจะทำโปสการ์ดแบบเดิมก็รู้สึกว่าซ้ำ ผ่านมาปีหนึ่งแล้วยังเหมือนเดิม เลยดูว่าเป็นอะไรได้อีกบ้าง" ป้อเล่าโดยมีตาลพยักหัวตาม "ง่ายๆ เลยนึกถึงหนังแล้วจะเป็นอะไรได้อีก ก็นึกถึงฟิล์ม แล้วไปเจอฟิล์มสไลด์ถ่ายรูป หลักการควบคุมของมันคือ เสียบในเครื่องฉายไฟใส่ผนัง ก็ง่ายๆ นี่หว่า แต่พอไปทำจริง ฟิล์มสไลด์เล็กแค่นี้ แต่โปสการ์ดทำเล็กขนาดนั้นไม่ได้ เลยยึดแบบเดิม 4x6 ลองทั้งอย่างนั้น ก็ออกมาอย่างที่เห็น เราดูจากความชอบของเราเอง และการฉายบนผนังจะมีมู้ดแบบฉายโปรเจกเตอร์ดูหนังกลางคืนในห้องนอนเล็กๆ หลายคนก็น่าจะชอบกัน"
ภาพในคืนที่ฉันลองใช้ไฟฉายสมาร์ทโฟนส่องผ่านโปสการ์ดลายธีโอดอร์เล่นอูคูเลเล่เพลง The Moon Song จากภาพยนตร์เรื่อง Her ยังวนเวียนในความประทับใจ
e – enhance [VT] ทำให้ดีเพิ่มขึ้น
นอกจากวัสดุอย่างแม่เหล็กที่สร้างความแปลกใหม่ให้แบรนด์สุดน่ารักนี้แล้ว เธอกับเขายังเซอร์ไพรส์พวกเราด้วยสบู่ล้างมือที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Call Me by Your Name ผลจากการต่อยอดโปรเจกต์ 'Love Senses' และเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ทำแก้วน้ำลายเด็กผู้หญิงที่มีลูกเล่นล้อไปกับการเติมน้ำ ทำให้การดื่มน้ำธรรมดาๆ สนุกสดใสขึ้นมาได้
และถ้าเราติดตามแบรนด์นี้อย่างใกล้ชิดเสียหน่อย จะเห็นว่ามีแบรนด์ย่อยที่แยกออกมา นั่นคือ fill around ที่ริเริ่มโดยตาล ผู้ชื่นชอบจานชามและของประดับบ้านน่ารักๆ เธอรับหน้าที่เป็นคิวเรเตอร์เลือกสิ่งละอันพันละน้อยพวกนี้มาส่งต่อให้คนที่มีความชอบคล้ายคลึงกัน ซึ่งในอนาคต fill around ก็อาจ around ไปเรื่อยๆ จนเราคิดไม่ถึงอีกก็เป็นได้
หลังจากเดินชมทั่วทุกมุมของที่นี่ แม้กระทั่งสต็อกสินค้าด้านหลังแล้ว เราก็ถามทั้งคู่ว่าทำไมถึงตัดสินใจทำพื้นที่ตรงนี้ เพราะแน่นอนว่าค่าเช่าพื้นที่และการทำออฟฟิศย่อมใช้เงินจำนวนมากเอาการ
"เรารู้ว่ารายรับของ ease around ดูแลตรงนี้ได้ มันคือการทำเพื่อสิ่งที่ดีกว่าและความเติบโต ในแง่ฟังก์ชั่นเอง เราก็อยากแยกพื้นที่ทำงานจากพื้นที่ที่ใช้นอนด้วย ที่ผ่านมาเราทำงานในคอนโดมาตลอด มันผสมมั่วๆ แพ็กของบนเตียงแล้วรู้สึกไม่เวิร์ก ที่สำคัญไม่มีเวลาเปิดปิดและเวลาเริ่มจนจบงาน ด้วยความรำคาญบวกกับของเยอะขึ้น ไม่มีที่เก็บ เลยหาที่ทำงาน ทีแรกไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสตูดิโอหรือออฟฟิศ เพราะมันดูยิ่งใหญ่ไปหน่อย แต่มันก็เป็นพื้นที่ทำงาน เก็บของ เป็นโชว์รูมสำหรับคนที่มาติดต่องานว่าเราเคยทำอะไรมา fill around ก็อยู่ตรงนั้น ให้คนเข้ามาหยิบจับดูได้ มีที่ถ่ายรูป ถ้าอนาคตลงตัว จะเปิดให้คนเข้ามาแบบนัดล่วงหน้า แต่คงไม่ได้มีเวลาเปิดปิด เข้ามาได้ทุกวันอะไรขนาดนั้น"
ฉันนึกภาพตามคำที่ป้อพูด ที่นี่คงมีชีวิตชีวามากขึ้น และไม่ว่าใครที่มาก็คงได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปด้วยแน่ๆ
หลังจากถ่ายภาพเสร็จ ตาลเดินมาส่งเราพร้อมรอยยิ้ม เข็มนาฬิกาบอกเวลาเย็นมากแล้ว และอากาศยังคงร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากตอนที่มา
ทว่าอย่างน้อยความเย็นฉ่ำจากบรรยากาศและบทสนทนาของโอเอซิสที่เราไปเยือนมาเมื่อครู่ ก็ช่วยให้เราไม่ร้อนจนเกินไปนัก และมีพลังที่จะเอนจอยกับชีวิตต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อรอดูโปรดักต์ชิ้นใหม่ของ ease around
* คำแปลคำศัพท์จาก Longdo Dictionary
2500 VIEWS |
นักเขียนและกองบรรณาธิการที่พบเจอตัวได้ตามหอศิลป์และร้านหนังสือ ชอบกินแซลมอนและชาบู อยากแก่ไปเป็นคุณป้าใจดีและมีฝูงแมวห้อมล้อม